ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา – ตอนที่ 63 ประจวบเหมาะ

มังกรดำครุ่นคิด มนุษย์ล้วนแต่เป็นคนหลอกลวงไร้ยางอายที่สุด มิเช่นนั้นตนคงจะมิได้อยู่ในเหวลึกราวกับดินแดนภูตผีปีศาจทรมานมานานหลายปีเช่นนี้ ถึงแม้ตนจะมีร่างกายสีดำ แต่ก็มิได้แสดงว่าจะชื่นชอบความมืดมิด ค่ำคืนแรกเริ่มนั้น มืดสนิทจริงๆ ท่านแม่…

ไม่ถูก ข้าคิดไปถึงไหนแล้ว

ดีล่ะ หนุ่มน้อยที่อยู่ตรงหน้ามองแล้วเป็นคนซื่อสัตย์ยิ่ง กลิ่นก็หอมยิ่งนักไม่เหมือนเป็นคนหลอกลวง เหมือนกับบุรุษที่แซ่หวังในปีนั้น เพียงแต่ว่าประโยคบุรุษที่แซ่หวังเอ่ยออกมาแท้จริงแล้วมีผลกับตนก็ยังมิอาจทราบได้ แล้วจะนับอะไรได้กับหนุ่มน้อยผู้นี้เล่า

เจ้าอยากหลอกข้าให้ปล่อยเจ้าไป ก็คงจะไม่กลับมาอีก เอ่ยว่าทำเรื่องราวให้เสร็จแล้วจะกลับมาคุยเป็นเพื่อนข้าอย่างนั้นหรือ เจ้าคิดว่าข้ามองไม่ออกหรือ เจ้าก็ถูกคนหลอกลวงให้มาที่นี่ เมื่อออกไปได้แล้วจะกลับมาได้อย่างไร หากกล่าวอีก เหนือขึ้นไปก็คือพระราชวัง เจ้าคิดว่าเจ้าอยากจะมาก็มาได้หรือ เอ่ยว่าจะกลับมา คงจะเป็นแค่การปลอบใจข้าเท่านั้น ไม่ เป็นการหลอกข้า ใช่แล้ว เผ่ามนุษย์ล้วนแต่เป็นคนหลอกลวง พวกเจ้าเป็นคนหลอกลวง!

ข้าอดทนอยู่ข้างใต้นี้อย่างโดดเดี่ยวมายาวนาน นอกจากสตรีที่น่าหวาดกลัวผู้นั้นก็ไม่เคยพบสิ่งมีชีวิตอื่นอีก สตรีที่น่าหวาดกลัวผู้นั้นเดิมทีก็นับว่าเป็นมนุษย์ เมื่อไม่พบเจอยังดีกว่าพานพบ ไม่ง่ายยิ่งที่จะเจอมนุษย์ที่พูดคุยได้ แล้วจะปล่อยเจ้าไปได้อย่างไรเล่า

หากเจ้าจะจากไป ก็เป็นวันที่ฟ้ามืดครึ้ม!

“ข้าเข้าใจความรู้สึกของเจ้า ความไม่สงบของเจ้า แต่เจ้าจะต้องเชื่อข้า” เฉินฉางเซิงจ้องมองมันพลางเอ่ยขึ้นมา

แววตาของมังกรดำเย็นชา ฉายแววถากถาง คล้ายกับว่าอยากจะเอ่ย เจ้าอายุเพียงแค่สิบกว่าปี ไฉนจะเข้าใจว่ากาลเวลาทำให้ผู้คนทรมานเพียงไร

เฉินฉางเซิงรู้ว่าสิ่งที่มังกรดำแสดงเจตนาดีต่อเขาก่อนหน้านี้ หาได้รับรองว่าตนจะปลอดภัยไม่ บันทึกเกี่ยวกับมังกรเหล่านั้นในคัมภีร์เต๋า ถึงแม้พวกมันจะแข็งแกร่ง แต่อารมณ์มักจะเปลี่ยนแปลงกลับไปกลับมาอย่างยิ่ง มังกรตัวนี้ถูกมนุษย์จองจำมาเป็นเวลายาวนาน มิรู้ว่าความเคียดแค้นพยาบาทจะมากน้อยเพียงใด

“ข้าเข้าใจดี ถึงแม้ข้าจะไม่ได้ข้ามผ่านกาลเวลาด้วยความทุกข์ทรมานยาวนานเช่นเจ้า แต่ก็เหมือนกับที่ข้าเคยกล่าวเมื่อแรกเริ่ม โชคชะตาของข้าไม่ดี ดีล่ะ ข้ารู้ว่าเจ้าไม่เชื่อข้า ฉะนั้นนับเป็นการพนันแล้วกัน หากเจ้าปล่อยข้าไป ข้าจะปฏิบัติตามสัญญา หลังจากนี้จะหาวิธีมาหาเจ้า แต่หากเจ้าสังหารข้าเสีย ข้าเชื่อว่ายากยิ่งที่จะมีมนุษย์สักคนปรากฏต่อหน้าเจ้า ลองดูไหม เจ้าควรลองกับข้าสักตาหนึ่ง”

เฉินฉางเซิงจ้องมองเขาด้วยความนอบน้อมและจริงจังพลางเอ่ยว่า “นี่เป็นทางเลือกที่ดีที่สุดของเจ้า”

มังกรดำเงียบนิ่งไม่เอื้อนเอ่ยสิ่งใด อยู่ๆ มันก็แหงนหน้ามองไปยังโดมโค้งมน สายตาหยุดอยู่ที่ไข่มุกราตรีหลายพันเม็ด

……

……

ในวังเว่ยยาง การชุมนุมไม้เลื้อยได้ดำเนินต่อไป หากแต่ในความเป็นจริงได้สิ้นสุดลงแล้ว การสอบข้อเขียนค่ำคืนสุดท้ายถูกเลื่อนออกไปเล็กน้อย แต่ไม่มีผู้ใดสนใจผลลัพธ์ ปีที่แล้วการแข่งขันระหว่างบรรดาสำนักไม้เลื้อย จะเทียบได้กับเรื่องยิ่งใหญ่ที่จะเกิดขึ้นล่าช้าเล็กน้อยได้อย่างไร

ทุกคนล้วนแต่สงบเสงี่ยมระมัดระวัง เพราะใกล้จะถึงเวลาของเรื่องที่น่ายินดี คือเรื่องการสมรส ถึงแม้จะเป็นกวนเฟยไป๋แห่งเขาหลีซานที่เป็นยอดฝีมือลำดับที่สี่ของเจ็ดคำโคลงแห่งแดนเทพ เวลานี้ใบหน้าแต่งแต้มไปด้วยรอยยิ้ม เพราะเขารู้ว่าเป็นเรื่องสำคัญต่อศิษย์พี่ ทั้งยังเป็นเรื่องสำคัญต่อทั้งทั่วทั้งทิศใต้ กุญแจสำคัญอยู่ที่ เขาก็คิดว่าศิษย์พี่เหมาะสมกับกับศิษย์น้องสวี ดังนั้นจึงเป็นเรื่องสำคัญที่คู่ควรจะภาคภูมิใจและเฉลิมฉลองยิ่ง

เสี่ยวซงกงผู้อาวุโสแห่งหลีซานลุกขึ้นยืนกำลังกล่าวอะไรบางอย่าง คณะทูตจากทางใต้ทำพิธีสู่ขอต่อราชวงศ์ต้าโจวอย่างเป็นทางการ มีขั้นตอนบางอย่างได้เริ่มขึ้นแล้ว เพียงแค่ผ่านขั้นตอนอีกเล็กน้อย การสมรสที่ทั่วใต้หล้ารอคอย เรื่องที่หลายปีมานี้ผู้คนต่างวิพากษ์วิจารณ์ในที่สุดก็จะกลายเป็นเรื่องจริง

ใต้เท้ามุขนายกกำลังหลับตา คล้ายกับกำลังจะหลับ เฉินหลิวอ๋องสีหน้าอบอุ่นอ่อนโยน กำลังพูดคุยกับเสี่ยวซงกง ส่วนม่อ​อวี่กำลังมองความมืดยามราตรีด้านนอกตำหนักด้วยท่าทางสงบนิ่ง ส่วนลั่วลั่วจ้องมองผู้คนเหล่านี้ มือขวากุมถุงผ้าในแขนเสื้อแน่น ตัดสินใจที่จะเปิดมันออกมา

……

……

เป็นความเงียบสงัดที่ยาวนานอีกครา พื้นที่ข้างใต้โดดเดี่ยวอ้างว้างราวกับสุสานมิปาน

เฉินฉางเซิงจ้องมองมังกรดำ รอคอยการตัดสินใจของมันด้วยความตึงเครียด

มังกรดำปรายตามองเขา ทันใดนั้นก็บินกลับไปด้านหลังอย่างเชื่องช้า

เป็นเวลาเดียวกับที่ไข่มุกยามราตรีหลายพันเม็ดมอดดับลง มีเพียงแสงที่หลงเหลือ ทาบทับบนส่วนบนของร่างมังกร

มันค่อยๆ หายลับเข้าไปในความมืดมิด

เฉินฉางเซิงเข้าใจความหมายของสายตาที่มันเหลือบมองมา มันต้องการให้เขาจดจำคำมั่นสัญญา กระตือรือร้นที่จะมาเยี่ยมเยือน

การเข้าไปในพระราชวังเป็นเรื่องที่ยาก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าจะต้องทะลวงวังถงเข้ามายังพื้นที่ข้างใต้ถึงจะสามารถพบมันอีกครา แต่เขามิได้ลังเล พยักหน้าเป็นเชิงตอบรับ

เขาขอบคุณมังกรดำอย่างยิ่ง ปรารถนาก่อนจากอยากจะเอ่ยอะไรบางอย่าง ฝ่ายตรงข้ามเข้าใจภาษามนุษย์ เพียงแค่เขาไม่รู้ว่าจะใช้คำใดในการเรียกขานฝ่ายตรงข้าม

อาจารย์ เขาก็มีอาจารย์แล้ว ท่านอาวุโส คล้ายกับว่าไม่สนิทสนม เจ้า ไม่เคารพนบน้อมเสียเลย นี่ จะรนหาที่ตายหรือ…เรียกอย่างไรก็ไม่เหมาะสม

เฉินฉางเซิงครุ่นคิด ตะโกนต่อมังกรดำที่จะลับหายไปในความมืด “ท่านปู่…มังกร”

มังกรดำร่างการแข็งทื่อ นัยน์ตาส่อแววผิดหวังเล็กน้อย ชัดเจนว่าสะเทือนใจไม่น้อยที่ถูกเรียกขานเช่นนี้

“ท่านปู่มังกร” เฉินฉางเซิงไม่รู้ว่าควรเอ่ยอะไร เอ่ยคำว่าขอบคุณเกรงว่าจะไม่เพียงพอ ฉับพลันเขาก็คิดเรื่องหนึ่งออก ชี้ไปยังโดมโค้งมนพลางเอ่ยว่า “ไข่มุกราตรีที่อยู่ข้างบนนั้นข้าจะต้องเอาไป……”

มังกรยักษ์สีดำคำรามหนึ่งที คล้ายกับว่าโกรธจัด เดิมทีมันไม่ได้คิดมาก่อนว่าเจ้าเด็กผู้นี้ได้คืบจะเอาศอก

เฉินฉางเซิงยืนหยัดต่อไป กล่าวว่า “ท่านปู่ นั่นเป็นของหญิงสาวนางหนึ่ง วันหน้าข้าจะต้องคืนให้กับนาง”

……

……

สวนด้านข้างตำหนักในพระราชวังมีอ่างน้ำเล็กๆ แห่งหนึ่ง

ท้องนภายามราตรีมืดสนิท โคมไฟในตำหนักดับไปแล้ว มีสตรีวัยกลางคนยืนอยู่ริมอ่างเก็บน้ำ รูปร่างหน้าตาของสตรีนางนั้นจัดว่าธรรมดา สวมใส่เสื้อผ้าก็เรียบง่ายธรรมดายิ่ง ชัดเจนว่ามิใช่พระสนมตำแหน่งไท่เฟยที่จะใช้เวลาในการแต่งตัวประทินโฉมและก็มิใช่นางสนมในวังที่ยังเยาว์วัย

นางยืนอยู่ริมสระน้ำ มิรู้ว่าเตรียมตัวจะล้างมือหรือว่าซักเสื้อผ้า

ตอนนั้นเอง ในสระน้ำพลันเกิดเสียงดังซู่ซ่า ละอองน้ำที่สาดกระเซ็นราวกับน้ำตกมิปาน หนุ่มน้อยคนหนึ่งถูกน้ำซัดพาขึ้นมาจนอยู่ในสภาพย่ำแย่

นั่นก็คือเฉินฉางเซิง

เมื่ออยู่พื้นที่ว่างใต้ดิน เสื้อผ้าของเขาล้วนปกคลุมไปด้วยเกล็ดน้ำค้างแข็ง หากเวลานี้ถูกน้ำในอ่างเก็บน้ำซัดหายไป ทำให้ตั้งแต่หัวจรดเท้าเปียกชุ่มไปด้วยน้ำ มองแล้วดูไม่จืดยิ่งนัก

สตรีวัยกลางคนผู้นั้นมิคาดคิดว่าจู่ๆจะมีคนโผล่มากลางดึก นางคล้ายกับว่าตกใจ เดินถอยหลังไปก้าวหนึ่ง

สตรีนางนั้นสวมรองเท้าเกี๊ยะไม้ เมื่อถอยไปข้างหลังเหยียบถูกก้อนหินที่อยู่ริมสระน้ำ ทำให้เกิดเสียงขึ้นมา

ในป่าถัดจากสระน้ำมีหนูตัวหนึ่งกำลังกินอาหารยามค่ำคืนตกใจเพราะเสียงนั้น มันโยนผลไม้ที่ก่อนหน้านี้ใช้ขาหน้าทั้งสองโอบอุ้มไว้ กระโดดจากบนต้นไม้ไปบนระเบียงที่อยู่ชั้นสองของตำหนักข้างๆ วิ่งด้วยความเร็วมุ่งไปยังด้านนอกของสวน หางที่เพิ่งงอกสั่นกระดิก ก่อนจะชนเข้ากับกระถางดอกไม้ที่วางอยู่บนระเบียงด้านนอกพอดิบพอดี

กระถางดอกไม้ลาดเอียงลงมาเล็กน้อย จนใกล้จะร่วงลงจากระเบียง

ประจวบเหมาะ สตรีวัยกลางคนผู้นั้นยืนอยู่ด้านล่างพอดี

กระถางดอกไม้ร่วงลงมาจะต้องหล่นใส่ร่างนางเป็นแน่ ไม่เพียงทำให้บาดเจ็บ แต่ยังอาจจะเกิดผลที่ยิ่งอันตรายในภายหลังได้

เฉินฉางเซิงออกมาจากพื้นที่ข้างใต้กลับมาถึงบนพื้นดิน ก็ตกลงมาในสระน้ำ ใบหน้าอาบไปด้วยน้ำ รอให้เขาเช็ดน้ำที่อยู่บนหน้า หลังจากมองเห็น ภาพที่อยู่ด้านหน้า เป็นภาพที่ประจวบเหมาะและก็ไม่ประจวบเหมาะ

เขาไม่ได้คิดสิ่งใด กระโจนเข้าไปหาสตรีวัยกลางคนผู้นั้น

เขารู้ว่าที่นี่คือด้านในของพระราชวัง มียอดฝีมือจำนวนนับไม่ถ้วน ถ้าหากทำให้บุคคลเหล่านั้นตื่นตกใจ น่ากลัวว่าจะไปถึงวังเว่ยยางไม่ทันการ

เขายังคงพุ่งเข้าไป ไม่ใช่เพราะเกรงว่ากระถางดอกไม้จะทำให้ผู้อื่นตื่นตกใจ หากเป็นเพราะว่าสตรีวัยกลางคนผู้นั้นจะเกิดอันตราย

หากพินิจให้ละเอียดหรือเขาอาจจะมีตัวเลือกที่ดีกว่านี้ สำหรับตัวเลือกที่ดีกว่าก็คือจะจากไปอย่างไร หลังจากนั้นจะได้ไปวังเว่ยยางทันถ่วงที เป็นสิ่งที่เขาไม่ได้คิด

เขาโอบอุ้มสตรีวัยกลางคนไว้ในอ้อมกอด หมุนกายครึ่งรอบ

ถ้าหากกระถางดอกไม้หล่นลงมา ก็จะตกใส่ร่างเขา

แต่กระถางดอกไม้ไม่ได้หล่นลงมา

ด้วยเหตุนี้ภาพที่เกิดขึ้นจึงกลืนไม่เข้าคายไม่ออก อธิบายได้ไม่ชัดเจน

ไม่ได้ยินเสียงที่คาดคิด แผ่นหลังไม่มีก่อเกิดความเจ็บปวดแผ่กระจายมา เฉินฉางเซิงเงยหน้ามองไปยังระเบียบ พบเพียงกระถางดอกไม้วางอยู่ที่เดิม

เป็นธรรมดาที่เขาจะมองไม่เห็น สตรีวัยกลางคนตวัดนิ้วมือกลับมา

เฉินฉางเซิงจ้องมองสตรีวัยกลางคนอย่างลุกลี้ลุกลน…ถ้าหากนางร้องลั่นขึ้นมา เช่นนั้นก็จะเกิดความยุ่งยาก ยิ่งเป็นเวลากลางดึกถูกหนุ่มน้อยที่อยู่ๆ ก็โผล่มาจากสระน้ำโอบกอดอยู่ในอ้อมอก ไม่ว่าจะเป็นผู้ใด เห็นทีก็คงจะร้องตะโกนลั่น

เวลานี้ อย่างแรกเขาควรจะทำให้สตรีวัยกลางคนผู้นี้สลบไสล เหมือนกับที่ในนิยายเขียนไว้

แต่ปัญหาก็คือ เขาไม่รู้ว่าจะทำให้คนสลบได้อย่างไร

ดังนั้น ตอนนี้เขากำลังเผชิญหน้ากับความยุ่งยากอย่างมาก

ตำหนักที่อยู่ภายใต้ความมืดมิดยามราตรี คลื่นในสระน้ำกับกระถางดอกไม้บนระเบียงจ้องมองกันและกัน

เขากับสตรีวัยกลางคนจ้องมองกันและกัน

ไร้วาจาอย่างยิ่ง

เงียบนิ่งไร้วาจา

เขาคือหนุ่มน้อย

นางคือสตรีวัยกลางคน

ไม่มีความเขินอายระหว่างหญิงชายใดๆ

มีเพียงความประดักประเดิด

สตรีวัยกลางคนขมวดคิ้วเล็กน้อย ริมฝีปากเผยอขึ้น กลับไม่เอื้อนเอ่ยสิ่งใด ริมฝีปากหุบลงอีกครา

เฉินฉางเซิงตะลึงงัน ในใจครุ่นคิดว่าคงไม่ใช่กระมัง

เขาคลายมือออก ทำความเคารพเพื่อขอโทษก่อน หลังจากนั้นจึงวาดไม้วาดมือ ท่าทางชำนาญคล่องแคล่วอย่างยิ่ง

สตรีวัยกลางคนจ้องมองเขาวาดมือทำท่าทางออกมาหนึ่งแบบ เฉินฉางเซิงครุ่นคิดแท้จริงแล้วเป็นเช่นนี้ จึงใช้ภาษามือขอโทษออกไป เห็นฝ่ายตรงข้ามมิได้ซักถามถึงความหมาย ถึงแม้จะไม่เข้าใจว่าเพราะเหตุใด แต่ช่วงเวลาที่ตึงเครียด ไม่ทันที่จะได้คิดให้มากความ จึงเร่งรุดออกไป

……

……

“ภาษามังกร ภาษาใบ้ ทำได้หลายอย่างจริงๆ”

มองแผ่นหลังที่หายลับไปในความมืดของเฉินฉางเซิง สตรีวัยกลางคนผู้นั้นยิ้มพลางเอ่ยออกมา

นางมิได้เป็นใบ้จริงๆ เอ่ยออกมากับความมืดมิด “วังเว่ยยางอยู่ไกล ไปส่งเขาเสียหน่อย”

“เป็นเด็กดีจริงๆ”

ใบหน้าที่เปื้อนยิ้มพลันหุบลงทันที พลางเอ่ยเย็นชาออกมา “หากมิได้แซ่เฉิน เช่นนั้นก็คงจะดี”

เมื่อเอ่ยประโยคนี้จบ นางหมุนกายสาวเท้าไปทางด้านในของตำหนัก

ตำหนักที่ก่อนหน้านี้มืดสนิทและแลดูเงียบวิเวกไร้ผู้คน ทันใดนั้นก็สว่างโร่ขึ้นมาด้วยแสงโคมไฟ

ขันทีและนางสนมหลายสิบคน ทั้งยังมีผู้มีวรยุทธ์สูงส่งหลายท่าน คุกเข่าต้อนรับทั้งสองข้างทาง ไม่มีผู้ใดกล้าเงยหน้าขึ้น กลั้นลมหายใจเงียบกริบ

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

ตลอดชีวิตของ เฉินฉางเซิง นั้นเต็มไปด้วยความลึกลับ เริ่มต้นจากกลิ่นหอมประหลาดที่แผ่กำจายออกมาจากตัวทำให้เหล่าสิ่งมีชีวิตเกิดความหิวกระหาย ตามมาด้วยร่างกายที่อ่อนแอเสียจนทำให้ไม่อาจบำเพ็ญเพียรได้ สุดท้ายจบลงที่อาการป่วยที่ทำให้ชีวิตของเขามิอาจยืนยาว ตลอดระยะเวลาสิบกว่าปีที่ผ่านมาเขาทำได้แค่ท่องตำราจำนวนหลายพันเล่ม แม้จะรู้ว่าอาการป่วยมิอาจรักษา บางทีมันจะเป็นโชคชะตา แต่เขาก็อยากจะท้าทายลิขิตฟ้านี้ดูสักครั้ง เขามิใช่คนเก่ง แต่เขาอยากลอง และนั่นคือจุดเริ่มต้นเส้นทางการพลิกโชคชะตาของเขา…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset