ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา – ตอนที่ 85 สำนักที่ทรุดโทรม (1)

การชุมนุมไม้เลื้อยมีเรื่องราวเกิดขึ้นมากมาย เพียงพอที่ให้ผู้คนได้ขบคิดเป็นเวลานาน เพียงพอที่จะให้คนของสำนักฝึกหลวงดีใจที่หลุดพ้นจากความทุกข์ยากเป็นเวลานาน แต่ภายในระยะเวลาไม่นาน เรื่องนี้จะจุดชนวนผลที่ร้ายแรงให้เกิดขึ้น เมื่อมาถึงยังตรอกไป่ฮวา ไม่รู้ว่าต้นไทรใหญ่ที่อยู่ข้างทะเลสาบจะยับยั้งพายุลมฝนที่จะเกิดได้หรือไม่

เรื่องสำคัญที่สุดไม่ใช่เพราะว่าสำนักฝึกหลวงชนะพรรคกระบี่เขาหลีซาน การประลองทั้งสองสนามยุติธรรมอย่างยิ่ง ไม่มีผู้ใดที่จะกล่าวอะไรได้ ปัญหาก็คือเรื่องที่จุดชนวนการประลองทั้งสองสนามก็คือ

เฉินฉางเซิงหยิบหนังสือสมรสออกมาต่อหน้าผู้คน

เพื่อพิสูจน์ว่าตนมีฐานะเป็นว่าที่สามีของสวีโหย่วหรง

ก่อนที่คณะเจรจาทางทิศใต้จะมาสู่ขอ จะต้องได้รับความเห็นตรงกันกับพระราชสำนักต้าโจว คนที่จะต้องสมรสดังเช่นสวีโหย่วหรงแม้กระทั่งชิวซานจวินเองก็คงไม่รู้ แต่จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ทราบดี การรวมกันของทิศเหนือทิศใต้ตั้งแต่ก่อตั้งราชวงศ์ต้าโจว โดยเฉพาะอย่างยิ่งตั้งแต่จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ปกครองบ้านเมืองทั้งเรื่องเล็กใหญ่ การหมั้นหมายครั้งนี้ก็เป็นสัญลักษณ์แสดงถึงเรื่องที่ยิ่งใหญ่และสำคัญที่สุด

ทว่ากลับถูกเฉินฉางเซิงทำลายเสีย

สำนักฝึกหลวงปรากฏต่อสายตาของผู้คนอีกครั้งหนึ่ง เดิมทีเรื่องนี้ถูกผู้คนจำนวนมากมองว่าเป็นการไม่เคารพจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ หรือไม่ก็ยั่วยุ หรือไม่ก็เวลานั้นจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์อาจจะไม่รู้เรื่องเล็กน้อยเช่นนี้ อีกทั้งหลังจากเฉินฉางเซิงทำเรื่องนี้ไปแล้ว สำนักฝึกหลวงจะต้องเข้าไปอยู่ในสายตาของผู้อาวุโสในตระกูลนางอีกครั้ง

จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์จะต้องโมโหอย่างยิ่ง เช่นนั้นผลลัพธ์จะต้องร้ายแรง

นี่เป็นความยุ่งยากของเฉินฉางเซิง ยุ่งยากอย่างยิ่ง

“ไม่ต้องมองข้า เรื่องยุ่งยากยิ่งใหญ่เช่นนี้ ไม่มีผู้ใดรับได้” ถังซานสือลิ่วกล่าวอย่างไม่ลังเล

เฉินฉางเซิงกล่าวว่า “ก่อนหน้านี้ที่พระราชวัง จากน้ำเสียงที่เจ้าพูด ข้าคิดว่าเจ้าไม่เกรงกลัวตระกูลเทียนไห่เสียอีก”

ถังซานสือลิ่วจ้องมองดวงตาเขา เอ่ยออกมาทีละคำ “จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์กับตระกูลเทียนไห่เป็นเรื่องเดียวกันอย่างนั้นรึ”

เฉินฉางเซิงไม่เข้าใจ จึงเอ่ยถาม “หรือว่าไม่ใช่”

ถังซานสือลิ่วมองเขาราวกับมองคนโง่เขลา

เขาจำไม่ค่อยได้ นี่เป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วที่เขามองเฉินฉางเซิงราวกับเป็นคนโง่เขลา

เขาชัดเจนอย่างยิ่ง เฉินฉางเซิงไม่ใช่คนโง่เขลาเป็นแน่ เป็นบุคคลที่เปรียบเทียบความรู้กับโก่วหานสือได้ เป็นเพียงแค่ผู้มีพรสวรรค์ มิอาจเป็นคนโง่เขลาได้

แต่บางครั้งเฉินฉางเซิงช่างเยาว์วัยเสียจริง เขาชัดเจนว่ามีความรู้วิชาปลีกย่อยมีข้อหมายเหตุในตำราเต๋าจำนวนมาก กลับคล้ายว่าไม่เข้าใจการปกครองของราชวงศ์ไม่เข้าใจเรื่องใหญ่ในใต้หล้าอย่างสิ้นเชิง อีกทั้งเขายังช่างใสซื่อบริสุทธิ์กับเรื่องราวอันสมเหตุสมผลอย่างยิ่งเหล่านี้ ด้วยเหตุนี้จึงโง่เขลาอย่างมาก

“…นี่เป็นปัญหาที่ซับซ้อนยิ่งนัก อาจารย์ของสำนักจวนราชวังหลีถ้าหากต้องการอธิบายให้ชัดเจน ก็ยังจะต้องเขียนบทประพันธ์ที่ใหญ่ไม่น้อย”

ถังซานสือลิ่วกล่าวว่า “เจ้าเพียงแต่รู้ว่า ถึงแม้จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์จะแซ่เทียนไห่ แต่นางยังคงเป็นผู้กุมอำนาจของราชวงศ์เฉินของข้า”

เฉินฉางเซิงไม่เข้าใจ คิดใคร่ครวญพลางเอ่ยออกมา “คล้ายกับว่าซับซ้อนจริงๆ”

“อาจารย์ ท่านไม่ต้องกังวลสิ่งใด”

ลั่วลั่วกล่าว “ข้าเคยเจอจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์หลายครั้งแล้ว นางเป็นคนที่อบอุ่น โดยเฉพาะ…เรื่องเช่นนี้ นางคงไม่ได้สนใจจริงๆ หรอก”

ถังซานสือลิ่วครุ่นคิด หรือว่าจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์จะไม่สนใจ แต่ปัญหาคือใต้เท้าโจวทงและเหล่าใต้เท้าแห่งตระกูลเทียนไห่ต่างคิดว่าจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์จะต้องสนใจเป็นแน่ เช่นนั้นสำนักฝึกหลวงยังคงจมอยู่ในภัยพิบัติ เฉินฉางเซิงครุ่นคิด จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เป็นสตรีที่ปกครองราชวงศ์ต้าโจวแล้วจะเป็นคนที่อบอุ่นได้อย่างไร ตนถึงแม้จะโง่เขลาเพียงใดก็ไม่คิดเช่นนี้ ลั่วลั่วช่างเป็นคนที่มีจิตใจดังเด็กสาวจริงๆ…

ทันใดนั้น พวกเขาก็ตื่นจากภวังค์ คนที่พบเจอจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์บ่อยๆ ได้…ใช่แล้ว ตอนนี้หญิงสาวที่นั่งอยู่ข้างๆ พวกเขามิใช่หญิงสาวธรรมดา!

ตอนนี้สำนักฝึกหลวงมีบุตรีของจักรพรรดิขาว ต่อให้ยุ่งยากมากกว่านี้แล้วจะกลัวอะไรเล่า

“ถึงแม้จะมีปัญหายุ่งยากมากมาย องค์หญิงลั่วลั่วก็สามารถรับได้”

ถังซานสือลิ่วจ้องมองนาง นัยน์ตาร้อนผะผ่าวยิ่งนัก

ลั่วลั่วรู้สึกไม่ค่อยคุ้นเคย ขยับไปอยู่ด้านหลังของเฉินฉางเซิง

แม้เป็นเรื่องที่กังวลที่สุด แม้ฉากหน้าสำนักฝึกหลวงอาจมีลมฝนพัดกระหน่ำ แต่แม้จะเกรงกลัวปัญหามากมายอย่างไร เมื่อพวกเขาคิดไปถึงฐานะของลั่วลั่ว ก็ไม่ต้องไปใส่ใจแล้ว

ดวงดาวพร่างพราวบนท้องฟ้ายามค่ำคืนอันมืดมิด เหมือนกับแม่น้ำ เหมือนกับภูเขา เหมือนกับทุ่งกว้าง มีร่องรอยดวงดาวเชื่อมต่อกันราวกับลายเส้นพู่กัน คล้ายกับว่าเป็นตัวอักษรห้าตัวติดต่อกัน

“เช่นนั้น สิ่งที่พวกเราจะต้องคิดวิเคราะห์ลำดับต่อไปก็คือปัญหาของการสอบใหญ่”

ถังซานสือลิ่วกล่าว “ค่ำคืนนี้ก็ใกล้จะผ่านพ้นแล้ว เมื่อการสอบใหญ่มาถึง มิอาจให้พวกทิศใต้กู้หน้าได้”

เฉินฉางเซิงนิ่งเงียบไม่เอ่ยสิ่งใด เขาคิดไปถึงประโยคก่อนที่โก่วหานสือจะจากไป

ตื่นเต้นดีใจรึ

ใช่แล้ว ถ้าหากเข้าร่วมการสอบใหญ่ เขาจะต้องนำความสั่นคลอนมาให้ผู้คนบนโลกนี้อีกครา ถ้าหากชำระล้างกระดูกไม่สำเร็จเช่นนี้ ก็คงจะลงสนามการต่อสู้และการประลองยุทธ์ไม่ได้ ถึงแม้จะได้คะแนนเต็มในวิชาความรอบรู้ แล้วจะมีความหมายอะไรเล่า

ยิ่งไปกว่านั้น เป้าหมายของเขาก็คืออยู่ในอันดับแรกรายชื่อแรก

ลั่วลั่วเอ่ยออกมา “ข้าไม่มีปัญหา”

ท่าทางของหญิงสาวสงบนิ่ง น้ำเสียงเป็นไปตามธรรมชาติ มีอานุภาพและความมั่นใจในตนเอง

“ฝ่าบาทท่านไม่มีปัญหาเป็นแน่ แต่ข้ามี”

ถังซานสือลิ่วกล่าวต่อ “ห่างจากการสอบใหญ่ไม่กี่เดือน ถึงแม้ข้าจะทุ่มเทสุดชีวิตเพียงไร หรืออาจจะไม่ต้องการเจ้าเด็กผู้นี้ เมื่อเวลานั้นมาถึงก็มีโอกาสชนะชีเจียน แต่เจ็ดคำโคลงแห่งแดนเทพคนที่เหลือ…ข้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของพวกเขา”

เขากล่าวออกมาด้วยความสงบนิ่งเป็นธรรมชาติ เพราะนี้เป็นความจริง

“ปัญหาของเจ้าเด็กผู้นี้ใหญ่ที่สุด”

เขาจ้องมองเฉินฉางเซิงพลางตะโกนออกมา “เจ้าเด็กผู้นี้ชัดเจนยิ่งนักว่าเป็นผู้มีพรสวรรค์ที่น่าตกตะลึง แต่กลับเพราะไม่สามารถฝึกบำเพ็ญเพียรได้ เมื่อการสอบใหญ่มาถึงจึงเป็นได้เพียงของไร้ประโยชน์ ช่างน่าเสียดายจริงๆ”

ประโยคนี้ทำให้คนรู้สึกไม่ยินดี แต่กลับมิได้รู้สึกโกรธแค้น

เฉินฉางเซิงแก้ปัญหานี้ไม่ตก เป็นธรรมดาที่ไม่สามารถตอบคำถามเขาได้

เขายืดตัวลุกขึ้น กล่าวว่า “ข้าจะเข้านอน”

“หัวข้อนี้เปลี่ยนไปดื้อๆ ได้อย่างไร” ถังซานสือลิ่วกล่าวด้วยความโมโห

เฉินฉางเซิงอธิบาย “ข้าจะไปนอนจริงๆ”

“ค่ำคืนที่ดีเช่นนี้ เพื่อยินดีกับชัยชนะในการชุมนุมไม้เลื้อย เพื่อต้อนรับผู้มีพรสวรรค์เข้าสำนักฝึกหลวง หรือว่าไม่ควรเมามายสักครั้งหรือ”

ถังซานสือลิ่วจ้องมองชาสาลีที่มีรสชาติเกรียมเล็กน้อยอยู่เต็มแก้ว เอ่ยต่อ “ดื่มเล็กน้อยค่อยไปนอน”

“ดื่มสุราไม่ดีต่อร่างกาย”

เฉินฉางเซิงหมุนกายเดินออกไปยังนอกหอตำรา

ลั่วลั่วแต่ไหนแต่ไรมาเป็นผู้ตามเขา จึงยืดตัวลุกขึ้นออกตามไป

ถังซานสือลิ่วจ้องมองเซวียนหยวนผ้อ ยกแก้วน้ำชาสาลีขึ้น พลางกล่าวว่า “เจ้ารู้หรือไม่ว่าสุราอยู่ที่ใด”

เซวียนหยวนผ้อตอบซื่อตรง “ข้าหามาหลายวันแล้ว…ที่นี่ไม่มีสุรา”

ถังซานสือลิ่วกลอกตาไปมา เตรียมที่จะถามอะไรเสียหน่อย

เซวียนหยวนผ้อรีบเสริมมาอีกหนึ่งประโยค “ในห้องครัวไม่มีสุราชั้นเลิศ แม้แต่สุราหมักข้าวเหนียวยังไม่มี”

ดื่มสุราไม่ดีต่อร่างกาย กินไขมันเยอะเกินไปก็ไม่ดีต่อร่างกาย ดีใจเกินไปเศร้าโศกเกินไปไม่ดีต่อร่างกาย นอนแต่หัวค่ำตื่นแต่เช้าดีต่อร่างกาย เนื้อปลาดีต่อร่างกาย ผักสดดีต่อร่างกาย พริกหยวกก็ดีต่อร่างกาย เฉินฉางเซิงเคร่งครัดว่าสิ่งใดควรหรือไม่ควรทำตาม ดีหรือไม่ดีต่อสุขภาพ

วันเวลาเช่นนี้ผ่านมาหลายปี มีเพียงช่วงเวลาสั้นอย่างยิ่ง ที่เขาละทิ้งมาตรฐานการดำเนินชีวิตรูปแบบนี้

ช่วงเวลานั้นไม่นานก่อนหน้านี้ อยู่ข้างใต้ส่วนรกร้างของพระราชวังผืนนั้น อยู่ตรงหน้าของมังกรน้ำค้างแข็ง เขาคิดว่าตนจะต้องเสียชีวิตในไม่ช้า ตนรู้สึกเสียใจที่ทั้งชีวิตนี้ไม่เคยปล่อยชีวิตให้เป็นไป ด้วยเหตุนี้จึงตัดสินใจว่าจะปล่อยให้มันเป็นไปสักครั้งหนึ่งในช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิต เขาตะโกนลั่นเรียกมังกรดำน่ากลัวตัวนั้น น้ำตาไหลอาบใบหน้า ถือโอกาสให้หวนคิดถึงชีวิตเริ่มแรกในวัยหนุ่มของตนเองอีกครั้ง

ผลสุดท้ายกลับยังไม่เสียชีวิต ตอนนี้คิดไปแล้ว เขารู้สึกว่าตนเวลานั้นแสดงออกอย่างน่าละอาย หลังจากนั้นจึงกลับไปยังวิถีทางของตนใหม่อีกครั้ง เริ่มทำตามมาตรฐานการดำเนินชีวิตของตนใหม่ แน่นอนว่าไม่รับข้อเสนอของถังซานสือลิ่วแล้วมานอน แต่แท้จริงแล้วเป็นเพราะรู้สึกว่าการดื่มสุราไม่ดีต่อร่างกายหรือว่าไร้หนทางเผชิญหน้ากับปัญหานั้น ตัวเขาเองก็ไม่อาจมั่นใจได้

หลบเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งกับอาคารหลังเล็กๆ หรือ

เขาเอนตัวลงนอนบนเตียง มองท้องฟ้ายามค่ำคืนค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีฟ้าจากหน้าต่างที่กั้นไว้ มองดวงดาวที่ค่อยๆ สลัว มองแสงดวงดาวในป่าที่เงียบสงัด พบว่าตนเองนอนไม่หลับ

น้อยครั้งที่เขาจะนอนไม่หลับ ทันใดนั้นจึงรู้สึกงุนงง เขาไม่รู้ว่านอนไม่หลับควรจะทำอย่างไร ควรจะเบิกตาขึ้นหรือว่าหลับตาลง ควรคิดใคร่ครวญเรื่องราว หรือว่าไม่ควรคิด ทำเพียงแค่นับแกะ

แกะหนึ่งตัว แกะสองตัว แกะสามตัว แกะสี่ตัว…

บนเนินเขาเต็มไปด้วยแกะสีขาว อยู่ๆ ก็มีแพะสีดำปรากฏหนึ่งตัว

เขานึกถึงแพะดำตัวที่พาเขาออกจากส่วนลึกของวังมายังวังเว่ยยางตัวนั้น คิดไปถึงมังกรดำตัวที่ปล่อยเขาออกมา คิดว่าค่ำคืนนี้เกิดเรื่องราวที่น่ามหัศจรรย์อย่างยิ่ง

เขาไม่ได้คิดไปถึงสตรีวัยกลางคนที่เกือบจะได้รับอันตรายจากระถางดอกไม้ด้านข้างสระน้ำ

หลังจากนั้นคิดไปถึงชีเจียน คิดไปถึงโก่วหานสือ ไม่ได้ลำพองใจ มีเพียงแค่เลื่อมใส

เขาเลื่อมใสบรรดาลูกศิษย์พรรคกระบี่เขาหลีซานจริงๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งโก่วหานสือ

โก่วหานสือศึกษาคัมภีร์เต๋าแตกฉาน ฝึกฝนวรยุทธ์ถึงขั้นแกร่งกล้า เพราะเหตุใดตนถึงทำไม่ได้เล่า

เหมือนกับที่ถังซานสือลิ่วได้กล่าวไว้ ถ้าหากการสอบใหญ่มาถึง ตนควรจะทำอย่างไรดี

เขาลืมตาขึ้น

แสงดวงดาวอ่อนๆ จากด้านนอกหน้าต่างส่องเข้ามา กระทบเข้ากับบนฝ่ามือของเขา

เขาพลิกฝ่ามือไปมา จ้องมองแสงดวงดาวที่วูบไหว อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมา

ด้านนอกหน้าต่างมีนกร้องส่งเสียงยามเช้าตรู่

ทำให้เขาคิดไปถึงนกกระเรียนขาวที่มาจากทิศใต้

ทำให้จิตใจของเขาสงบนิ่งไปมาก

ด้วยเหตุนี้เขาจึงค่อยๆ หลับไป

เวลาเช้าตรู่ เฉินฉางเซิงตื่นนอน

เขาจ้องมองท้องฟ้าด้านนอกหน้าต่าง พบว่าเป็นเวลาเช้าตรู่ ถึงแม้จะสายกว่าเวลาปกติ แต่เพราะเมื่อคืนนอนดึกเกินไป ทั้งยังนอนไม่ค่อยหลับ การนอนหลับไม่เพียงพอ ความง่วงงุนช่างยากที่จะอดทนได้

เขายังคงปีนป่ายลุกขึ้นมา ไม่ใช่เพราะว่าปฏิบัติตามกฎอย่างเคร่งครัด แต่เพราะว่าเสียงที่ดังมาจากด้านนอกดังอย่างยิ่ง

เขาถูกเสียงเหล่านี้รบกวนจนตื่นนอน

เขาไม่เคยชินกับการนอนไม่พอ ไม่สบายอย่างยิ่ง ใช้น้ำเย็นล้างหน้าบ้วนปาก ขยี้ตา หาวสองสามทีจึงลงไปด้านล่าง

ถังซานสือลิ่วกับเซวียนหยวนผ้อถูกเสียงด้านนอกรบกวนให้ตื่นนอนเช่นกัน แต่ท่าทางของพวกเขาน่าเกลียดยิ่งกว่า มองแล้วเมื่อคืนคงจะนอนหลับดึกยิ่งกว่า

“ฟันข้าก็ยังไม่ได้แปรง!”

ถังซานสือลิ่วได้ยินเสียงโหวกเหวกโวยวายด้านนอกสำนัก สีหน้าโมโหบึ้งตึงอย่างยิ่ง

“เหตุใดถึงได้เสียงดังแต่เช้าตรู่เช่นนี้”

เฉินฉางเซิงกล่าวถามอย่างไม่เข้าใจ

เซวียนหยวนผ้อครุ่นคิด กล่าวว่า “หรือเพราะว่าเมื่อคืนชนะพรรคกระบี่เขาหลีซาน ดังนั้นจึงมีคนมาสมัครสำนักพวกเราจำนวนมาก”

เฉินฉางเซิงตกตะลึง ในใจครุ่นคิดก็อาจจะเป็นเช่นนี้ได้

ถังซานสือลิ่วถากถาง “เจ้าคิดว่าผู้คนในเมืองจิงตูจะใสซื่อเช่นเจ้า โง่เขลาบริสุทธิ์เช่นเขาหรือ ก็เหมือนกับที่พูดไว้เมื่อวาน เจ้าเด็กเฉินฉางเซิงล่วงเกินต่อจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ ตระกูลชิวซาน พรรคกระบี่เขาหลีซาน จวนขุนพลเทพตงอวี้ และยังทำให้ใต้เท้าสังฆราชไม่ยินดี…สถานที่ชั่วร้ายเช่นนี้ บิดามารดาที่ไหนจะกล้าส่งบุตรธิดามาศึกษา เช่นนั้นไม่เป็นการส่งมาให้เสียชีวิตหรอกหรือ”

เสียงด้านนอกสำนักฝึกหลวงยิ่งนานยิ่งดังขึ้น เพียงแค่ได้ยินไม่ชัดว่าคือเสียงอะไร

แรงกดดันที่ไร้รูปร่างกำลังเรียกร้อง เริ่มตลบอบอวลอยู่ด้านในของสวนสำนัก

เฉินฉางเซิงหันหลังกลับไปมองประตูบานใหม่ที่ปิดแน่นของกำแพงด้านนั้น รู้สึกประหลาดใจ

หากกล่าวตามเหตุผล ถึงแม้ลั่วลั่วจะไม่ตื่นนอน เวลานี้อาหารเช้าจากสวนร้อยหญ้าก็ควรจะส่งมาถึงแล้ว

อยู่ๆ เขาก็รู้สึกไม่ดี

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

ตลอดชีวิตของ เฉินฉางเซิง นั้นเต็มไปด้วยความลึกลับ เริ่มต้นจากกลิ่นหอมประหลาดที่แผ่กำจายออกมาจากตัวทำให้เหล่าสิ่งมีชีวิตเกิดความหิวกระหาย ตามมาด้วยร่างกายที่อ่อนแอเสียจนทำให้ไม่อาจบำเพ็ญเพียรได้ สุดท้ายจบลงที่อาการป่วยที่ทำให้ชีวิตของเขามิอาจยืนยาว ตลอดระยะเวลาสิบกว่าปีที่ผ่านมาเขาทำได้แค่ท่องตำราจำนวนหลายพันเล่ม แม้จะรู้ว่าอาการป่วยมิอาจรักษา บางทีมันจะเป็นโชคชะตา แต่เขาก็อยากจะท้าทายลิขิตฟ้านี้ดูสักครั้ง เขามิใช่คนเก่ง แต่เขาอยากลอง และนั่นคือจุดเริ่มต้นเส้นทางการพลิกโชคชะตาของเขา…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset