ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา – ตอนที่ 55 ปัญหาของลักษณะประจำตัว

จ้องมองใบหน้าที่งดงาม บุรุษอ่อนวัยที่จิตใจสุขุมเยือกเย็น เฉินฉางเซิงทำความเคารพเงียบนิ่ง แต่จิตใจกลับมิได้สงบนิ่งดังภายนอก

เฉินหลิวอ๋องมีสายเลือดของเชื้อพระวงศ์ มีพรสวรรค์ล้ำเลิศ เพียงแค่วัยเยาว์เติบโตอยู่ในพระราชวัง ฐานะสูงส่ง จึงมิได้เข้าร่วมการสอบใหญ่ ไม่มีโอกาสที่จะแสดงฝีมือ ทว่าอาจารย์สำนักเทียนเต้ากับผู้มีฝีมือในพระราชวังเคยกล่าวไว้ จากระดับวรยุทธ์ของเขาแล้ว หากต้องการจะเข้าอยู่ในประกาศชิงอวิ๋นตั้งแต่ตอนแรกนั้นเป็นเรื่องง่ายดายอย่างยิ่ง แต่ตอนนี้พระองค์มีพระชันษาครบยี่สิบปี เพียงแค่พระองค์สมัครใจ ประกาศเตี่ยนจินจะต้องมีที่สำหรับพระองค์เป็นแน่

แต่เขาได้รับความเคารพเหมือนกับขุนพลเทพสวีซื่อจี ไม่เกี่ยวข้องกับสายเลือดและวรยุทธ์ แต่เป็นเพราะจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ปฏิบัติต่อเขาไม่เหมือนกับบุคคลอื่น ให้เขาพำนักอยู่ในจิงตู ซึ่งเป็นเรื่องที่จุดชนวนการคาดเดานับไม่ถ้วน หรือว่าจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์พึงพอใจจะให้เฉินหลิวอ๋องครองบัลลังก์ราชวงศ์ต้าโจว

มีผู้คนที่คิดเช่นนี้มากมาย แต่สองสามปีมานี้ตระกูลเทียนไห่กำแหงอวดดีหาใครเปรียบ เฉินหลิวอ๋องถึงอย่างไรก็แซ่เฉิน จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์อากัปกิริยาจึงไม่ชัดเจนมาตลอด ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ว่าภายภาคหน้าเฉินหลิวอ๋องจะมีบทบาทในราชวงศ์ต้าโจวอย่างไร ดังนั้นผู้คนในจิงตูจึงปฏิบัติต่อเขาด้วยความรู้สึกซับซ้อน เคารพแต่ก็มีระยะห่าง

สวีซื่อจีมีฐานะเป็นขุนพลเทพของราชวงศ์ต้าโจว ได้รับความไว้วางใจจากจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ เหตุเพราะในปีนั้นได้ปราบกบฏของเชื้อพระวงศ์จนราบคาบ สร้างศัตรูในราชวงศ์ไว้จำนวนมาก ดังนั้นเขาจึงระแวดระวังกับอากัปกิริยาของเฉินหลิวอ๋อง เขาไม่อาจลองทำเรื่องบางอย่าง ที่จะสามารถล่วงเกินฝ่ายตรงข้ามได้

เขารู้ว่าเฉินหลิวอ๋องเป็นตัวแทนของจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ในการควบคุมการชุมนุมไม้เลื้อยในค่ำคืนนี้ รับผิดชอบการต้อนรับคณะเจรจาจากทิศใต้ กลับคิดไม่ถึงว่าจะเจอฝ่ายตรงข้ามด้านนอกตำหนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งคำพูดที่เหมือนจะจงใจแต่มิได้ตั้งใจคอยเตือนตนบางเรื่องและกำลังปกป้องเฉินฉางเซิง

สวีซื่อจีมั่นใจว่าการหมั้นหมายระหว่างเฉินฉางเซิงกับตระกูลของตนไม่มีผู้ใดล่วงรู้ เช่นนั้นที่จู่ๆ เฉินหลิวอ๋องแสดงความประสงค์ปกป้องเฉินฉางเซิงคงจะเป็นเพราะสำนักฝึกหลวง ทำให้เขาคิดโยงไปถึงคำพูดลมๆ แล้งๆ ในจิงตูระยะนี้ รู้สึกเป็นกังวล

เฉินหลิวอ๋องจ้องมองสวีซื่อจีปราดหนึ่ง หลังจากนั้นมองไปยังเฉินฉางเซิง ยิ้มน้อยๆ พลางตรัสว่า “มีเรื่องอันใดให้ข้าช่วยหรือไม่”

น้ำเสียงของท่านอ๋องมิได้รวดเร็วและมิได้เชื่องช้า ลักษณะท่าทางอบอุ่นน่าเข้าใกล้ ทำให้ผู้คนรู้สึกเหมือนกับลมฤดูร้อนที่อบอุ่นสบายใจ

เมื่อแรกเริ่ม เฉินฉางเซิงไม่เข้าใจความหมายในประโยคที่ท่านอ๋องอยากปกป้องตน หลังจากได้ยินประโยคนั้นจึงสามารถแก้ปัญหาได้ เวลานี้ได้ฟังประโยคที่อบอุ่นแรงกล้าของฝ่ายตรงข้าม รู้สึกซาบซึ้ง กล่าวว่า “ขอบพระทัยฝ่าบาทที่ห่วงใย”

“มิต้องขอบคุณข้า ความจริงแล้ว เจ้าเป็นเด็กที่ได้รับเคราะห์ร้ายดังปลาได้รับเคราะห์ในคูเมือง พวกข้าเป็นบุคคลที่ไร้ประโยชน์ยืนดูทิวทัศน์อยู่ตรงกำแพงเมือง ควรจะกล่าวขออภัยถึงจะถูก”

เฉินหลิวอ๋องจ้องมองเขาพลางเอ่ยขึ้นมา กล่าวอย่างสบายอารมณ์ หากน้ำเสียงกลับจริงใจ

กำแพงเมืองเกิดเปลวเพลิงแผดเผา นำความหายนะมาสู่ปลาในคูเมือง

หากไม่ใช่อำนาจเก่าใหม่ทั้งสองของราชวงศ์ต้าโจวที่ใช้การรับนักเรียนของสำนักฝึกหลวงมาก่อลมก่อฝน เฉินฉางเซิงก็เป็นเพียงแค่คนหนุ่มธรรมดาที่ไม่มีผู้ใดรู้จัก จะถูกผู้คนทั่วทั้งจิงตูจับตามองและจะนำพาความยุ่งยากมาได้อย่างไรเล่า

เฉินหลิวอ๋องไม่ทราบเรื่องราวระหว่างขุนพลเทพตงอวี้กับเฉินฉางเซิง คิดว่าสวีซื่อจีก่อความยุ่งยากให้เขา ในประโยคของท่านอ๋องจึงเอ่ยถึงความยุ่งยาก ตัวเขามีฐานันดรเป็นเชื้อพระวงศ์ กล่าวขออภัยเฉินฉางเซิง เดิมทีก็เป็นเรื่องที่สมควรกระทำ

แน่นอนว่าท่านอ๋องเอ่ยขออภัยกับคนธรรมดาเช่นเฉินฉางเซิง พิสูจน์ได้ว่าท่านอ๋องเป็นคนที่อ่อนโยนเข้ากับผู้อื่นได้ง่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่ออยู่ต่อหน้าสวีซื่อจี อยู่ในพระราชวัง เขากล้าเอ่ยถึงความขัดแย้งของราชวงศ์ก่อนกับจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ ทำให้ยิ่งสง่าผ่าเผยยิ่งขึ้น

“ท่านอ๋องเกรงใจแล้ว”

เฉินฉางเซิงชื่นชอบท่านอ๋องท่านนี้อย่างแท้จริง กล่าวต่อว่า “ถ้าหากมีสิ่งใดต้องการรบกวนฝ่าบาท ข้าน้อยจะกราบทูล”

“ดีมาก ข้าชื่นชอบนิสัยเช่นนี้ และข้าก็ยังไม่กลัวความยุ่งยากเสียด้วย”

เฉินหลิวอ๋องยิ้มแล้วตบไหล่ของเขา เดินไปยังด้านในของตำหนัก ในความมืดยามราตรีมีองครักษ์คอยติดตาม ก่อนที่จะจากไป ได้มองสวีซื่อจีแวบหนึ่ง แววตาสงบนิ่งอ่อนโยน ไม่ได้มีความรู้สึกถึงการกล่าวเตือน หากแต่กลับเต็มไปด้วยความหมายของการกล่าวเตือน

ลำแสงของไข่มุกราตรีนุ่มนวล ทะลุผ่านกระดาษระหว่างขอบหน้าต่าง แปรเปลี่ยนเป็นสั่นไหว

ใบหน้าของสวีซื่อจีถูกลำแสงกระทบ เดี๋ยวสว่างเดี๋ยวสลัว

เฉินหลิวอ๋องเดินจากไปแล้ว แต่ว่าคำพูดยังคงอยู่ที่ระเบียงด้านหน้าของตำหนัก สายลมยามค่ำคืนพัดผ่านไม่กระจายหายไปไหน

สวีซื่อจีไม่สามารถจะทำอันใดเฉินฉางเซิงได้ ใบหน้าเยือกเย็นราวกับน้ำค้าง พลางเอ่ย “เจ้าโชคดีอย่างยิ่ง”

เฉินฉางเซิงคิดใคร่ครวญ จึงเอ่ยว่า “หรืออาจจะเป็นเพราะสาเหตุคุณลักษณะประจำตัวที่ไม่เลวนักของข้า”

หลังจากเอ่ยประโยคนี้ เขายิ้มออกมา

ในสายตาของคนจำนวนมาก เฉินฉางเซิงดูสุขุมเยือกเย็นกว่าอายุ เพราะว่าแต่ไหนแต่ไรมาเขาแสดงออกอย่างสุขุม น้อยมากที่จะแสดงถึงเรื่องที่ยินดีหรือไม่ยินดี และยังไม่ได้คบค้าสมาคมกับผู้ใดใกล้ชิดสนิทสนม มีกิริยามารยาทดีงาม แม้แต่การยิ้มบนใบหน้าก็ไม่ได้มีมากมาย

แต่ว่าตอนนี้เขายิ้มออกมาด้วยความยินดี เพราะอยู่ต่อหน้าสวีซื่อจี

สวีซื่อจีก็กำลังยิ้ม เกือบจะคิดว่าคำตอบของเด็กคนนี้น่าสนใจ ไร้เดียงสายิ่งนัก ทว่ารอยยิ้มเขาน่าเกลียดอย่างยิ่ง

วังเว่ยยางเดิมทีมิใช่พระราชวังหลวง และก็มิใช่ที่ประทับของจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ ไกลออกไปอีกหน่อยยังมีสวนรกร้าง ยามค่ำคืนเงียบสงัด ในพงหญ้าของสวนรกร้างมีแพะสีดำขลับตัวหนึ่งเดินเชื่องช้าออกมา ดวงตามีแสงดวงดาวส่องสว่าง ลึกลับน่าหวาดกลัวสูงสุด

สวีซื่อจีมองไปยังความมืดยามราตรีแห่งนั้น ขมวดคิ้วเล็กน้อย มิได้เอ่ยสิ่งใดออกมา สะบัดแขนเสื้อสาวเท้าเข้าไปยังตำหนัก

เฉินฉางเซิงก็มองเห็นแพะดำตัวนั้น

แพะดำตัวนั้นจ้องมองเขาเงียบๆ หลังจากนั้นจึงมุ่งเดินไปยังทิศทางด้านนอกของตำหนัก เดินไปได้ครึ่งค่อนทาง กลับชะงักฝีเท้าแล้วหันมามองเขาทีหนึ่ง คล้ายกับว่าอยากจะนำทางเขา

เฉินฉางเซิงเข้าใจความหมายของแพะดำตัวนี้

มันต้องการให้เขาออกจากตำหนัก

ถึงแม้หมดหนทางที่จะเจรจาต่อกัน แต่เขากลับรู้สึกได้รางๆ ยิ่งแน่ใจว่าแพะดำตัวนี้มีเจตนาดีต่อตน เช่นนั้นหรืออาจจะกำลังแฝงไปด้วยบางอย่าง เรื่องราวค่ำคืนนี้ยังมิได้สิ้นสุดลง จนกระทั่งความทุกข์ยากหรืออาจจะกล่าวได้ว่าอันตรายแท้จริงเพิ่งจะเริ่มขึ้น

แต่เขาไม่ได้เดินตามไป เพราะว่าเขาปรารถนาเข้าร่วมการชุมนุมไม้เลื้อย

จนกระทั่งถึงตอนนี้เขายังคิดไม่ออก เมื่อคณะเจรจาทิศใต้สู่ขอ ตนเองควรจะทำอย่างไร แต่เขาอยากจะเห็นด้วยตาของตนเอง

หรือว่าเมื่อมองเห็น ตนก็จะรู้ว่าจะควรทำอย่างไร

แพะดำค่อยๆ หายไปในความมืดยามราตรี

เฉินฉางเซิงยืนอยู่ภายใต้แสงสว่างด้านนอกของตำหนัก คิดไปถึงพลังลมปราณที่น่าหวาดกลัวของสวีซื่อจีที่ได้แผ่กระจายออกมาก่อนหน้านี้ รู้ว่าก่อนหน้านี้อันตรายยิ่งนัก

สวีซื่อจีเอ่ยว่าเขาโชคไม่เลวนัก นั่นเป็นเพราะเฉินหลิวอ๋องได้ปรากฏออกมากะทันหัน

เขาได้ตอบกลับไปว่าหรืออาจจะเป็นเพราะสาเหตุคุณลักษณะประจำตัวที่ไม่เลวนักของข้า

คุณลักษณะประจำตัว ก็คือสัจธรรมที่ขาดมิได้ ไม่สามารถบกพร่อง

ผู้ที่บรรลุสัจธรรม จะต้องช่วยเหลืออย่างท่วมท้น

นี่คือหลักการที่เขาเคยศึกษาในสามพันมหามรรค

ออกจากเมืองซีหนิงมาถึงยังจิงตู ได้รับความกดดัน เสื่อมเสียเกียรติ การหยั่งเชิงมากมาย แต่ในเวลาเดียวกันก็มีคนที่ช่วยเหลือเขามากมายเช่นกัน ดังเช่นมุขนายกสำนักการศึกษากลาง ดังเช่นอาจารย์ซิน ดังเช่นเฉินหลิวอ๋อง รวมไปถึงแพะดำที่หายไปในความมืด

เพราะเหตุใดคนเหล่านี้ถึงช่วยเหลือตนเล่า เขาชัดเจนยิ่งนัก ทว่ามิเกี่ยวข้องกลับคุณลักษณะกับสัจธรรมใดๆ ทั้งสิ้น หลังจากมาถึงจิงตูความอัปยศอดสูกับความกดดันเป็นสิ่งที่ตนไม่ควรต้องแบกรับไว้ การช่วยเหลือจากบุคคลเหล่านี้เดิมทีก็ไม่ควรมี มีเรื่องราวมากมายที่เป็นเพียงเพราะความเข้าใจผิด

การหมั้นหมายระหว่างเขากับสวีโหย่วหรง มีเพียงจวนขุนพลเทพตงอวี้กับผู้สูงส่งในราชวังที่ล่วงรู้ ผู้อื่นต่างไม่ล่วงรู้ เขาเข้าสำนักฝึกหลวง รวมถึงก่อนหน้านี้ที่จวนขุนพลเทพตงอวี้ได้กดดันเขาเมื่อหลายเดือนก่อน ยังถูกผู้คนจำนวนมากมายคิดว่ามีความหมายลึกซึ้งอื่นแฝงอยู่

ทะเลสาบของสำนักฝึกหลวงแต่ไหนแต่ไรมาไร้ผู้คนอยากเชยชม มีดอกบัวป่าผุดขึ้นมากมาย

เขาเป็นเพียงแขกที่เดินหลงเข้าไปในทะเลสาบรกร้างแห่งนี้ อยากพายเรือลำน้อยไปยังฝั่ง เมื่อยกไม้พายขึ้น กลับมีฝูงนกนางนวลกับนกกระเรียนตกใจกระจัดกระเจิงขึ้นมา

เมื่อกำลังคิดถึงเรื่องราวเหล่านี้ ความมืดยามราตรีที่ไกลออกไปพลันมีเสียงแหลมของนกแผดก้องขึ้นมา หลังจากนั้นมีเสียงน้ำกระเซ็นกระจัดกระจายไปทุกหนทุกแห่ง

ไม่รู้ว่าเป็นวิหคราตรีกำลังจับอาหาร หรือว่าถูกจับเป็นอาหาร

เฉินฉางเซิงหมุนกายกลับไปยังความมืดมิดยามราตรี ในใจก่อเกิดลางสังหรณ์บางอย่าง

เวลานี้ มีเสียงหนึ่งดังขึ้น

เสียงนี้มาจากความมืดที่อยู่ลึกเข้าไป กลับมิได้ดังออกมาจากความมืด

เสียงนี้มาจากด้านในของตำหนัก กลับมิได้ดังออกมาจากกลุ่มผู้คนในตำหนัก

เสียงนี้ดังก้องอยู่ในหูของเขา หลังจากนั้นร่วงหล่นลงในจิตใจของเขา

เสียงนี้สดใสไพเราะ ทำให้ประทับใจยิ่งนัก เหมือนกับรสชาติของขนมพุทราเคลือบน้ำตาลในฤดูหนาว แต่ยิ่งเหมือนความหนาวเย็นในฤดูหนาวเสียมากกว่า

“เจ้าก็คือเฉินฉางเซิงรึ”

บริเวณรอบๆ เงียบสงัด หลังจากเสียงเครื่องดนตรีในวังเว่ยยางทะลุผ่านออกมาจากกระดาษของหน้าต่าง เบาอย่างยิ่ง เสียงของลมฤดูใบไม้ร่วงพัดใบไม้ปลิวออกมาจากลานที่กว้างขวาง เบาอย่างยิ่ง เสียงที่ดังอยู่ในใจของเขาก็เบาอย่างยิ่งเช่นกัน ราวกับเป็นเสียงฟ้าร้องมิปาน

หากเป็นคนธรรมดา เมื่อได้ยินเสียงที่ดังขึ้นในใจของตนฉับพลัน คงจะต้องตื่นตระหนกเป็นแน่ เฉินฉางเซิงกลับไม่ได้มีปฏิกิริยาใดๆ เขาจ้องมองตำหนักในความมืดยามราตรี ทดลองหาตำแหน่งของคนผู้นั้น

เขาท่องตำราเต๋า จึงรู้ว่าบางทีมีผู้แกร่งกล้าขั้นรวบรวมดวงดาวสามารถนำเสียงเข้าไปอยู่ในหูของคนธรรมดาได้อย่างง่ายดาย

“เจ้าสงบนิ่งมากกว่าที่ข้าคาดคิดไว้ หรือจะบอกว่าซื่อๆ ไม่ค่อยพูดกันนะ”

เสียงนั้นดังขึ้นมาอีกครา

“ข้าเพียงคาดหวังว่าเจ้าจะฉลาดมากกว่าที่ข้าคาดคิดไว้”

ในตำหนักมีหญิงสาวผู้หนึ่ง อายุยังน้อยก็สามารถฝึกฝนถึงขั้นรวบรวมดวงดาว มิได้สนใจคำพูดที่ทิ้งไว้ของเฉินหลิวอ๋องก่อนหน้านี้ อำนาจและตำแหน่งสามารถทำให้ผู้พบเห็นกริ่งเกรง ฐานะเป็นสิ่งที่จับต้องได้มานานแล้ว เป็นบุคคลสูงส่งในพระราชวังที่ก่อนหน้านี้เฉินฉางเซิงนึกเอาไว้พอดี

เขาจ้องมองไปยังความมืดยามราตรีของตำหนัก ทำความเคารพสงบเงียบ พลางเอ่ย “คารวะท่านม่อ”

เสียงนั้นหายไปในพริบตา ราวกับว่าคิดไม่ถึงว่าเฉินฉางเซิงจะสามารถคิดออกว่านางคือผู้ใดในทันที หรืออาจจะเป็นเพราะว่าไม่เคยชินกับการเรียกขาน

เจ้าของเสียงนั้นก็คือแม่นางม่ออวี่ในตำนาน

สตรีที่มีอำนาจอันดับสองของราชวงศ์ต้าโจว ถึงขนาดที่ว่าเป็นมนุษย์ที่มีอำนาจลำดับที่สองก็เป็นได้

“เจ้าสามารถเรียกข้าว่าแม่นางม่ออวี่”

“ขอรับ ท่านม่อ”

ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด ค่ำคืนนี้เฉินฉางเซิงคล้ายกับว่าดื้อรั้นเล็กน้อย

อาจจะเป็นเพราะว่าเขารู้สาเหตุที่แม่นางม่ออวี่ปรากฏออกมากะทันหัน

“เจ้าเป็นหนุ่มน้อยที่ฉลาดจริงๆ”

“เกรงใจแล้ว”

“ระยะนี้สถานการณ์ของจิงตูปั่นป่วน เจ้ากลับปิดประตูฝึกบำเพ็ญเพียรอยู่ในสำนักฝึกหลวงไม่ออกไปไหน นี่ก็คือสาเหตุที่ข้ากล่าวว่าเจ้าฉลาด”

“เกรงใจแล้ว”

“เพียงแค่ฉลาด…อาจจะคล้ายกับว่าไร้ยางอายอยู่บ้าง”

“โปรดชี้แนะ”

“เจ้าคาดเดาฐานะของลั่วลั่วออก ดังนั้นจึงหลบอยู่ด้านหลังของนาง หรือนี่มิใช่ความไร้ยางอายหรอกรึ”

“เป็นเพราะท่านจัดเตรียมให้ข้าเข้าสำนักฝึกหลวง ท่านก็รู้ข้าปรารถนาเพียงการท่องตำราฝึกบำเพ็ญเพียร ข้าไม่ได้คิดสิ่งใดไปมากกว่านี้”

“แต่สุดท้ายแล้วเจ้าก็ยังคงใช้ประโยชน์จากนาง”

“นี่คือความคิดของนาง”

“หากว่ามีความกล้าหาญดังบุรุษ ก็คงไม่หลอกลวงหญิงสาวที่บริสุทธิ์ดีงามเช่นนี้หรอก”

“ข้าเคยหลอกลวงนางอย่างไรเล่า”

“ถ้าหากไม่หลอกลวงนาง คนที่มีฐานะเช่นนาง จะคารวะเจ้าเป็นอาจารย์ได้อย่างไร”

เมื่อฟังคำถามนี้ เฉินฉางเซิงเงียบนิ่งชั่วครู่ หลังจากนั้นจ้องมองไปยังความมืดยามราตรีที่อยู่ลึกเข้าไป พลางเอ่ย “หรืออาจจะเป็นเพราะว่าคุณลักษณะประจำตัวที่ไม่เลวนักของข้า”

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

ตลอดชีวิตของ เฉินฉางเซิง นั้นเต็มไปด้วยความลึกลับ เริ่มต้นจากกลิ่นหอมประหลาดที่แผ่กำจายออกมาจากตัวทำให้เหล่าสิ่งมีชีวิตเกิดความหิวกระหาย ตามมาด้วยร่างกายที่อ่อนแอเสียจนทำให้ไม่อาจบำเพ็ญเพียรได้ สุดท้ายจบลงที่อาการป่วยที่ทำให้ชีวิตของเขามิอาจยืนยาว ตลอดระยะเวลาสิบกว่าปีที่ผ่านมาเขาทำได้แค่ท่องตำราจำนวนหลายพันเล่ม แม้จะรู้ว่าอาการป่วยมิอาจรักษา บางทีมันจะเป็นโชคชะตา แต่เขาก็อยากจะท้าทายลิขิตฟ้านี้ดูสักครั้ง เขามิใช่คนเก่ง แต่เขาอยากลอง และนั่นคือจุดเริ่มต้นเส้นทางการพลิกโชคชะตาของเขา…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset