ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา – ตอนที่ 62 จี๊ดๆ

เงียบสงัด เงียบสงัดอย่างสิ้นเชิง เงียบสงัดยาวนาน ไร้เสียงลม ไร้เสียงน้ำหยด ไร้เสียงลมหายใจ ทั้งมังกรยักษ์สีดำกับเฉินฉางเซิงต่างกลั้นหายใจเงียบนิ่งไร้เสียง ราวกับเป็นเพราะความตื่นเต้น ทว่าความตื่นเต้นนี้คล้ายกับว่าในที่สุดก็มองเห็นความหวัง

ความหวังของมังกรยักษ์สีดำมิอาจล่วงรู้ได้ หากความหวังของเฉินฉางเซิงแน่ชัดว่าคือหลีกหนีความตายให้ไกลออกไป เมื่อเขาเห็นหนวดมังกรยักษ์สีดำกวัดแกว่งเชื่องช้าอยู่ด้านหน้าตนเงียบๆ ทาบทับระหว่างคิ้วของตนเบาๆ มิอาจแน่ใจว่าหลังจากนี้เพียงครู่จะเกิดสิ่งใดขึ้น

จุดที่หนวดกับขากรรไกรมังกรมาสัมผัสกันหยาบอย่างยิ่ง ค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นละเอียดเรียบ ส่วนปลายบนสุดละเอียดเรียบคล้ายคลึงกับส่วนปลายนิ้วมือมนุษย์ มองแล้วแหลมคมเล็กน้อย ผิวด้านนอกดำขลับราวกับสีของค่ำคืน กลับโปร่งแสงประหนึ่งหยก ด้านในมีละอองแสงสีดำกำลังเคลื่อนย้ายไปมา ราวกับพยับเมฆมิปาน

ปลายของหนวดมังกรกับระหว่างคิ้วเขาประหนึ่งสัมผัสประหนึ่งแยกห่างจากกัน ระยะห่างที่ใกล้กันยิ่ง ใช้เพียงตาเปล่าก็ไม่อาจมองถนัดว่าแท้จริงแล้วสัมผัสหรือไม่ เฉินฉางเซิงยิ่งทวีคูณความตื่นเต้นขึ้นเรื่อยๆ เพิ่งกลับออกมาจากเขตแดนแห่งความตาย ยิ่งทำให้ก่อเกิดความหวาดกลัวได้ง่าย เวลานี้มือที่กุมด้ามกระบี่มีเหงื่อไหลรินออกมามากมาย หลังจากนั้นถูกอุณหภูมิของสภาวะแวดล้อมแช่แข็งเปลี่ยนเป็นเกล็ดน้ำแข็งทันที

เงียบเชียบไร้เสียง หนวดมังกรสีดำสัมผัสเบาๆ ที่ระหว่างคิ้วของเขา

เป็นความรู้สึกที่แปลกประหลาด ความหวาดกลัวมิได้เกาะกุม ให้ความรู้สึกเย็นสบายเบาๆ ทว่ากลับทำให้เขารู้สึกตัวขึ้นมา พอจะเข้าใจความหมายของมังกรดำรางๆ

นั่นก็คือให้เขาเอ่ยต่อไป

เฉินฉางเซิงไม่ลังเลที่จะเอ่ยคำที่สอง ยังคงเป็นตัวอักษรที่อยู่ในคัมภีร์สามพันธรรมะม้วนสุดท้าย

การออกเสียงของคำนี้ยังคงแปลกพิลึก ปรารถนาที่จะเปล่งเสียงออกมาช่างยากลำบากยิ่ง ถึงแม้จะมีหิมะปกคลุมใบหน้าก็สามารถเห็นได้ชัดเจน ใบหน้าเขามีสีแดงฉานขึ้น ทว่าริมฝีปากกลับขาวซีด คล้ายกับว่าการเอ่ยคำนี้จะต้องสูญเสียสภาพจิตใจอย่างยิ่ง

หนวดมังกรสีดำกวัดแกว่งเบาๆ ปลายหนวดสีดำขลับหดตัวดีดกลับขึ้นไปด้านหน้าระหว่างคิ้วเขา หลังจากนั้นสัมผัสระหว่างคิ้วของเขาเบาๆ อีกครั้ง

เฉินฉางเซิงเข้าใจ จึงเอ่ยคำที่สามออกมา หลังจากนั้นคำที่สี่ คำที่ห้า…

พยางค์เสียงพิลึกกึกกือที่เปล่งออกมาจากริมฝีปากของเขา ทำให้สภาพจิตใจของเขาสูญเสียไปอย่างรวดเร็ว ยิ่งนานยิ่งอ่อนแรง แต่ในเวลาเดียวกัน เขากลับรู้สึกว่าความเหน็บหนาวที่อยู่โดยรอบกำลังค่อยๆ หายไป หลังจากสิบกว่าคำที่เปล่งออกมา ในที่สุดความอบอุ่นก็แผ่ซ่านอวัยวะภายในร่างกายเขาอีกครา

นัยน์ตาของมังกรยักษ์สีดำยังคงเฉยชา ทว่าหนวดมังกรกลับดีดตัวกลับไปมาเร็วขึ้นเรื่อยๆ ใต้แสงของไข่มุกราตรีมีลำแสงสีดำเปล่งแสงออกมานับไม่ถ้วน ท้ายที่สุดราวกับว่าเกาะตัวกันเป็นดอกไม้นับไม่ถ้วน ดอกไม้เหล่านั้นก็คือจิตใจที่กำลังเริงร่าเบิกบาน

เฉินฉางเซิงรับรู้ถึงความยินดีของมัน หากตนยังคงหลงเหลือความหวาดกลัวก่อนหน้านี้ พยางค์เสียงภาษามังกรที่เขาเปล่งออกมาสิบกว่าคำ ไม่ได้เปล่งออกมาตามลำดับของคัมภีร์สามพันธรรมะม้วนสุดท้าย แต่เลือกคำในจำนวนหนึ่งพันหกร้อยหนึ่งคำออกมา คงไม่สามารถจะรวบรวมเป็นประโยคได้ คิดไม่ถึงว่ามังกรตัวนี้ยังเข้าใจได้

สิ่งที่เขาได้กระทำเพราะว่าเป็นความระแวดระวังที่ซุกซ่อนอยู่ในกระดูก มิอาจรู้ได้ว่าเป็นสิ่งที่ผิดหรือถูก ตอนนี้ดูแล้ว เห็นทีปัญหาก็ไม่ได้ใหญ่โตอะไร

หนวดของมังกรค่อยๆ หยุดนิ่ง ออกห่างจากระหว่างคิ้วของเขาเชื่องช้า อยู่ๆ ก็สัมผัสกระบี่สั้นในมือเขาเบาๆ แต่มิได้มีเจตนาอันเป็นปฏิปักษ์

เฉินฉางเซิงรับรู้สารที่ฝ่ายตรงข้ามบอกมาชัดเจน สุดท้ายจึงผ่อนคลาย

ช่วงเวลาที่ถูกเงาแห่งความตายปกคลุมสุดท้ายได้ผ่านพ้นไปแล้ว แรงกดดันแห่งความหวาดกลัวที่ยาวนานหายไปทันที จิตใจของเขาแปรเปลี่ยนไปตามสภาพแวดล้อม เกล็ดน้ำค้างที่ปกคลุมอยู่บนร่างกายสลายตัวร่วงหล่นลงมา ไม่รู้ว่าฝุ่นละอองที่อยู่ตามร่องเสื้อผ้าสะสมมาจากแห่งใด เวลานี้ได้กระเซ็นออกมากลางอากาศ

หลังจากผลักประตูหินออกมา เขาตื่นเต้นมาตลอด รู้เพียงว่าตนเห็นมังกรยักษ์สีดำตัวหนึ่ง ทว่าจนกระทั่งถึงตอนนี้ถึงมองลักษณะของมังกรยักษ์ได้ชัดเจน หรือจะกล่าวให้ถูกก็คือ จนกระทั่งถึงตอนนี้ เขาเพิ่งกล้าพินิจมังกรยักษ์ละเอียดถี่ถ้วน

นี่คือมังกรยักษ์น้ำค้างแข็งตัวหนึ่ง

ถึงแม้ในเผ่าพันธุ์มังกร นี่จะเป็นมังกรที่สูงส่งที่สุดที่ดำรงอยู่ เป็นสัตว์เทพที่อยู่ในตำนาน มีตำแหน่งเทียบเท่ากับมังกรยักษ์ทอง มังกรเก้าสวรรค์

อย่างไรก็ตาม มังกรยักษ์น้ำค้างแข็งในนิทานปรัมปรากับตำนานล้วนมีนิสัยโหดเหี้ยมดุร้ายทว่ากลับรักความสะอาดสะอ้าน ราวกับความสวยงามลึกลับที่แตกต่างกันของความมืดยามราตรี เฉินฉางเซิงคาดไม่ถึงว่าจะเห็นละอองฝุ่นที่เกาะตามตัวของมังกรยักษ์สีดำตัวนี้ จนกระทั่งมองเห็นเกล็ดมังกรที่หลุดลอกออกมา!

เกล็ดมังกรเหล่านั้นห้อยกะรุ่งกะริ่งจะหลุดก็ไม่หลุด มองแล้วไม่น่าดูยิ่งนัก เหมือนกับหนังท้องของปลาที่ตายแล้ว

เฉินฉางเซิงตะลึงงัน ถ้าหากในตำรากับในตำนานอธิบายมังกรยักษ์น้ำค้างแข็งมิผิด เช่นนั้นมันทำไมถึงเปลี่ยนเป็นเช่นนี้เล่า

เขาเป็นหนุ่มน้อยที่ติดสะอาด เขาเข้าใจชีวิตที่ให้ความสำคัญกับความสะอาดสะอ้านเหนือสิ่งใด จะรับกับสภาพเช่นนี้ได้อย่างไรเล่า

สิ่งที่ทำให้เขายิ่งตกตะลึงก็คือ ลำแสงค่อยๆ ไกลออกไปตามสายลมเย็นพัดโชยไปด้านหลัง เขามองเห็นโซ่ตรวนสองเส้นที่อยู่ด้านหลังของมังกรยักษ์สีดำ โซ่ตรวนทั้งสองเส้นยึดติดกับขาคู่หลังของมังกรแน่นขนัด สลักเข้าไปด้านในของเกล็ดมังกร เห็นแล้วน่าสะพรึงกลัวอย่างยิ่ง !

มังกรยักษ์สีดำตัวนี้…เดิมทีมิใช่ผู้ปกปักคุ้มครองราชวงศ์ต้าโจวที่โดดเดี่ยว แต่คือนักโทษที่ถูกคุมขังเท่านั้น !

โซ่ตรวนทั้งสองมีเกล็ดน้ำค้างปกคลุมด้านบนไม่รู้กี่ชั้นต่อกี่ชั้น จึงไม่รู้ว่าใช้วัตถุใดทำมันขึ้นมา ไม่มีทีท่าว่าจะแตกหักได้แม้แต่น้อย คิดไปก็เป็นเรื่องที่ถูกแล้ว สิ่งที่จะสามารถยึดกุมมังกรยักษ์น้ำค้างแข็งตัวนี้อยู่ข้างใต้ได้ ย่อมต้องเป็นสิ่งไม่ธรรมดาเป็นแน่

ปลายอีกด้านหนึ่งของโซ่ตรวนทั้งสองยึดติดกับกำแพง

เป็นกำแพงที่สูงชะลูดหลายร้อยจ้าง บนกำแพงสลักรูปวาดใหญ่ยักษ์รูปหนึ่ง ถึงแม้สีสันที่อยู่บนรูปวาดจะถูกกาลเวลากัดกร่อนจนไม่หลงเหลือ แต่ก็สามารถเห็นได้ชัดเจนว่าเป็นรูปอะไร บนรูปนั้นมิได้มีภาพวิวทิวทัศน์ใดๆ มีเพียงรูปของบุคคลสองคน

สองคนที่ดุร้ายน่ากลัว

กำแพงหินทั้งสูงทั้งใหญ่อย่างยิ่ง บุคคลที่อยู่ในรูปวาดทั้งสองเป็นธรรมดาที่จะต้องสูงใหญ่ เหมือนกับเทพเซียนมิปาน สวมใส่ชุดเกราะ ในมือคนหนึ่งถืออาวุธโบราณเถี่ยเจียน* อีกคนถือแส้ยาว รูปร่างร่างหน้าตาเคร่งขรึมราวกับเทพ ระหว่างสายตาที่ทอดมองเต็มเปี่ยมไปด้วยความกล้าหาญชาญชัยยาวนับหมื่นจ้าง

เฉินฉางเซิงรู้จักบุคคลทั้งสอง ผู้คนที่ดำรงชีวิตอยู่บนพื้นแผ่นดินต้าลู่ย่อมรู้จักทั้งสองคน เพราะว่าตอนนี้ทุกบ้านเรือนที่พักตำหนักล้วนแต่แขวนรูปภาพของทั้งสองไว้ที่ประตูใหญ่ บุคคลทั้งสองก็คือเทพประตู

เทพประตูหากมิใช่เทพเซียน แต่คือมนุษย์ เป็นขุนพลเทพที่แกร่งกล้าที่สุดอยู่ข้างกายของจักรพรรดิไท่จงแห่งราชวงศ์ต้าโจวในปีนั้น

ขุนพลเทพท่านหนึ่งนามว่าฉินจง อีกท่านนามว่าอวี่กง

ขุนพลเทพทั้งสองติดตามจักรพรรดิไท่จงสู้รบเคียงบ่าเคียงไหล่ตลอดชีวิต ตั้งแต่การก่อตั้งอาณาจักรจนถึงพ่ายแพ้ให้แก่เผ่ามาร ถึงแม้ฝีมือจะไม่เลิศล้ำดังหวังจือเช่อ แต่ความโหดเหี้ยมดุร้ายมีเหนือกว่า ความสามารถลึกล้ำยากที่จะหยั่งได้ ครั้นเมื่ออยู่ในวัยสามสิบปีก็ได้บรรลุขั้นเทพศักดิ์สิทธิ์ จึงทำให้เป็นผู้แข็งแกร่งหาผู้ใดเปรียบในใต้หล้าอย่างแท้จริง

ตำแหน่งขุนพลเทพเช่นกัน ทว่าบุคคลทั้งสองแกร่งกล้าจนสามารถเหนือกว่าบรรดาขุนพลเทพในดินแดนต้าลู่ในปัจจุบันไม่รู้ต่อกี่เท่า

โซ่ตรวนที่ผูกมัดมังกรยักษ์สีดำถูกตรึงเข้ากับกำแพงหิน ประจวบเหมาะกับภาพวาดขุนพลเทพทั้งสองจับอยู่ในมือ

การจัดวางเช่นนี้ เป็นธรรมดาที่จะมีเหตุผลของมัน

เมื่อเห็นรูปภาพเหล่านี้ เฉินฉางเซิงมั่นใจคร่าวๆ ว่ามังกรยักษ์สีดำคงจะถูกพันธนาการในยุคของจักรพรรดิไท่จง

เขาคิดไปถึงสายลมที่พัดโชยในปีนั้น คิดไปถึงเรื่องราวที่ใกล้จะแปรเปลี่ยนเป็นเรื่องราวปรัมปรา จนกระทั่งบรรดาผู้แกร่งกล้าในปีนั้นได้กลายเป็นเรื่องราวเทพนิยาย คิดไปถึงรูปภาพที่อยู่ในหอหลิงเยียน มังกรยักษ์สีดำตัวนี้ช่างน่าเห็นใจเสียจริง

หรืออาจจะเป็นเพราะสาเหตุที่เผ่ามารมอบความกดดันเสื่อมเสียเกียรติ เผ่ามนุษย์ในปีนั้นจึงแสดงแสนยานุภาพที่ยากจะคาดคิดออกมาในพริบตา มีผู้แกร่งกล้านับไม่ถ้วนหลั่งไหลออกมา ในเมื่อมีการดำรงอยู่ของมังกรน้ำค้างแข็งเช่นนี้ ทว่าน้ำน้อยย่อมแพ้ไฟ ไฉนมังกรจะต่อกรกับคนหมู่มากได้ สุดท้ายมันจึงแปรเปลี่ยนเป็นนักโทษที่น่าเวทนา

จากปีไท่จงจนกระทั่งถึงวันนี้ วันเวลาล่วงเลยผ่านมากี่ปีแล้ว

อยู่ข้างใต้ที่มืดมิดและโดดเดี่ยวเหน็บหนาว มังกรดำตัวนี้ข้ามผ่านวันเวลาที่ยาวนานเช่นนี้ได้อย่างไรกัน

“เจ้าอยากคุยกับข้า ใช่หรือไม่” เฉินฉางเซิงถามออกไป

หนวดของมังกรดำกวัดแกว่งอีกครา แต่คราวนี้เฉียดผ่านริมฝีปากของเขาเบาๆ ประหนึ่งแมลงปอแตะผิวน้ำ

“ข้าแค่เพียงพูดได้ แต่ไม่เข้าใจความหมาย”

เฉินฉางเซิงจ้องมองมันพลางเอ่ย “แต่…เจ้าสามารถสอนข้าได้”

ดวงตาของมังกรยักษ์สีดำพลันแปรเปลี่ยนเป็นสุกสว่างพร่างพราว สุกสว่างมากกว่าไข่มุกราตรีที่อยู่บนโดมโค้งมนรวมกันเสียอีก

เฉินฉางเซิงครุ่นคิดในใจ จริงๆ แล้วเจ้าเข้าใจภาษาเผ่ามนุษย์ เช่นนั้นหากต้องการสนทนา ก็ต้องการเพียงแค่ข้าสามารถเข้าใจภาษามังกร เขาจ้องมองมังกรพลางเอ่ยต่อ “ข้ารู้ว่าภาษามังกรยากยิ่ง แต่ข้าเป็นคนชำนาญในการศึกษายิ่ง ขอเพียงแค่เจ้าอดทนสอนข้า ข้าจะต้องพูดได้แน่นอน”

เวลานี้ อยู่ๆ มังกรดำก็คำรามเสียงทุ้มต่ำออกมาหนึ่งที

เฉินฉางเซิงตะลึงงัน

หนวดสีดำของมังกรไร้ลมพัดโชย หากสัมผัสที่ระหว่างคิ้วเขาเบาๆ สี่ครั้ง รวดเร็วปานสายฟ้า เบาหวิวราวละอองฝุ่น

เฉินฉางเซิงคิ้วขมวดเข้าหากัน คิดว่านี่หมายความว่าอะไร

หนวดของมังกรสัมผัสเบาๆ ระหว่างคิ้วเขาสี่ครั้ง เวลาเดียวกันมังกรดำก็คำรามเสียงทุ้มต่ำอีกครา

เฉินฉางเซิงเข้าใจแล้ว

ก่อนหน้าประโยคที่เขาเอ่ยออกมา เขาพูดคำว่าข้าสี่ครั้ง

นี่เป็นความหมายที่มังกรดำปรารถนาจะบอกกับเขา

“ข้าหรือ” เฉินฉางเซิงชี้นิ้วมายังตน พลางถามออกไป

ภาษามังกรสลับซับซ้อนยิ่ง คำพยางค์เดี่ยวก็มีช่วงตอนนับไม่ถ้วน นำมาประกอบกันได้หลากหลายชนิด ทว่าการประกอบที่แตกต่างกันก็มีความหมายที่แสดงแตกต่างกันไปด้วย หากจะเข้าใจทั้งหมด ก็คงจะต้องใช้ระยะเวลายาวนาน เขารู้ว่าความหมายของเสียงที่คำรามออกมามีคำว่าข้า แต่คงจะไม่มีเพียงว่าข้า แต่…อย่างน้อยก็มีข้า

จ้องมองท่าทางของเฉินฉางเซิง มังกรยักษ์สีดำอึ้งงันก่อน หลังจากนั้นเริ่มพลิกตัวกลิ้งไปมา !

ร่างกายของมันพลิกไปมาอยู่ที่พื้นข้างใต้ ก่อเกิดเป็นลมพายุที่น่าหวาดกลัว !

เวลาเดียวกัน เสียงพิลึกกึกกือก็ดังออกมาจากปากของมังกรต่อเนื่อง

เริ่มจากเมื่อพันกว่าปีก่อน จนกระทั่งถึงตอนนี้ มันแต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยเบิกบานใจเช่นนี้มาก่อน ไม่รู้ว่าควรจะคำรามต้อนรับอย่างไร

และด้วยสาเหตุบางประการ มันจะต้องควบคุมเสียงคำราม สะกดกลั้นเสียงหัวเราะ

“จี๊ดๆ …จี๊ดๆ …จี๊ดๆ”

ฟังแล้วเหมือนเสียงหนูกำลังร้องเรียก น่าตลกขบขันยิ่ง

แต่ภายในเต็มไปด้วยความยินดีไร้ที่เปรียบ

เฉินฉางเซิงไม่รู้ว่าปีนั้นมังกรดำได้กระทำความผิดเรื่องใด ก่อบาปกรรมชนิดไหน ถึงถูกราชวงศ์ต้าโจวจองจำ เวลานี้ จ้องมองมันเหตุเพราะมีเผ่ามนุษย์สามารถเจรจาคำที่ง่ายที่สุดกับมัน ก็ยินดีเป็นบ้าเป็นหลังถึงเพียงนี้ อดไม่ได้ที่จะซาบซึ้งดีใจ เห็นเช่นนี้ก็ทำให้เขายิ่งสงสารฝ่ายตรงข้ามยิ่งขึ้น

ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าใด ในที่สุดมังกรดำก็หยุดพลิกตัวกลิ้งดีใจ สงบนิ่งลง

มันจ้องมองเฉินฉางเซิงเงียบๆ รับรู้ถึงความสงสารของเขาชัดเจน นัยน์ตาของมันค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นอ่อนโยน

หนวดของมังกรดำกวัดแกว่งอีกครา กำลังห้อยโตงเตงอยู่ด้านหน้าระหว่างคิ้วเขา

มันรอคอยให้เฉินฉางเซิงเอ่ยอีกครั้ง

เฉินฉางเซิงครุ่นคิดชั่วครู่ กลับเอ่ยประโยคในสิ่งที่มังกรดำไม่ปรารถนาจะได้ยิน

“ข้ารู้ว่าเจ้าอยากจะพูดคุยกับมนุษย์…แต่ตอนนี้เห็นจะไม่ได้ ข้ามีเรื่องสำคัญมากจะต้องรีบออกจากที่นี่ทันที”

นัยน์ตาของมังกรดำแปรเปลี่ยนเป็นเฉยชาอีกครา

เฉินฉางเซิงท่าทางจริงจังหนักแน่น เอ่ยออกมา “ข้ารับปากเจ้า เพียงทำเรื่องนี้เสร็จ ข้าจะกลับมาหาเจ้า มาเรียนกับเจ้า และมาพูดคุยกับเจ้า”

นัยน์ตาของมังกรดำยังคงเฉยชา มีความรู้สึกเยาะหยันปะปนอยู่

มีฐานะเป็นมังกรน้ำค้างแข็งที่สูงส่ง ถูกเผ่ามนุษย์จองจำมานานหลายปี มันยังไม่ลืมประโยคที่ท่านพ่อปีนั้นได้เอ่ยกับตน

หากเผ่ามนุษย์สามารถเชื่อถือได้ พวกเราคงจะเป็นผู้ปกครองโลกใบนี้

*เถี่ยเจียน หรือ เหล็กท่อน เป็นอาวุธโบราณของจีน รูปร่างคล้ายแส้เหล็ก แต่ไม่มีข้อหรือปล้อง ปราศจากคมและปลายแหลม จึงมักสร้างให้มีรูปทรงคล้ายเจดีย์คือ มุมเหลี่ยม เหมาะแก่การใช้ตี และกระทุ้งเป็นสำคัญ

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

ตลอดชีวิตของ เฉินฉางเซิง นั้นเต็มไปด้วยความลึกลับ เริ่มต้นจากกลิ่นหอมประหลาดที่แผ่กำจายออกมาจากตัวทำให้เหล่าสิ่งมีชีวิตเกิดความหิวกระหาย ตามมาด้วยร่างกายที่อ่อนแอเสียจนทำให้ไม่อาจบำเพ็ญเพียรได้ สุดท้ายจบลงที่อาการป่วยที่ทำให้ชีวิตของเขามิอาจยืนยาว ตลอดระยะเวลาสิบกว่าปีที่ผ่านมาเขาทำได้แค่ท่องตำราจำนวนหลายพันเล่ม แม้จะรู้ว่าอาการป่วยมิอาจรักษา บางทีมันจะเป็นโชคชะตา แต่เขาก็อยากจะท้าทายลิขิตฟ้านี้ดูสักครั้ง เขามิใช่คนเก่ง แต่เขาอยากลอง และนั่นคือจุดเริ่มต้นเส้นทางการพลิกโชคชะตาของเขา…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset