ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา – ตอนที่ 44 ข้านามว่าลั่วลั่ว

เฉินฉางเซิงกำลังจ้องมองบนเวที

เทียนไห่หยาเอ๋อร์ที่อยู่บนเวที เขารับรู้ถึงสายตา จึงหันกลับไปมองเฉินฉางเซิง ริมฝีปากเรียวบางสีแดงโลหิตคู่นั้นยกขึ้นเล็กน้อย ใบหน้าที่อ่อนเยาว์และขาวซีดปรากฏรอยยิ้มที่เยาะหยันดูถูก ความหมายในใบหน้าที่เปื้อนยิ้มไม่ต้องเอ่ยถามก็รู้ความหมาย

เซวียนหยวนผ้อที่ร่างกายได้รับบาดเจ็บสาหัสถูกแบกลงเวที อาจารย์ฝึกสอนของสำนักเทียนเต้ารีบร้อนทำการรักษา หลังจากนั้นถูกบรรดานักเรียนของสำนักเด็ดดาราส่งออกไปจากสถานที่ประชุม เทียนไห่หยาเอ๋อร์ตวัดสายตากลับมาจ้องมองด้านล่างเวทีอย่างอารมณ์ดี หัวเราะเยือกเย็นพลางกล่าว “ข้ารู้ พวกเจ้าเหล่านี้ที่เป็นสิ่งของไร้ประโยชน์โง่เขลาล้วนแต่ไม่ชอบข้า แต่แล้วจะเป็นอย่างไร เดิมทีข้าก็ไม่ต้องการให้พวกเจ้าชื่นชอบข้า ข้าเพียงแค่ต้องการให้พวกเจ้าเกรงกลัวข้า ถึงแม้พวกเจ้าจะเกลียดข้าแล้วจะเป็นอย่างไรเล่า หรือว่าพวกเจ้ากล้าลงมือกับข้า”

“การชุมนุมไม้เลื้อยช่างน่าขบขันจริงๆ พวกโง่เขลาอยากจะให้ปลาว่ายข้ามประตูมังกร กลับไม่เคยคิด มีเพียงมังกรที่แท้จริงเท่านั้นถึงจะสามารถข้ามประตูในทะเลเมฆได้ พวกเจ้าเป็นคนที่น่าเวทนามาจากหมู่บ้านชนบทไกลโพ้น ยังคิดว่าตนจะมีโอกาสเช่นนั้นจริงๆ รึ”

เทียนไห่หยาเอ๋อร์เอ่ยเยาะหยันต่อ “ข้ามาการชุมนุมไม้เลื้อย แต่ไม่ใช่เพราะว่ามีจิตใจดีมาตักเตือนพวกโง่เขลาที่ฝันลมๆ แล้งๆ ข้าเพียงมาจัดการธุระสองอย่าง จัดการเสร็จเรียบร้อยก็จะไป เพื่อจะได้ไม่ต้องจ้องมองพวกเจ้านานเกินไป จนดวงตาถลนออกมา”

ราวกับว่าผู้ยิ่งใหญ่เหล่านั้นกำลังไตร่ตรองอย่างเงียบๆ หอจงซื่อส่งเด็กประหลาดเข้าร่วมการชุมนุมไม้เลื้อย คงไม่ใช่เพียงเพราะต้องการลงแข่งชิงอันดับแรก จะต้องมีสาเหตุที่ลึกซึ้งกว่านี้ ถึงขนาดว่าเด็กประหลาดผู้นี้เข้าร่วมการชุมนุมไม้เลื้อยนั้นไม่เกี่ยวข้องใดๆ กับหอจงซื่อ!

เวลานี้ได้ฟังคำพูดของเทียนไห่หยาเอ๋อร์ ในอาคารแปรเปลี่ยนเป็นเงียบนิ่ง ทุกคนล้วนแต่อยากรู้ วันนี้สิ่งที่เขาอยากจะจัดการสองอย่างคือสิ่งใด

ต่อสู้กับหนุ่มน้อยเผ่าปีศาจสำนักเด็ดดาราผู้นั้น เห็นได้ชัดเจนอย่างยิ่งว่าเป็นสถานการณ์ที่เกิดขึ้นโดยบังเอิญ ไม่ได้อยู่ในสองเรื่องที่เขาต้องจัดการ

“วันนี้ข้ามาเข้าร่วมการชุมนุมไม้เลื้อย เพราะว่าถังซานสือลิ่วบอกว่าจะจัดการข้า ดังนั้นข้าจะมาจัดการเขา”

เทียนไห่หยาเอ๋อร์มองไปยังที่นั่งของสำนักเทียนเต้า กล่าวว่า “ถึงแม้ว่าเขาจะเป็นนักเรียนของสำนักเทียนเต้า แต่ข้าคิดว่าในเมื่อเขาสามารถเอ่ยประโยคนั้นได้ พวกเจ้าไม่สามารถขัดขวางข้าได้ แต่ที่น่าสนใจก็คือเจ้าเด็กชนบทผู้นั้นคิดไม่ถึงว่าจะไม่กล้าออกมา”

เขามองเฉินฉางเซิงที่อยู่ในมุม กล่าวด้วยความเหยียดหยาม “เรื่องที่สองที่ข้าจะต้องจัดการ เกี่ยวข้องกับขยะชิ้นนี้”

“หลายวันก่อน นอกจากได้ยินว่าถังซานสือลิ่วอยากจะจัดการข้า ข้ายังได้ยินเรื่องเหลวไหลอีกเรื่องหนึ่ง สำนักฝึกหลวง…สวนสุสานผุพังที่อยู่ในตรอกไป๋ฮวาแห่งนั้น…คิดไม่ถึงว่าจะมีนักเรียนใหม่จริงๆ โอ๊ยยย…ข้าไม่กล้าเชื่อหูของตนเองเลยจริงๆ”

เทียนไห่หยาเอ๋อร์เหมือนกับฟังเรื่องราวที่น่าขบขันที่สุดบนโลกนี้ ลูบท้องตนเองหัวเราะเสียงแหลม น้ำเสียงไม่น่าฟังอย่างยิ่ง

ทันใดนั้น ใบหน้าที่เปื้อนยิ้มของเขาหุบลง มีเสียงตะโกนขึ้นมา ราวกับฟ้าร้องที่สะท้อนกลับเข้าไปในสวนของสำนักเทียนเต้า

“บังอาจ!”

ท่าทางของเทียนไห่หยาเอ๋อร์เฉยเมยจ้องมองเฉินฉางเซิง มองข้ามผ่านใต้เท้ามุขนายกสำนักการศึกษากลางและใบหน้าของคนจำนวนมากมาย น้ำเสียงเยือกเย็นทุ่มต่ำสูงสุด ไม่เหมือนเด็กชายอายุสิบสองที่สามารถเปล่งเสียงเช่นนี้ได้อย่างสิ้นเชิง “ข้าไม่สนว่าเรื่องนี้ผู้ใดทำ ข้าเพียงอยากถามเขา เขาอยากตายหรือไม่”

อาจารย์ดูแลสำนักเทียนเต้ามองไปยังที่นั่งบนเวทีแวบหนึ่ง พบว่าท่าทางของใต้เท้ามุขนายกสำนักการศึกษากลางยังคงสงบนิ่ง

กล่าวตามเหตุผล ถึงแม้จะเป็นเทียนไห่หยาเอ๋อร์ ก็ไม่สามารถว่ากล่าวราวกับผู้ที่อยู่ที่สูงจ้องมองผู้ต่ำต้อยกว่าจนถึงขนาดใช้อำนาจคุกคามเช่นนี้ต่อท่านผู้ยิ่งใหญ่เหล่านี้

แต่เขาก็จงใจจะทำเช่นนี้ ในสนามนี้ก็จงใจที่จะเงียบนิ่ง

เพราะเขาอาจจะเป็นตัวแทนของใต้เท้าสังฆราช หรือแม้แต่จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ อยากจะถามอำนาจเก่าของนิกายหลวง อยากจะถามผู้คนเหล่านั้นที่ยืมสำนักฝึกหลวงมากวนลมกวนฝน ว่าที่จริงแล้วพวกเจ้าอยากจะทำสิ่งใด

ไม่มีผู้ใดสามารถตอบปัญหานี้

“เจ้าของไร้ประโยชน์ผู้นี้ แม้แต่การชำระล้างกระดูกก็ไม่สำเร็จ ยังอยากจะให้สำนักฝึกหลวงเกิดใหม่อีกรึ น่าขบขันเสียจริง!”

เทียนไห่หยาเอ๋อร์จ้องมองเฉินฉางเซิง กล่าวตามเหตุตามผลอย่างยิ่ง “ข้ารู้ว่าเจ้ากับถังซานสือลิ่วรู้จักกัน ในเมื่อเขาไม่กล้าออกมา เช่นนั้นเจ้าขึ้นมาให้ข้าจัดการเสีย ทำสองเรื่องให้เสร็จพร้อมกันได้พอดี จะได้ประหยัดเวลายิ่งขึ้น”

ทั่วทั้งผืนเงียบสงัด

ก่อนหน้านี้ผู้คนเปล่งเสียงหัวเราะมากมาย เป็นเสียงหัวเราะที่แสบแก้วหู เพราะว่าพุ่งเป้าไปยังความพ่ายแพ้และซอมซ่อของสำนักฝึกหลวง ยังคงมีความเงียบงันของคู่หนุ่มสาว

แต่เวลานี้กลับไม่มีผู้ใดหัวเราะ เพราะก่อนหน้านี้เทียนไห่หยาเอ๋อร์ได้แสดงความโหดเหี้ยมน่ากลัวออกมา และก็เพราะทุกคนทราบดี นักเรียนใหม่ของสำนักฝึกหลวงผู้นั้นหากขึ้นไปยังเวทีจริง สิ่งที่จะมาต้อนรับชีวิตของเขาจะต้องเวทนามากกว่าหนุ่มน้อยเผ่าปีศาจผู้นั้น จนกระทั่งคือความตาย

“หรือว่า…”

เทียนไห่หยาเอ๋อร์จ้องมองเขาแสยะยิ้มเล็กน้อย พลางเอ่ย “เจ้าสามารถประกาศถอนสำนักฝึกหลวงต่อทุกคน หลังจากนั้นคุกเข่าขอร้องผู้ยิ่งใหญ่เช่นข้าให้ยกโทษให้ บางทีข้าอาจจะปล่อยเจ้า”

เฉินฉางเซิงไม่สามารถถอนสำนักฝึกหลวง เพราะว่าจวนขุนพลเทพ…กล่าวอย่างแน่ชัด ผู้ยิ่งใหญ่ที่แอบแฝงอยู่ด้านหลังจวนสวีผู้นั้นให้ทางเลือกเขาเพียงทางเดียว ถ้าหากไม่มีคุณสมบัติการเป็นนักเรียนของสำนักฝึกหลวง เขาก็หมดหนทางที่จะเข้าร่วมการสอบใหญ่ในปีหน้า

ฟังประโยคนี้ของเทียนไห่หยาเอ๋อร์ เป็นธรรมดาที่เขาจะโกรธ และก็มีหลายสิ่งที่ไม่สามารถอธิบายได้

เขาไม่เข้าใจ

เพราะเหตุใดตนผู้เป็นหนุ่มน้อยที่มาจากหมู่บ้านชนบทเมืองซีหนิงจึงถูกหนุ่มน้อยหอจงซื่อผู้นี้มองเป็นศัตรู ใช่แล้ว ถึงแม้จะถูกมองเป็นศัตรูก็จะต้องมีคุณสมบัติ จะต้องมีเหตุผล

เช่นนี้เป็นเพราะว่าเขาไม่ล่วงรู้ ขณะที่เขาบำเพ็ญเพียรอ่านตำราในสำนักฝึกหลวงอย่างเงียบๆ ไม่ได้สนใจลมฝนนอกหน้าต่าง ไม่ได้มองดอกไม้ดอกหญ้าในตรอก ในเมืองจิงตูได้มีคลื่นใต้น้ำซัดระลอกขึ้นมาแล้ว มีคนจำนวนมากเริ่มให้ความสนใจเขา เช่นอาจารย์ผู้ดูแลสำนักเทียนเต้า เช่นคนบางคนในพระราชวังหลี ดังเช่นคนบางคนในพระราชวัง

การหมั้นหมายระหว่างเขากับสวีโหย่วหรงเป็นความลับที่ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ เป็นธรรมดาที่คนเหล่านั้นจะไม่รู้ว่าเขาจับพลัดจับผลูเข้ามาสำนักฝึกหลวง คนเหล่านั้นคิดว่า จุดสำคัญในปีนี้หากใช้สายตามองสำนักฝึกหลวงจะต้องแปรเปลี่ยนเป็นฝุ่นละอองในประวัติศาสตร์ ทันใดนั้นมีนักเรียนใหม่ปรากฏขึ้นมา เป็นตัวแทนอำนาจเก่าที่ส่งมาจากในนิกายหลวง เป็นอำนาจของเชื้อพระวงศ์ตระกูลเฉินที่ยังคงซื่อสัตย์กำลังทำการหยั่งเชิง อาจจะกล่าวได้ว่าอำนาจเก่าเหล่านั้นกำลังประกาศให้ทราบว่าได้วางแผนบางอย่าง สิ่งสำคัญที่สุดก็คือ คนเหล่านั้นไม่เคยเห็นจดหมายแนะนำของเฉินฉางเซิง ไม่เคยเห็นลายมือชื่อของใต้เท้าสังฆราช ดังนั้นอากัปกิริยาที่สำนักการศึกษากลางได้แสดงออกมา จึงทำให้พวกเขามั่นใจในการคาดการณ์ของตนมากขึ้น

การหยั่งลองหรือว่าการประกาศให้ทราบ เป็นสิ่งที่ผู้คนเหล่านั้นไม่สามารถรับได้ พวกเขาไม่ลังเลที่จะเลือกการปราบปราม พวกเขาเลือกจังหวะ ก็คือการชุมนุมไม้เลื้อย อาจารย์ดูแลสำนักเทียนเต้ารับผิดชอบเป็นเจ้าภาพการชุมนุมไม้เลื้อย แต่ท้ายที่สุดเลือกใครเป็นผู้ลงลงมือ

ขุนนางรวมถึงอาจารย์ในราชวงศ์ต้าโจวที่ซื่อสัตย์ต่อเชื้อพระวงศ์ตระกูลเฉินมีมากมาย ดังนั้นผู้คนเหล่านั้นไม่ยินยอมที่จะทำให้สะดุดตา ด้วยเหตุนี้เด็กประหลาดหอจงซื่อจึงเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด เพราะว่าเขาคือหลานชายของจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ และมีเบื้องหลังเป็นนิกายหลวง

จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์กับใต้เท้าสังฆราชเดิมทีคงไม่รู้ว่าสำนักฝึกหลวงมีนักเรียนใหม่เพิ่มมาอีกหนึ่งคน แต่ก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงแซ่และอาจารย์ของเทียนไห่หยาเอ๋อร์ และยังมีสิ่งสำคัญที่สุดอยู่ที่เทียนไห่หยาเอ๋อร์เป็นเพียงแค่เด็กชายอายุสิบสองปี…ไม่ต้องกล่าวว่าถูกกระทำให้อับอายขายหน้า ถึงแม้จะสังหารคนบนเวที แล้วจะเป็นอย่างไรเล่า

เด็กเยาว์วัยไม่รู้ความ แต่ไหนแต่ไรมาก็เป็นข้ออ้างที่ดีที่สุด ไม่ใช่หรือ

ผู้เข้าร่วมการชุมนุมไม้เลื้อยค่ำคืนนี้ที่สำคัญที่สุดมีสองท่าน ก็คือใต้เท้ามุขนายกสำนักการศึกษากลางกับท่านขุนพลเทพสวีซื่อจี แจ่มชัดในคลื่นใต้น้ำลูกนี้อย่างยิ่ง สวีซื่อจีล่วงรู้ฐานะความเป็นมาของเฉินฉางเซิง แต่เนื่องมาจากหนังสือสมรสฉบับนั้น เขาจะต้องยินยอมที่จะเงียบนิ่งอย่างแน่นอน ไม่ว่าเฉินฉางเซิงจะถูกโจมตีจนเป็นฝุ่นละอองหรือว่าถูกสังหารในเวที ล้วนแต่เป็นภาพที่เขาปรารถนาจะเห็นทั้งสิ้น สำหรับความนิ่งเงียบของใต้เท้ามุขนายกสำนักการศึกษากลาง เป็นตัวแทนความหมายที่ลึกซึ้ง เพราะว่าเขารู้เรื่องราวลึกซึ้งยิ่งกว่า

ดังเช่นฐานะหญิงสาวที่อยู่ข้างกายของเฉินฉางเซิงผู้นั้น

คุกเข่า หรือว่าไม่คุกเข่า ออกห่างไป หรือว่าถูกตีตาย นี่เป็นหัวข้อที่เทียนไห่หยาเอ๋อร์ให้เฉินฉางเซิงเลือก ไม่มีตัวเลือกมากนัก เพียงแค่พิสูจน์ว่าสำนักฝึกหลวงได้กลายเป็นประวัติศาสตร์ไปแล้ว ถึงอย่างไรก็เป็นเพียงแค่เด็ก วิธีการของเขาจึงมุทะลุออกมาโดยตรง ก็คือเสียเกียรติสองคำนี้

ไม่มีผู้ใดยินยอมรับการเสียเกียรติเช่นนี้ เฉินฉางเซิงก็ไม่ยินยอม เขายิ่งเสียใจก็คือ ลั่วลั่วได้รับการเสียเกียรติพร้อมกับตน ทำให้เขารู้สึกขอโทษกับหญิงตัวน้อยที่เติบโตมากับความเพียบพร้อมและไม่เคยถูกรังแกผู้นี้

ลั่วลั่วแท้จริงแล้วโกรธเคืองอย่างยิ่ง ในชีวิตของนางไม่เคยได้รับการเสียเกียรติเช่นนี้ แต่เฉินฉางเซิงเงียบนิ่งมาตลอด ดังนั้นนางจึงไม่กล้าทำสิ่งใด เพื่อที่จะไม่ให้ผู้อื่นมองเห็นคิ้วที่ค่อยๆ มารวมกันเพราะความโกรธ นางจึงก้มศีรษะลง

เวลานี้ นางได้ยินเสียงในจิตใจที่เต็มไปด้วยความเสียใจของเฉินฉางเซิง

“ข้าเคยบอก เป็นนักเรียนของสำนักฝึกหลวง เจ้าอาจจะต้องได้รับกับการเสียเกียรติและความกดดันมากมาย”

ลั่วลั่วคิดว่าตนเคยได้ยินประโยคนี้ที่ไหน หลังจากนั้นจึงคิดออก เป็นบทสนทนาของตนกับอาจารย์ในสำนักฝึกหลวงวันนั้น นางคิดในใจหรือว่าอาจารย์กำลังทดสอบตน ใช่แล้ว มิเช่นนั้นผู้มีความสามารถและพรสวรรค์ดังเช่นอาจารย์ จะอดกลั้นที่เด็กประหลาดทำให้เสียเกียรติของสำนักฝึกหลวงได้อย่างไร

นางยังจำประโยคที่ตนตอบเฉินฉางเซิงวันนั้นได้

“อาจารย์ ไม่มีใครกล้าทำให้ข้าเสียเกียรติ”

ใช่แล้ว ตั้งแต่เยาว์วัยจนเติบใหญ่ ไม่มีผู้ใดกล้าทำให้นางเสียเกียรติ เช่นนั้น ก็ไม่สามารถทำให้อาจารย์ที่นางเคารพจนไม่อาจหาสิ่งใดเปรียบเสียเกียรติได้ ไม่สามารถทำให้สำนักฝึกหลวงที่นางค่อยๆ รักและให้ความสำคัญเสียเกียรติได้ ไม่ว่าผู้ใดที่บังอาจทำเช่นนี้ ล้วนจะต้องตอบแทนอย่างสาสม

ลั่วลั่วยืดตัวลุกขึ้น คารวะเฉินฉางเซิง หลังจากนั้นเดินขึ้นไปบนเวทีหิน

ความสงบเงียบของสวนในยามค่ำคืน เงียบเป็นเป่าสาก สายตานับไม่ถ้วน เคลื่อนไหวตามนาง

จนกระทั่งนางยืนอยู่ตรงหน้าของเทียนไห่หยาเอ๋อร์ ทุกคนถึงแน่ใจว่าตนเองมองเห็นสิ่งใด

สำนักฝึกหลวงรับการท้าประลองของเด็กประหลาดหอจงซื่อ

หญิงสาวผู้นั้นคือใครกัน

เทียนไห่หยาเอ๋อร์จ้องมองหญิงสาวที่อยู่ด้านหน้าตนผู้นี้ เอ่ยถาม “เจ้าคือผู้ใด”

ลั่วลั่วไม่กล่าวสิ่งใด มองไปยังเฉินฉางเซิงที่อยู่ด้านล่างเวทีแวบหนึ่ง

“ที่แท้เจ้าก็เป็นนักเรียนของสถานที่ภูตผีแห่งนั้นนี่เอง”

เทียนไห่หยาเอ๋อร์หัวเราะแปลกประหลาดสองครั้ง หลังจากนั้นหุบใบหน้าที่ยิ้มลง ใช้น้ำเสียงที่จริงใจและน่าเกรงกลัว พลางเอ่ย “วางใจ เจ้างดงามเช่นนี้ ข้าจะตัดใจสังหารเจ้าได้อย่างไร รอข้าทำกับเจ้าเสร็จเรียบร้อย ค่อยไปสังหารเจ้าเด็กผู้นั้น หลังจากนั้นค่อยมาทำกับเจ้าต่อ ดีหรือไม่”

ประโยคนี้ลามกอย่างยิ่ง ออกมาจากปากเด็กชายอายุสิบสอง ยิ่งทำให้ความชั่วร้ายเพิ่มขึ้น

ลั่วลั่วโกรธอย่างยิ่ง แต่ท่าทางยิ่งนานยิ่งสงบนิ่ง

ทุกคนที่เข้าร่วมการชุมนุมไม้เลื้อย กำลังจ้องมองบนเวที สายตาของอาจารย์กับขุนนางจำนวนมากมายมองมายังร่างกายของลั่วลั่ว มั่นใจว่าชำระล้างกระดูกสำเร็จ ก็ไม่ได้เป็นสิ่งที่ไร้ประโยชน์เสียสิ้นดังเช่นเฉินฉางเซิง เพียงแค่ดูไม่ออกว่าวรยุทธ์สูงส่งเพียงไหน แต่คงจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเทียนไห่หยาเอ๋อร์เป็นแน่

นำหญิงสาวที่งดงามอ่อนวัยกับเด็กประหลาดหอจงซื่อมาเปรียบเทียบกัน เดิมทีก็เป็นเรื่องที่ไม่มีเหตุผล

ผู้คนคิดว่าเวลาต่อมา จะได้เห็นภาพที่หญิงสาวผู้นี้อยู่ในกองโลหิต ผู้คนจำนวนมากคงจะทนไม่ได้และเวทนา

จวงห้วนอวี่ยืนขึ้นฉับพลัน ตะโกนกล่าว “หยุดมือ!”

เขารู้ว่าความเป็นมาของลั่วลั่วไม่ธรรมดา แต่ต่อให้มีความเป็นมามากกว่านี้อีก จะเทียบกับเบื้องหลังที่ลึกซึ้งของเด็กประหลาดผู้นี้ได้อย่างไร โดยเฉพาะอย่างยิ่งวิธีการของเด็กประหลาดผู้นี้น่ากลัวอย่างมาก หนุ่มน้อยเผ่ามารที่ถูกจัดการก่อนหน้าผู้นั้นก็คือหลักฐาน เขาจะทนดูนางถูกเด็กประหลาดข่มเหงได้อย่างไร

หัวหน้าหอจงซื่อขมวดคิ้วเล็กน้อย ชูมือขึ้นเพื่อที่จะให้เทียนไห่หยาเอ๋อร์ไม่ต้องลงมือ อาจารย์ดูแลสำนักเทียนเต้าไม่รู้ว่าปรากฏข้างเวทีหินเมื่อใด ราวกับเจตนาและราวกับไม่ได้เจตนา ที่จะบังสายตาของเทียนไห่หยาเอ๋อร์ หลังจากนั้นจึงมองจวงห้วนอวี่ด้วยสายตาเยือกเย็น

ใต้เท้ามุขนายกสำนักการศึกษากลางคล้ายกับจะเอ่ยสิ่งใดออกมา สวีซื่อจีพลันชวนคุยเรื่องสัพเพเหระ ราวกับเจตนาและราวกับไม่ได้เจตนาที่จะขัดขวาง

เทียนไห่หยาเอ๋อร์จ้องมองลั่วลั่วพลันหัวเราะออกมา ริมฝีปากสีแดงโลหิต ฟันขาวเหมือนกับกระดูกที่น่าสยดสยอง

เขาอยากจะบอกกับนาง เจ้าดู มีคนจำนวนมากมายที่อยากให้เจ้าตาย แต่ข้าไม่สังหารเจ้าให้ตาย ข้าเพียงจะจัดการกับเจ้า หลังจากนั้นไปจัดการกับของที่ไร้ประโยชน์ผู้นั้น

เขารู้ว่าหากตนเองช้าอีกนิด ก็คงจะถูกผู้อื่นขัดขวาง ดังนั้นเขาจะไม่ลังเล

เขาพุ่งไปยังด้านหน้าลั่วลั่ว กำหมัดส่งไป

หมัดของเขาเล็กนิดเดียว กลับบังคับลมพายุที่น่าเกรงกลัว และยังมีกระแสไฟฟ้าที่แสบตา

หมัดของเขาแข็งแกร่ง เป้าหมายไม่ใช่ใบหน้าของลั่วลั่ว แต่คือหน้าอกของนาง

จิตใจของเขาป่าเถื่อนอย่างยิ่ง วิธีการก็หยาบคายอย่างยิ่ง แต่เขาก็แข็งแกร่งจริงๆ และยังไม่ปรานี

สายลมกับสายฟ้าแลบ เป็นพลังปราณแท้ที่ผู้ฝึกบำเพ็ญเพียรรวบรวมไว้ได้ในระดับหนึ่ง หลังจากนั้นก็จินตนาการให้เกิดผล อย่างน้อยจะต้องเป็นผู้ฝึกบำเพ็ญเพียรในขั้นถอดจิต ภายนอกจะต้องมองเห็นแสงดาวเปล่งแสงอยู่ในพื้นที่เล็กๆ ถึงจะสามารถฝึกฝนพลังปราณแท้ให้อยู่ในระดับที่น่าเกรงกลัวเช่นนี้ และก่อเกิดเป็นเสียงดังครึกโครม

หมัดที่เทียนไห่หยาเอ๋อร์ชกออกไป เป็นพลังทั้งหมดของเขา

ก่อนหน้านี้หนุ่มน้อยเผ่ามารร่างกายสูงใหญ่ผู้นั้น ถูกหมัดของเขาทำให้บาดเจ็บเป็นที่จดจำ ไม่ต้องพูดถึงหญิงสาวที่บอบบางอ่อนแอผู้นี้

ด้านล่างเวทีมีเสียงร้องตะโกนตระหนกตกใจนับไม่ถ้วน เสียงร้องเรียกหวาดกลัวปะปนกันระงม มีนักเรียนจำนวนมากเบือนหน้าหนีบังข้างกายคนข้างๆ ไม่กล้ามอง!

ในเสียงที่ตื่นตระหนกและเสียงร้องที่หวาดกลัว ทันใดนั้นมีเสียงที่โกรธแค้นจนถึงขีดสุดและหวาดกลัวจนถึงขีดสุดดังขึ้น ทั้งยังเป็นเสียงร้องแปลกประหลาดที่ปะปนไปด้วยความสิ้นหวัง!

ทุกหันมองไปบนเวที พบว่าเสียงร้องที่แปลกประหลาด เป็นเสียงร้องที่มาจากเทียนไห่หยาเอ๋อร์!

ด้านหน้าของหมัดเทียนไห่หยาเอ๋อร์ ปรากฏหมัดหนึ่งขึ้นมา!

นั่นก็คือหมัดของลั่วลั่ว

หมัดของนางก็บังคับลมพายุได้เช่นเดียวกัน ผสานสายฟ้าแลบ แต่หมัดของนางบังคับลมพายุได้รุนแรงมากกว่า สายฟ้าแลบก็สว่างไสวมากกว่า!

เสียงดังกร๊อบ!

ผิวภายนอกนิ้วมือของเทียนไห่หยาเอ๋อร์ปรากฏรอยแผลนับไม่ถ้วนเพียงชั่วพริบตา มีโลหิตสดๆ รินไหลออกมา รอยแผลลึกจนเห็นกระดูก!

รอยแผลเหล่านั้นเพียงชั่วพริบตาก็มาถึงข้อมือของเขา ทันใดนั้นกระดูกข้อมือของเขาแตกละเอียด!

เจ็บ! เจ็บจนยากจะทนไหว!

นัยน์ตาของเทียนไห่หยาเอ๋อร์หดตัวแปรเปลี่ยนเป็นจุดสีดำเล็กๆ เสียงร้องแปลกประหลาดที่เจ็บปวดและหวาดกลัวออกมาจากปากสีแดงโลหิตของเขา

สิ่งที่ไหลตามมาก็คือโลหิตสายหนึ่ง

เกิดอะไรขึ้น

เพราะเหตุใดหมัดเล็กๆ ที่สวยงามอ่อนโยนมองแล้วคล้ายกับดอกไม้สีขาวถึงซุกซ่อนพลังที่น่าหวาดกลัวเช่นนี้

เทียนไห่หยาเอ๋อร์ไม่ทันได้ครุ่นคิด จิตใจก็ถูกความหวาดกลัวจับจอง ในเสียงร้องที่แปลกประหลาด พยายามตะเกียกตะกายไปข้างหลังอย่างสุดชีวิต

เขารู้ว่า จะต้องออกห่างหมัดนี้ให้เร็วที่สุด ไม่เช่นนั้นเขาจะต้องเสียชีวิตเป็นแน่!

เขาถอยหลังอย่างรวดเร็ว ลั่วลั่วกลับพุ่งเข้าไปเร็วยิ่งกว่า

หมัดของนาง เหมือนลมพายุที่บ้าคลั่ง เหมือนสายฟ้าแลบที่รุนแรง ปะทะเข้ากับหมัดของเทียนไห่หยาเอ๋อร์

จากมุมของเวทีนี้ไปถึงมุมเวทีนู้น ระยะห่างหลายสิบจั้ง หมัดของนางชนเข้ากับหมัดของเขาตลอด

พลังปราณแท้ที่น่ากลัวนับไม่ถ้วนออกมาจากหมัดของนาง พุ่งไปยังร่างกายของเทียนไห่หยาเอ๋อร์ไม่หยุดยั้ง!

เสียงตูมดังสนั่นครั้งหนึ่ง!

เทียนไห่หยาเอ๋อร์ล้มคะมำบนขอบเวที ข้อมือขวาแตกละเอียด ระหว่างนิ้วมือเต็มไปด้วยโลหิต

ใบหน้าของเขาขาวซีดราวกับหิมะ นัยน์ตาเต็มไปด้วยความหวาดกลัวและผิดหวัง

เดิมทีเขาไม่เข้าใจว่าเกิดสิ่งใดขึ้น พ่ายแพ้แล้ว พ่ายแพ้อย่างสิ้นเชิง

บนต้นไม้ยามราตรี พลันมีเสียงร้องของจักจั่น

นี่เป็นค่ำคืนในฤดูร้อน เป็นไปไม่ได้ที่จะเงียบสงัด

บริเวณรอบๆ เวทีหินเงียบสงัดราวกับค่ำคืนฤดูหนาวที่ไร้หิมะ ไม่มีเสียงใดๆ

หลังจากนั้นราวกับหิมะที่กองพะเนินได้พังทลายลงมา

ครืน ครืน

โลหิตสดๆ ไหลมาจากหมัดเล็กๆ หยดลงบนพื้นหิน

หญิงสาวผู้นั้นยืนอยู่ท่ามกลางสายลม จ้องมองไปยังบริเวณรอบๆ เอ่ยประโยคหนึ่ง

นางตอบคำถามของเทียนไห่หยาเอ๋อร์ก่อนหน้านี้ และก็อยากจะบอกให้ทุกคนที่นี่ได้ล่วงรู้เรื่องหนึ่ง

“ข้านามลั่วลั่ว เป็นนักเรียนของสำนักฝึกหลวง”

เสียงจักจั่นวุ่นวายมากขึ้น ในอาคารก็เงียบสงัดมากยิ่งขึ้น ทุกคนจ้องมองบนเวทีด้วยความตกตะลึงจนหาสิ่งใดเปรียบมิได้ จ้องมองหญิงสาวที่กระโปรงปลิวสะบัดตามสายลมยามค่ำคืน คิดว่าสิ่งที่เห็นไม่ใช่ความจริง ทุกคนล้วนแต่คิดว่าจะเห็นหญิงสาวผู้นี้ต้องนอนจมกองโลหิต ด้วยเหตุนี้จึงเบือนหน้าหลบข้างกาย ทนดูต่อไม่ได้ ใครจะคิด สุดท้ายแล้วคนที่นอนจมกองโลหิตก็คือเด็กประหลาดหอจงซื่อผู้นั้น

ไม่มีผู้ใดคาดคิดว่าจะเห็นผลลัพธ์เช่นนี้

สำนักฝึกหลวงที่ถูกลืมเลือน หญิงสาวที่ไม่มีผู้ใดรู้จัก ทำให้โลกนี้สั่นสะเทือนถึงเพียงนี้

การต่อสู้ครั้งนี้เริ่มอย่างกะทันหันจนน่าอับอายอยู่บ้าง แต่จุดจบกลับรวดเร็ว ทำให้ผู้คนรู้สึกถึงอกถึงใจ

ลั่วลั่วรู้ว่าตนจะต้องชนะ เพราะเดิมทีนางแข็งแกร่งอย่างยิ่ง ค่ำคืนนั้นถูกผู้แข็งแกร่งเผ่ามารลอบสังหารอันตรายอย่างยิ่ง แต่ไม่ได้หมายความว่านางจะเป็นผู้อ่อนแอท่ามกลางผู้คนที่อายุรุ่นเดียวกัน ไม่ อยู่ในกลุ่มคนที่อายุรุ่นเดียวกันนางเป็นผู้แข็งแกร่งแน่นอน โดยเฉพาะเมื่อกล่าวถึงปริมาณพลังปราณแท้ ยิ่งมีคนเพียงจำนวนน้อยที่จะมีมากกว่านาง

ถ้าหากเทียนไห่หยาเอ๋อร์สุขุมอีกหน่อย หากเขาใช้วิชายุทธ์มาต่อสู้กับนางก็หมดหนทาง นางคงไม่อาจเอาชนะได้ด้วยวิธีการบดขยี้ละเอียดเช่นนี้ แต่เทียนไห่หยาเอ๋อร์ใช้ความเผด็จการข่มขู่ผู้คนจนเคยชิน แต่จะรู้ได้อย่างไร สายเลือดในร่างกายของนางเป็นสายเลือดที่สูงส่งที่สุดในโลกใบนี้ เป็นสายเลือดที่เผด็จการที่สุด!

ทุกอย่างจบลงแล้ว

ลั่วลั่วมองไปยังเทียนไห่หยาเอ๋อร์ ยกหมัดขึ้นมาอีกครั้ง

นางจดจำได้ชัดเจนยิ่งนัก ประโยคที่เอ่ยมาก่อนหน้านี้หลังจากเด็กประหลาดผู้นี้ทำร้ายหนุ่มน้อยเผ่ามารจนสาหัส จดจำได้ชัดเจนอย่างยิ่ง เด็กประหลาดผู้นี้ทำให้อาจารย์กับตนเสียเกียรติ เช่นนั้น ตอนนี้เป็นเวลาที่นำความเสียเกียรติกลับคืนไป

“หยุดมือ!”

พบว่านางเตรียมจะลงมือต่อไป ผู้ยิ่งใหญ่ที่มองการสู้รบอย่างเงียบๆ ทยอยกันสีหน้าเปลี่ยนไป

หนุ่มน้อยเผ่ามารก่อนหน้านั้นสามารถบาดเจ็บได้ สามารถเสียชีวิตได้ คนของสำนักฝึกหลวงสามารถบาดเจ็บได้ สามารถตายได้ แต่…เทียนไห่หยาเอ๋อร์ไม่สามารถบาดเจ็บได้ ยิ่งกว่านั้นไม่สามารถเสียชีวิตได้!

เพราะว่าเขาแซ่เทียนไห่

เสียงดุดันดังขึ้นมาจากอากาศ พร้อมกับอาจารย์ดูแลสำนักเทียนเต้าที่อยู่ท่ามกลางผู้ยิ่งใหญ่นับไม่ถ้วนปรากฏบนเวที

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

ตลอดชีวิตของ เฉินฉางเซิง นั้นเต็มไปด้วยความลึกลับ เริ่มต้นจากกลิ่นหอมประหลาดที่แผ่กำจายออกมาจากตัวทำให้เหล่าสิ่งมีชีวิตเกิดความหิวกระหาย ตามมาด้วยร่างกายที่อ่อนแอเสียจนทำให้ไม่อาจบำเพ็ญเพียรได้ สุดท้ายจบลงที่อาการป่วยที่ทำให้ชีวิตของเขามิอาจยืนยาว ตลอดระยะเวลาสิบกว่าปีที่ผ่านมาเขาทำได้แค่ท่องตำราจำนวนหลายพันเล่ม แม้จะรู้ว่าอาการป่วยมิอาจรักษา บางทีมันจะเป็นโชคชะตา แต่เขาก็อยากจะท้าทายลิขิตฟ้านี้ดูสักครั้ง เขามิใช่คนเก่ง แต่เขาอยากลอง และนั่นคือจุดเริ่มต้นเส้นทางการพลิกโชคชะตาของเขา…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset