ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา – ตอนที่ 84 บทสนทนาในค่ำคืน

ด้านข้างแม่น้ำลั่วยามค่ำคืน กิ่งหลิวกวัดแกว่งเบาๆ

ลั่วลั่วเบิกตากลมโต จ้องมองเฉินฉางเซิง พลางกล่าวว่า “ข้าก็ยินดีอย่างยิ่งที่รู้จักอาจารย์”

ถังซานสือลิ่วเกาศีรษะ รู้สึกว่าคล้ายกับว่าถึงเวลาที่ตนจะต้องแสดงความรู้สึกออกมา เอ่ยว่า “เอาเถิด ข้าก็ยินดีอย่างยิ่งที่รู้จักทุกคน”

ที่เฉินฉางเซิงกล่าวล้วนแต่เป็นคำพูดที่ออกมาจากใจจริง เมื่อตัดสินใจออกมาจากวัดเก่าในซีหนิง เขาจะคาดคิดว่าพบเจอเรื่องราวมากมายเช่นนี้รู้จักกับผู้คนเหล่านี้ได้อย่างไร เขาเป็นเพียงแค่คนหนุ่มธรรมดา คาดไม่ถึงจะรู้จักลูกหลานตระกูลถังแห่งเวิ่นสุ่ย เป็นเด็กหนุ่มที่มีพรสวรรค์อยู่ในประกาศชิงอวิ๋น ทั้งยังรู้จักกับบุตรีเพียงคนเดียวของจักรพรรดิขาว เป็นองค์หญิงแห่งเผ่าปีศาจผู้มีฐานะสูงส่งเหนือดินแดนต้าลู่

“เจ้าไม่ต้องมองให้ตนเองเป็นเด็กหนุ่มธรรมดาหรอก”

ถังซานสือลิ่วจ้องมองท่าทางของเขา จึงรู้ว่าเขากำลังคิดสิ่งใด พลางเอ่ยว่า “วันที่ทดสอบเข้าสำนักเทียนเต้า ข้ามั่นใจยิ่งนักว่าเจ้าไม่ใช่คนธรรมดา เจ้าเป็นผู้มีพรสวรรค์…เพราะเหตุใดข้าถึงมั่นใจว่าเจ้าเป็นผู้มีพรสวรรค์น่ะหรือ เพราะว่าแม้แต่ผู้มีพรสวรรค์ดังเช่นข้าก็ปรารถนาใกล้ชิดกับเจ้า”

เฉินฉางเซิงคิดไปถึงตอนอยู่ในโรงเตี๊ยม เจ้าเด็กผู้นี้ดูเหมือนเคยเอ่ยประโยคเช่นนี้มาก่อน เหมือนว่ากำลังชื่นชมตนเอง ในความเป็นจริงยังยกย่องตัวเขาเองด้วย

ลั่วลั่วคิดว่าถังซานสือลิ่วเอ่ยออกมามีเหตุผลยิ่ง นางคิดมาตลอดว่าเฉินฉางเซิงเป็นผู้มีพรสวรรค์ที่สุดบนโลกใบนี้

“โดยเฉพาะอย่างยิ่งเจ้าเป็นว่าที่สามีของสวีโหย่วหรง”

ถังซานสือลิ่วจ้องมองเขากล่าวด้วยความจริงใจ “ด้วยเหตุผลนี้ ยังจะมีผู้ใดในต้าลู่กล้าคิดว่าเจ้าเป็นคนธรรมดาอีกหรือ”

ลั่วลั่วปรบมือน้อยๆ ใบหน้าเล็กเต็มไปด้วยความชื่นชม กล่าวว่า “ถูกต้อง ถูกต้อง”

เฉินฉางเซิงตะลึงงัน จ้องมองถังซานสือลิ่วพลางเอ่ย “เหตุใดข้าถึงรู้สึกว่านี่ถึงเป็นจุดสำคัญที่เจ้าอยากจะกล่าว”

“สิ่งสำคัญที่ข้าอยากจะกล่าวก็คือ ภายหลังจดจำให้มั่นจะต้องบอกพวกเราก่อน เหมือนดั่งเรื่องราวอันยอดเยี่ยมเรื่องนี้”

ถังซานสือลิ่วยืนมืออยู่ด้านหน้าเขา เอ่ยว่า “เอาออกมาดูหน่อย”

“เจ้าต้องการดูสิ่งใดเล่า” เฉินฉางเซิงไม่เข้าใจความหมายของเขา

“แน่นอนว่าเป็นหนังสือสมรสฉบับนั้น”

ถังซานสือลิ่วจ้องมองเขาราวกับว่าคนโง่เขลา เอ่ยว่า “นั่นเป็นหนังสือสมรสของสวีโหย่วหรง!”

หนังสือสมรสฉบับนั้นหลังจากได้ประกาศให้ผู้คนได้ทราบก็กลับมาอยู่ในอ้อมอกของเฉินฉางเซิงแล้ว เมื่อจ้องมองสายตาของถังซานสือลิ่วที่เต็มไปด้วยการเฝ้าคอย เขาปริปากไม่ได้ว่าจะไม่ให้เขาดู ทว่าเพราะในหนังสือสมรสมีตัวอักษรวันเดือนปีเกิดแปดตัวของสวีโหย่วหรง หลังจากเขานำหนังสือออกมาไม่ได้คลี่ออก แสดงว่าให้มองเพียงแค่ภายนอก

ถังซานสือลิ่วไม่ได้คิดแย้งต่อเรื่องเหล่านี้ ได้สัมผัสหนังสือสมรสของสวีโหย่วหรง เขาก็พึงพอใจแล้ว ลั่วลั่วก็เข้าไปใกล้ด้วยความอยากรู้อยากเห็น

ถังซานสือลิ่วใช้มือลูบไล้ผิวด้านนอกหนังสือสมรส ถอดทอนใจยิ่งนัก พลางเอ่ยออกมา “สวีโหย่วหรง สวีโหย่วหรง…คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะมีวันนี้”

เฉินฉางเซิงนำหนังสือสมรสกลับมาที่หน้าอก กล่าวถามอย่างไม่เข้าใจ “วันอะไร”

ถังซานสือลิ่วกล่าว “วันที่สมรสอย่างไรเล่า”

เฉินฉางเซิงไม่เข้าใจ เอ่ยถามต่อ “หญิงสาวจะต้องสมรสไม่ใช่เรื่องปกติหรอกหรือ”

ถังซานสือลิ่วกล่าว “หญิงสาวดั่งเช่นสวีโหย่วหรงผู้นี้…มักจะให้ความรู้สึกอีกอย่างหนึ่ง ทั้งชีวิตนี้นางจะไม่สมรส”

เฉินฉางเซิงไร้คำพูด คิดไปถึงชื่อหนึ่งที่มักจะปรากฏพร้อมกับสวีโหย่วหรง เอ่ยถาม “แล้ว…ชิวซานจวินเล่า”

ถังซานสือลิ่วรู้สึกว่าเจ้าเด็กคนนี้น่าเบื่อเสียจริง กล่าวว่า “เดิมทีค่ำคืนนี้เบิกบานใจยิ่ง เพราะเหตุใดเจ้าจะต้องเอ่ยเรื่องที่ไม่ยินดีด้วย”

ลั่วลั่วเอ่ยถาม “ถึงแม้นางจะสมรส แล้วเพราะเหตุใดเจ้าจะต้องยินดีรึ”

ถังซานสือลิ่วสีหน้าเป็นปกติกล่าวออกมา “ข้าเบิกบานยินดีแทนบรรดาคนหนุ่มสาวบนประกาศชิงอวิ๋นที่ถูกนางกดทับเหล่านั้น”

ลั่วลั่วพยักหน้าหงึกงัก กล่าวว่า “เจ้าก็เป็นหนึ่งในจำนวนคนหนุ่มสาวเหล่านั้นด้วยหรือ”

ถังซานสือลิ่วพะอืดพะอมเล็กน้อย พลางเอ่ย “เช่นนั้นแล้วจะเป็นอย่างไร ถึงอย่างไรนางก็ต้องสมรส เมื่อเวลานั้นมาถึงยังจะกล้าออกไปสู้รบฟันแทงทุกวันอีกหรือ”

ลั่วลั่วเอ่ย “เพราะเหตุใดไม่ได้ ผู้ใดเอ่ยกันว่าหญิงสาวหลังจากสมรสจะออกนอกประตูบ้านไม่ได้ จักรพรรดินีศักดิ์ก็คงไม่เห็นด้วยกับความคิดของเจ้าเป็นแน่”

“มีเพียงคนหนึ่งเห็นด้วยกับข้าเป็นพอ”

ถังซานสือลิ่วมองไปยังเฉินฉางเซิงเอ่ยออกมา “อบรมสั่งสอนภรรยาเจ้าดีๆ อย่าให้ออกมาทำให้พวกเรากลัดกลุ้มใจ”

เฉินฉางเซิงยิ้มไม่เอ่ยสิ่งใด

เมื่อกลับไปถึงสำนักฝึกหลวงก็เป็นเวลาดึกดื่นแล้ว เซวียนหยวนผ้อถูกปลุกให้ตื่นมาเปิดประตู แสงโคมไฟทาบทับลงมา แขนขวาของหนุ่มน้อยเผ่าปีศาจพันผ้าพันแผลไว้ มือซ้ายกำลังกุมไม้เท้า มองแล้วเหมือนทหารที่เพิ่งกลับมาจากสู้รบ เอ่ยไม่ออกว่าระหกระเหินเศร้าโศก ทำให้คนเป็นกังวลว่าเขาจะยืนนิ่งได้หรือไม่

“เจ้าไม่ใช่ว่ารักษาให้เขาหรอกหรือ เพราะเหตุใดยิ่งรักษายิ่งย่ำแย่เล่า” ถังซานสือลิ่วรู้สึกตกตะลึง มองเฉินฉางเซิงพลางกล่าวออกมา

เฉินฉางเซิงเอ่ยอย่างจนปัญญา “ถ้าหากเจ้าสามารถทำให้เขาว่านอนสอนง่ายสักสองวัน เห็นต้นไม้ไม่ต้องไปทุบตี เห็นก้อนหินไม่ต้องไปเตะ อาการบาดเจ็บของเขาก็อาจจะหายเร็วขึ้น”

เซวียนหยวนผ้อเก้อเขินลูบศีรษะไปมา เอ่ยว่า “จะไม่ทำอีกแล้ว มิเช่นนั้นก็จะเหมือนคืนนี้ที่พลาดการชุมนุมไม้เลื้อย เช่นนั้นน่าเสียดายอย่างยิ่ง”

จินอวี้ลวี่ทราบดีว่าค่ำคืนนี้เกิดเรื่องมากมาย องค์หญิงคงอยากจะมีสิ่งที่จะเอ่ยกับเฉินฉางเซิงและคนอื่น จึงเอ่ยสองสามประโยค หลังจากนั้นบังคับรถม้ากลับสวนร้อยหญ้าไปก่อน

คนทั้งหมดเดินจากหน้าประตูสำนักมุ่งไปยังหอตำรา เซวียนหยวนผ้อถามสองสามประโยคเกี่ยวกับเรื่องของการชุมนุมไม้เลื้อยในค่ำคืนนี้ ลั่วลั่วยังไม่ทันได้เอ่ยสิ่งใดออกมา ถังซานสือลิ่วก็กล่าวว่า “ถูกต้อง พวกเราชนะแล้ว”

เมื่อเอ่ยประโยคนี้ ท่าทางของเขาสงบนิ่ง ราวกับว่าเอ่ยเรื่องเล็กน้อยเรื่องหนึ่ง โบกมือไปมา คล้ายกับว่าปัดละอองฝุ่นเม็ดเล็กๆ สายลมเย็นสบายก้อนเมฆเบาบางเป็นพิเศษ

เซวียนหยวนผ้อเป็นหนุ่มน้อยเผ่าปีศาจที่ซื่อตรง ยากที่จะซาบซึ้งท่วงทำนองที่สุนทรีเช่นนี้ เอ่ยถามตรงๆ “ชนะผู้ใด”

“พรรคกระบี่เขาหลีซานต้องการประลองกับสำนักฝึกหลวง ด้วยเหตุนี้พวกเราจึงต่อสู้แล้วได้รับชัยชนะ”

ถังซานสือลิ่วกล่าวต่อ “ถูกต้องแล้ว ลืมบอกเจ้าไปอีกหนึ่งเรื่อง ตอนนี้ข้าก็เป็นนักเรียนของสำนักฝึกหลวง เจ้าสามารถเรียกข้าว่าศิษย์พี่ถัง”

เซวียนหยวนผ้อมิได้สนใจที่เจ้าหนุ่มคนนี้ที่เปลี่ยนเป็นสหายร่วมสำนัก ถึงแม้เขาจะซื่อตรงว่านอนสอนง่ายก็จะไม่เรียกเจ้าเด็กหนุ่มผู้นี้ว่าศิษย์พี่ เพียงแค่ได้ยินเขาบอกว่าสำนักฝึกหลวงชนะพรรคกระบี่เขาหลีซาน อดไม่ได้ที่จะถามต่อ “ดึกดื่นค่อนคืนเรียกข้าตื่นนอน เพื่อที่จะมาฟังเจ้าล้อเล่นอย่างนั้นหรือ”

“ไม่ใช่เรื่องตลก” ลั่วลั่วจ้องมองเขาเอ่ยต่อ “พวกเราชนะพรรคกระบี่เขาหลีซานจริงๆ”

เซวียนหยวนผ้อตะลึงงัน ยังคงคิดว่ากำลังล้อเล่น แต่…คนที่ล้อเล่นก็คือองค์หญิง เขาจึงไม่กล้าโต้แย้ง

จนกระทั่งนั่งอยู่บนพื้นดำขลับของหอตำรา หนุ่มน้อยเผ่าปีศาจผู้นี้ถึงล่วงรู้ว่าพวกเขาพูดความจริง คิดไปถึงวันก่อนที่เท้าของตนคันหยุกหยิก จึงแตะก้อนหินริมทะเลสาบแตกละเอียด ด้วยเหตุนี้จึงทำให้กระดูกเท้าแตก หมดหนทางที่จะเข้าร่วมการชุมนุมไม้เลื้อย เขาจึงโมโหตนเองยิ่งนัก ไม่ได้มองเห็นภาพของค่ำคืนนี้ น่าเสียดายอย่างยิ่ง

ค่ำคืนยาวนานเชื่องช้า คนหนุ่มกลับไม่มีกะจิตกะใจหลับได้ลง คนทั้งสามเข้าร่วมการชุมนุมไม้เลื้อยยังคงเหนื่อยล้า ทว่าจิตใจกลับยังคงฮึกเหิม ต่างคนต่างมีเหตุผลของตนเอง ถังซานสือลิ่วเพราะว่าความอิสระ ลั่วลั่วเป็นเพราะชัยชนะ เฉินฉางเซิงเพราะต้องการพิสูจน์ โดยสรุปแล้วพวกเขายังอยากสนทนากันต่อ รักษาความสุขให้นานอีกสักหน่อย

เฉินฉางเซิงหยิบชาข้าวสาลีที่เก็บสะสมออกมา กล่าวว่า “ค่ำคืนดึกดื่นดื่มชานี้ มิได้ทำร้ายสมอง และยังมีประโยชน์ต่อภายในของร่างกายอีกด้วย”

ลั่วลั่วจะให้เขาเป็นคนทำได้อย่างไร จึงรีบรับชามาแช่ไว้

ไม่นาน ชาก็เรียบร้อยแล้ว

“ถึงแม้เจ้าจะไปก็เป็นเพียงแค่ผู้ชม จะต้องถูกคำพูดของคนทางทิศใต้บังคับให้ลงสนาม เช่นนั้นมากสุดพวกเราก็จะเสมอกับฝ่ายตรงข้าม เพราะว่าเจ้าจะต้องพ่ายแพ้แน่นอน เฉินฉางเซิงก็พ่ายแพ้แน่นอน”

ถังซานสือลิ่วรับน้ำชามาจากลั่วลั่ว จ้องมองเซวียนหยวนผ้อแล้วเอ่ยคำที่อยากจะเอ่ยออกมา

หลังจากนั้นเขาถึงจะคิดขึ้นมาได้ นี่เป็นชาที่องค์หญิงลั่วลั่วแช่ และยังเป็นชาที่องค์หญิงลั่วลั่วส่งให้เขาด้วยมือตนเอง ชั่วพริบตาคิดว่าถ้วยน้ำชาในมือร้อนผะผ่าวหาสิ่งใดเปรียบ จนเกือบจะถือไม่อยู่

องค์หญิงของเผ่าปีศาจชงชาด้วยมือตนเอง บรรพบุรุษในตระกูลก็มิเคยได้ดื่มมาก่อน

โชคชะตาของหนุ่มน้อยเฉินฉางเซิงผู้นี้ดีจริงๆ จะคัดเลือกลูกศิษย์หญิงอย่างไรถึงจะเป็นบุตรธิดาคนเดียวของจักรพรรดิขาวเล่า

คิดใคร่ครวญ จ้องมองสายตาของเฉินฉางเซิงรู้สึกแปลกประหลาด

เวลานี้พอดีกับว่าเซวียนหยวนผ้อรู้สึกอิจฉาจึงเอ่ยว่า “ยืนมองพวกเจ้ามีหน้ามีตาอยู่ไกลๆ ก็ดีนะ”

ได้ยินประโยคนี้ ถังซานสือลิ่วจึงเพิ่มความโมโห คว่ำถ้วยน้ำชากล่าวว่า “มีหน้ามีตารึ นั่นเป็นของเจ้าเด็กเฉินฉางเซิงหมดแล้ว พวกเราสองคนเป็นเพียงแค่หุ่นกระบอกเท่านั้นเอง”

“อาจารย์ให้เจ้าถอย เจ้าก็ถอยมิใช่หรือ”

ลั่วลั่วกล่าวต่อ “แม้กล่าวปฏิเสธออกมา ทว่าร่างกายกลับเชื่อฟังอย่างยิ่ง”

ทั่วทั้งผืนเงียบนิ่ง รู้สึกเย็นยะเยือก

ถังซานสือลิ่วเปลี่ยนหัวข้อสนทนาเสียดื้อๆ “เรื่องนั้นพวกเจ้าไม่สนใจจริงๆ หรือ”

“เรื่องอะไร”

“เพราะอะไรข้าถึงออกมาจากสำนักเทียนเต้า”

เฉินฉางเซิงกับลั่วลั่วไม่ได้เอ่ยต่อ เซวียนหยวนผ้อก้มหน้าดื่มน้ำชา แสดงความคิดของตนชัดเจน

ถังซานสือลิ่วโมโหเล็กน้อย มิได้สนใจพวกเขา กล่าวต่อ “จวงห้วนอวี่เป็นบุตรชายของรองเจ้าสำนักจวง เกิดกับภรรยาคนก่อน เฮ้อ มารดาของเขาสิ้นชีวิตนานแล้ว เมื่อครั้งเยาว์วัยเขาอยู่ที่บ้านเกิดลำบากยากเข็ญ…หลังจากนั้นจึงพบบิดาอีกครั้ง อีกทั้งหลายปีก่อนนี้ รองเจ้าสำนักจวงกับมารดาของข้า…สรุป พวกเจ้าเข้าใจแล้ว”

นี่เป็นเหตุการณ์บุญคุณความแค้นที่ไม่ซับซ้อนของครอบครัว มิได้พูดเกินเลย เขาสามารถกล่าวได้ว่าเป็นปลาในน้ำที่ได้รับเคราะห์ภัย

เฉินฉางเซิงไม่ได้เอ่ยตอบ เรื่องราวเหล่านี้เป็นเรื่องส่วนตัวของเขา รู้เพียงแค่คร่าวๆ ก็เพียงพอแล้ว เขาสนใจบุญคุณความแค้นระหว่างเสนาธิการจินกับผู้อาวุโสเสี่ยวซงกงเสียมากกว่า

ได้ยินปัญหาของเขา ถังซานสือลิ่วจ้องมองลั่วลั่วพลางเอ่ยว่า “ให้บุคคลที่ห้าวหาญองอาจดังเช่นขุนพลจิน มาเป็นสารถีและเป็นผู้ดูแลจัดการได้อย่างไร ถึงแม้องค์หญิงจะมีฐานะสูงส่ง แต่เรื่องนี้ก็ไม่ค่อยดี”

ลั่วลั่วกล่าวว่า “คุณลุงจินปรารถนาจะมาจัดการเรื่องเงินทองเล็กๆ เช่นนี้ แม้แต่บิดาข้ายังแย้งมิได้ แล้วข้าจะทำอย่างไรได้เล่า”

เรื่องราวระหว่างจินอวี้ลวี่กับเสี่ยวซงกงก็มิได้ซับซ้อนเช่นกัน เป็นเพียงแค่ต่างฝ่ายมีนิสัยไม่ยอมแพ้เท่านั้นเอง

หลายปีก่อน การสู้รบกับเผ่ามาร เสี่ยวซงกงแห่งพรรคกระบี่เขาหลีซานและศิษย์น้องอีกหลายคนรับผิดชอบส่งเสบียงอาหารทว่าส่งผิดเวลา หากกล่าวตามกฎของทหารจะต้องประหาร เมื่อเวลานั้นเสี่ยวซงกงและศิษย์น้องหลายคนล้วนแต่เป็นคนหนุ่มสาวที่มีความสามารถในอนาคตไร้สิ่งใดเปรียบ มีฐานะเปรียบได้กับเจ็ดคำโคลงแห่งแดนเทพในขณะนี้ แม่ทัพขุนพลในทิศใต้ของกองทัพพันธมิตรได้ขอร้องด้วยความยากลำบาก เสี่ยวซงกงที่รับผิดชอบกองทัพแนวหลังมิได้ยินยอม จึงสังหารติดต่อกันสามคน สุดท้ายปรารถนาจะสังหารเสี่ยวซงกงผู้ที่สำคัญที่สุดแห่งเขาหลีซาน ผู้นำเขาหลีซานออกหน้าขอร้องจักรพรรดิไท่จงด้วยตนเอง จักรพรรดิขาวจึงมีพระราชโองการติดต่อกันหลายครั้ง จินอวี้ลวี่จึงถูกบังคับให้รับปากจะไม่สังหาร

เพราะเรื่องราวเหล่านี้ ผู้นำแห่งเขาหลีซานจึงถวายเคล็ดลับเพลงกระบี่เขาหลีซานแด่จักรพรรดิขาวเพื่อเป็นการขอบคุณ แต่ก็เป็นเพราะเรื่องนี้ หลังจากการต่อสู้กับเผ่ามารสิ้นสุดลง จินอวี้ลวี่ไม่ยินยอมรับสิ่งของตอบแทนความดีความชอบ ใช้ชีวิตปลูกผักทำนาอยู่ที่เนินเขาทางด้านทิศตะวันออกของแม่น้ำวั่งชวน จนกระทั่งเมื่อลั่วลั่วถือกำเนิด เขาถึงกลับมายังพระราชวังในเมืองไป๋ตี้อีกคราหนึ่ง

เรื่องราวในปีนั้นกล่าวมาเสร็จสิ้นแล้ว จึงหวนกลับมาถึงเวลานี้ทันที

ค่ำคืนอันเบิกบานจะต้องผ่านพ้นไป พรุ่งนี้พยับเมฆปกคลุมหนาแน่น

คนหนุ่มสาวในหอตำราเริ่มคิดไตร่ตรองถึงปัญหาต่อไปที่สำนักฝึกหลวงจะต้องพบเจอ

เฉินฉางเซิงถอนหายใจเฮือกใหญ่ กล่าวว่า “ข้าไม่อาจกล่าวได้ว่าพรุ่งนี้จะเกิดสิ่งใด แต่ข้าคิดว่าจะต้องมีเรื่องยุ่งยากมากมายเป็นแน่”

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

ตลอดชีวิตของ เฉินฉางเซิง นั้นเต็มไปด้วยความลึกลับ เริ่มต้นจากกลิ่นหอมประหลาดที่แผ่กำจายออกมาจากตัวทำให้เหล่าสิ่งมีชีวิตเกิดความหิวกระหาย ตามมาด้วยร่างกายที่อ่อนแอเสียจนทำให้ไม่อาจบำเพ็ญเพียรได้ สุดท้ายจบลงที่อาการป่วยที่ทำให้ชีวิตของเขามิอาจยืนยาว ตลอดระยะเวลาสิบกว่าปีที่ผ่านมาเขาทำได้แค่ท่องตำราจำนวนหลายพันเล่ม แม้จะรู้ว่าอาการป่วยมิอาจรักษา บางทีมันจะเป็นโชคชะตา แต่เขาก็อยากจะท้าทายลิขิตฟ้านี้ดูสักครั้ง เขามิใช่คนเก่ง แต่เขาอยากลอง และนั่นคือจุดเริ่มต้นเส้นทางการพลิกโชคชะตาของเขา…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset