ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา – ตอนที่ 73 จิตใจยากที่จะสงบ

นอกจากแผ่นกำแพงหินสุสานเทียนซู ประกาศชิงอวิ๋น ประกาศเตี่ยนจินเหล่านี้ อันเป็นประกาศที่หอความลับสวรรค์คัดเลือกออกมา สิ่งสำคัญที่สุดคืออะไร? เป็นการต่อสู้ระหว่างผู้แข็งแกร่งในประกาศ โดยทั่วไปคนที่อยู่ในประกาศ ไม่ว่าจะมีฐานะอย่างไรล้วนแล้วแต่มีประสบการณ์การต่อสู้ อย่างน้อยที่สุดก็สักครั้ง

เฉินฉางเซิงไม่ได้มีประสบการณ์ทางด้านนี้ จึงเอ่ยถาม “เช่นนั้น ต่อสู้อย่างไร? ใครจะต่อสู้?”

สายตาของลั่วลั่วแปรเปลี่ยนเป็นสว่างยิ่งขึ้น มือขวากุมด้ามแส้สายฝนโปรยแน่น เดินไปข้างหน้าก้าวหนึ่ง เอ่ยออกมา “อาจารย์มีธุระ เป็นศิษย์จักต้องกระทำแทน”

ถังซานสือลิ่วจะให้นางช่วงชิงโอกาสนี้ไปได้อย่างไร กล่าวว่า “ข้าเป็นนักเรียนใหม่เพิ่งมา..ให้ข้าแสดงเสียหน่อย”

ดินแดนต้าลู่ขณะนี้ ตำแหน่งพรรคกระบี่เขาหลีซานมีความพิเศษ เพราะว่าพวกเขาเป็นยุคของคนหนุ่มที่แข็งแกร่ง ถังซานสือลิ่วแท้จริงแล้วเป็นเด็กหนุ่มที่มีพรสวรรค์ ทว่ายังคงไม่สามารถเปรียบเทียบได้กับฝ่ายตรงข้าม ไม่ต้องกล่าวถึงโก่วหานสือ แม้จะเป็นลูกศิษย์ที่เหลือทั้งสามคนของเขาหลีซาน จากที่พวกเขามองล้วนแต่สามารถเอาชนะเขาได้ง่ายๆ

เจ็ดคำโคลงแห่งแดนเทพ ล้วนแต่อยู่ที่เขาหลีซาน…พวกเขาอยู่ในอันดับของประกาศชิงอวิ๋นเหนือกว่าถังซานสือลิ่วไกลลิบ

ถังซานสือลิ่วคล้ายกับว่าเดิมทีไม่ได้คิดเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้มาก่อน กำลังจ้องมองโก่วหานสือ ยิ่งนานดวงตาก็ยิ่งเปล่งประกาย ดีอกดีใจอย่างยิ่ง

คำว่าเกรงกลัวคำนี้ แต่ไหนแต่ไรไม่ได้อยู่ในพจนานุกรมของเขา เดิมทีเขาอยากจะประลองกับจวงห้วนอวี่ที่อยู่อันดับที่สิบของประกาศชิงอวิ๋นในค่ำคืนที่สองของการชุมนุมไม้เลื้อย กลับถูกสำนักคัดค้าน ค่ำคืนนี้เพิ่งจะตัดสินใจเข้าร่วมสำนักฝึกหลวง เมื่อประสบกับเรื่องดีที่จะต่อสู้กับเจ็ดคำโคลงแห่งแดนเทพ แล้วเขาจะพลาดได้อย่างไร

ใช่แล้ว นี่เป็นเรื่องดี

“ถ้าหากข้าจำไม่ผิด การชุมนุมไม้เลื้อยค่ำคืนที่สาม….ควรจะเป็นการทดสอบความรู้”

โก่วหานสือไม่ได้มองถังซานสือลิ่ว เพียงแค่มองเฉินฉางเซิงเงียบๆ กล่าวว่า “เจ้าสามารถทำให้องค์หญิงคารวะเป็นอาจารย์ ก็คงจะมีสิ่งที่เหนือกว่าผู้คนทั่วไป ความรู้จะต้องลึกซึ้งกว้างไกลเป็นแน่ เพียงแค่ได้ยินว่าเจ้ายังชำระล้างกระดูกไม่สำเร็จ เช่นนั้นข้าคิดว่า การทดสอบความรู้เป็นตัวเลือกที่ดียิ่ง”

เขาไม่ได้เอ่ยประโยคนี้ให้เข้าใจแจ่มแจ้ง แต่ทุกคนล้วนเข้าใจ

อีกฝ่ายหนึ่งของการสมรสครั้งนี้ ไม่ต้องเอ่ยถึงฝ่ายที่สองหรือฝ่ายที่สาม ชิวซานจวินไม่สามารถเข้าร่วมได้ เขาเป็นศิษย์ที่ชิวซานจวินเชื่อมั่นที่สุด ปรารถนาที่จะขอคำแนะนำจากฝ่ายตรงข้าม แม้ในนามจะเป็นสำนักฝึกหลวง แต่ในความเป็นจริงก็คือเฉินฉางเซิง

พรรคกระบี่เขาหลีซานประลองกับสำนักฝึกหลวง ก็คือเขาจะต้องประลองกับเฉินฉางเซิง

ในตำหนักเงียบเชียบอย่างยิ่ง ประโยคของโก่วหานสือฟังดูมีเหตุผลยิ่ง มากพอที่จะแสดงออกชัดเจนว่าพรรคกระบี่เขาหลีซานเห็นใจผู้อ่อนแอ แสวงหาความยุติธรรม ในเมื่อเจ้าไม่สำเร็จการชำระล้างกระดูก แต่ก็เหมาะกับการทดสอบความรู้ในการชุมนุมไม้เลื้อยคืนที่สาม เช่นนั้นเจ้ายังมีเหตุผลอะไรที่ไม่ลงสนามประลองอีกหรือ?

แต่ความเป็นจริงแล้วข้อเสนอนี้ไม่มีความเห็นใจใดๆ ทั้งสิ้น ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงความยุติธรรม

โก่วหานสือศึกษาท่องตำราเต๋า ศึกษาตั้งแต่เหนือจรดใต้ ไม่ต้องกล่าวถึงนักเรียนหนุ่มในตำหนักเหล่านี้ ถึงแม้จะเป็นอาจารย์ผู้อาวุโสที่ศึกษาคัมภีร์เต๋ามาตลอดชีวิต ทางด้านความรู้ก็ไม่สามารถเอาชนะเขาได้ นี่เป็นความจริงที่ทั่วทั้งต้าลู่ต่างทราบกันดี ถ้าหากพิจารณาทางด้านการบำเพ็ญเพียร แท้จริงแล้วโก่วหานสือยังเยาว์วัย สำหรับผู้แกร่งกล้าอาวุโสที่บำเพ็ญเพียรยากลำบากมาหลายร้อยปีก็คงจะสู้ไม่ได้ แต่ถ้าหากกล่าวถึงความรู้ที่กว้างไกลลึกซึ้งแล้ว กลับเป็นผู้แกร่งกล้าที่สุด

เขาต้องการแข่งขันความรู้กับเฉินฉางเซิง จะยุติธรรมได้อย่างไร นี่เป็นการรังแกคนอย่างสิ้นเชิง นี่เป็นการที่ผู้แข็งแกร่งบดขยี้ผู้อ่อนแออย่างไร้ความรู้สึกและเยือกเย็น

แววตาลั่วลั่วแปรเปลี่ยนเป็นคมกริบขึ้นมา จ้องเขม็งที่โก่วหานสือ ท่าทางไม่ยินดีอย่างยิ่ง ตวาดลั่น “กำเริบนัก!”

ท่าทางของโก่วหานสือไม่ได้เปลี่ยนแปลง ทำความเคารพนางหนึ่งครั้ง หลังจากนั้นเอ่ยว่า “องค์หญิงโปรดชี้แนะด้วยว่า ข้ากำเริบตรงไหนกัน”

ถังซานสือลิ่วแสยะยิ้มพลางกล่าวว่า “ทั่วทั้งต้าลู่ต่างรู้ว่าเจ้าศึกษาคัมภีร์เต๋า ความรอบรู้เหนือผู้ใด คนที่สามารถเปรียบเทียบกับเจ้าได้จะไปหาที่ไหนได้ คาดไม่ถึงว่าเจ้าจะต้องแข่งขันทางด้านนี้กับเจ้าเด็กคนนั้น ไม่ละอายใจหรือ คาดไม่ถึงว่าเจ้าจะเสนอเช่นนี้ หรือว่าไม่เป็นการกำเริบหรอกรึ”

โก่วหานสือมองเขาเงียบๆ พลางเอ่ยว่า “ข้าก็เป็นเพียงคนธรรมดา ความจำก็ไม่ได้ดีกว่าคนโดยรอบหรือมีพรสวรรค์ ตั้งแต่เยาว์วัยทางบ้านทุกข์ยากลำบาก ไม่สามารถเริ่มศึกษาได้ตั้งแต่ออกมาจากท้องมารดา สิ่งที่ข้าทำทั้งหมดก็คือศึกษาอย่างลำบาก การอ่านตำราก็คือการฝึกบำเพ็ญเพียรของข้า ความรู้ก็คือความสามารถของข้า ก็เหมือนกับพละกำลังก็คือความสามารถที่โหดร้าย ข้าเป็นตัวแทนของเขาหลีซานประลองกับสำนักฝึกหลวง แล้วจะให้ข้าละทิ้งความสามารถของข้าหรือ ข้าใช้ความสามารถของตนเองเดินทางในใต้หล้า เพราะเหตุใดต้องละอายใจ ข้าใช้ความสามารถของตนเองชนะคู่ต่อสู้ แล้วจะกำเริบได้อย่างไร”

“ไร้สาระ ข้าเชี่ยวชาญในการนอนหลับเป็นที่สุด เช่นนั้นข้าจะแข่งนอนหลับนานที่สุดกับเจ้า เจ้าก็เห็นด้วยรึ” ถังซานสือลิ่วเอ่ยถาม

โก่วหานสือยิ้มน้อยๆ เอ่ยออกมา “ถ้าหากในกฎระเบียบของการชุมนุมไม้เลื้อยมีการแข่งนอนหลับข้อนี้ด้วย ทำไมข้าจะต้องไม่แข่งกับเจ้าด้วยเล่า”

ถังซานสือลิ่วถูกประโยคนี้สกัดไว้ ผ่านไปครู่ใหญ่จึงแสยะยิ้มออกมา “เช่นนั้นจะทดสอบความรู้อย่างไร หรือจะให้ใต้เท้ามุขนายกออกข้อสอบตอนนี้ ทำไมจะต้องยุ่งยากด้วยเล่า พอดีว่าการชุมนุมไม้เลื้อยค่ำคืนที่สองพวกเราไม่ได้เข้าร่วม ต่อสู้โดยตรงไม่ดีกว่าหรือ”

โก่วหานสือกล่าวสงบนิ่ง “ถ้าหากพวกเจ้ายืนยันเช่นนี้ ข้าก็ไม่มีความคิดเห็น…พวกเจ้าสามารถกำหนดวิธีการและผู้เข้าร่วมได้”

ผู้คนในตำหนักตกตะลึง ถังซานสือลิ่วมิได้คาดคิดถึงการเปลี่ยนแปลงความคิดของโก่วหานสือ

จากคำพูดของโก่วหานสือ กวนเฟยไป๋ลูกศิษย์อันดับที่สามของเขาหลีซาน ยืนขึ้นด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก เดินไปยังด้านหลังของเขา

เมื่อเห็นภาพนี้ ผู้คนถึงจะรู้ว่าก่อนหน้านี้เข้าใจโก่วหานสือผิดไปเสียแล้ว

การทดสอบความรู้ แน่นอนว่าเป็นสถานการณ์ที่เขาหลีซานจะชนะ แต่ถ้าหากอยากประลองยุทธ์ เฉินฉางเซิงก็จะไม่มีโอกาสใดๆ

ในหมู่คณะทูตทางใต้ คนของพรรคกระบี่เขาหลีซานมีไม่มาก นอกจากผู้อาวุโสเสี่ยวซงกง ก็เป็นคนหนุ่มสี่คน

เจ็ดคำโคลงแห่งแดนเทพลำดับที่สี่

ตอนนี้เอง เสียงของเฉินฉางเซิงดังขึ้นอีกครั้ง

เขามองโก่วหานสือพลางเอ่ยต่อ “ข้าเห็นด้วยกับสิ่งที่เจ้ากล่าวมา เพียงแค่เป็นการฝึกบำเพ็ญเพียรที่ได้มา ก็คือความสามารถของตนเอง ก็เหมือนกับการกินข้าวลงไปในท้องแล้วเปลี่ยนเป็นพลัง ใช้มันมาทำสิ่งต่างๆ ล้วนแต่เป็นอิสระของเรา สิ่งที่บังเอิญก็คือ…ข้าก็เป็นคนธรรมดา พอดีว่า ข้าก็เคยศึกษาตำรามาบ้าง”

ล้วนแต่เป็นคนธรรมดา ล้วนแต่เคยศึกษาตำรามาบ้าง เหมาะที่จะแข่งขันได้พอดี

“แท้จริงแล้วจิตใจยากที่จะสงบ”

ใต้เท้ามุขนายกมองเฉินฉางเซิงแล้วยิ้มออกมา แฝงไปด้วยความหมายลึกซึ้ง

หลังจากนั้นก็มองออกไปยังด้านนอกตำหนัก

ลมฤดูใบไม้พัดโชยเย็นสบาย โคมไฟของคืนเจ็ดค่ำเดือนเจ็ดมีเพียงในละแวกบ้านเรือนของผู้คน ไม่มีในตำหนัก ด้วยเหตุนี้จึงรู้สึกหนาวเย็น

ผู้อาวุโสจับเสื้อแน่น เอ่ยว่า “หากครานี้ไม่ประลอง วันหน้าชิวซานจวินรู้เข้า จิตใจจะต้องยากที่จะสงบได้ ถังซานสือลิ่วไม่ได้เข้าร่วมการชุมนุมไม้เลื้อยสองคืนก่อนหน้านี้ จิตใจก็ยากที่จะสงบ พอดีกับที่คนทางใต้ไม่ทันเข้าร่วมการชุมนุมไม้เลื้อยทั้งสองคืนก่อนหน้านี้ เช่นนี้ก็ต่อสู้เถิด เพียงแต่ดึกมากแล้ว รีบหน่อยก็ดี”

ประตูตำหนักเปิดออก ลำแสงของไข่มุกราตรีสาดส่องอยู่ในความมืดยามราตรี ลานกว้างด้านหน้าตำหนักถูกส่องสะท้อนจนสว่างไสว

ด้านนอกพระราชวัง ตรอกในจิงตูยังคงครึกครื้น ไกลออกไปมีคนกำลังจุดโคมไฟที่ไม่มีวันดับ มุมทางด้านตะวันตกเฉียงใต้มีต้นไม้เพลิงต้นหนึ่งกำลังเผาไหม้

มีคนหลายร้อยคนยืนอยู่บนบันไดด้านหน้าตำหนัก จ้องมองกลุ่มผู้คนที่แบ่งแยกอยู่ด้านทิศตะวันออกกับทิศตะวันตก ท่าทางแปลกประหลาด มีบางคนที่ไม่แยแสต่อสิ่งใด มีบางคนที่ยินดีในความโชคร้ายของคนอื่น มีบางคนรู้สึกกังวล กระนั้นกลับมองไม่เห็นความตึงเครียด

การชุมนุมไม้เลื้อยปีที่แล้วๆ มา การต่อสู้ที่ดุเดือดรุนแรงระหว่างบรรดาสำนักในจิงตูแต่ไหนแต่ไรมายังไม่เคยหยุดพัก มักจะปรากฏภาพความรุนแรงในสนามการแข่งขันอยู่เสมอ การชุมนุมไม้เลื้อยในปีนี้ ในคืนแรกเพราะว่าลั่วลั่วจัดการเทียนไห่หยาเอ๋อร์จนหมดสภาพจึงสิ้นสุดลงอย่างลวกๆ คืนที่สองเองก็ไม่มีเรื่องราวใดๆ ให้ผู้คนตื่นเต้น คืนที่สาม ผู้คนล้วนแต่คิดว่าละครเพลงที่ขับร้องเป็นการสู่ขอของคณะทูตทางใต้ ท้ายที่สุดแล้วในความเป็นจริงก็เป็นแค่การแสดงละครฉากใหญ่ แต่ในเวลานี้ ในที่สุดก็ได้เวลาเข้าสู่การต่อสู้ที่แท้จริงเสียที

ทว่าน่าเสียดาย ก่อนการต่อสู้ครั้งนี้จะเริ่มขึ้น ก็สามารถวิเคราะห์แพ้ชนะได้แล้ว จึงเป็นธรรมดาที่จะไม่ตื่นเต้น

โก่วหานสือไม่ได้ลงประลองยุทธ์ด้วยตนเอง ฝีมือของเขาอยู่ในระดับที่ทัดเทียมกับชิวซานจวิน เขาออกจากประกาศชิงอวิ๋นเข้าไปอยู่ในประกาศจินเตี่ยน ไม่ว่าต่อสู้กับลั่วลั่วหรือว่าถังซานสือลิ่ว ล้วนแต่มีข้อครหาว่ารังแกผู้อ่อนด้อยกว่าทั้งสิ้น

ก่อนหน้านี้เขาเสนอประลองความรู้กับเฉินฉางเซิง ก็มีการไตร่ตรองถึงด้านนี้ การประลองความรู้เป็นเพียงการประชันภาษา ไม่รบกวนฟ้าดิน มีแพ้ชนะ แต่ไม่ต้องเจ็บตัว

การประลองฝีมือระหว่างสำนักฝึกหลวงกับพรรคกระบี่เขาหลีซานครั้งนี้ เป็นสำนักฝึกหลวงที่ยืนยันวิธีการดังกล่าว การเลือกคู่ต่อสู้ การแสดงของพรรคกระบี่เขาหลีซานคล้ายกับใจกว้าง ที่จริงแล้วหาได้มีสิ่งใดแตกต่างไม่ ลูกศิษย์ของพรรคกระบี่เขาหลีซานมาถึงจิงตูล้วนแต่เป็นคนในเจ็ดคำโคลงแห่งแดนเทพ หากสำนักฝึกหลวงปรารถนาจะชนะผู้ใดล้วนแล้วแต่ยากลำบากยิ่ง

“เดิมทีข้าอยากจะเลือกลำดับที่สี่…เจ้าเด็กคนนี้แต่ก่อนก็ล่วงรู้แล้ว”

ถังซานสือลิ่วชี้ไปที่เฉินฉางเซิง แล้วเอ่ยกับลั่วลั่ว “แต่ในเมื่อค่ำคืนนี้เป็นการต่อสู้ระหว่างสำนัก ข้าจึงไม่สามารถทำตามอารมณ์ของตนเอง ลำดับที่สี่แข็งแกร่งที่สุด ย่อมทำได้เพียงมอบให้เจ้าประลอง ข้าจะลองท้าประลองกับเจ้าเด็กที่ชื่อชีเจียนคนนั้นดู”

ลั่วลั่วกล่าวว่า “ข้าไม่มีความคิดเห็น”

เฉินฉางเซิงคิดใคร่ครวญ กล่าวว่า “เช่นนี้อัตราชนะคงจะมีไม่มาก”

ถังซานสือลิ่วจ้องมองเขาแสยะยิ้มออกมา “ข้ากลับคิดอยากใช้วิธีการแข่งขันของผู้อาวุโส ทำตามการแข่งขันม้าให้ชนะสองในสาม…ปัญหาก็คือแท้จริงแล้วเจ้าอ่อนแออย่างยิ่ง เดิมทีหมดหนทางที่จะให้เจ้าลงประลอง จึงทำได้เพียงลองดูว่าจะสามารถชนะติดต่อกันสองครั้งได้หรือไม่ เพื่อจะไม่ให้เจ้าออกไปขายหน้าต่อผู้คน”

ลั่วลั่วกลับเชื่อใจเฉินฉางเซิงอย่างแรงกล้า ถึงแม้นางเองก็ไม่รู้ว่าความเชื่อใจมาจากแห่งใด

ตอนนี้เอง คนของพรรคกระบี่เขาหลีซานก็เดินออกมา

เดินออกไปด้านหน้าสุดก็คือหนุ่มน้อยคนหนึ่ง รูปร่างหน้าตาอ่อนเยาว์ ร่างกายผอมแห้งอ่อนแอ มองแล้วร่างกายยังไม่เจริญเติบโตสมบูรณ์เต็มที่ คล้ายกับว่าตัวเล็กกว่าลั่วลั่ว

พอดีว่าคนที่เป็นลำดับสุดท้ายของเจ็ดคำโคลงแห่งแดนเทพก็คือชีเจียน

ชีเจียนเป็นลูกศิษย์คนสำคัญของพรรคกระบี่เขาหลีซาน อายุยังน้อย แต่กลับอยู่ในสิบอันดับแรกของประกาศชิงอวิ๋น จนกระทั่งสองปีก่อนในการชุมนุมครั้งหนึ่ง เขาพลาดท่าให้กับจวงห้วนอวี่ครึ่งกระบวนท่า จึงร่วงลงมาเป็นลำดับที่สิบเอ็ด แต่ไม่มีผู้ใดกล้าที่จะมองข้ามเขา

เพราะว่าเขาตัวเล็กมากจริงๆ

ชุดคลุมของพรรคเขาหลีซานบนร่างกายเขาราวกับว่าหลวมโพรกอย่างยิ่ง ถูกลมพัดโชยก่อให้เกิดเสียงดังพั่บๆ น่ารักอย่างยิ่ง

ถังซานสือลิ่วจ้องมองภาพนี้ กล่าวออกมาจากใจ “เจ้าจะตอบโต้อย่างไร”

เฉินฉางเซิงกล่าวออกมาจากใจเช่นกัน “เอ่ยออกมาราวกับเจ้าสามารถเอาชนะฝ่ายตรงข้ามได้อย่างนั้นแหละ”

ถังซานสือลิ่วโมโหอย่างยิ่ง ถลึงตาใส่เขา

เฉินฉางเซิงยิ้มไม่เอ่ยสิ่งใด

ถังซานสือลิ่วอยู่ๆ ก็เงียบไปชั่วครู่ เอ่ยว่า “ถ้าหากพวกเราโชคดีสามารถชนะได้ทั้งสองรอบ เจ้าเด็กคนนี้ก็ไม่ต้องลงแข่งขัน ถ้าหากข้าแพ้ ลั่วลั่วเจ้าก็ยอมแพ้เสีย หากแพ้ติดต่อกัน เจ้าเด็กคนนี้ก็ไม่ต้องต่อสู้แล้ว”

เฉินฉางเซิงสังเกตว่าเขาใช้คำว่าโชคดี

ถึงแม้ไม่ได้เกรงกลัวแม้แต่น้อย แต่เลือดก็ร้อนจนทำให้สมองมึนงง

ถังซานสือลิ่วประจักษ์ชัดถึงความแข็งแกร่งของฝ่ายตรงข้ามยิ่งนัก

ลั่วลั่วไม่ค่อยเข้าใจ เพราะเหตุใดเขาแพ้แล้ว ตนจะต้องยอมแพ้ด้วยเล่า

หรือว่าอาจารย์ไม่ลงสนาม จะสำคัญกว่าสำนักฝึกหลวงพ่ายแพ้หรือ

“ใช่แล้ว สำนักฝึกหลวงมีพวกเราเป็นนกกระจอกไม่กี่ตัว พ่ายแพ้ให้กับพรรคกระบี่เขาหลีซานจะอับอายรึ เอาเถอะ ที่จริงก็คงอับอายอยู่บ้าง แต่ก็มิเป็นไร เพียงแค่เจ้าไม่ลงสนามก็พอ….เจ้าไม่ลงสนาม พวกเขาก็หมดหนทางที่จะกู้หน้ากลับมาได้”

ถังซานสือลิ่วมองเจ้าเด็กหนุ่มที่มีสีหน้าท่าทางสงบนิ่งอยู่ตรงข้ามของสนามท่ามกลางความมืดของราตรี แสยะยิ้มเอ่ยว่า “รำคาญพวกมันจะแย่อยู่แล้ว!”

เมื่อกล่าวประโยคนี้จบแล้ว เขาชักดาบออกมา เดินไปข้างหน้า

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

ตลอดชีวิตของ เฉินฉางเซิง นั้นเต็มไปด้วยความลึกลับ เริ่มต้นจากกลิ่นหอมประหลาดที่แผ่กำจายออกมาจากตัวทำให้เหล่าสิ่งมีชีวิตเกิดความหิวกระหาย ตามมาด้วยร่างกายที่อ่อนแอเสียจนทำให้ไม่อาจบำเพ็ญเพียรได้ สุดท้ายจบลงที่อาการป่วยที่ทำให้ชีวิตของเขามิอาจยืนยาว ตลอดระยะเวลาสิบกว่าปีที่ผ่านมาเขาทำได้แค่ท่องตำราจำนวนหลายพันเล่ม แม้จะรู้ว่าอาการป่วยมิอาจรักษา บางทีมันจะเป็นโชคชะตา แต่เขาก็อยากจะท้าทายลิขิตฟ้านี้ดูสักครั้ง เขามิใช่คนเก่ง แต่เขาอยากลอง และนั่นคือจุดเริ่มต้นเส้นทางการพลิกโชคชะตาของเขา…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset