ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา – ตอนที่ 57 นักโทษวังถง

ด้านหลังตำหนักแสงเหมันต์ในพระราชวังต้าโจว มีรถม้าไม้ไผ่สีเขียวขับเคลื่อนเชื่องช้า ม่านผืนใหญ่ด้านหน้าตำหนักปลิวไสวเบาๆ ม่ออวี่ปรากฏอยู่บนบันได แสงดวงดาวทาบทับบนใบหน้าวิจิตรงดงาม ส่องขนคิ้วเส้นเรียวเล็กละเอียดสว่างไสว ขับให้นัยน์ตาของนางเปล่งประกายสดใส ยังมีจุดสีแดงระหว่างคิ้วที่ทำให้ประทับใจนั้น

นางจ้องมองด้านหน้าของรถลากที่มีกวางสีขาวหิมะทั่วทั้งตัว ขมวดคิ้วเล็กน้อย คล้ายกับว่าแปลกประหลาดใจ เอ่ยถาม “เฮยอวี้ (หยกดำ) เล่า”

แพะดำตัวนั้นก่อนหน้านี้หายไปในค่ำคืนยามราตรีอย่างไร้ร่องรอย

ท่านยายหนิงประคองมือของนางลงบันได กล่าวเสียงเบา “พ่อคุณทูนหัวนั่นไม่รู้ไปไหนเสียแล้ว”

ม่ออวี่รู้ว่าแพะดำตัวนั้นมีนิสัยชอบสันโดษ แต่ไหนแต่ไรไม่เชื่อฟังคำพูดของคนในพระราชวัง ส่ายศีรษะพลางเอ่ยว่า “นั่นเป็นเด็กน้อย”

ท่านยายหนิงเหลือบมองไปยังความมืดด้านหลังตำหนักแสงเหมันต์ ในใจครุ่นคิด ตอนนี้เขาที่ยืนอยู่ข้างสระน้ำไร้หนทางที่จะไป ที่จริงแล้วก็เป็นเพียงเด็กคนหนึ่งเท่านั้น

ม่ออวี่รู้ว่านางกำลังคิดสิ่งใด หัวเราะพลางเอ่ยออกมา “เด็กน้อยของทุกบ้าน เอ่ยประโยคโกรธกระฟัดกระเฟียดออกมาชุดใหญ่ มีอย่างนู้นมีอย่างนี้ กลับไม่รู้ว่าตกอยู่ในสายตาของคนข้างกาย เป็นเพียงแค่การสร้างสถานการณ์ตบตา ยิ่งทำให้น่าขบขันเสียนี่กระไร”

ท่านยายหนิงกล่าวว่า “ข้าน้อยกลับรู้สึกว่าคนที่น่าขบขัน น่ารักอย่างยิ่ง”

เมื่อหลายเดือนก่อนเรื่องที่เฉินฉางเซิงเข้าสำนักฝึกหลวง เป็นเรื่องที่ท่านยายหนิงดำเนินการด้วยตนเอง หลังจากเรื่องราวผ่านพ้นไป เมื่อท่านยายหนิงตอบคำถาม ม่ออวี่ก็รู้ว่านางชื่นชอบเฉินฉางเซิงไม่น้อย เวลานี้เห็นนางยังคงมุ่งมั่นเอ่ยคำพูดในทางที่ดีแทนเฉินฉางเซิง กลับมิได้คิดว่าไม่เชื่อฟัง แต่เพราะว่าเรื่องราวเหล่านี้สิ้นสุดลงแล้วต่างหาก

เฉินฉางเซิงเดินออกจากสวนรกร้างแห่งนั้นไม่ได้ หมดหนทางที่จะปรากฏต่อหน้าของฝูงชนในวังเว่ยยาง และก็ไม่สามารถทำลายงานสมรสระหว่างสวีโหย่วหรงกับชิวซานจวิน เมื่อถึงเวลานั้น ประโยคที่เขาเคยเอ่ยเมื่อยามโกรธเคืองก็แปรเปลี่ยนเป็นเพียงประโยคที่น่าขบขัน ทว่าความโกรธแค้นของเขาก็จะแผดเผาตนเองให้ทุกข์ทรมานเพิ่มยิ่งขึ้น

รถม้าไม้ไผ่สีเขียว ขับเคลื่อนไปยังทิศทางของวังเว่ยยาง

อาจารย์ดูแลสำนักเทียนเต้าถูกขุนนางที่ขึ้นชื่อเรื่องความโหดเหี้ยมบีบบังคับให้สังหารตนเอง งานชุมนุมไม้เลื้อยถึงอย่างไรก็จะต้องมีคนควบคุม ยิ่งไปกว่านั้นค่ำคืนนี้จะต้องรับรองคณะเจรจาจากทิศใต้ที่มีผู้ยิ่งใหญ่มาจำนวนมาก มุขนายกสำนักการศึกษากลางกับสวีซื่อจีรับผิดชอบการเชิญแขกเหรื่อเข้าไปในงาน เฉินหลิวอ๋องเป็นตัวแทนของจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ ม่ออวี่ก็จะต้องขึ้นเวทีเพื่อเป็นการให้เกียรติแก่ทุกคนที่มาร่วมงาน

ท่านยายหนิงจับลูกกรงหน้าต่างรถม้าไม้ไผ่สีเขียว มือซ้ายจับที่หน้าต่างรถม้า ยังคงจ้องมองไปยังทิศทางของสวนรกร้าง ใบหน้าเต็มไปด้วยความสงสาร

“ท่านยาย ท่านวางใจเถอะ เจ้าเด็กคนนั้นจะไม่เกิดอันตรายสิ่งใดหรอก”

น้ำเสียงของม่ออวี่ดังขึ้นมาจากรถม้า “ข้อหวงห้ามของสระมังกรดำไม่มีผู้ใดสามารถทำลายได้ นอกเสียว่าจะมีคนเปิดประตูสวนจากด้านนอก แต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยมีผู้ใดออกมาได้ เขาเพียงแค่ถูกสายลมเหน็บหนาวพัดโชยอยู่ในสวนแค่นั้น หากเทียบกับสิ่งที่เขาปรารถนาจะทำแล้วจะเทียบอันใดได้เล่า”

ท่านยายหนิงคิดไปถึงเรื่องเล่าขาน เอ่ยถามอย่างกังวล “หากเขาเจอสิ่งหวงห้ามจะทำเช่นไรเล่า”

ม่ออวี่กล่าวขึ้นตอบ “ในเมื่อเป็นสิ่งหวงห้าม แล้วจะเจอได้ง่ายดายได้อย่างไร”

ประโยคของนางเอ่ยออกมาอย่างสบาย คล้ายกับว่าเมินเฉย ท่านยายหนิงกลับฟังออกถึงความอ่อนล้าในนั้น คิดไปถึงก่อนหน้านี้ที่อยู่บนบันไดด้านหน้าตำหนัก จ้องมองจุดสีแดงระหว่างคิ้วของนางภายใต้แสงดาว หากแต่ใบหน้าขาวซีดกลับอำพรางมิได้ ตัวนางไม่คำนึงถึงการสูญเสียพลังปราณแท้ที่จะทำให้เฉินฉางเซิงถูกปิดล้อมโดยวิชาลึกลับอย่างไม่เข้าใจเพื่อนาง

“ท่านได้รับปากแม่นางโหย่วหรงว่าจะไม่ลงมือกับหนุ่มน้อยผู้นั้น”

“ค่ำคืนนี้ข้าลงมือแล้วอย่างนั้นหรือ ข้าเพียงแค่ขยับปากเท่านั้น”

ม่ออวี่คิดไปถึงจดหมายที่มาจากทิศใต้เมื่อหลายเดือนก่อน เอ่ยด้วยความโมโห “เด็กนั่นก็ไม่ปรารถนาจะสมรสกับเขา ยังจะไม่ให้ลงมือ ไม่ให้ทำร้ายเขา ไม่ให้สังหารเขา มีกฎเกณฑ์เยอะแยะ มิเช่นนั้นก็คงไม่ต้องยุ่งยากเช่นนี้ ทำให้ข้าต้องใช้ความคิดมากมาย”

นางเป็นผู้ที่ฝึกฝนจนมีวรยุทธ์ในระดับที่น่าเกรงกลัว ผนวกกับตำแหน่งอำนาจที่น่ากริ่งเกรงในต้าโจว หากจะต้องจัดการหนุ่มน้อยดังเช่นเฉินฉางเซิง ไม่แน่อาจจะมีวิธีจัดการเป็นหลายพันวิธี ทำให้เขาทุกข์ทรมานจนอยากจะเกิดใหม่ มิต้องอาลัยอาวรณ์ในการมีชีวิตอยู่ แต่เพราะว่าจดหมายฉบับนั้นทำให้ต้องยุ่งยากเช่นนี้

นางยิ่งคิดยิ่งไม่สุขใจ เอ่ยว่า “ตนเองหมั้นหมายการสมรสครั้งนี้ จะต้องให้ข้าเปลืองสมองเปลืองแรง ส่วนนางเป็นคนดีหลบซ่อนอยู่ทางทิศใต้ กลับให้ข้าเป็นคนชั่ว ท่านไม่ได้ยินก่อนหน้านี้เจ้าหนุ่มผู้นั้นด่าทอข้าอย่างไรบ้าง หากไม่เห็นแก่นาง ข้าจะสังหารเขาด้วยมือตนเองนานแล้ว!”

ท่านยายหนิงยิ้มบาง พลางกล่าว “แม่นางกับแม่นางโหย่วหรงมีความผูกพันฉันพี่น้อง จะใช้ความคิดเสียหน่อยก็เป็นเรื่องสมควรแล้ว”

ม่ออวี่แสยะยิ้ม เอ่ยออกมา “ต่างกล่าวกันว่าเฮยอวี้คือพ่อทูนหัว ที่จริงแล้วนกหงส์ตัวนั้นถึงจะเป็นแม่ทูนหัวอย่างแท้จริง ผู้คนทั่วทั้งจิงตูล้วนแต่คิดว่านางบริสุทธิ์ผุดผ่อง ฉลาดหลักแหลม กลับไม่รู้ว่านางเป็นคนใจแคบ หากทำให้นางไม่ยินดี ไม่ว่าจะเป็นเรื่องใดนางก็สามารถทำได้ ข้าหาได้เพราะความผูกพันฉันพี่น้องถึงช่วยเหลือนาง แต่เป็นเพราะกังวลหากนางไม่สมดังใจปรารถนา ไม่สมรสกับชิวซานจวินขึ้นมาจริงๆ เช่นนั้นจะทำอย่างไร”

ท่านยายหนิงกล่าวอย่างโล่งใจ “เพียงแค่ค่ำคืนนี้ผ่านพ้นไป เรื่องอันใดก็ไม่ต้องทุกข์ใจแล้ว”

ผ้าม่านของรถม้าเปิดออกเล็กน้อย ม่ออวี่จ้องมองไปยังสวนรกร้างด้านหลังของตำหนักแสงเหมันต์ และยังมีสระน้ำเย็นที่ถูกป่าฤดูใบไม้ร่วงและกำแพงเก่าทรุดโทรมขวางกั้นไว้ คิดไปถึงคำพูดของเฉินฉางเซิง ในใจครุ่นคิดค่ำคืนนี้จะผ่านไปอย่างราบรื่นจริงหรือ เพราะเหตุใดจะต้องให้ขังเขาไว้ที่นี่ จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์แท้จริงแล้วกำลังคิดสิ่งใดอยู่

หลังจากประโยคที่เต็มไปด้วยความเยาะหยันเหล่านั้น ม่ออวี่มิได้เอ่ยสิ่งใดออกมาอีก เฉินฉางเซิงยืนอยู่ในสวนรกร้างเพียงลำพัง มีสระน้ำเย็นอยู่ด้านหน้า มีต้นเหมยอยู่ด้านข้าง ภาพเงาของเขาไม่ได้โดดเดี่ยวดังเช่นก่อนหน้านี้ ราวกับว่าร่างกายเต็มไปด้วยพละกำลัง

หลังจากที่เขาแน่ใจว่าม่ออวี่ได้จากไปแล้ว เขาเดินมุ่งไปข้างหน้า เดินผ่านต้นเหมยที่โดดเดี่ยวจนมาถึงริมสระน้ำเย็น เวลาเดียวกันมีความหนาวเย็นปะทะเข้ากับใบหน้า

สวนรกร้างแห่งนี้ชัดเจนว่าหนาวเย็นมากกว่าสถานที่อื่นในพระราชวังอย่างยิ่ง สาเหตุคงจะเป็นเพราะสระน้ำเย็นที่อยู่ด้านหน้าเขา เขาสำรวจพื้นผิวน้ำอย่างละเอียด สาเหตุใดที่ทำใบหน้าเขาเพิ่มความหนาวเย็นไม่หยุดยั้ง จนกระทั่งบนหน้าผากค่อยๆ เกิดเป็นเหมือนน้ำแข็งบางๆ เกาะอยู่

ไม่ใช่ความทรมาน แต่อยากหยิบยืมสภาพแวดล้อมช่วยให้ตนเองเยือกเย็นขึ้นเล็กน้อย ไม่ปรารถนาให้เวลาสูญเสียไปกับความเคืองโกรธหรือความรู้สึกที่ไม่ดี เขาพูดกับม่ออวี่ก่อนหน้านี้ เหมือนกับเต็มไปด้วยนิสัยของเด็กเสียจริง คำพูดโกรธเคืองที่ไร้ประโยชน์ คล้ายกับว่าตรงข้ามกับเยือกเย็นอย่างสิ้นเชิง ทว่าเขาก็ได้พูดออกไปแล้ว

คัมภีร์สามพันธรรมะ เขาฝึกฝนก็คือการทำตามใจปรารถนา เดินตามใจปรารถนา ดำเนินชีวิตตามใจปรารถนา สวรรค์ไม่ยินยอมให้เขาทำตามใจปรารถนา เขายิ่งจะคิดหาวิธีให้ตนเองทำตามใจปรารถนา ขอเพียงแค่ทำตามใจปรารถนา ก็จะมีความสงบที่แท้จริง และความเยือกเย็นเป็นระดับสูงสุดของความสงบ

แน่นอนว่าเขาไม่อยากให้คำพูดของตนเหล่านั้นแปรเปลี่ยนเป็นคำพูดที่น่าขบขัน เขาจะต้องออกจากสวนรกร้างไปวังเว่ยยางให้ทัน ก่อนออกจากสำนักฝึกหลวง เขาได้จัดเตรียมสิ่งที่อาจจะเกิดขึ้นไว้แล้ว แต่ในเมื่อผู้สูงส่งเหล่านั้นสามารถลวงหลอกลั่วลั่วออกจากวังเว่ยยาง เขาก็ไม่สามารถนำความคาดหวังส่งในมือนางได้

ทำอย่างไรถึงจะออกจากสวนรกร้างแห่งนี้ ตอนนี้เขามิได้มีต้นสายปลายเหตุแม้แต่น้อย เหมือนกับที่ก่อนหน้านี้เขาเอ่ยกับม่ออวี่ เหมือนกับที่เขาเคยเอ่ยกับถังซานฉือลิ่วกับลั่วลั่วว่าตนจะเข้าร่วมการสอบใหญ่ จะเอาประกาศแรกลำดับแรก

ชัดเจนยิ่งนักว่าไม่มีเหตุผล มองแล้วเป็นเรื่องที่ไม่มีความเป็นไปได้ เขากลับเอ่ยออกมาสงบนิ่งเป็นธรรมดา สมเหตุสมผล เป็นความมั่นใจตนเองที่ไร้เหตุผลอย่างสิ้นเชิง คนใกล้ชิดมองแล้วคงทำให้รู้สึกเลื่อมใส คนนอกมองแล้วธรรมดาที่จะเป็นเรื่องเพ้อฝัน น่าขบขันอย่างยิ่ง

มีเพียงแค่เขาที่เข้าใจ ความมั่นใจมาจากความจำเป็น ต้นปีหน้า เขาจะต้องเข้าร่วมการสอบใหญ่เพื่อเอาประกาศแรกอันดับแรก เขาจะต้องเอามาให้ได้ มิเช่นนั้นเขาจะต้องเสียชีวิต ค่ำคืนนี้ เขาจะต้องออกจากสวนรกร้างเพื่อไปปรากฏตัวที่วังเว่ยยาง เขาจะต้องทำให้ได้

จะต้องทำให้ได้ ดังนั้นต้องทำได้เป็นแน่ ก่อนหน้าที่จะถึงตอนนี้ เขาจะต้องมั่นใจว่าตนเองสามารถทำได้ จิตใจเป็นไปตามความต้องการเช่นนี้

ยังคงเป็นประโยคนั้น คัมภีร์สามพันมหามรรค เขาเพียงฝึกฝนทำตามใจปรารถนา

เขาออกจากซีหนิง ทุกสิ่งทุกอย่างหลังจากมาถึงจิงตู ล้วนแต่เกี่ยวพันแน่นแฟ้นกับประโยคนี้

เพราะว่าเพียงตามใจปรารถนา ถึงจะสามารถพลิกโชคชะตา

มองไปรอบๆ สวนรกร้างทั้งสี่ด้าน กำแพงเก่าทรุดโทรม ต้นไม้ยามฤดูใบไม้ร่วง ดอกบัวบนสระน้ำที่เหี่ยวเฉาไปนานแล้ว กลีบดอกไม้ที่อยู่ใต้ต้นเหมยกลายเป็นกองพะเนินเทินทึกมานานหลายปี ทว่ามิได้ถูกสายลมพัดไปแห่งใด

ทิวทัศน์ที่ไม่คุ้นเคย ทว่าราวกับเคยเห็นที่ไหน

เขาไม่ได้เดินผ่านหนทางหมื่นลี้ แล้วจะไปพานพบทิวทัศน์มากมายได้อย่างไร

แต่ว่าเขาศึกษาตำรามาหมื่นม้วน เดินทางไปแล้วหมื่นลี้ในตำรา พานพบทิวทัศน์มากมาย

ทัศนียภาพรอบๆ สวนรกร้างจดจำอยู่ในส่วนลึกของจิตใจ เขานั่งยองๆ อยู่ริมสระน้ำ ปิดตาลง ทำจิตใจให้สงบ เริ่มหวนคิดในตำราที่เคยศึกษา

มีตำราเต๋า มีบันทึกทัศนาจร มีวรรณคดีของปรมาจารย์ด้านวรรณคดีรุ่นก่อนและก็มีนิยายเกี่ยวกับภูตผีเทวดา

นั่นเป็นตำราที่เขาเคยศึกษาที่วัดเก่าในซีหนิงและก็เป็นตำราที่เคยศึกษาที่หอตำราในสำนักฝึกหลวง

เขานั่งลงข้างสระน้ำ ดวงตาทั้งสองปิดลงแนบแน่น กลับมีตำรานับไม่ถ้วนที่เปิดพลิกไม่หยุดอยู่ในสายตาเขา

สายลมเหน็บหนาวราวกับเป็นตัวอักษร ตำราที่กำลังพลิกหน้าไม่หยุด หลังจากนั้นจึงหยุดอยู่หน้าที่เขาต้องการจะอ่าน

บนตำราหน้านั้นมีรูปภาพ และก็มีตัวอักษรอธิบาย

บันทึกกิ่งก้านหนานเค่อ

คัมภีร์ต้นกำเนิดตำหนัก

ตำราค่ายกลเบื้องต้น

……

……

เฉินฉางเซิงเบิกตาทั้งสอง ยืดตัวลุกขึ้น มองไปรอบๆ สวนรกร้างอีกครา

สวนรกร้างยังคงเป็นสวนรกร้างก่อนหน้านี้ สระน้ำเย็นยังคงเป็นสระน้ำเย็นก่อนหน้านี้ แต่กลับไม่เหมือนเดิมอย่างสิ้นเชิง

กิ่งก้านของต้นเหมยหลายสิบก้านที่แผ่กิ่งก้านสาขาอยู่ริมสระน้ำเหล่านั้น คล้ายกับไม่ได้สัมพันธ์กันแม้แต่น้อย ไม่มีความหมายลึกซึ้งใดๆ แต่ทิวทัศน์สี่ฤดูก็เหมือนเดิม ทุกฤดูมิได้เปลี่ยนแปลง สิ่งที่เปลี่ยนก็คือมีท่อนไม้หลงเหลือไว้

โขดหินริมฝั่งน้ำเย็นที่ซ้อนทับกันเป็นชั้นๆ ตรงกลางไม่ได้แตกหัก บริเวณรอบๆ กำแพงทรุดโทรมของสวนรกร้าง กลับขาดลงที่ทิศใต้ของสระน้ำเย็น ที่นั่นเหมือนกับมีทางออกเข้าไปในความมืดยามราตรี แต่เขารู้ว่านั่นมิใช่ทางออก เพียงแค่มีหนึ่งขีดยังเขียนไม่แล้วเสร็จไป

กิ่งก้านต้นเหมยสิบกว่าก้านเหล่านั้น เมื่ออยู่ที่แห่งนี้ราวกับว่ายืนเป็นแถวเลือนราง

นี่ก็คือตัวอักษรถง (同)

บันทึกกิ่งก้านหนานเค่อได้เขียนเรื่องราวไว้เรื่องหนึ่ง ตำราค่ายกลเบื้องต้นมีรูปภาพหนึ่งรูป คัมภีร์ต้นกำเนิดตำหนักอธิบายถึงตำหนักหนึ่งหลังถูกเผาในราชวงศ์สมัยก่อน

ตำหนักแห่งนั้นมีนามว่าวังถง

จักรพรรดิราชวงศ์แรกถูกคุมขังในวังถงจนเสียชีวิต

มีสังฆราชท่านหนึ่งในยุคนั้นได้สร้างสร้างค่ายกลขึ้นมา

เฉินฉางเซิงรู้จักสวนรกร้างผืนนี้ รู้จักสระน้ำเย็นแห่งนี้ แล้วจะทำอะไรได้เล่า

นอกจากขั้นเทพศักดิ์สิทธิ์ในตำนาน ถึงจะสามารถทะลวงผ่านตำหนักแห่งนี้ได้

แน่นอน ตำหนักทุกแห่งล้วนมีประตู ค่ายกลใดๆ ย่อมต้องมีหนทางรอด

แต่ตั้งแต่บรรพกาลจนถึงตอนนี้ เดิมทีไม่มีผู้ใดกล้าออกจากประตูต้นกำเนิดของวังถง

เพราะว่าหลายปีก่อนวังถงถูกเผาไหม้จนเป็นเถ้าถ่าน ด้านนอกประตูมียมทูตเฝ้าดูแล อยู่ในตำหนักก็อาจจะมีลมหายใจริบหรี่ หากออกไปก็คงจะตายอย่างมิต้องสงสัย

เพราะว่าสิ่งที่ดีกับสิ่งไม่ดีมักจะเป็นของคู่กัน สิ่งที่เรียกว่าหนทางรอด มักจะเป็นสถานที่แห่งความตาย

เฉินฉางเซิงรู้ว่าประตูต้นกำเนิดของวังถงอยู่แห่งไหน

สายลมพัดโชย พัดพาให้น้ำสั่นไหว

สายลมยามราตรีพัดเพียงแค่ที่แห่งนี้ พลังของน้ำก็พัดกระหน่ำเพียงแค่ที่แห่งนี้

เขาจ้องมองสระน้ำเย็นที่อยู่ด้านหน้า เงียบนิ่งไม่เอ่ยสิ่งใด

มีเสียงดนตรีพิธีศักดิ์สิทธิ์แว่วมาจากด้านนอกสวนรกร้างมาจากวังเว่ยยางที่ไกลออกไป

คณะเจรจาของทิศใต้นั่งลงเรียบร้อยแล้ว ผู้มาเยือนของทั้งสองก็มาพร้อมเพรียงกัน

เขาไม่คิดอีกต่อไป เดินไปยังด้านในของสระน้ำเย็น

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

ตลอดชีวิตของ เฉินฉางเซิง นั้นเต็มไปด้วยความลึกลับ เริ่มต้นจากกลิ่นหอมประหลาดที่แผ่กำจายออกมาจากตัวทำให้เหล่าสิ่งมีชีวิตเกิดความหิวกระหาย ตามมาด้วยร่างกายที่อ่อนแอเสียจนทำให้ไม่อาจบำเพ็ญเพียรได้ สุดท้ายจบลงที่อาการป่วยที่ทำให้ชีวิตของเขามิอาจยืนยาว ตลอดระยะเวลาสิบกว่าปีที่ผ่านมาเขาทำได้แค่ท่องตำราจำนวนหลายพันเล่ม แม้จะรู้ว่าอาการป่วยมิอาจรักษา บางทีมันจะเป็นโชคชะตา แต่เขาก็อยากจะท้าทายลิขิตฟ้านี้ดูสักครั้ง เขามิใช่คนเก่ง แต่เขาอยากลอง และนั่นคือจุดเริ่มต้นเส้นทางการพลิกโชคชะตาของเขา…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset