ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา – ตอนที่ 56 ปัญหาของความยุติธรรม

เฉินฉางเซิงคิดเช่นนี้จริงๆ ด้วยเหตุนี้จึงเอ่ยออกมา หากเพียงคนนอกมองแล้ว ประโยคนี้เป็นเพียงแค่การหยอกล้อ และยังแสดงให้เห็นความไร้ยางอายอีกหลายส่วน ชัดเจนอย่างยิ่ง ม่ออวี่ก็คิดเช่นนี้ นางเอ่ยเสียงทุ้มต่ำออกมา “มาคุยกันเรื่องการหมั้นหมายไม่ดีกว่าหรือ”

“นั่นเป็นเรื่องระหว่างข้ากับจวนขุนพลเทพตงอวี้”

“เจ้าก็รู้ว่านี่มิใช่ความจริง เรื่องนี้จะต้องแก้ไข”

ทั้งสองกล่าวออกมาสงบนิ่งยิ่งนัก และยังไม่ยินยอมให้มีข้อกังขา

น้ำเสียงของม่ออวี่เยือกเย็นราวหิมะ “ถ้าหากไม่เป็นเพราะมีคนยืนกรานให้เจ้ามีชีวิตอยู่ เกรงว่าหนังสือสมรสในอ้อมอกเจ้าจะเป็นเพียงแค่เศษกระดาษแผ่นหนึ่งเท่านั้น”

สำหรับผู้สูงส่งเช่นนางแล้ว หนังสือสมรสฉบับนั้นถึงแม้จะมีลายมือชื่อของใต้เท้าสังฆราชที่พิเศษอย่างยิ่ง แต่นางสามารถทำให้หนังสือสมรสเป็นโมฆะได้อย่างง่ายดาย วิธีที่ง่ายที่สุดก็คือสังหารเฉินฉางเซิงเสีย คนเสียชีวิตแล้ว หนังสือสมรสจะต้องเปลี่ยนเป็นเศษกระดาษอย่างแน่นอน

เฉินฉางเซิงจ้องมองไปยังความมืดยามราตรีที่ลึกเข้าไป เอ่ยว่า “มีผู้คนจำนวนมากที่เห็นข้าเข้ามาในพระราชวัง”

ม่ออวี่กล่าว “ผู้ใดจะสนใจว่าคนเช่นเจ้าจะมีชีวิตอยู่หรือไม่”

เฉินฉางเซิงเอ่ย “ตอนนี้ข้าเป็นนักเรียนของสำนักฝึกหลวง ดังนั้นจึงมีคนจำนวนมากสนใจ…หลายวันมานี้ คนเหล่านั้นไม่ได้ปรากฏ แต่มิได้หมายความว่าพวกเขาไม่ได้มีอยู่ พวกเขากำลังจ้องมองสำนักฝึกหลวง จ้องมองข้า และก็จ้องมองพวกท่าน”

เมื่อเอ่ยประโยคนี้ เขาคิดไปถึงมุขนายกสำนักการศึกษากลาง

เวลาล่วงเลยถึงวันนี้ เขาไม่ได้พูดกับฝ่ายตรงข้ามแม้แต่ประโยคเดียว แต่เขารู้ว่าต้นตอเรื่องราวของสำนักฝึกหลวงอยู่ที่ใด

“สังหารข้าเป็นเรื่องที่ง่ายดายอย่างยิ่ง แต่ขณะเดียวกันก็เป็นเรื่องที่ยุ่งยากอย่างยิ่ง”

เขาเอ่ยต่อ “เจ้าสามารถหาวิธีให้ลั่วลั่วออกห่างจากข้างกายข้าได้ แต่หมดหนทางให้สายตาที่จ้องมองมายังสำนักฝึกหลวงออกไปได้”

น้ำเสียงของม่ออวี่แข็งกระด้าง “ข้าปรารถนาจะสังหารเจ้ามิเกี่ยวข้องกับสำนักฝึกหลวง เดิมทีในสายตาของข้าก็ไม่ได้มีผู้เฒ่าเหล่านั้น”

“ถูกแล้ว เจ้าสังหารข้า มิได้เกี่ยวข้องอันใดกับสำนักฝึกหลวง น่าเสียดายก็คือ ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ และก็ไม่มีผู้ใดเชื่อ”

เฉินฉางเซิงกล่าวทิ้งท้ายว่า “นอกเสียจากเจ้านำเรื่องการหมั้นหมายระหว่างข้ากับสวีโหย่วหรงประกาศให้ทั่วหล้ารับรู้ ผู้คนทั่วโลกอาจจะสนับสนุนให้เจ้าสังหารข้าเสีย แต่ปัญหาอยู่ที่ ก็จะมีความยุ่งยากใหม่เกิดขึ้นอีก ดังนั้นข้าอยากรู้ยิ่งนัก เจ้าจะสามารถทำสิ่งใดได้อีกเล่า”

หลังจากเขามาถึงจิงตู โดยเฉพาะหลังจากเข้าสำนักฝึกหลวง มองสรรพสิ่งเหมือนกับว่าไม่สนใจ มีเพียงแค่เสียงลมเสียงฝนเสียงท่องตำรา วันเวลาผ่านพ้นไปอย่างสงบสุข หากในความเป็นจริงเขาอยู่ท่ามกลางลมฝนของสำนักฝึกหลวง สั่นไหวไปตามสายลมสายฝน

สองสามวันมานี้ เขาท่องตำราฝึกฝนอย่างหนักที่สำนักฝึกหลวง เหมือนกับที่ม่ออวี่เอ่ยก่อนหน้านี้ ก็คือหยิบยืมความเป็นมาของลั่วลั่ว ทำให้คนที่ตั้งใจให้ตนเป็นภัยสั่นสะเทือน ถึงแม้ลั่วลั่วจะเป็นฝ่ายกระทำด้วยตนเอง แต่เขาก็แสดงว่าเห็นด้วย ในขณะเดียวกัน เขาหยิบยืมประวัติศาสตร์กับชื่อเสียงที่ฟื้นขึ้นมาของสำนักฝึกหลวง ชี้ไปยังกลุ่มผู้คนที่ไม่รู้เรื่องราวของการหมั้นหมาย ทำให้จวนขุนพลเทพตงอวี้ไม่กล้าลงมือ เช่นนี้ถึงจะสามารถรับรองความปลอดภัยของตน

หนุ่มน้อยธรรมดามาสถานที่อันไกลโพ้นจากเมืองจิงตู เผชิญหน้ากับตระกูลที่มีอำนาจในจิงตูจนกระทั่งกับผู้ยิ่งใหญ่ในพระราชวัง เขากระทำการตอบโต้ที่สามารถคิดออกไปแล้ว ขอบคุณสถานะนักเรียนใหม่ของสำนักฝึกหลวง ขอบคุณสิ่งที่เรียกว่าลักษณะประจำตัว ทำให้เขายืนหยัดมาจนถึงค่ำคืนนี้

“เป็นคนลอบกัดที่มีแผนการลึกซึ้งยิ่งนัก”

น้ำเสียงของม่ออวี่มิได้ปิดบังการเหยียดหยามเยาะเย้ย “น่าเสียดายคนธรรมดาไม่เคยพบเห็นทะเลสีคราม จะเข้าใจได้อย่างไรว่าอะไรคือความยิ่งใหญ่ ไม่เคยเด็ดดารา จะเข้าใจได้อย่างไรว่าอะไรคือความกว้างใหญ่มหาศาล แท้จริงแล้วเจ้าเป็นเพียงแมลงฤดูร้อนที่ไม่เข้าใจว่าหิมะคือสิ่งใดเท่านั้นเอง”

เฉินฉางเซิงพลันก่อเกิดความไม่สงบอย่างรุนแรง มือขวาจับกระดุมนอแรดในแขนเสื้อแนบแน่น มือซ้ายกุมด้ามกระบี่สั้นไว้

ทว่าสายไปเสียแล้ว

เขารู้สึกว่าจิตใจล่องลอย ภาพด้านหน้าแปรเปลี่ยนเป็นเลือนราง

พระราชวังภายใต้ความมืดมิดยามราตรี เดิมทีภาพทิวทัศน์ก็มิได้ชัดเจนแต่อย่างใด ทว่าความเลือนรางของสายตาชัดเจนว่าแปลกประหลาด

พลังลมปราณที่ยากจะอธิบายได้ เข้าไปในสมองของเขา ทันใดนั้นเขารู้สึกง่วงนอน

เวลาต่อมา จิตใจของเขาสั่นสะท้าน ฟื้นขึ้นมา

ทิวทัศน์แปรเปลี่ยนเป็นไม่เหมือนเดิม เขาพบว่าตนเองมาถึงในสวนรกร้าง ด้านหน้ามองเห็นสระน้ำเย็นอยู่ภายใต้แสงดวงดาวที่กำลังแผ่กลิ่นอายความสยดสยอง ด้านข้างสระน้ำมีกิ่งต้นเหมยแผ่กิ่งก้านออกมาจำนวนหนึ่ง ดอกเหมยยังไม่ได้เบ่งบาน แม้แต่ดอกตูมก็ยังไม่มี มองแล้วสงบเงียบน่ายำเกรงอย่างยิ่ง

เขาตกตะลึงไม่เอ่ยสิ่งใด ชัดเจนว่าก่อนหน้านี้ยังอยู่ระเบียงด้านนอกของวังเว่ยยาง เพราะเหตุใดเพียงชั่วครู่จึงมาถึงที่แห่งนี้

ฝ่ายตรงข้ามใช้วิธีการอะไร ถึงปรากฏสิ่งที่แปลกประหลาดเช่นนี้

สวนรกร้างเงียบสงัดไร้ผู้คน มีเสียงเครื่องดนตรีแว่วดังมาจากที่ไกล

เขาหันกายมองออกไป เห็นเพียงตำหนักสูงหลายร้อยจั้งยังคงมีแสงไฟสว่างจ้า ถึงแม้จะมองไม่เห็น แต่รับรู้ว่าเวลานี้คึกคักเป็นพิเศษ

คณะเจรจาจากทิศใต้คงจะมาถึงแล้ว

ยืนอยู่ที่สวนรกร้าง จ้องมองแสงไฟในตำหนัก ภาพเงาของเขาราวกับว่าโดดเดี่ยวเหลือเกิน

เสียงของม่ออวี่ดังขึ้นมาอีกครั้ง ทว่าครั้งนี้ไม่ได้อยู่ในใจของเขา แต่อยู่มุมของสวนรกร้าง มาจากที่ใดที่หนึ่งของความมืดยามราตรี “มองดูเถอะ ค่ำคืนนี้เจ้าปรารถนาจะมาเป็นแขก แต่กลับทำให้เรื่องทั้งหมดสามารถแก้ไขได้ง่ายยิ่งนัก”

เฉินฉางเซิงจ้องมองไปยังค่ำคืนที่มืดสนิท เอ่ยว่า “เช่นนี้ไม่ยุติธรรม”

ม่ออวี่กล่าว “ช่างเป็นคำพูดไร้เดียงสายิ่งนัก ไม่ควรจะออกมาจากปากของคนที่หน้าเนื้อใจเสือเช่นเจ้า”

ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด เสียงของนางราวกับว่าไร้เรี่ยวแรง

เฉินฉางเซิงเอ่ย “ช่างเป็นคำพูดไร้เดียงสายิ่งนัก ไม่ควรจะออกมาจากปากของท่านม่อในตำนาน”

ม่ออวี่คิดว่าเขาให้ความสนใจกับเรื่องราวทั้งหมดว่ายุติธรรมหรือไม่ ช่างเป็นเรื่องที่ไร้เดียงสา

เขาคิดว่าวิธีการคิดของม่ออวี่ถึงจะเป็นเรื่องที่ไร้เดียงสาอย่างแท้จริง

นี่ไม่ใช่หัวข้อสนทนาที่สัมพันธ์กัน แต่เป็นการมองโลกที่ไม่แตกต่างกัน

น้ำเสียงของม่ออวี่เยือกเย็นอย่างยิ่ง “ความยุติธรรมแต่ไหนแต่ไรมาหาได้เป็นเรื่องที่สำคัญที่สุดไม่”

เฉินฉางเซิงนิ่งเงียบชั่วครู่ กล่าวว่า “เมื่อครั้งปรมาจารย์ระดับเจาหมิงหนาวจนเสียชีวิตอยู่ในคุก คงจะไม่คิดเช่นนี้”

ม่อเหวินซานปรมาจารย์ระดับเจาหมิง เป็นปรมาจารย์ด้านวรรณคดีรุ่นแรกของราชวงศ์ต้าโจว เมื่อวัยชราได้ล่วงเกินผู้สูงส่งในพระราชวังของจักรพรรดิองค์ก่อน ถูกกลั่นแกล้งจนเข้าคุก ค่ำคืนหนาวเหน็บของฤดูหนาวถูกขุนนางโหดเหี้ยมลากออกมาจากห้องคุมขัง สาดน้ำจนแข็งเสียชีวิต บุรุษทั้งหมดของตระกูลม่อล้วนแต่ถูกสังหาร มีหลานสาวเพียงคนเดียวโชคดีมีชีวิตรอดอย่างมิคาดคิด

ม่ออวี่ก็คือหลานสาวคนนั้น

ในความมืดมิดพลันมีเสียงที่โกรธแค้นและเยือกเย็นดังขึ้น “บังอาจ เจ้าคนเร่ร่อน!”

เฉินฉางเซิง เอ่ยว่า “ผู้ที่อยู่ใต้ฟ้ากล่าวถึงเรื่องใต้ฟ้า แล้วจะบังอาจได้อย่างไรเล่า”

เมื่อฟังประโยคนี้ ม่ออวี่เงียบนิ่งเป็นเวลานาน

“ใช่แล้ว ที่จริงแล้วไม่ยุติธรรม แต่หากเปรียบกับราชวังแห่งนี้…เจ้าก็เล็กเหลือเกิน ปรารถนาทัดทานเผ่ามาร เผ่ามนุษย์ต้องการความสามัคคี ต้องการสิ่งใหม่ๆ เข้ามา เพราะเหตุนี้ไม่ว่าจะเป็นราชวงศ์ต้าโจวหรือว่าคณะทางทิศใต้ล้วนแต่ใช้แรงกำลังทุ่มเททั้งหมดเพื่อสิ่งนี้ ดังนั้นจึงมีการชุมนุมไม้เลื้อย จึงมีการสอบใหญ่ จึงมี…การสมรสของนางกับชิวซานจวิน”

เสียงของม่ออวี่ค่อยๆ สงบนิ่ง กล่าวต่อว่า “แน่นอนว่าเรื่องเหล่านี้แท้จริงแล้วไม่สำคัญ สิ่งสำคัญก็คือจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ชื่นชอบสวีโหย่วหรง ให้ความสำคัญสวีโหย่วหรง คิดว่าบนโลกใบนี้มีเพียงชิวซานจวินที่จะมีความสามารถคู่ควรกับนาง เช่นนั้น นางจึงสามารถสมรสได้เพียงกับเขา”

เฉินฉางเซิงไม่เห็นด้วยกับการกล่าวเช่นนี้ เขาต้องการออกจากสวนรกร้างแห่งนี้เพื่อที่จะไปวังเว่ยยาง

เขารู้ว่าตนปรารถนาจะจากไปต่อหน้าของบุคคลในตำนานอย่างม่ออวี่ เป็นเรื่องที่ไม่สามารถเป็นไปได้ ที่แห่งนี้ราวกับอ้างว้าง ไม่มีกำแพงล้อมรอบ อยากจะออกไปเป็นเรื่องที่ยากยิ่ง ดังนั้นเขาจึงโยนกระดุมที่กำอยู่ในมือลงบนพื้นอย่างไม่ลังเล

กระดุมเม็ดนี้ทำมาจากนอแรด เป็นอาวุธที่ล้ำค่าอย่างยิ่ง

กระดุมพันลี้

หลังจากที่ลั่วลั่วมอบกระดุมพันลี้ให้กับเขา ขณะเดียวกันก็ได้สอนวิธีการใช้ให้กับเขาด้วย

มีควันบางเบาคละคลุ้งขึ้นที่สวนรกร้าง ร่างกายของเฉินฉางเซิงหายไปอย่างไร้ร่องรอย

แต่ในเวลาต่อมา ร่างของเขาก็กลับมาที่เดิม

สระน้ำเย็นยังคงเหมือนเดิม ต้นเหมยมิได้สั่นไหว

ใบหน้าของเขาแปรเปลี่ยนเป็นขาวซีด ริมฝีปากมีโลหิตสดไหลออกมา

รอบสวนรกร้างมีม่านกำบังที่แข็งแกร่ง ถึงขนาดที่ว่าแข็งแกร่งมากกว่าตาข่ายควันของผู้แกร่งกล้าเผ่ามารที่สำนักฝึกหลวงในค่ำคืนนั้น

พระราชวังต้าโจว แท้จริงแล้วมิได้ปรกติ

ม่ออวี่ปรารถนาให้เขาอยู่สถานที่ใด แท้จริงแล้วไม่ธรรมดา

เกรงว่ามองแล้วจะเป็นเพียงสวนรกร้าง ที่ยังคงออกไปไม่ได้

“เจ้ามีสิ่งใด ล้วนแต่อยู่ในการคำนวณของข้า ดังนั้น ยอมแพ้เสียเถอะ” น้ำเสียงของม่ออวี่สงบนิ่งจนทำให้ใจหาย

เฉินฉางเซิงเงยหน้าขึ้น ชูมือที่ใช้แขนเสื้อเช็ดโลหิตสดๆ ริมฝีปาก จ้องมองไปยังกำแพงเมือง จ้องมองไปยังสถานที่ที่ใช้ชีวิตอยู่มาหลายเดือนแต่ยังคงไม่คุ้นเคย เมืองจิงตูที่ยากจะใกล้ชิด ไม่สามารถมองเห็นผู้คนที่ใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ได้ทั้งหมด

“ที่จริงแล้ว ข้ามาถอนการหมั้นหมายจริงๆ”

น้ำเสียงของเขาไร้เรี่ยวแรง แต่กลับสงบนิ่งดังเวลาปกติ “นางเป็นของพวกเจ้าทุกคน รวมถึงจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ก็ชื่นชอบ ให้ความสำคัญกับหงส์ เดิมทีข้ามิเคยคิดต้องการจะสมรสกับนาง ข้า…ปรารถนาที่จะมาถอนการหมั้นหมายจริงๆ ทว่าไม่เคยมีผู้ใดเชื่อ”

ความมืดมิดยามราตรีเงียบเหงาวังเวง สวนรกร้างยังคงเย็นยะเยือก เหมือนกับความรู้สึกตอนนี้ของเขาอย่างยิ่ง

เขามาจิงตูเพื่อที่จะถอนการหมั้นหมาย อยู่ที่จวนขุนพลเทพตงอวี้ เขาได้เอ่ยสองครั้ง วันนี้อยู่ที่สวนรกร้างในพระราชวัง เขาก็ได้พูดไปสองครั้ง

ใช่แล้ว เพราะเหตุใดตั้งแต่ต้นจนจบถึงไม่มีผู้ใดเชื่อเล่า

เพราะว่านางคือหงส์กลับชาติมาเกิดที่สูงส่งกว่าทุกคน สำหรับตนเป็นเพียงหนุ่มน้อยธรรมดาที่ไร้วรยุทธ์

“ข้าชัดเจนมากกว่าผู้คนบนโลกใบนี้ว่าสิ่งสำคัญของการมีชีวิตคืออะไร เรื่องนั้นสำคัญอย่างยิ่ง สำคัญยิ่งกว่าการหมั้นหมาย สำคัญมากกว่าความอัปยศอดสูและอุปสรรคหลังจากข้ามาถึงจิงตูรวมกันเสียอีก ดังนั้นข้ามิได้สนใจ”

เขาชักสายตากลับมาจากที่ไกล จ้องมองความมืดมิดของสระน้ำเย็นตรงหน้า เอ่ยต่อ “แต่พวกเจ้าทำสิ่งไร้ค่ามากมาย ไม่หยุดที่จะเตือนสติข้า ข้ามีว่าที่ภรรยา นางจะต้องสมรสกับคนอื่น จนกระทั่งมาถึงก่อนหน้านี้ พวกเจ้ายังคงเตือนสติข้า…”

“ดีล่ะ ข้าจะต้องยอมรับว่าตนจะต้องสนใจแล้ว”

“เหมือนกับข้าเคยกล่าวกับฮูหยินสวีที่จวนขุนพลเทพ”

“ครั้งนี้ ข้าเปลี่ยนความตั้งใจจริงๆ แล้ว”

“ข้าจะไม่สมรสกับสวีโหย่วหรง เพราะว่าข้าไม่ชอบนางกับพวกเจ้า”

“แต่ข้าจะไม่ยกเลิกการหมั้นหมาย เพราะว่าข้าไม่ชอบนางกับพวกเจ้า”

“เช่นนี้ยุติธรรมอย่างยิ่ง”

“เช่นนี้แล้ว เพียงแค่ข้าไม่ยินยอม นางก็จะไม่สามารถสมรสกับชิวซานจวิน หรือว่ากับผู้อื่น”

“ข้ารู้ว่าเช่นนี้ไม่ยุติธรรมกับนาง”

“แต่ยุติธรรมต่อข้ายิ่งนัก”

สวนรกร้างเงียบสงัดไร้เสียง

สระน้ำเย็นเหน็บหนาวถึงกระดูก

ม่ออวี่เงียบนิ่งเป็นเวลานาน ทันใดนั้นนางคิดว่าตนคล้ายกับทำเรื่องผิดพลาดอะไรไป

เมื่อแรกเริ่มอยู่ที่จวนขุนพลเทพตงอวี้ ฮูหยินสวีก็เคยมีความรู้สึกเช่นนี้

แต่เวลาต่อมา นางก็ยิ้มออกมา แก้หน้าให้กับตนเอง เป็นคำพูดที่เยาะหยันต่อหนุ่มน้อย

“เช่นนั้นเจ้าจะต้องให้ทั่วทั้งต้าลู่ล่วงรู้เรื่องการหมั้นหมายระหว่างเจ้ากับนาง”

“ค่ำคืนนี้ที่จริงแล้วเป็นโอกาสที่เหมาะสมที่สุด”

“แต่ก่อนอื่น เจ้าสามารถออกไปจากที่นี่ได้หรือ”

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

ตลอดชีวิตของ เฉินฉางเซิง นั้นเต็มไปด้วยความลึกลับ เริ่มต้นจากกลิ่นหอมประหลาดที่แผ่กำจายออกมาจากตัวทำให้เหล่าสิ่งมีชีวิตเกิดความหิวกระหาย ตามมาด้วยร่างกายที่อ่อนแอเสียจนทำให้ไม่อาจบำเพ็ญเพียรได้ สุดท้ายจบลงที่อาการป่วยที่ทำให้ชีวิตของเขามิอาจยืนยาว ตลอดระยะเวลาสิบกว่าปีที่ผ่านมาเขาทำได้แค่ท่องตำราจำนวนหลายพันเล่ม แม้จะรู้ว่าอาการป่วยมิอาจรักษา บางทีมันจะเป็นโชคชะตา แต่เขาก็อยากจะท้าทายลิขิตฟ้านี้ดูสักครั้ง เขามิใช่คนเก่ง แต่เขาอยากลอง และนั่นคือจุดเริ่มต้นเส้นทางการพลิกโชคชะตาของเขา…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset