ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา – ตอนที่ 58 บุกสระมังกรเพียงลำพัง

รู้จักวังถง แต่ก็มิได้หมายความว่าจะออกไปจากวังถงได้ หาประตูกำเนิดของวังถงพบ ก็มิได้หมายความว่าจะสามารถหนีออกไปสู่ฟากฟ้าได้ ความเป็นจริงแล้ว ตั้งแต่อดีตจนถึงขณะนี้ระยะเวลาผ่านพ้นไปยาวนาน มีผู้แกร่งกล้านับไม่ถ้วนที่เคยถูกคุมขังอยู่ในวังถง กลับไม่เคยมีผู้ใดกล้าย่างกรายเข้าไปในประตูกำเนิดแม้แต่ก้าวเดียว

บุคคลที่มีคุณสมบัติพอที่จะถูกคุมขังอยู่ในวังถงได้ย่อมมิใช่คนธรรมดา พวกเขารู้ซึ้งยิ่งนักเกี่ยวกับสัจธรรมของการกำเนิดและสิ้นชีวิต เชื่อว่าท่านราชครูที่ได้สร้างวังถงในปีนั้นคงจะไม่เหลือช่องโหว่ใดๆ เป็นแน่ หากย่างกรายเข้าไปในประตูกำเนิดแม้แต่ก้าวเดียว ก็เท่ากับว่าย่างกรายเข้าไปในดินแดนมรณะ

อยู่ในหุบเหวลึกของความสิ้นหวังย่อมไม่อาจได้เห็นความหวัง ผู้ใดจะกล้ามุ่งไปสู่ความตายแล้วไปเกิดใหม่เล่า แม้การเลือกหนทางเส้นนั้นจะดูเหมือนว่าเป็นหนทางที่ง่ายที่สุด แต่กลับเป็นหนทางที่อันตรายที่สุด การดิ้นรนหาหนทางอื่น เกรงว่าการนั่งรออย่างโดดเดี่ยวยังจะเป็นการเลือกที่ดียิ่งกว่า

เฉินฉางเซิงคงจะเป็นผู้ที่อ่อนแอที่สุดในประวัติศาสตร์ของผู้ที่เคยถูกคุมขังในวังถง แต่เป็นคนที่พิเศษที่สุด เขาไม่เหมือนกับบรรดาผู้ที่ถูกคุมขังในวังถง ตั้งแต่แรกเริ่มจนถึงสิ้นสุดเขาแสวงหาความหวังทั้งที่อยู่ในหุบเหวลึกของความสิ้นหวัง ทุกวันทุกคืนเขาล้วนมุ่งไปสู่ความตายทั้งสิ้น

เขาเป็นคนทะนุถนอมเวลาที่สุดบนโลกใบนี้ เขาไม่ยอมใช้เวลาเพื่อดิ้นรนไปกับเรื่องไร้ค่าเช่นนี้ หลังจากยืนยันถึงความคิดที่เขาเคยคาดการณ์ไว้กับม่ออวี่แล้ว เขาตัดสินใจอย่างรวดเร็ว มิลังเลที่จะเหยียบย่างเข้าไปในสระน้ำเย็นผืนนั้น

เวลานั้น เขาไม่รู้ว่าสระน้ำเย็นที่ตนกำลังจะเข้าไปเรียกว่าสระมังกรดำ แต่ในเมื่อรู้แล้วก็ช่างปะไร เขาจะต้องออกจากสวนรกร้างเพื่อไปให้ทันทำเรื่องนั้นที่วังเว่ยหยาง ไม่ว่าจะถ้ำเสือหรือถ้ำมังกรที่ขัดขวางอยู่ตรงหน้า เขาจะต้องฝ่าออกไปให้ได้

สวนรกร้างเยือกเย็นหนาวเหน็บ ก็เป็นเพราะสระน้ำเย็นแห่งนี้ น้ำในสระน้ำเย็นเป็นธรรมดาที่จะยิ่งเย็นยะเยือก ชั่วพริบตาที่เท้าของเขาร่วงสู่ผิวน้ำ ถึงพบว่าพื้นผิวได้เกาะกันเป็นชั้นน้ำแข็งบางๆ มีเสียงแตกดังขึ้น เมื่อถูกเหยียบลงไปจึงกลายเป็นเกล็ดน้ำแข็ง

เฉินฉางเซิงไม่ได้รู้สึกถึงน้ำที่ทำให้ผิวรองเท้าเปียกชื้น เพราะว่าเท้าของเขามิได้เหยียบย่ำในน้ำเสียงแตกเปรี๊ยะๆ ดังขึ้นต่อเนื่อง น้ำแข็งบางๆ บนผิวของสระน้ำเย็นแตกร้าว น้ำของสระน้ำใต้แผ่นน้ำแข็งก็ไหลซึมออกมา ปรากฏเป็นบันไดหินลาดลงสู่ก้นสระ

บันไดหินลาดยาวจากฝั่งทอดลงสู่ก้นสระอย่างแช่มช้า ผิวหน้าบันไดแห้งสนิท ไม่มีคราบน้ำสักนิด แม้แต่ตะไคร่น้ำก็ยังไม่มี

น้ำของสระน้ำถูกพลังไร้รูปร่างแยกออกจากกัน ภาพที่เห็นนี้อัศจรรย์อย่างยิ่ง ความมืดมิดที่อยู่ลึกลงไปจากบันไดหิน ในเวลานั้นคล้ายกับว่าซ่อนเร้นอันตรายอันไร้ขอบเขตไว้ ทว่าเฉินฉางเซิงกลับดูเหมือนไม่เคยเห็นภาพที่อัศจรรย์เช่นนี้มาก่อน ราวกับว่ามีหนทางเส้นนี้อยู่มาก่อนหน้าแล้ว จิตใจสงบนิ่งมั่นคง

หลังจากเดินไปสิบกว่าก้าว บันไดหินพลันหายไปในห้วงน้ำด้านล่าง หนทางทั้งหมดจมลงไปใต้สระ

พื้นผิวหนทางยังคงแห้งสนิท มุมกำแพงน้ำค้างแข็งเกาะตัวสะสมอยู่ อุณหภูมิตอนนี้หนาวเย็นยิ่งกว่าริมฝั่งเสียอีก ท้องฟ้ายามค่ำคืนที่เต็มไปด้วยดวงดาวกับเสียงดนตรีดังแว่วมาจากวังเว่ยหยางค่อยๆ ไกลออกไป เส้นทางข้างหน้ายิ่งมืดลงเรื่อยๆ มองไม่เห็นสิ่งใดทั้งสิ้น ยิ่งเดินไปข้างหน้า ราวกับว่ายิ่งห่างจากความเป็นจริงของโลกใบนี้ พร้อมที่จะตกลงไปในหุบเหวลึกหรือว่าโลกใบอื่นเมื่อใดก็ได้

เฉินฉางเซิงไม่ได้หยุดเท้าเดิน แต่ก็มิได้ลดความเร็วของก้าวเดิน กลับสาวเท้าเดินให้เร็วยิ่งขึ้น จนกระทั่งในที่สุดก็วิ่ง

เขาวิ่งไปยังหุบเหวที่มืดมิด

ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่ เขาวิ่งมาถึงสุดทางเดิน ถึงพบว่าก็มิได้มืดมิดไปเสียทั้งหมด

มองไม่เห็นท้องฟ้ายามราตรีที่เต็มไปด้วยดวงดาว โคมไฟในค่ำคืนแห่งเทศกาลเจ็ดค่ำเดือนเจ็ดของจิงตูก็ส่องสว่างไม่ถึงที่นี่ แต่ด้านหลังของทางเดินยังมีแสงสลัวราง ทะลุผ่านน้ำในสระที่ใสสะอาด ตกกระทบลงด้านหน้าของเขารำไร ส่องสว่างแก่ประตูหินบานนั้น

ประตูหินบานนี้สูงราวสิบจั้ง มองแล้วหนักอึ้งอย่างยิ่ง ผิวด้านนอกไม่ได้มีรูปแกะสลักใดๆ มีเพียงก้อนหินใหญ่ยักษ์สองก้อนวางก่อกันไว้ มองแล้วคล้ายกับของเล่นที่เทพเจ้าได้ก่อเอาไว้สมัยยังเยาว์วัย มองอีกทีก็เหมือนกับโลงศพของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ห่อเหี่ยวน่าสะพรึงกลัวอย่างยิ่ง

สิ่งที่ทำให้เฉินฉางเซิงตกตะลึงพรึงเพริดก็คือ ด้านหลังของประตูหินมีพลังที่ยากจะอธิบายแผ่กำจายออกมา

บริเวณประตูข้างของสำนักเทียนเต้ากับด้านนอกของวังเว่ยหยาง เขารับรู้ถึงพลังลมปราณที่สวีซื่อจีพยายามส่งออกมา แต่ทว่าหากเปรียบกับพลังที่ซุกซ่อนอยู่ด้านหลังประตูหินบานนั้น พลังลมปราณของขุนพลเทพสวีซื่อจีผู้แข็งแกร่งก็เหมือนกับจิ้งหรีดตัวหนึ่ง เทียบไม่ได้โดยสิ้นเชิง

ใช่แล้ว พลังที่อยู่ด้านหลังประตูหินนั้น แต่ไหนแต่ไรเฉินฉางเซิงไม่เคยรับรู้ถึงมัน ถึงขนาดที่ว่าไม่เคยได้ยินว่ามีการปรากฏในลักษณะนี้มาก่อน มันเป็นสิ่งที่อยู่เหนือขอบเขตการจินตนาการของมนุษย์ธรรมดา เมื่อเข้าใกล้สิ่งนั้นก็จะพานพบกับสิ่งที่คืบคลานเข้ามา และความตายคงมาเยือนอย่างมิได้เกินความคาดหมาย

อย่าว่าแต่เขาซึ่งเป็นหนุ่มน้อยธรรมดาอายุสิบสี่ปีเลย ถึงแม้จะเป็นผู้แข็งแกร่งขั้นรวบรวมดวงดาวอย่างม่ออวี่ ก็คงไม่สามารถต้านทานพลังลมปราณที่อยู่ด้านหลังประตูหินซึ่งๆ หน้าได้ ถึงแม้จะเป็นผู้สูงส่งขั้นเทพศักดิ์สิทธิ์ ก็คงจะเลือกหลีกหนีให้ไกลออกไป!

พลังด้านหลังประตูหินมิใช่เป็นสิ่งที่ท่านผู้น่าเกรงขามผู้นั้นตั้งใจปล่อยออกมา แต่เป็นพลังลมปราณที่เหลือเพียงน้อยนิดลอดออกมาตามซอกประตูหิน ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ความเย็นยะเยือกจึงแผ่ลามทั่วทั้งร่างกายและจิตใจของเฉินฉางเซิงเสียแล้ว ใบหน้าขาวซีดราวหิมะ เท้าทั้งสองราวกับว่าถูกแช่แข็งอยู่บนพื้น

ท่านยายหนิงกังวลว่าเขาจะเดินหลงผิดเข้าประตูกำเนิด พบกับท่านที่อยู่นอกประตูหินในตำนานผู้นั้น ทว่าม่ออวี่กลับไม่คิดเช่นนั้น เพราะว่านางมั่นใจอย่างยิ่ง ไม่มีผู้ใดที่รับรู้ถึงพลังที่อยู่ด้านหลังประตูหิน แล้วยังกล้าผลักประตูหินเดินเข้าไป ยิ่งเป็นหนุ่มน้อยธรรมดาเช่นเฉินฉางเซิง แม้แต่ยืนก็คงจะยืนไม่ไหว แล้วจะเข้าไปได้อย่างไร

ไม่มีผู้ใดคาดคิดว่า ในสถานการณ์จริงนั้นไม่เหมือนกับที่ม่ออวี่สมมุติขึ้นมา

เฉินฉางเซิงยืนแทบจะไม่ไหวจนขีดสุด แต่กลับยังไม่ล้มลงไป ยิ่งไปกว่านั้นยังสามารถคงสติให้ชัดเจนแจ่มแจ้งไว้ได้อีกด้วย

เขาก็ไม่เข้าใจว่าเพราะเหตุใด

ตนเองชัดเจนยิ่งนักว่าไม่เคยพบเจอพลังลมปราณที่น่าเกรงขามหาใดเปรียบชนิดนี้มาก่อน แต่เพราะเหตุใดร่างกายกับจิตวิญญาณกลับมีการโต้ตอบอย่างธรรมชาติเล็กน้อย ถึงกับสามารถยืนขึ้นเผชิญหน้ากับความเกรงขามนั้นได้

เขาไม่รู้ว่าเมื่อตอนที่ตนกำลังเกิด ดวงตายังไม่ทันลืมขึ้นมา ก็เคยพบเจอกับสิ่งมีชีวิตที่สูงส่งด้านหลังประตูหินมาก่อนแล้ว

พลังปราณที่น่าเกรงขามนั้นยังคงอยู่

ร่างกายของเฉินฉางเซิงแข็งทื่อ ไม่ได้ล้มลงไป แต่กลับหมดหนทางออกไป

ใต้จิตสำนึก เขากุมกระบี่สั้นที่อยู่ในมือแนบแน่นเข้าไปอีก เพราะว่าเขารับรู้ได้ หากตนกุมกระบี่ในมือยิ่งแนบแน่น ความคุกคามที่อยู่ด้านหลังประตูหินก็จะแปรเปลี่ยนเป็นรับมือได้ง่ายขึ้น ตนเองก็จะสบายขึ้นมาก ราวกับว่ามีพลังที่มาจากด้ามกระบี่ซึมเข้าไปในร่างกายของตน กำลังปกป้องตน

เขาไม่รู้ว่าพลังนั้นคือสิ่งใด เขาคิดว่ามันคือความกล้าหาญ

ก่อนที่เขาจะลงมาจากเทือกเขา กระบี่สั้นเป็นของขวัญที่ศิษย์พี่อวี๋เหรินมอบให้แก่ตน

เขาศึกษาคัมภีร์สามพันธรรมะ ยังไม่เคยพบบุคคลที่กล้าหาญมากกว่าศิษย์พี่อวี๋เหริน

ดังนั้นเขาจึงคิดว่ากระบี่ของศิษย์พี่ ก็เป็นแหล่งกำเนิดของความกล้าหาญ

เขากุมกระบี่ ยกเท้าเหยียบลงไปข้างหน้าหนึ่งก้าว ฝ่ามือร่วงหล่นยังประตูหิน ผลักออกไปข้างหน้า

ไร้เสียง ไร้ลมหายใจ ประตูหินที่หนักอึ้งค่อยๆ แง้มออกตามการเคลื่อนไหวของเขา

ลึกลงไปยังกำแพงเมืองราชวงศ์ต้าโจว ด้านหนึ่งของประตูหินหลังจากสร้างขึ้นมาก็ไม่เคยถูกเปิดออก ค่ำคืนนี้ถูกผลักออกมา

ฝุ่นละอองคละคลุ้งกระจายขึ้นมา นั่นคือฝุ่นละอองในประวัติศาสตร์

ประวัติศาสตร์นี้ พันปีมาแล้ว

……

……

ด้านหลังของประตูหินมืดมิด มืดมิดอย่างแท้จริง

เฉินฉางเซิงมือหนึ่งกุมกระบี่สั้นขนาบกับหน้าอก มือหนึ่งหยิบไข่มุกราตรียื่นออกไปข้างหน้า

ไข่มุกราตรีเม็ดนี้สว่างไสวแวววาว กลมราวกับแตง เป็นเม็ดที่ลั่วลัวมอบให้เขาเพื่อเป็นการคารวะอาจารย์ ไม่รู้ว่าก่อนหน้านี้มันเคยวางไว้ที่ใด

ลำแสงที่นุ่มนวลเปล่งออกมาจากไข่มุกราตรีที่อยู่ในมือของเขา ส่องประกายไปทั่วทุกหนทุกแห่ง แต่ทว่าเมื่อเวลาผ่านพ้นไปยาวนาน กลับยังไม่ส่องกระทบกับสิ่งที่เป็นเหมือนกับแผ่นหิน

นี่คือที่ว่างที่กว้างใหญ่อย่างยิ่ง โล่งกว้างหาใดเปรียบ ราวกับว่าสามารถตั้งวังทั้งหลังได้จริงๆ

เฉินฉางเซิงคิดไม่ถึงอย่างสิ้นเชิงว่า ข้างใต้ของพระราชวังต้าโจวจะมีพื้นที่ว่างกว้างใหญ่เพียงนี้ หากคำนวณเวลาจากที่เขาวิ่งก่อนหน้านี้ สถานที่ที่เขายืนอยู่เวลานี้ เกรงว่าจะออกมานอกกำแพงพระราชวังต้าโจวเสียแล้ว มิรู้ได้ว่าอยู่ข้างใต้แห่งหนใดของจิงตู

ลำแสงของไข่มุกราตรีค่อยๆ ส่องไกลออกไป พื้นที่ว่างกว้างใหญ่ไพศาลแปรเปลี่ยนเป็นความจริงขึ้นมาช้าๆ

แสงสว่างสีเงินเปล่งประกายระยิบระยับในที่ไกลออกไปไม่ชัดเจน มีแสงสีเงินหนาแน่นมากมาย ราวกับว่าเป็นฝุ่นผงสีเงินนับไม่ถ้วน และยังเหมือนกับดวงดาวทั้งหมดของท้องฟ้ายามราตรีที่มาถึงยังโลกมนุษย์

เฉินฉางเซิงชูไข่มุกราตรีมองไปข้างหน้า เดินมาถึงด้านหน้าของฝุ่นผงสีเงิน เมื่อพบจึงตกตะลึงหาสิ่งใดเปรียบ ที่แท้ทั่วทั้งผืนเต็มไปด้วยเงินแท่ง!

เงินแท่งจำนวนนับไม่ถ้วนประกอบเป็นมหาสมุทรเงินผืนหนึ่ง

ตรงกลางของมหาสมุทรเงินมีก้อนทองคำที่ก่อขึ้นเป็นภูเขาทองคำ

ปลายยอดของภูเขาทองคำลูกนั้น มีปะการังสีแดงเข้มขึ้นอยู่ต้นหนึ่ง

บนกิ่งที่แน่นขนัดของปะการัง ออกผลที่แกะสลักจากเพชรนิลจินดานับไม่ถ้วน

ภูเขาทองคำ มหาสมุทรเงิน ปะการังสีแดง ยังมีผลไม้หยกนับพันนับหมื่น

ภาพนี้เป็นภาพที่ธรรมดาจริงๆ เพราะว่าร่ำรวยเกินไป ร่ำรวยจนเอ่ยสิ่งใดไม่ออก

เฉินฉางเซิงตะลึงงันไร้คำพูด แม้แต่การคุกคามก็ใกล้จะลืมสิ้นเสียแล้ว

ในชีวิตนี้ไม่เคยเห็นเงินทองที่มากมายเพียงนี้มาก่อน

หากจะพูดให้ถูก ทั่วทั้งต้าลู่แต่ไหนแต่ไรมายังไม่เคยมีผู้ใดเคยเห็นสมบัติเงินทองที่มากมายเช่นนี้มาก่อน

เงินแท่งรวบรวมแปรเปลี่ยนเป็นมหาสมุทรเงิน ถูกปกคลุมไปด้วยแผ่นน้ำแข็งบางๆ

ผิวภายนอกของแท่งเงินเริ่มหลุดลอกมากมาย กองยุ่งเหยิงเหมือนกับเศษไม้ที่ถูกไสออกมา ก่อนหน้านี้ที่เขาเห็นฝุ่นผงสีเงิน ก็คือสิ่งเหล่านี้

พื้นที่ว่างที่อยู่ข้างใต้หนาวเหน็บอย่างยิ่ง แม้แต่เงินก็ทนรับไม่ได้

เวลานี้ จู่ๆ ก็มีลมเย็นพัดขึ้นมาระลอกหนึ่ง

ด้านนอกของมหาสมุทรเงินเกิดเป็นริ้วคลื่นตามแรงลมเล็กน้อย ฝุ่นละอองเงินนับไม่ถ้วนปลิวว่อนในอากาศ น้ำแข็งเกาะตัวกันหนาแน่น ส่วนลึกของมหาสมุทรเงินเป็นหิมะทับถม

สายลมเย็นพัดผ่านเป็นเวลายาวนาน

ภายนอกร่างกายของเฉินฉางเซิงเกาะตัวเป็นชั้นน้ำค้างแข็งขึ้น ขนคิ้วกับขนตากลายเป็นสีขาว

ทว่าในจิตใจของเขากลับยิ่งเหน็บหนาว

เพราะว่าสายลมเย็นพัดผ่านเป็นระยะเวลายาวนานต่อเนื่อง เป็นเพียงแค่ลมหายใจเฮือกหนึ่ง

เป็นลมหายใจที่ยาวนานและน่าหวาดกลัวที่สุด

ความมืดมิดในความมืดยามราตรี ทันใดนั้นก่อเกิดเปลวแสงที่ไกลลิบๆ สองดวง

เปลวแสงที่บริสุทธิ์และเยือกเย็นทั้งสองดวงนั้น ไม่มีสีแม้แต่นิดเดียว

ราวกับไฟที่เย็นเยือกมาจากความมืด

เปลวแสงสองดวงค่อยๆ เข้าใกล้เฉินฉางเซิง

ความคุกคามที่น่าหวาดกลัว ปกคลุมทั่วทั้งพื้นที่ว่าง

เฉินฉางเซิงทนรับต่อไปไม่ไหว ริมฝีปากมีเลือดสดไหลซึมออกมา

ในเปลวแสงสองดวงพลันก่อเกิดเป็นสิ่งที่เรียกว่าความรู้สึกของสรรพสิ่ง

แรกเริ่มผิดหวังห่อเหี่ยว ต่อมาตกตะลึง หลังจากนั้นยินดี ตามมาด้วยแปลกประหลาดใจ สุดท้ายกลายเป็นความเหน็บหนาวกับโหดเหี้ยม

นี่ไม่ใช่เปลวไฟโลกันตร์จริงๆ นั่นเป็นดวงตาที่ไร้ความรู้สึกคู่หนึ่ง ใหญ่โตมากกว่าร่างกายของเฉินฉางเซิง

สิ่งมีชีวิตที่มีดวงตาเช่นนี้ แล้วควรเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีขนาดใหญ่แค่ไหนเล่า ไข่มุกราตรีออกจากมือของเฉินฉางเซิง ล่องลอยออกไป สุดท้ายแล้วร่วงหล่นบนโดมโค้งมน

ทันใดนั้น ทั่วทั้งโดมโค้งมนมีแสงสว่างขึ้นมา เพราะส่วนโค้งประดับไปด้วยไข่มุกราตรีหลายพันเม็ด ก่อนหน้านั้นเฉินฉางเซิงกำลังจ้องมองมหาสมุทรเงิน คิดว่าดวงดาวในท้องฟ้ายามราตรีล้วนแต่มาถึงยังโลกมนุษย์ ในเวลานี้เขาเพิ่งจะเข้าใจ เดิมทีที่นี่ก็มีท้องฟ้ายามราตรี และก็มีดวงดาวเต็มท้องฟ้า

ด้านล่างของท้องฟ้ายามราตรีค่อยๆ สว่างไสว

หินผาสีดำก้อนนั้นปรากฏกลางช่องว่างครึ่งหนึ่ง

ต่อมา สีดำของหินผายิ่งนานยิ่งปรากฏเป็นสีดำ

หินผาสีดำก้อนนั้นดูดกลืนแสงสว่างที่กำลังกระจายลงมาจากโดมโค้งมน มิได้ซึมออกไปแม้แต่น้อย

เฉินฉางเซิงมองเห็นชัดเจนแล้ว นั่นมิใช่หินผา แต่คือเกล็ด

หินผาสีดำแผ่นมหึมา ก็คือเกล็ดสีดำแผ่นหนึ่ง

บนโลกใบนี้ มีเพียงเกล็ดชนิดเดียวที่สามารถใหญ่โตได้ถึงเพียงนี้…เกล็ดมังกร

มังกรยักษ์สีดำที่น่าหวาดกลัวค่อยๆ ปรากฏจากความมืดยามราตรี

มันจ้องมองเฉินฉางเซิงตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า ดวงตาทั้งสองราวกับเปลวไฟโลกันตร์ ทั้งเย็นชาและโหดเหี้ยม

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

ตลอดชีวิตของ เฉินฉางเซิง นั้นเต็มไปด้วยความลึกลับ เริ่มต้นจากกลิ่นหอมประหลาดที่แผ่กำจายออกมาจากตัวทำให้เหล่าสิ่งมีชีวิตเกิดความหิวกระหาย ตามมาด้วยร่างกายที่อ่อนแอเสียจนทำให้ไม่อาจบำเพ็ญเพียรได้ สุดท้ายจบลงที่อาการป่วยที่ทำให้ชีวิตของเขามิอาจยืนยาว ตลอดระยะเวลาสิบกว่าปีที่ผ่านมาเขาทำได้แค่ท่องตำราจำนวนหลายพันเล่ม แม้จะรู้ว่าอาการป่วยมิอาจรักษา บางทีมันจะเป็นโชคชะตา แต่เขาก็อยากจะท้าทายลิขิตฟ้านี้ดูสักครั้ง เขามิใช่คนเก่ง แต่เขาอยากลอง และนั่นคือจุดเริ่มต้นเส้นทางการพลิกโชคชะตาของเขา…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset