ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา – ตอนที่ 49 ไม้เรียว

คนผู้นั้นสูงใหญ่อย่างยิ่ง มือก็ใหญ่เหมือนกับอ่างน้ำ ถ้วยที่อยู่ในมือของเขาราวกับว่าเล็กเป็นพิเศษ มองดูช่างน่าตลกขบขัน มือข้างขวามองแล้วงุ่มง่ามไม่สะดวกเหมือนกับว่าพิการ มือที่ถือขอบถ้วยสั่นเทา มองแล้วทนทุกข์ทรมานน่าสงสาร

ลั่วลั่วเดินอ้อมแผงขายหอยกาบทอดแป้ง เดินไปยังด้านหลังของคนผู้นั้น ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด ใบหน้าเล็กเต็มไปด้วยความโมโห เฉินฉางเซิงเดินตามนางเข้าไป มองใบหน้าด้านข้างของคนผู้นั้น พบว่าอ่อนเยาว์อย่างยิ่ง อายุก็เยาว์วัยอย่างยิ่ง สุดท้ายแล้วจึงรู้ฐานะของเขา

ผู้ที่นั่งยองๆ ล้างจานอยู่ตรงมุมกำแพงก็คือหนุ่มน้อยเผ่าปีศาจที่ถูกเทียนไห่หยาเอ๋อร์ทำร้ายบาดเจ็บสาหัสในการชุมนุมไม้เลื้อย เซวียนหยวนผ้อ

เซวียนหยวนผ้อมองเงาที่เกิดขึ้นบนกำแพง จึงหันไปมอง พบว่าเป็นหนุ่มสาวบุรุษสตรีคู่หนึ่ง คิ้วหนาขมวดขึ้นเพราะความไม่เข้าใจ พบว่ามิได้รู้จักฝ่ายตรงข้าม จึงก้มศีรษะล้างจานต่อ การล้างจานเป็นเรื่องที่ง่ายดาย แต่สำหรับเขาตอนนี้เป็นเรื่องที่ยากยิ่ง เขาไม่มีเวลาที่จะมาสนใจผู้อื่น

“เดินทางออกจากแม่น้ำแดงหนทางหมื่นลี้มายังโลกมนุษย์ พบเจอกับความยากลำบากนับพันนับหมื่นหลายต่อหลายครั้ง สุดท้ายแล้วกลับมาล้างจานที่ตรอกจิงตู นี่คือเป้าหมายชีวิตของเจ้ารึ”

เซวียนหยวนผ้อมือที่ถือถ้วยพลันชะงัก หันไปมองอีกครา เห็นหญิงสาวคนหนึ่งที่งดงามราวกับหยก ในจิตใจเกิดคลื่นที่โหมซัดกระหน่ำเข้ามา ครุ่นคิดว่าเจ้าคือผู้ใด เพราะเหตุใดถึงรู้ว่าตนมาจากแม่น้ำแดง รู้ว่าตนไม่ได้เป็นมนุษย์บนโลกใบนี้

มองท่าทางที่ปัญญาอ่อนของเขา ไม่รู้เพราะเหตุใด ลั่วลั่วรู้สึกโมโหขึ้นมา น้ำเสียงเยือกเย็นกล่าวออกมา “ถ้าหากให้คนในเผ่าพันธุ์เจ้าเห็นสภาพของเจ้าตอนนี้ จะเสียใจหรือไม่ที่รวบรวมเงินจำนวนมากเป็นค่าใช้จ่ายในการเดินทางให้กับเจ้า”

เซวียนหยวนผ้อมองแล้วมีร่างกายสูงใหญ่แข็งแรง แต่แท้ที่จริงอายุเพียงสิบสามปี รูปร่างหน้าตาอ่อนเยาว์ คนก็อ่อนเยาว์เช่นกัน

เวลานี้ได้ฟังคำตำหนิที่ไม่เกรงใจของลั่วลั่ว ใบหน้าของเขาแดงก่ำพองขึ้น กล่าวด้วยความโกรธ “เจ้าเป็นใคร เรื่องของข้าเจ้าไม่ต้องสนใจ”

ลั่วลั่วเงียบนิ่งชั่วครู่ กล่าวว่า “ข้านามลั่วลั่ว เป็นนักเรียนของสำนักฝึกหลวง”

เซวียนหยวนผ้อตะลึงงันอีกครา แต่ครั้งนี้ได้รับความตกตะลึงมากยิ่งขึ้น มือขวาถือถ้วยที่เต็มไปด้วยคราบน้ำมันไม่อยู่

เสียงจ๋อมดังขึ้น ถ้วยที่อยู่ในมือของเขาร่วงหล่นลงน้ำสกปรกในอ่าง ถึงแม้จะไม่ตกแตก แต่มีน้ำกระเซ็นออกมาจึงทำให้เจ้าของร้านหอยกาบทอดแป้งด่าสาดเสียเทเสีย “เจ้านี่เป็นสิ่งของที่ใช้การไม่ได้ เติบโตมาเป็นหนุ่มแล้ว แม้แต่ล้างจานก็ไม่เป็นรึ”

ตลาดกลางคืนคึกคักอย่างยิ่ง ผู้คนที่เดินราวกับกำลังถักทอผ้า หอยกาบทอดแป้งขายดีอย่างยิ่ง เจ้าของร้านก็ยุ่งขวักไขว่ ใช้ตะหลิวเหล็กในการพลิกอาหารในกระทะสุดชีวิต เดิมทีไม่มีเวลามาจัดการเรื่องอื่น ถึงแม้จะด่าคนก็ไม่มีเวลาหันกลับมามองเซวียนหยวนผ้อแม้แต่น้อย

เซวียนหยวนผ้อไม่ได้โต้ตอบใดๆ มองแล้วทำงานที่แผงขายหอยกาบทอดแป้งมาหลายวัน คงจะถูกเจ้าของร้านด่าทอจนเคยชินเสียแล้ว เขาเพียงแค่ตกตะลึงที่เห็นลั่วลั่วอยู่ตรงหน้า แววตาที่อ่อนเยาว์ไร้เดียงสาแปรเปลี่ยนเป็นแรงกล้า เต็มเปี่ยมไปด้วยความเลื่อมใสและเคารพยกย่อง

หลังจากเขาถูกเทียนไห่หยาเอ๋อร์โจมตีจนบาดเจ็บสาหัสในการชุมนุมไม้เลื้อย สหายร่วมสำนักพาเขากลับมารักษาที่สำนักเด็ดดารา จึงไม่ได้เห็นเรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้น วันที่สองจากการเล่าของสหาย เขาถึงรู้ว่าเทียนไห่หยาเอ๋อร์ได้รับบาดเจ็บ คนที่จัดการเทียนไห่หยาเอ๋อร์…เป็นหญิงสาวคนหนึ่ง

ได้ยินว่าหญิงสาวผู้นั้นนามว่าลั่วลั่ว เป็นนักเรียนของสำนักฝึกหลวง

หญิงสาวผู้นี้ เมื่อครู่ก็เหมือนจะเอ่ยเช่นนั้น

เซวียนหยวนผ้ออยากจะเจอหญิงสาวผู้นั้นมาตลอด ไม่เพียงแต่ว่านางช่วยเขาแก้แค้น เขาอยากจะกล่าวคำขอบคุณ เป็นเพราะว่าเผ่าปีศาจเคารพผู้แกร่งกล้า เขาอยากเห็นหญิงสาวผู้นั้นแท้จริงแล้วมีรูปร่างเช่นไร อยากจะแสดงความเคารพของตนกับฝ่ายตรงข้าม

“ที่แท้คือเจ้า…”

มือทั้งสองของเซวียนหยวนผ้อที่ใหญ่โตเช็ดบนเสื้อผ้าที่เก่าคร่ำครึ เหมือนกับว่าตื่นเต้น พลางเอ่ย “เจ้าพูดอย่างไรข้าก็ยินยอม เป็นสิ่งที่สมควร”

ลั่วลั่วเดิมทีอยากจะปลุกความมุ่งมั่นต่อสู้ของเขา คิดไม่ถึงว่าจะโต้ตอบเช่นนี้ อดไม่ได้ที่จะจำใจเลี่ยงเสีย

เฉินฉางเซิงกลับคิดถึงปัญหาอื่น มีบางอย่างไม่เข้าใจ กล่าวถาม “เจ้า…ออกจากสำนักเด็ดดาราแล้วหรือ”

เขาครุ่นคิดในใจแม้หนุ่มน้อยเผ่าปีศาจผู้นี้ถูกเทียนไห่หยาเอ๋อร์ทำให้พิการ ยากยิ่งที่จะฝึกบำเพ็ญเพียรต่อ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าจะฟื้นฟูให้แข็งแกร่งเหมือนก่อน แต่ในการชุมนุมไม้เลื้อยถึงอย่างไรเสียเขามีฐานะเป็นนักเรียนของสำนักเด็ดดาราที่ออกมาต่อสู้ หรือว่าสำนักเด็ดดาราขับไล่เขาออกเพียงเพราะว่าเขาพิการรึ นี่ราวกับว่าเป็นเหตุผลที่กล่าวออกไปไม่ได้

เซวียนหยวนผ้อไม่รู้ว่าหนุ่มน้อยมนุษย์ผู้นี้คือใคร มองท่าทางของเขารู้ว่าเข้าใจอะไรผิดไป จึงรู้สึกกระวนกระวายใจ ส่ายมือใหญ่ราวกับพัดติดต่อกันไปมา พลางอธิบาย “สำนักไม่ได้ให้ข้าออก เพียงแค่…ข้าได้รับบาดเจ็บสาหัสไม่สามารถฝึกบำเพ็ญเพียรได้อีก จึงไม่อยากกินข้าวโดยมิได้ทำสิ่งใดที่สำนัก ดังนั้นจึงออกมาเสีย”

มองเฉินฉางเซิงกับลั่วลั่วไม่ยินยอมที่จะเชื่อ เขาจึงร้อนใจ เอ่ยว่า “เป็นความจริง เจ้าสำนักกับอาจารย์ล้วนแต่เคยมาพูดโน้มน้าวข้า เพียงแต่ข้ามีนิสัยที่โง่เขลา ไม่ยอมฟังพวกเขาจึงแอบหนีออกมา พวกเจ้าอย่าโทษพวกเขาเลย”

ช่างน่ารักซื่อตรงเสียจริง เฉินฉางเซิงกับลั่วลั่วคิดเช่นนี้ ไม่ว่าจะเป็นเหตุผลที่ยืนหยัดออกจากสำนักเด็ดดาราหรือเพราะเป็นห่วงคนรอบตัวจะเข้าใจสำนักเด็ดดาราผิดจึงแสดงความกระวนกระวายออกมา ล้วนแต่พิสูจน์ได้ว่าหนุ่มน้อยเผ่าปีศาจผู้นี้มีจิตใจที่สะอาดสะอ้านบริสุทธิ์อย่างยิ่ง

ลั่วลั่วท่าทางอบอุ่น เอ่ยถาม “ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ แล้วหลังจากนี้เจ้าคิดว่าจะทำอย่างไร”

เซวียนหยวนผ้อยิ้มแหยพลางเอ่ย “เตรียมเก็บเงินเล็กน้อย รวบรวมให้พอเป็นค่าเดินทางกลับบ้าน ในเมื่อไม่สามารถบำเพ็ญเพียร ก็จะกลับบ้านไปช่วยคนที่บ้านทำงาน…ใช่แล้ว พวกเจ้าไม่ต้องโทษเจ้าของร้าน ถึงแม้เขาจะชอบด่าทอ แต่ที่จริงแล้วเป็นคนดี หลายวันมานี้ข้าทำถ้วยจานแตกเสียหายไปมากมาย เขาก็ไม่ได้ให้ข้าชดใช้”

เจ้าของร้านที่กำลังพลิกอาหารเหงื่อท่วมกายอยู่หน้ากระทะ เมื่อได้ฟังประโยคนี้ ไม่ได้หันกายกลับมา ยิ้มแล้วพลางด่าออกมาสองสามประโยค

มองใบหน้าเปื้อนยิ้มที่ซื่อตรงของหนุ่มน้อยเผ่าปีศาจ พบว่าใบหน้าที่อ่อนเยาว์ของเขาแท้จริงแล้วเสาะหาความรู้สึกอาฆาตแค้นไม่พบแม้แต่น้อย ลั่วลั่วไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดจึงรู้สึกสลดใจอย่างยิ่ง มองเขาพลางเอ่ยถาม “เจ้าจะยินดีกลับไปอย่างนี้รึ”

เซวียนหยวนผ้อนิ่งเงียบชั่วครู่ กล่าวว่า “เหมือนกับที่ท่านเพิ่งกล่าว เพราะว่ามาฝึกบำเพ็ญเพียรที่จิงตู คนในเผ่าพันธุ์จึงรวบรวมเงินจำนวนมาก ซึ่งไม่ได้ง่ายเลย กลับไปเช่นนี้แน่นอนว่าไม่ยินดี…แต่บรรดาอาจารย์ในสำนักล้วนแต่ได้กล่าวไว้ ร่างกายของพวกเราเผ่าปีศาจไม่เหมือนกับเผ่ามนุษย์ เสียแขนขวาไปรักษาให้หายเป็นเรื่องที่ยากยิ่ง เช่นนี้จะอยู่ไปเพื่ออะไรเล่า”

เขายังเอ่ยต่อ “กลับกันอาจารย์ให้ข้าทำงานที่ใช้แรงอยู่ที่สำนักเด็ดดารา แต่มองสหายล้วนแต่ก้าวไปข้างหน้า ข้ายิ่งไม่ยินดี”

ลั่วลั่วกล่าวว่า “อยู่ที่จิงตู ก็อาจจะมีวิธี เหตุใดจึงรีบร้อนออกจากสำนักเด็ดดารา”

เซวียนหยวนผ้อเอ่ย “ผู้อาวุโสในเผ่าพันธุ์ตั้งแต่เยาว์วัยล้วนแต่สั่งสอนพวกเรา อย่ายอมรับความเห็นใจจากผู้ใด โดยเฉพาะเผ่ามนุษย์”

ลั่วลั่วจ้องมองแววตาของเขาเงียบๆ คิดว่ายิ่งนานยิ่งจะชื่นชมเขา พลางกล่าว “มากับข้า”

เป็นคำง่ายๆ สามคำ ไม่ใช่คำสั่งแต่เป็นบรรยากาศที่ไม่สามารถปฏิเสธได้ รู้สึกเคร่งครัดจนมิอาจละเมิด

เซวียนหยวนผ้อรู้สึกแปลกประหลาด ตะลึงงันชั่วครู่ ไม่รู้ว่าจะปฏิเสธอย่างไร หลังจากกล่าวลากับเจ้าของร้าน จึงเดินตามนางมุ่งไปยังทางเดิน

จนกระทั่งใกล้จะเดินออกมาจากทางเดินที่ยาวเหยียด มองเห็นบ่อน้ำที่อยู่ตรงทางเข้าตรอกไป๋ฮวา ลั่วลั่วถึงจะคิดอะไรออก มองไปยังเฉินฉางเซิง รู้สึกเกรงใจ

เฉินฉางเซิงยิ้มออกมา ไม่ได้เอ่ยสิ่งใด

เรื่องที่เขาต้องทำ แต่ไหนแต่ไรมาลั่วลั่วไม่เคยทัดทาน เช่นนั้น ลั่วลั่วปรารถนาจะทำสิ่งใด เขาก็จะไม่ทัดทานแน่นอน สำหรับเซวียนหยวนผ้อหนุ่มน้อยเผ่าปีศาจผู้นี้จะนำสิ่งใดมาเขาก็มิได้กังวล เขารู้ว่าคนของลั่วลั่วคอยคุ้มกันนางอยู่ห่างๆ

ความมืดยามราตรีของสำนักฝึกหลวงเงียบสงัดเหมือนเวลาปรกติ สาเหตุเป็นเพราะการชุมนุมไม้เลื้อยค่ำคืนที่สอง สายตาที่สอดส่องในตรอกไป๋ฮวาจึงลดลงไปไม่น้อย เช่นนี้จึงทำให้จิตใจของเฉินฉางเซิงผ่อนคลายไปมาก เพียงแค่เขาคิดไม่ถึง เซวียนหยวนผ้อที่มาสำนักฝึกหลวงเป็นครั้งแรกจะผ่อนคลายมากกว่าตน

หนุ่มน้อยเผ่าปีศาจเอามือเท้าเอวที่ใหญ่กว่าต้นไม้ มองไปทุกหนทุกแห่งและยังคอยจับรูปปั้นที่ชำรุดไม่ขาดมือ แววตาเต็มไปด้วยความแปลกประหลาด มองไม่เห็นความตึงเครียดใดๆ ทั้งสิ้น

ล้วงกุญแจออกมาเปิดประตูของหอตำรา เฉินฉางเซิงไม่ได้เข้าไป จ้องมองลั่วลั่วอยู่ข้างๆ ที่อยากจะเอ่ยอะไรบางอย่าง กล่าวว่า “อยากจะกล่าวอะไร”

ลั่วลั่วดึงแขนเสื้อเขาด้วยความเกรงใจ เอ่ยว่า “อาจารย์ ท่านช่วยเขาหน่อยได้หรือไม่ ท่านก็รู้…เขาเป็นคนของข้า”

เฉินฉางเซิง กล่าวว่า “ช่วยได้ไม่มีปัญหา ข้าเพียงแค่แปลกใจ อาจารย์สำนักเด็ดดาราล้วนแต่คิดว่าอาการบาดเจ็บไม่สามารถรักษาได้ เพราะเหตุใดเจ้าถึงคิดว่าข้าจะต้องรักษาหายเล่า”

“อาจารย์ไม่ใช่คนธรรมดาเหล่านั้น”

ลั่วลั่วเบิกตากลมโตจ้องมองเขาพลางเอ่ย “วันแรกที่คารวะท่านเป็นอาจารย์ ท่านเพียงแค่แตะชีพจรก็สามารถรู้ปัญหาของข้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งรู้ว่าจะต้องแก้ไขปัญหาอย่างไรในทันที หากเปรียบกัน จะนับอะไรกับการรักษาอาการบาดเจ็บของเจ้าเด็กผู้นั้นได้เล่า”

หญิงสาวเอ่ยสมเหตุสมผล ราวกับว่าบนโลกใบนี้ไม่มีสิ่งที่เขาทำไม่ได้ รับเอาแววตาที่เชื่อมั่นอย่างยิ่งของนาง เฉินฉางเซิงคิดว่าความกดดันมีมากมาย เกาศีรษะ เอ่ยว่า “ลองดูก่อน ข้าไม่กล้ารับรอง”

ลั่วลั่วกล่าวตอบรับด้วยความยินดีออกมา กระโดดโลดเต้นวิ่งไปยังริมทะเลสาบ จะเชื่อประโยคที่ว่าไม่กล้ารับรองของเขาได้อย่างไร

เฉินฉางเซิงจ้องมองภาพด้านหลังของนาง อดไม่ได้ที่จะส่ายศีรษะ

ลั่วลั่ววิ่งไปยังริมทะเลสาบ พูดคุยสองสามประโยคกับเซวียนหยวนผ้อที่ใช้มือซ้ายเขย่าต้นไทรย้อย เซวียนหยวนผ้อตกตะลึงงัน พยักหน้าติดต่อกัน ราวกับไม่กล้าเชื่อสิ่งที่ตนได้ยิน ต่อจากนั้นก็ไม่รู้ว่าลั่วลั่วเอ่ยสิ่งใดออกไปบ้าง เซวียนหยวนผ้อยิ่งเพิ่มความตกตะลึง ถ้าหากไม่ใช่เพราะว่าลั่วลั่วกำลังทัดทานไว้ เกรงว่าคงจะคุกเข่าลงไปแล้ว

ก่อนที่เซวียนหยวนผ้อจะตามลั่วลั่วเข้าไปในหอตำรา ยังคงมึนงง ชัดเจนยิ่งนักว่าคำพูดของลั่วลั่วทำให้เขาตกตะลึงอย่างยิ่ง เฉินฉางเซิงคาดว่าลั่วลั่วคงจะเผยฐานะของนางให้หนุ่มน้อยเผ่ามารผู้นี้ล่วงรู้ ให้สัญญาณบอกทั้งสองเดินตามตนเข้าไปในหอตำรา จุดตะเกียงน้ำมัน หลังจากนั้นจึงนั่งลงบนพื้น

เซวียนหยวนผ้อไม่ได้จ้องมองเขาสักนิด เพ่งมองลั่วลั่วตลอดเวลา ตึงเครียดอย่างยิ่ง ยากที่จะระงับความตื่นเต้น

ลั่วลั่วก็ไม่ได้มองเขาสักนิด เอ่ยกับเฉินฉางเซิง “ลำบากอาจารย์แล้ว”

ในใจของเซวียนหยวนผ้อเวลานี้ ลั่วลั่วมีความสำคัญมากกว่าคนในครอบครัวของเขา น่าเคารพมากกว่าผู้อาวุโสในเผ่าพันธุ์ ทว่านางกลับเคารพต่อมนุษย์เช่นนี้ มนุษย์ผู้นั้นก็เรียบง่ายธรรมดา อดคิดไม่ได้ว่าเป็นเรื่องที่กำเริบสืบสานยิ่งนัก หลังจากนั้นจึงโกรธแค้น เกลียดชังจนอยากจะฉีกหนุ่มคนนั้นออกมาเป็นชิ้นๆ

เฉินฉางเซิงจ้องมองดวงตาของเซวียนหยวนผ้อราวกับจะมีเพลิงลุกไหม้ รู้สึกไม่เข้าใจ ให้สัญญาณยื่นแขนขวาออกมา

เซวียนหยวนผ้อไม่ยินยอม น้ำเสียงและท่าทางกระฟัดกระเฟียด น้ำเสียงไม่ดีอย่างยิ่ง กล่าวถามออกไป “เจ้าจะทำอะไร”

เฉินฉางเซิง เอ่ย “ข้าดูอาการบาดเจ็บของเจ้า”

“เจ้ารึ เผ่ามนุษย์ เจ้าอายุเท่าไหร่เชียว”

เซวียนหยวนผ้อยิ่งคิดว่าเฉินฉางเซิงไม่ใช่คนดี จะต้องเป็นคนหลอกลวง มิเช่นนั้นจะสามารถทำให้องค์หญิงเคารพเขาอย่างนี้หรือ กล่าวเสียงดังด้วยความโกรธ “เจ้าอย่าคิดว่าเผ่าพันธุ์ของพวกเราล้วนแต่เป็นคนซื่อตรงรังแกได้ง่าย ข้าพบเจอคนหลอกลวงมาไม่น้อย!”

เพราะสาเหตุต้องร่วมต่อต้านศัตรูเผ่ามาร เผ่ามนุษย์กับเผ่าปีศาจจึงเป็นสัมพันธมิตรกันและยิ่งประวัติศาสตร์หลายพันปีมานี้ ความแนบแน่นของสัมพันธมิตรก็ได้พิสูจน์มาแล้วนับไม่ถ้วน ทั้งสองได้ไปมาหาสู่กันมากมาย อย่างน้อยเมื่อปรากฏคนเผ่าปีศาจในเมืองจิงตูย่อมไม่มีการมุงดูเกิดขึ้นอย่างแน่นอน

แต่ระหว่างเผ่ามนุษย์กับเผ่าปีศาจก็มีความแตกต่างทางความคิดที่ยากต่อการขจัดทิ้งไป สิ่งสำคัญเพราะเกี่ยวข้องกับลักษณะนิสัยรวมถึงการทำงาน เผ่ามนุษย์คิดว่าเผ่าปีศาจมุทะลุ มีความรู้น้อยอย่างยิ่ง ความแตกต่างกับสัตว์ป่าไม่ไกลกัน ใช้ความรุนแรงจนเกินเหตุ แต่เผ่าปีศาจคิดว่าเผ่ามนุษย์ปลิ้นปล้อน รู้จักเจรจาอย่างยิ่ง หากคบค้าสมาคมเป็นสหายนับเป็นสิ่งที่แย่

จากที่เซวียนหยวนผ้อมอง ชัดเจนยิ่งนักว่าเฉินฉางเซิงเป็นหนุ่มน้อยธรรมดาคนหนึ่ง เกรงว่าแม้แต่การชำระล้างกระดูกของเผ่ามนุษย์ก็คงไม่สามารถทะลวงได้ คิดไม่ถึงกล้าเอ่ยว่าจะรักษาร่างกายบาดเจ็บของตนที่แม้แต่บรรดาอาจารย์ก็หมดหวัง นี่ไม่ใช่คนหลอกลวงแล้วคืออะไรเล่า

เสียงเพี๊ยะดังขึ้น

ลั่วลั่วถือไม้เรียว จ้องมองเขา ตะเบ็งเสียงเอ่ย “ความคิดอะไรของเจ้า!”

สำนักฝึกหลวงมีไม้เรียว

นั่นคือท่อนไม้ที่เฉินฉางเซิงปอกเปลือกจนเกลี้ยงเกลาด้วยมือตนเอง

ความสำคัญของไม้เรียวนี้ก็คือไว้สำหรับให้เฉินฉางเซิงชี้แนะการฝึกบำเพ็ญเพียรของลั่วลั่ว

ตอนนี้มองแล้ว ไม้เรียวอันนี้ อาจจะต้องแสดงความสามารถดั้งเดิมของมันเสียแล้วจริงๆ

ไม้เรียว ใช้สำหรับการสอนคนและก็ตีคน

ไม้เรียวแข็งอย่างยิ่ง ตีบนหน้าผากยิ่งเจ็บปวด

เซวียนหยวนผ้อมือปิดหน้าผาก ขอบตาแดงเล็กน้อย เพราะว่าเจ็บอย่างมิต้องสงสัย สิ่งที่สำคัญเพราะว่าเขาเสียใจอย่างยิ่ง ในใจครุ่นคิดคาดไม่ถึงว่าเพราะมนุษย์ผู้นี้องค์หญิงจึงตีข้า

“ยื่นมือออกมา” เฉินฉางเซิงกลั้นยิ้ม พลางกล่าวออกมา

เซวียนหยวนผ้อดื้อรั้นแหงนหน้าขึ้น ไม่ยอมสนใจเขา

ลั่วลั่วชูไม้เรียวที่อยู่ในมือขึ้น จ้องมองเขา เอ่ยว่า “ยื่นมือออกมา”

เซวียนหยวนผ้อก้มศีรษะลงด้วยความเศร้าเสียใจ ยื่นมือออกไป

เฉินฉางเซิงระงับใบหน้าที่เปื้อนยิ้ม นิ้วมือร่วงลงแตะจุดชีพจรของเขา หลังจากนั้นจึงหลับตา

ไม่ต้องให้ลั่วลั่วร้องขอ เขาก็อยากจะลองรักษาอาการบาดเจ็บของหนุ่มน้อยเผ่าปีศาจผู้นี้ เพราะว่าการชุมนุมไม้เลื้อยในวันนั้น เมื่อเทียนไห่หยาเอ๋อร์อาละวาดไม่ให้เกียรติสำนักฝึกหลวง ทุกคนล้วนแต่เงียบนิ่ง มีเพียงหนุ่มน้อยเผ่าปีศาจผู้นี้ที่หัวเราะออกมา

เสียงหัวเราะก็คือการส่งเสียง การส่งเสียงต่อต้านความไม่เป็นธรรม หนุ่มน้อยเผ่าปีศาจผู้นี้ส่งเสียงต่อต้านความไม่เป็นธรรมแทนสำนักฝึกหลวง เช่นนั้นสำนักฝึกหลวงจะต้องตอบแทนทั้งหมด

แน่นอน ทุกอย่างที่เป็นพื้นฐานก่อให้เกิดความเชื่อมั่นที่เขาจะรักษาอาการบาดเจ็บของหนุ่มน้อยเผ่ามารผู้นี้

นักพรตจี้อาจารย์ของเขา ในโลกของการบำเพ็ญเพียรอาจจะไม่มีผู้ใดรู้จัก แต่ด้านการแพทย์จะต้องเป็นหนึ่งในผู้แกร่งกล้าที่สุดของต้าลู่ การหมั้นหมายระหว่างเขากับสวีโหยว่หรง ก็เป็นเพราะว่าปีนั้นนักพรตจี้สามารถรักษาขุนนางตำแหน่งไท่ไจ๋ที่ใต้เท้าสังฆราชไม่สามารถรักษาได้

เฉินฉางเซิงท่องตำราตั้งแต่เยาว์วัย ศึกษาการแพทย์กับอาจารย์ สิ่งสำคัญก็คือเขามีอาการป่วย

ถึงแม้เขาจะรักษาอาการป่วยของตนไม่ได้ แต่ไม่ได้หมายความว่าเขาจะไม่สามารถรักษาอาการป่วยของผู้อื่นได้

เขาอยากจะรักษาอาการบาดเจ็บของเซวียนหยวนผ้อให้หาย

เวลาผ่านไปเชื่องช้า ดวงดาวเต็มท้องฟ้ายามค่ำคืนเคลื่อนไหวตามก้อนเมฆเป็นชั้นๆ เดี๋ยวส่องแสงสว่างไสวเดี๋ยวเลือนรางสลัวๆ

หอตำราทั่วทั้งผืนเงียบสงัด

ไม่รู้ว่าเวลายาวนานเท่าไหร่ เฉินฉางเซิงลืมตาทั้งสองขึ้น

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

ตลอดชีวิตของ เฉินฉางเซิง นั้นเต็มไปด้วยความลึกลับ เริ่มต้นจากกลิ่นหอมประหลาดที่แผ่กำจายออกมาจากตัวทำให้เหล่าสิ่งมีชีวิตเกิดความหิวกระหาย ตามมาด้วยร่างกายที่อ่อนแอเสียจนทำให้ไม่อาจบำเพ็ญเพียรได้ สุดท้ายจบลงที่อาการป่วยที่ทำให้ชีวิตของเขามิอาจยืนยาว ตลอดระยะเวลาสิบกว่าปีที่ผ่านมาเขาทำได้แค่ท่องตำราจำนวนหลายพันเล่ม แม้จะรู้ว่าอาการป่วยมิอาจรักษา บางทีมันจะเป็นโชคชะตา แต่เขาก็อยากจะท้าทายลิขิตฟ้านี้ดูสักครั้ง เขามิใช่คนเก่ง แต่เขาอยากลอง และนั่นคือจุดเริ่มต้นเส้นทางการพลิกโชคชะตาของเขา…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset