ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา – ตอนที่ 74 กระบี่ของหนุ่มน้อย

พรรคกระบี่เขาหลีซานเพราะเหตุใดต้องประลองกับสำนักฝึกหลวงเล่า เพราะว่าพวกเขาเป็นตัวแทนของชิวซานจวินเพื่อมาสู่ขอ กลับถูกเฉินฉางเซิงยับยั้ง ศักดิ์ศรีเกียรติยศได้สูญหายไปสิ้น จึงจะต้องหาวิธีกู้คืนกลับมา พอดีกับที่โก่วหานสือยอมรับออกมาตรงๆ มีเพียงเช่นนี้พวกเขาถึงจะสามารถออกจากพระราชวังต้าโจวออกไปอย่างสงบ เกรงว่านั่นอาจคงยังไม่เพียงพอ

ถ้าหากตามที่ถังซานสือลิ่วเตรียมการไว้ สำนักฝึกหลวงไม่ว่าจะชนะติดต่อกันหรือว่าแพ้ติดต่อกัน เฉินฉางเซิงล้วนแต่ไม่ต้องลงสนาม เช่นนั้นพรรคกระบี่เขาหลีซานก็หมดหนทางที่จะกู้ศักดิ์ศรีกลับมา ลั่วลั่วในจิตใจครุ่นคิดถึงแม้จะ…อับอายอยู่บ้าง แต่คล้ายกับว่าน่าสนใจอย่างยิ่ง ด้วยเหตุนี้จึงใช้ความเงียบนิ่งแสดงการสนับสนุน แต่เฉินฉางเซิงอยากจะสนทนาแลกเปลี่ยนกับโก่วหานสือที่สามารถท่องคัมภีร์เต๋าได้ผู้นั้น อยากจะกล่าวอะไรบางอย่างกับถังซานสือลิ่ว แต่เจ้าเด็กคนนั้นกับไปอยู่ในสนามเสียแล้ว

สายลมพัดโชยตำหนักยามราตรีอันเหน็บหนาว ถังซานสือลิ่วยืนอยู่กลางสนาม ถือกระบี่มองไปรอบด้าน บุคลิกองอาจห้าวหาญ บรรดาลูกศิษย์ของชิงเหย้าและเทือกเขาเทพธิดาสายตาฉายแวววับ กลับคิดไม่ถึงว่าคนผู้นี้ก่อนมาถึงสนาม ได้ทำเรื่องที่ไร้ยางอายมากมายตระเตรียมสิ่งที่ทำให้คนโมโห

ระยะห่างสิบกว่าจั้ง มองท่าทางที่ผอมบางของชีเจียน ถังซานสือลิ่วตะลึงงัน หลังจากคิดเรื่องหนึ่งขึ้นได้ จ้องมองจวงห้วนอวี่กล่าวอย่างใจจริง “มองเจ้าเด็กคนนี้ สองปีก่อนควรจะเล็กขนาดไหน เจ้ายังกล้าที่จะชนะหรือ”

เป็นธรรมดาที่จวงห้วนอวี่จะไม่โต้ตอบ หัวเราะเสียงเยือกเย็นออกมาสองที ความหมายเหมือนกับที่เฉินฉางเซิงกล่าวก่อนหน้านี้ กล่าวราวกับว่าตอนนี้เจ้าสามารถสู้ฝ่ายตรงข้ามได้

ชีเจียนแห่งเจ็ดคำโคลงแห่งแดนเทพชื่อเสียงโด่งดังเลื่องลือ แต่นอกจากคนที่เคยเห็นเขามาก่อน ผู้ใดก็คาดไม่ถึง ว่าจะเป็นเด็กเยาว์วัยดังเช่นชีเจียนเช่นนี้ เขาจ้องมองถังซานสือลิ่วทำความเคารพ ท่าทางที่ปรากฏบนใบหน้าเห็นชัดว่าตื่นเต้น ถึงขนาดว่าหวาดกลัว

ถังซานสือลิ่วขมวดคิ้วเล็กน้อย กล่าวถาม “ปีนี้เจ้าอายุเท่าไหร่”

ชีเจียนเอ่ยตอบ “อีกสองเดือนก็จะเต็มสิบสี่ปี”

เมื่อเวลานี้ถังซานสือลิ่วจะปล่อยละเลยจวงห้วนอวี่ได้อย่างไร มองไปยังตำแหน่งของเขาฮึดฮัดออกมาสองที หลังจากนั้นจ้องมองไปยังชีเจียนกล่าวถาม “ยังเด็กเช่นนี้…ไม่ต่อสู้ได้หรือไม่”

ท่าทางของชีเจียนเคร่งขรึมเล็กน้อย เอ่ยออกมาเหมือนกับผู้ใหญ่มิปาน “สำนักใช้ฐานะขององค์หญิงกดขี่ผู้คน ใช้การให้คำมั่นสัญญาของผู้อาวุโสกดขี่ผู้คน ใช้คำว่าสัจธรรมข่มขู่ผู้คน ศิษย์พี่ของข้าไม่ได้อยู่ตรงนี้ หมดหนทางที่จะโต้เถียงได้ด้วยตนเอง เขาไม่มีความผิดใดๆ ทั้งสิ้น ข้าเป็นศิษย์น้อง จะต้องทวงความเป็นธรรมแทนศิษย์พี่”

ท่าทางของถังซานสือลิ่วก็เปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมขึ้น กล่าวว่า “ผิด! ที่ใช้คำสั่งของบุพการีใช้คำพูดของคนพรรคเดียวกันข่มขู่ผู้คนคือพวกเจ้า ที่ใช้ตำแหน่งฐานะข่มขู่ผู้คนคือพวกเจ้า วางแผนใช้สัจธรรมข่มขู่ผู้คนก็คือพวกเจ้า เรื่องราวเหล่านี้ล้วนแต่เป็นผู้อาวุโสของพวกเจ้ากระทำก่อน พวกข้าเพียงแค่ตอบโต้กลับเท่านั้นเอง สำหรับศิษย์พี่ของเจ้า…เขาต้องการสมรสกับว่าที่ภรรยาของเฉินฉางเซิง หรือยังจะให้เฉินฉางเซิงกล่าวขอโทษเขาหรือ อย่าลืมว่าหนังสือสมรสมาก่อน นกกระเรียนขาวก็ยังอยู่ตรงนั้น”

ด้านหลังของเฉินฉางเซิงกับลั่วลั่ว นกกระเรียนขาวกำลังพักคอเรียวเล็กบนเสาทองแดง ความขาวที่อยู่ในความมืดทำให้สะดุดตาอย่างยิ่ง

ชีเจียนเงียบนิ่งชั่วครู่ ไม่ได้เอ่ยสิ่งใดมากไปกว่านี้ มือน้อยจับด้ามกระบี่ ค่อยๆ ชักกระบี่ออกจากฝัก

เพียงแค่การกระทำง่ายๆ กลับมีพลังลมปราณที่แข็งแกร่งพรั่งพรูออกมา

หนุ่มน้อยผอมบางอ่อนแอ คาดไม่ถึงจะทำให้ผู้คนรู้สึกเหมือนว่ามีปรมาจารย์มาที่สนาม

ฝูงชนที่ชมการต่อสู้อยู่ด้านหน้าตำหนักอยู่ๆ ก็สงบนิ่งลง ท่าทางของสวีซื่อจีกับคนอื่นแปลกประหลาดยิ่ง สีหน้าของเหมาชิวอวี่เปลี่ยนเป็นจริงจังขึ้นมาก

เฉินหลิวอ๋องเอ่ยชื่นชม “เจ็ดคำโคลงแห่งแดนเทพ แท้จริงแล้วไม่ธรรมดา”

ท่าทางของถังซานสือลิ่วเคร่งขรึม ชักกระบี่ออกมาจากฝักของตน

เขาตั้งแต่เยาว์วัยมีชื่อเสียงเป็นผู้มีพรสวรรค์ เย่อหยิ่งเย็นชา จากเวิ่นสุ่ยมาถึงจิงตู หลังจากเข้าสำนักเทียนเต้าก็ยังคงเป็นเช่นนี้

เขารู้ว่าชีเจียนเป็นศัตรูที่แข็งแกร่งที่สุดของตนท่ามกลางบรรดาคนอายุเดียวกัน เขารู้ว่าบทเรียนที่ถ่ายทอดตามต้นฉบับวิชาเต๋าแห่งพรรคกระบี่เขาหลีซานมีวิทยายุทธ์แข็งแกร่งกว่าตระกูลของตนมาก ถ้าหากเขาสามารถศึกษาร่ำเรียนที่สำนักเทียนเต้าอีกสองปี บางทีอาจจะสามารถเหนือกว่าชีเจียนอย่างแท้จริง

แต่ค่ำคืนนี้ เขายังอยากชนะ

เขาก้มหน้ามองไปยังพื้น ซอกอิฐข้างส้นรองเท้ามีต้นหญ้าป่าเกิดอยู่ต้นหนึ่ง

เขาเงยหน้าจ้องมองชีเจียน พลางเอ่ยว่า “มาเถอะ”

ท่าทางของฉีเจียนเคารพนอบน้อม กล่าวว่า “เชิญ!”

เสียงดังสะท้อนอยู่ในความมืดมิดยามค่ำคืน ต้นหญ้าป่าที่อยู่ในซอกอิฐอยู่ๆ ก็เอนไปด้านหลัง ราวกับว่าจะขาดก็มิปาน

สายลมยามค่ำคืนก่อตัวขึ้น รูปร่างดุดันรุนแรงทั้งสองก่อเกิด มุ่งไปยังตรงกลางของสนาม

เสียงโครมดังสนั่นหวั่นไหว!

การปะทะกันระหว่างถังซานสือลิ่วกับชีเจียน กระบี่ในมือของพวกเขาปะทะกัน มีสายลมรุนแรงนับไม่ถ้วนแผดเสียงร้องคำรามขึ้น หมุนพันรอบร่างกายพวกเขาอย่างบ้าระห่ำ พัดกระหน่ำเสื้อผ้าของพวกเขาก่อเกิดเป็นเสียงซ่าราวกับว่ามีฝนตกห่าใหญ่ ร่วงหล่นบนไม้เลื้อยด้านนอกพระราชวังหลีก็ไม่ปาน!

กระบี่ทั้งสองปะทะกันในความมืดยามราตรี ส่องกระทบกับแสงดวงดาวประหนึ่งน้ำบนผิวแม่น้ำที่ไหลกระเพื่อม เป็นสิ่งมหัศจรรย์

“กระบี่เวิ่นสุ่ย!”

มีคนรู้จักความเป็นมาของกระบี่ในมือถังซานสือลิ่ว กระบี่ด้ามนั้นแวววับราวกระจก เป็นกระบี่ที่สามารถส่องดวงดาว เป็นกระบี่ประจำตระกูลของตระกูลถังแห่งเวิ่นสุ่ย กระบี่เวิ่นสุ่ย!

คาดไม่ถึงคุณปู่ตระกูลถังจะนำกระบี่ประจำตระกูลให้ถังซานสือลิ่วติดตัวมาจิงตู นี่สามารถอธิบายได้ว่าเขารักใคร่หลานเพียงใด สามารถอธิบายได้ว่าเขาส่งมอบความหวังอันสูงสุดให้ถังซานสือลิ่วอย่างไร ยิ่งแสดงให้เห็นว่าตระกูลถังได้ตัดสินใจยกการสืบทอดตำแหน่งเอสไว้มือของถังซานสือลิ่วแล้ว!

มีคนตกตะลึงเพราะกระบี่เวิ่นสุ่ย และก็มีบางคนสีหน้าประทับใจเพราะว่ากระบี่ในมือของชีเจียน

ในมือที่ถือกระบี่ของหนุ่มน้อยร่างผอมบาง ชัดเจนว่ากระบี่มีสีดำขลับ แน่นิ่งไร้แสงแวววับ ถึงขนาดราวกับว่าแม้แต่ความคมก็ยังไม่มี กว้างกว่ากระบี่ธรรมดาเล็กน้อย มองแล้วไม่เหมือนกับกระบี่ เหมือนกับตรีเพชรเสียมากกว่า ใช่แล้ว กระบี่เล่มนี้คือ ‘ตรีเพชร’

ตรีเพชร เป็นเพลงกระบี่ของผู้อาวุโสฝ่ายปกครองแห่งเขาหลีซาน

ผู้นำของเขาหลีซานคาดไม่ถึงมอบเพลงกระบี่ให้ชีเจียนมายังต้าลู่ ก็พอจะรู้ว่าคาดหวังต่อลูกศิษย์ผู้นี้อย่างไร!

เพลงกระบี่ของตระกูลถังปะทะกับเพลงกระบี่ของเขาหลีซาน สุดท้ายแล้วจะเป็นผู้ใดที่แข็งแกร่งและอ่อนแอ

นี่เป็นเรื่องที่ผู้คนที่ยืนชมการประลองด้านหน้าตำหนักอยากจะรู้ที่สุด

อย่างน้อยตอนนี้ก็มองออกว่ากระบี่ทั้งสองเล่มไม่ได้แสดงความพ่ายแพ้ใดๆ

เดิมทีถังซานสือลิ่วกับชีเจียนไม่ได้ยินเสียงโห่ร้องตะโกนให้กำลังใจของผู้ชม จิตใจของพวกเขาอยู่บนกระบี่

ขอบเขตที่กระบี่ทั้งสองมาพบกัน ในความมืดยามราตรีปรากฏเส้นแสงเป็นรูปครึ่งวงกลม ปกคลุมร่างกายของหนุ่มน้อยทั้งสองอยู่ในนั้น ประจันหน้ากัน ปะทะกัน

ด้านบนของเส้นครึ่งวงกลม มีดวงดาวส่องแสงประกายในความมืดและยังมีพลังที่อันตรายอย่างยิ่งนับไม่ถ้วนออกมา

มีพลังนับไม่ถ้วน ที่พรั่งพรูกระจายออกมาจากปลายเส้นครึ่งวงกลมพุ่งไปยังพวกเขาทั้งสอง

แผ่นหินที่อยู่ใต้เท้าของคนทั้งสองจะทนรับแรงทะลุทะลวงที่น่ากลัวได้อย่างไร เสียงแผ่นหินแตกแยกจากกัน เป็นเสียงที่ทำให้ผู้คนเข็ดฟัน บนแผ่นหินมีรอยแตกแยกยาวสิบกว่าจั้ง ราวกับใยแมงมุมที่แพร่กระจายไปทุกทีทุกทางอย่างรวดเร็ว

เหมาชิวอวี่เจ้าสำนักเทียนเต้าขมวดคิ้วเล็กน้อย สะบัดแขนเสื้อทั้งสอง พลังลมปราณที่บริสุทธิ์อย่างยิ่ง ครอบคลุมบันไดหินที่อยู่ด้านหน้าตำหนักไว้

เขาเป็นหนึ่งในผู้แกร่งกล้าในใต้หล้า แขนเสื้อทั้งสองของผู้อาวุโสปลิวไสว โคจรพลังยุทธ์ทั่วทั้งร่าง เพียงแขนเสื้อสะบัดพัดผ่าน การต่อสู้ของถังซานสือลิ่วและชีเจียนต่อให้ดุเดือดรุนแรงเพียงใดก็ไม่สามารถทำอะไรผู้คนที่อยู่บนบันไดหินหน้าตำหนักได้แม้แต่น้อย ทว่าเขากลับมิได้สนใจผู้คนที่อยู่ในสนาม

เสียงนกร้อง นกกระเรียนขาวกระพือปีกบินออกไปยังท้องฟ้ายามราตรี มุ่งไปหยุดที่หลังคาของวังเว่ยยาง

จินอวี้ลวี่ยืนอยู่ด้านหลังของเฉินฉางเซิงกับลั่วลั่ว

เสี่ยวซงกงกุมฝักกระบี่แนบแน่น กระแอมเสียงต่ำสองที

รอยแตกสิบกว่าจั้งมาถึงด้านหน้าของทั้งสองหยุดลงฉับพลัน หมดหนทางที่จะมาด้านหน้าต่อ

มองเห็นภาพนี้ ผู้คนที่ชมการประลองต่างรู้สึกตื่นตะลึงและแปลกประหลาดใจอย่างยิ่ง

คนหนึ่งเป็นหนุ่มน้อยผู้แกร่งกล้าที่มีชื่อเสียงมานาน อีกคนเป็นหนึ่งในเจ็ดคำโคลงแห่งแดนเทพในตำนาน ล้วนแต่เป็นคนที่อยู่ในประกาศชิงอวิ๋น สิ่งที่พวกเขาแสดงออกมาแข็งแกร่งเหนือกว่าอายุไปมาก หากก็มิได้ทำให้ผู้คนตกตะลึงได้ สิ่งที่ทำให้ตกตะลึงก็คือภาพที่อยู่ตรงหน้า

ก่อนการต่อสู้จะเริ่มขึ้น ผู้คนต่างรู้ว่าตระกูลถังแห่งเวิ่นสุ่ยถึงแม้จะเป็นชนเผ่าที่มีมานานพันปี แต่วิชาที่สืบทอดมาก็คงจะเทียบกับเขาหลีซานไม่ได้ กระบวนท่าเพลงกระบี่หรือว่าจิตใจของถังซานสือลิ่วคงจะสู้ชีเจียนไม่ได้ แต่แท้จริงแล้วอายุมากกว่าสองปี เริ่มฝึกบำเพ็ญก่อน อย่างน้อยที่สุดพลังแท้จริงก็อาจจะแข็งแกร่งกว่าเล็กน้อย

ใครจะคาดคิดมาก่อน เมื่อกระบี่ปะทะกัน หนุ่มน้อยทั้งสองได้ประลองพลังแท้จริงและระดับความชำนาญ สุดท้ายแล้วชีเจียนไม่ด้อยแม้แต่น้อย!

ผู้คนจำนวนมากต่างไม่เข้าใจว่าเป็นเพราะเหตุใด

แต่ถังซานสือลิ่วรู้ว่าเป็นเพราะเหตุใด

ถึงแม้เขากับชีเจียนจะมีพรสวรรค์เหมือนกัน วิธีการชำระล้างกระดูกและวิชาขั้นการถอดจิตของพรรคกระบี่เขาหลีซานแข็งแกร่งกว่าตระกูลถัง ฝึกบำเพ็ญเพียรมานานหลายปี เกรงว่าจะแตกต่างกันเพียงเล็กน้อย แต่สุดท้ายแล้วอาจจะก่อเกิดเป็นความแตกต่างที่มากมาย

โดยเฉพาะอย่างยิ่งยังมีสิ่งสำคัญที่สุดอีกหนึ่งอย่าง

เขาเกียจคร้านมากกว่าชีเจียน

ถึงแม้เพราะว่าการต้อนรับของชุมนุมไม้เลื้อย เพราะการประลองกับจวงห้วนอวี่ เขาใช้เวลาไม่กี่เดือนสุดท้ายฝึกฝนอย่างหนักไม่หยุดพัก แม้แต่เฉินฉางเซิงก็ไม่ได้พบเจอ แต่…นี่เป็นเพียงระยะเวลาไม่กี่เดือน

เขาเป็นบุตรของเศรษฐี เหมือนดั่งที่จวงห้วนอวี่กล่าวไว้ คาบช้อนทองมาเกิด ตั้งแต่เยาว์วัยได้รับความรักใคร่จากท่านปู่ มีวันคืนที่งดงามมีความสุข การฝึกบำเพ็ญเพียรทุกข์ยากเพียงน้อยนิด บิดาก็กล่าวโทษทุกคน เช่นนี้หญิงรับใช้จึงหาวิธีให้เขาขี้เกียจ…

แต่ลูกศิษย์ของพรรคกระบี่เขาหลีซานจำนวนมากเกิดมาจากครอบครัวทุกข์ยาก ชีเจียนก็ไม่เว้น ถังซานสือลิ่วใช้บั้นท้ายคิดก็ยังรู้ว่าฝ่ายตรงข้ามฝึกฝนหนักถึงระดับไหน คงจะห่างไกลจากตนไปมาก ไม่ต้องมองว่าฝ่ายตรงข้ามอายุยังไม่เต็มสิบสี่ปี ทว่าเวลาการครุ่นคิดตั้งมั่นคงจะมากกว่าตนเป็นแน่…

อยู่ๆ ก็มีเสียงลมดังขึ้นในความมืดด้านหน้าตำหนัก

ลมยามราตรีพัดกระหน่ำ เส้นครึ่งวงกลมสองเส้นที่มีแสงดวงดาวปกคลุมก็กวัดแกว่งวุ่นวายขึ้นมา

ถ้าหากนั่นคือน้ำในแม่น้ำ ก็เหมือนกับมีคนปาก้อนหินลงไป

หลังจากที่กระบี่เวิ่นสุ่ยกับตรีเพชรมาปะทะกัน ครั้งแรกเกิดการแตกแยก

หลังจากนั้นจึงปะทะกันอีกครั้ง

เพียงชั่วพริบตา กระบี่ทั้งสองเล่มก็ปะทะกันหลายสิบครั้ง

เสียงลมคือเสียงของกระบี่ทั้งสองปะทะกัน เพราะว่ารวดเร็ว ดวงเหตุนี้เสียงจึงถี่ แท้จริงทำให้ผู้คนไม่รู้สึกชะงักลง

เสียงลมเดี๋ยวก่อเกิดเดี๋ยวหยุดลง สายลมยามค่ำคืนพลันเงียบลง

เงาทั้งสองพลันแยกย้ายกัน หลังจากนั้นตั้งตรงบนพื้น ยังคงเป็นดังก่อนหน้านี้ ระยะห่างสิบกว่าจั้ง

ถังซานสือลิ่วก้มหน้าลง จ้องมองยังพื้น

เวลานี้สายลมสงบกระบี่แน่นิ่ง ต้นหญ้าป่าต้นนั้นกลับตั้งตรงตามเดิม

เพียงแค่ก่อนหน้านี้ ต้นหญ้าป่าที่อยู่ด้านข้างส้นรองเท้าของเขา เวลานี้กลับอยู่ด้านหน้าของส้นรองเท้า

ถังซานสือลิ่วเงยหน้าขึ้นมามองไปยังชีเจียนที่อยู่ด้านหน้า พบว่าหนุ่มน้อยที่ผอมบางผู้นั้นยังคงยืนอยู่ที่เดิม

“เยี่ยมยอด”

เขากล่าวต่อ “เดิมทีข้าคิดว่าตนเองยังไงก็กินข้าวเร็วกว่าเจ้ามาสองปี ไม่ว่าอย่างไรก็คงจะห่างจากเจ้าไม่มาก คิดไม่ถึงว่าจะถอยมาตั้งครึ่งก้าว”

ชีเจียนจ้องมองเขากล่าวถามอย่างจริงจัง “เจ้ายอมแพ้แล้วหรือ”

ถังซานสือลิ่วรับรู้ถึงความอัปยศอดสูอย่างยิ่ง จึงเอ่ยว่า “เจ้าคิดว่าข้าเหมือนกับคนที่น่าเบื่อเช่นนั้นหรือ”

ชีเจียนรู้สึกงุนงง เอ่ยถาม “เช่นนั้นเพราะเหตุใดเจ้าจึงเอ่ยประโยคนั้นออกมา”

ถังซานสือลิ่วกล่าวอย่างเคร่งขรึม “ข้ากำลังสำรวจ…หลังจากนี้ข้าไม่สามารถเกียจคร้านเช่นนี้แล้ว”

เฉินฉางเซิงอยู่ด้านหลังเขาเอ่ยว่า “แท้จริงแล้วไม่ถูกต้อง”

ชีเจียนกล่าวอย่างจริงใจ “เจ้ามีคนที่รู้จักเจ้าดีอย่างยิ่ง”

“แต่นี่เป็นเรื่องหลังจากนี้ ค่ำคืนนี้ข้าขอชนะเจ้าก่อน”

เสื้อผ้าของถังซานสือลิ่วปลิวไสว สายตาเป็นประกายเล็กน้อย

ท่าทางของชีเจียนหวาดกลัวเล็กน้อย จิตใจสงบนิ่งเฝ้ารอ

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

ตลอดชีวิตของ เฉินฉางเซิง นั้นเต็มไปด้วยความลึกลับ เริ่มต้นจากกลิ่นหอมประหลาดที่แผ่กำจายออกมาจากตัวทำให้เหล่าสิ่งมีชีวิตเกิดความหิวกระหาย ตามมาด้วยร่างกายที่อ่อนแอเสียจนทำให้ไม่อาจบำเพ็ญเพียรได้ สุดท้ายจบลงที่อาการป่วยที่ทำให้ชีวิตของเขามิอาจยืนยาว ตลอดระยะเวลาสิบกว่าปีที่ผ่านมาเขาทำได้แค่ท่องตำราจำนวนหลายพันเล่ม แม้จะรู้ว่าอาการป่วยมิอาจรักษา บางทีมันจะเป็นโชคชะตา แต่เขาก็อยากจะท้าทายลิขิตฟ้านี้ดูสักครั้ง เขามิใช่คนเก่ง แต่เขาอยากลอง และนั่นคือจุดเริ่มต้นเส้นทางการพลิกโชคชะตาของเขา…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset