ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา – ตอนที่ 82 เสียงแส้ดังกังวาน

เป็นหนึ่งในเจ็ดคำโคลงแห่งแดนเทพ เป็นผู้แกร่งกล้าอันดับสี่ของผู้แกร่งกล้าวัยหนุ่มของประกาศชิงอวิ๋น เขามีคุณสมบัติและความภาคภูมิใจเพียงพอ การประลองค่ำคืนนี้ มุมมองของเขาไม่ยุติธรรมยิ่งนัก สุดท้ายแล้วคาดไม่ถึงจะพ่ายแพ้ให้แก่ลั่วลั่ว ความรู้สึกนี้แปรเปลี่ยนเป็นรุนแรงยิ่งขึ้น ด้วยเหตุนี้เขายังคงคิดว่าตนสามารถภาคภูมิใจและมั่นใจได้

แต่พ่ายแพ้ก็คือพ่ายแพ้ คนที่ทะนงตนเช่นเขาเดิมทีเตรียมที่จะนิ่งเงียบต่อไป ทว่ามองเห็นใบหน้าที่เปื้อนยิ้มของเฉินฉางเซิง เขารู้สึกว่าใบหน้ายิ้มแฉ่งของเฉินฉางเซิงน่าเกลียดยิ่งนัก ได้ยินเสียงหัวเราะของลั่วลั่ว เขารู้สึกว่าเสียงหัวเราะขององค์หญิงลั่วลั่วแสบแก้วหูอย่างยิ่ง จึงอดกลั้นมิได้ นำประโยคที่ซุกซ่อนในก้นบึ้งหัวใจกล่าวออกมา

ใช่แล้ว เขาไม่ยินยอม กระบี่กระบวนท่าสุดท้ายนามว่าเฟยไป๋ ลายเส้นอันแห้งผากเชื่อมต่อกันราวกับเส้นเหล็ก ถ้าหากสามารถแตะต้องพลังปราณแท้ได้ เมื่อพลังกระบี่แรกเริ่มขับเคลื่อน ก็มีม่านเหล็กบดบังอยู่ด้านหน้าร่างกาย ครั้งสุดท้ายที่ลั่วลั่วแทงเข้าไปถึงแม้จะรวดเร็วง่ายดายและสั่นสะท้านก็ไม่สามารถทะลุผ่านพลังกระบี่ของเขา ทำให้ร่างกายเขาได้รับบาดเจ็บได้

ลั่วลั่วหันหันกายมองไปทางเขา จ้องมองท่าทางของเขา ทราบดีว่าเขากำลังคิดสิ่งใด ขมวดคิ้วพลางเอ่ยออกไป “ถ้าหาก…สามารถใช้พลังปราณแท้ เมื่อกระบวนท่าที่เจ็ดสิบเก้าก่อนหน้านี้ ข้าก็สามารถทะลุทะลวงกระบี่ตั้งรับของเจ้าไปได้”

ประโยคที่นางเอ่ยออกมาเฉยเมยยิ่ง ทว่ากลับมั่นใจอย่างมิต้องสงสัย

ท่าทางของกวนเฟยไป๋เปลี่ยนเล็กน้อย กลับไปคิดถึงสถานการณ์ก่อนหน้า ฝูงชนที่อยู่ด้านหน้าตำหนักก็เริ่มคิดใคร่ครวญ หลังจากเงียบนิ่งไปชั่วครู่ ผู้คนก็ได้ข้อวินิจฉัยที่ตรงกัน ถูกต้องแล้ว ถ้าหากสามารถใช้พลังปราณแท้ได้ เวลานั้นเฉินฉางเซิงให้ลั่วลั่วใช้กระบี่ลมฝนจงซานคงสามารถแทงทะลุไปได้ ก็จะช่วงชิงชัยชนะมาได้ก่อน

“ปัญหาอยู่ตรงที่ ถึงแม้เจ้าจะสามารถใช้พลังปราณแท้ได้ เจ้าก็ไม่สามารถขับพลังกระบี่ออกมาได้”

กวนเฟยไป๋คิดว่าตนเข้าใจเรื่องราวเรื่องนี้ดี มองนางเอ่ยถามเสียงเย็น “ไม่ต้องกล่าวถึงกระบี่ท่านั้น เมื่อครั้งแรกเริ่ม มีกระบี่ลมฝนจงซานหลายกระบวนท่า ตามระดับขั้นวิทยายุทธ์ขององค์หญิงตอนนี้ ก็คงจะปล่อยออกมาไม่ได้ ทำได้เพียงท่าทางเท่านั้นเสียกระมัง!”

เสียงฝูงชนวิพากษ์วิจารณ์เปลี่ยนเป็นดังขึ้น รวมถึงเหมาชิวอวี่และผู้แกร่งกล้าอาวุโสเหล่านั้น ต่างยอมรับประโยคที่กวนเฟยไป๋กล่าวมีเหตุมีผล

เผ่าปีศาจฝึกฝนวิทยายุทธ์ของเผ่ามนุษย์มีปัญหาที่ยิ่งใหญ่ เพราะสาเหตุมาจากโครงสร้างของทั้งสองฝ่ายมีความแตกต่างกันอย่างยิ่ง พลังขับเคลื่อนที่จริงแล้วมีปัญหา ผู้แกร่งกล้าเผ่าปีศาจในดินแดนต้าลู่ขณะนี้ รวมถึงจินอวี้ลวี่ที่ลงมือก่อนหน้านี้ด้วย ก่อนที่จะเติบโตเป็นผู้ใหญ่ล้วนเคยสัมผัสวิทยายุทธ์การฝึกบำเพ็ญเพียรของเผ่ามนุษย์ หลังจากเติบโตเป็นผู้ใหญ่ยังคงต้องฝึกบำเพ็ญเพียรเคล็ดลับวิชาของเผ่าปีศาจ

การประลองค่ำคืนนี้ องค์หญิงลั่วลั่วได้แสดงออกมาก็คือเพลงกระบี่ของเผ่ามนุษย์ การบำเพ็ญเพียรก็ยังคงเป็นวิทยายุทธ์ของเผ่ามนุษย์ กล่าวกันตามเหตุผล ถ้าหากนางยังไม่ถึงขั้นถอดจิต กระบวนท่าที่มีอานุภาพในเพลงกระบี่เขาหลีซาน เป็นธรรมดาที่นางจะแสดงออกมาไม่ได้

ก่อนหน้านี้ไม่มีผู้ใดเอ่ยถึงเรื่องนี้ เพราะว่าเรื่องก่อนหน้านี้ได้ตกลงว่าทั้งสองฝ่ายจะไม่ใช้พลังปราณแท้ เป็นการทดสอบเฉินฉางเซิงกับโก่วหานสือเสียมากกว่า แน่นอนว่าจะต้องมีความสามารถของลั่วลั่วกับกวนเฟยไป๋ด้วย แต่ในเมื่อนางใช้กระบวนท่านั้นก็เป็นเพียงแค่ท่าทางเท่านั้นเอง สอดคล้องกับกฎระเบียบการแข่งขัน ไม่มีผู้ใดจะตำหนิได้

จนกระทั่งถึงตอนนี้ถูกคำพูดของกวนเฟยไป๋เปิดเผยออกมา ผู้คนถึงได้รู้สึก ว่าการประลองครั้งนี้สำหรับพรรคกระบี่เขาหลีซาน ยิ่งไม่ยุติธรรมกว่าเรื่องก่อนหน้าเสียอีก

สายลมพัดโชยมาในตำหนักยามค่ำคืน นกกระเรียนขาวหลบอยู่ใต้ปีก คล้ายกับว่ากำลังนอนหลับ

ไร้เสียงผู้คนพูดคุย เพียงแค่จ้องมองลั่วลั่ว

ถึงแม้ไม่มีผู้ใดตำหนิ ไม่มีการวิจารณ์ และก็ไม่มีผู้ใดกล้าวางแผนตัดสินการแพ้ชนะอีกครั้ง แต่สายตาเหล่านี้ได้ซุกซ่อนความหมายที่ชัดเจนยิ่ง

โก่วหานสือส่ายศีรษะ เป็นสัญญาณให้กวนเฟยไป๋กลับมา

ลั่วลั่วจ้องมองนัยน์ตาของเผ่ามนุษย์เหล่านั้น ขมวดคิ้วเล็กน้อย ในใจรู้สึกไม่สบายเท่าใดนัก แต่นางก็มิได้เอ่ยสิ่งใดออกมา จึงหมุนกายเดินมุ่งไปยังข้างสนามประลองอีกครั้ง

กวนเฟยไป๋จ้องมองภาพด้านหลังของนาง ยิ้มเยือกเย็นไร้เสียงออกมา แล้วจึงหมุนกายจากไปเช่นกัน

ทั้งสองเดินหันหลังจากไปให้กันและกัน ค่อยๆ เดินค่อยๆ ห่างกันออกไป จนกระทั่งเดินไปถึงยังฝ่ายของตน ระยะห่างประมาณหลายสิบจั้ง

ตอนนั้นเอง อยู่ๆ ลั่วลั่วก็หยุดฝีเท้า

หลังจากนั้น นางได้ทำเรื่องหนึ่ง

นางกุมแส้วิรุณโปรย ฟาดหวดลงไปที่พื้นตามสบาย

แส้ก่อเกิดเป็นสายลม แส้ร่วงลงราวสายฝน พอดีกับว่าเป็นกระบวนท่าที่มีอานุภาพร้ายแรงที่สุดในกระบี่ลมฝนจงซาน!

เสียงเปรี้ยงดังกังวานขึ้น!

แส้วิรุณโปรยเต็มไปด้วยพลังปราณแท้ ราวกับกระบี่ที่จู่โจมพื้นแผ่นดินที่ทั้งหนาทั้งหนักไร้สิ่งใดเปรียบ!

พื้นด้านหน้าตำหนักคล้ายกับว่าสั่นสะเทือนหวั่นไหวไปชั่วพริบตา!

พื้นผิวแตกเป็นรอยแยกฉับพลัน!

กรวดหิน ละอองฝุ่นกระเซ็นออกมาจากรอยแตก ภายใต้แสงดวงดาวทาบทับ ราวกับว่าแมลงเม่านับหมื่นตัวโบยบิน!

ผู้ใดกล่าวว่าเผ่าปีศาจบำเพ็ญเพียรของเผ่ามนุษย์แล้วมีปัญหา

พลังอานุภาพที่แส้วิรุณโปรยได้แสดงออกมาตอนนี้มาจากที่ใดกัน!

ผู้ใดกล่าวว่านางไม่สามารถควบคุมกระบวนท่าที่มีอานุภาพแข็งแกร่งที่สุดนั้นออกมาได้

แล้วแส้เส้นนี้คืออะไร

ได้ยินเสียงชัดเจนไพเราะเสียงนั้น กวนเฟยไป๋หมุนกายฉับพลัน

เขาไม่ได้เห็นการเคลื่อนไหวแส้ของลั่วลั่ว แต่เขาเห็นในท้องฟ้ายามค่ำคืนมีร่องรอยของพลังหลงเหลืออยู่ หลังจากนั้นเขาได้ยินเสียงที่มาตามพื้น

เขามองไปยังพื้นผิว เห็นรอยแตกที่ขยายออกมาทางตน สุดท้ายแล้วจึงหยุดลงห่างจากเขาประมาณหนึ่งนิ้ว

ฝุ่นละอองกรวดหิน กระเซ็นออกมาจากร่องที่แตก ร่วงหล่นบนพื้น

นัยน์ตาของเขาหดตัวเล็กน้อย สีหน้าเปลี่ยนเป็นขาวซีดในพริบตา

เขาคาดเดาได้ว่านางคงจะใช้กระบวนท่าของกระบี่ลมฝนจงซานเป็นแน่ เป็นกระบวนท่าที่เขาเอ่ยว่านางคงใช้ออกมาไม่ได้พอดี

เมื่อการประลองในสนามเวลานั้น เขากับนางห่างกันสิบกว่าจั้ง ทว่าเวลานี้ห่างกันหลายสิบจั้ง

เวลานี้ พลังกระบี่ของนางสามารถมาอยู่ด้านหน้าของตน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเหตุการณ์ก่อนหน้านี้

สุดท้ายแล้วเขาจึงเข้าใจ เดิมทีฝ่ายตรงข้ามไม่รู้ว่าเมื่อใด สามารถทะลวงประตูระหว่างเผ่าปีศาจกับเผ่ามนุษย์ได้นานแล้ว เข้าใจเพลงกระบี่ลมฝนจงซานได้หมดสิ้น!

ถ้าหากเอ่ยมาตามนี้ การประลองก่อนหน้านี้ถ้าหากไม่ให้ไม่ขับเคลื่อนพลังปราณแท้ แต่เป็นการประลองจริงๆ คาดไม่ถึงว่าตนก็คงจะพ่ายแพ้หรือ

ในระยะเวลาเพียงสั้นๆ เขาคิดใคร่ครวญเรื่องราวมากมาย ตั้งสมมุติฐานที่เป็นไปได้นับไม่ถ้วน สุดท้ายพบว่า ตนเองหาความเป็นได้ที่จะชนะใดๆ ไม่เจอทั้งสิ้น!

หรือว่าตนจะสู้นางไม่ได้จริงๆ

เสียงแส้ของลั่วลั่วยังคงสะท้อนในความมืดยามราตรี พัดโชยมาในพระราชวังต้าโจวที่เงียบสงบ

เสียงนั้นชัดเจนและไพเราะ

เหมือนกับตบหน้าฉาดหนึ่ง

กวนเฟยไป๋คิดไปถึงประโยคที่เมินเฉยทะนงตนก่อนหน้านี้ของตน เพียงรู้สึกว่าพวงแก้มร้อนผะผ่าวขึ้นมา

แก้มที่ขาวซีดของเขาเปลี่ยนเป็นแดงเล็กน้อย

บรรดาผู้คนที่ชมการประลองอยู่ด้านหน้าตำหนักสั่นสะเทือนไปตามๆ กัน มองเห็นรอยแตกที่อยู่บนพื้น มององค์หญิงลั่วลั่วที่ยืนกุมแส้วิรุณโปรยอยู่ข้างเฉินฉางเซิง เป็นเวลายาวนานที่ไม่มีผู้ใดเอ่ยสิ่งใดออกมา

พวกเขารู้สึกว่าแส้วิรุณโปรยขององค์หญิงลั่วลั่ว ราวกับฟาดลงบนร่างกายของพวกเขาเช่นเดียวกัน!

ได้ยินเรื่องราวเช่นนี้มาน้อยมาก เผ่าปีศาจที่อายุยังไม่ถึงสามสิบปีคาดไม่ถึงว่าจะสามารถฝึกฝนวิทยายุทธ์เผ่ามนุษย์จนถึงขั้นทะลวงอเวจี!

นางทำได้อย่างไร

ม่ออวี่จ้องมองลั่วลั่ว คิ้วเป็นแพสวยขมวดเข้าหากัน นางปรารถนาจะใคร่ครวญให้มากกว่านี้ สายเลือดเปี่ยมพรสวรรค์ของจักรพรรดิขาว แข็งแกร่งจนถึงระดับนี้เชียวหรือ

“คิดไม่ถึง องค์หญิงข้ามผ่านด่านที่ยากที่สุดนั้นได้แล้ว”

โก่วหานสือจ้องมองลั่วลั่ว กล่าวว่า “ยินดีกับองค์หญิง เพียงแค่ไม่รู้ว่า…”

“ถูกแล้ว”

ลั่วลั่วล่วงรู้ความหมายของเขา โค้งคำนับไปทางเฉินฉางเซิง พลางเอ่ยว่า “ขอบคุณอาจารย์สั่งสอน”

โก่วหานสือมองไปทางเฉินฉางเซิง เงียบนิ่งเป็นเวลานาน หลังจากนั้นกล่าวออกมา “เลื่อมใส”

เสียงคำว่าเลื่อมใสคำนี้ เป็นการเลื่อมใสจริงๆ

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

ตลอดชีวิตของ เฉินฉางเซิง นั้นเต็มไปด้วยความลึกลับ เริ่มต้นจากกลิ่นหอมประหลาดที่แผ่กำจายออกมาจากตัวทำให้เหล่าสิ่งมีชีวิตเกิดความหิวกระหาย ตามมาด้วยร่างกายที่อ่อนแอเสียจนทำให้ไม่อาจบำเพ็ญเพียรได้ สุดท้ายจบลงที่อาการป่วยที่ทำให้ชีวิตของเขามิอาจยืนยาว ตลอดระยะเวลาสิบกว่าปีที่ผ่านมาเขาทำได้แค่ท่องตำราจำนวนหลายพันเล่ม แม้จะรู้ว่าอาการป่วยมิอาจรักษา บางทีมันจะเป็นโชคชะตา แต่เขาก็อยากจะท้าทายลิขิตฟ้านี้ดูสักครั้ง เขามิใช่คนเก่ง แต่เขาอยากลอง และนั่นคือจุดเริ่มต้นเส้นทางการพลิกโชคชะตาของเขา…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset