ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา – ตอนที่ 94 ต่อสู้กับจิงตู (1)

เฉินฉางเซิงเข้าใจความหมายของนาง ถ้าหากไม่เหมือนกับที่กล่าวไว้ในข่าวลือ สวีโหย่วหรงไม่อยากสมรสกับชิวซานจวิน จนถึงขนาดที่ว่าเดิมทีไม่อยากสมรสกับใคร หนังสือสมรสของนางเป็นข้ออ้างในการปฏิเสธชิวซานจวินและผู้คนอื่นๆ นอกจากเขา สามารถปิดปากผู้คนในใต้หล้าเป็นระยะเวลายาวนาน

หนังสือสมรสฉบับนั้นเป็นเหตุผลที่ดีที่สุดของนาง เขาก็เป็นอนุสาวรีย์แข็งแกร่งยากจะเจาะทะลวงได้อยู่ข้างหลังนาง

ใช่แล้ว นี่เป็นการอธิบายสถานการณ์ตอนนี้ได้เหมาะสมที่สุด และก็สามารถตอบประโยคที่สวีโหย่วหรงให้ซวงเอ๋อร์มาบอกได้อย่างสมบูรณ์ ไม่ต้องเข้าใจผิด ทว่าเฉินฉางเซิงไม่เห็นด้วยกับวิธีคิดของม่ออวี่ ไม่ได้เกี่ยวข้องกับหลักการ เพียงแค่ว่านางกล่าวไม่ค่อยน่าฟัง

“มองแล้ว ความสัมพันธ์ระหว่างคุณหนูตระกูลสวีกับเจ้าไม่ได้ดีอย่างที่ข้าคาดคิดไว้”

“นี่มิได้เกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ใกล้ชิดสนิทสนมใดๆ เผ่ามารอยู่ทางทิศเหนือดูแลประชาชนฟื้นฟูเศรษฐกิจอาณาจักร เผ่ามนุษย์บนโลกใบนี้จะต้องรักษาความสัมพันธ์อันดีงามระหว่างเผ่าปีศาจ และจะต้องรับประกันความสามัคคีภายใน ทิศเหนือทิศใต้ไหลรวมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันเป็นเรื่องที่สำคัญอย่างยิ่ง การสมรสระหว่างสวีโหย่วหรงกับชิวซานจวิน เนื้อแท้แล้วหาเปลี่ยนแนวโน้มนี้ได้ไม่ ทว่ากลับเป็นสัญลักษณ์อย่างหนึ่ง…อีกทั้งยังเป็นสัญลักษณ์ที่ทั่วทั้งต้าลู่มองเห็น ความคิดและการกระทำของนาง ไร้สติปัญญาอย่างยิ่ง”

“แต่ว่าเจ้าไร้หนทางที่จะกระทำใดๆ กับนาง ด้วยเหตุนี้จึงจงใจกล่าวยั่วโทสะข้าหรือ”

“หรือเจ้าคิดว่านี่มิใช่ความจริง”

“ไม่ว่าความจริงใดๆ ล้วนแต่จะเกิดขึ้นทีหลัง จึงจะสามารถแน่ใจว่าเป็นความจริง”

เฉินฉางเซิงครุ่นคิดถึงประโยคที่ตนเคยเอ่ยในสวนรกร้าง หากไม่นับก็ได้ เพราะว่าเขาก็ไม่ปรารถนาจะหน่วงเหนี่ยวชีวิตและวัยหนุ่มสาวของผู้ใด ทว่าเขาอยู่จิงตูพบเจอเรื่องราวมากมาย ด้วยเหตุนี้จึงไร้หนทางที่จะทำให้เชื่อได้ง่ายดาย อย่างน้อยก็มีบางคำพูดที่จะต้องกล่าวต่อหน้าถึงจะนับได้

“อยากจะให้ข้าเป็นฝ่ายยกเลิกหนังสือสมรส ที่จริงแล้วไม่ยาก ให้สวีโหย่วหรงมาคุยกับข้าด้วยตนเอง”

เขามองม่ออวี่พลางเอ่ยว่า “ล้วนแต่กล่าวว่านางมีจิตใจของหงส์ แต่อย่างน้อยในเรื่องนี้ ข้ากลับมองไม่เห็น”

ม่ออวี่พลันกล่าวออกมา “ในความเป็นจริงข้ากลุ้มใจยิ่ง”

เฉินฉางเซิงเอ่ยว่า “เรื่องนี้ก็ทำให้ข้ากลัดกลุ้มใจเช่นกัน”

ผมดำขลับของม่ออวี่แผ่สยาย คิ้วเรียวละเอียดดุจกระบี่ จ้องเขาเขม็งพลางเอ่ยว่า “ถ้าหากเป็นไปได้ ข้ายินยอมสังหารเจ้าเสีย”

นางถึงแม้จะอายุเพียงแค่นี้ก็เป็นผู้แกร่งกล้าที่อยู่ขั้นรวบรวมดวงดาว ได้รับความไว้วางใจจากจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ ในราชวงศ์ต้าโจวต่างเรียกขานว่าอยู่ใต้จักรพรรดิ อยู่เหนือคนใต้หล้า เป็นผู้ยิ่งใหญ่ที่ยอดเยี่ยมจริงๆ ถูกบีบบังคับให้จัดการเรื่องการสมรสครั้งนี้ และเป็นเพราะบางสาเหตุทำให้ถูกบีบบังคับราวกับมัดมือมัดเท้า นี่ทำให้นางกลัดกลุ้มจริงๆ

เฉินฉางเซิงรับรู้ได้ถึงอันตราย จนถึงเวลานี้ เขาเพิ่งคิดได้ว่าหญิงสาวงดงามที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้มิใช่คนธรรมดา เข้าจ้องเขม็งดวงตาของนาง กล่าวถาม “วันนี้ท่านมาที่สำนักฝึกหลวง ให้คนของตระกูลเทียนไห่ทำเรื่องบางอย่าง จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ทราบหรือไม่”

ม่ออวี่หัวเราะเยือกเย็นสองครั้ง มิได้เอ่ยสิ่งใด นางสามารถได้รับความไว้วางใจลึกซึ้งจากจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ ในช่วงระยะเวลาสั้นๆ ไม่กี่ปี จากขุนนางธรรมดาตะเกียกตะกายจนกระทั่งถึงปลายยอด นอกจากความสามารถของตนเอง สาเหตุสำคัญที่สุดก็เพราะว่านางชำนาญในการเข้าใจจิตใจของจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์

มีเรื่องราวมากมาย จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เพราะสาเหตุอย่างนี้อย่างนั้น ไม่สามารถแสดงอากัปกิริยาอะไรได้ จนกระทั่งเมื่อแม้แต่จิตใจก็ไม่สามารถแสดงออกมาได้ นางจึงแอบจัดการแทนจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ให้เรียบร้อยอยู่เงียบๆ

ก็เหมือนกับเรื่องนี้ที่เกี่ยวข้องกับหนังสือสมรสที่จะต้องรวมกันระหว่างทิศใต้ทิศเหนือ

ทางด้านนี้ม่ออวี่แต่ไหนแต่ไรไม่เคยผิดพลาดมาก่อน นางเข้าใจแจ่มแจ้งว่าจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ต้องการผลลัพธ์เช่นไร

“ใต้เท้ามุขนายกของสำนักการศึกษากลางท่านนั้น ผู้คนอีกมากมายที่อยู่พระราชวังหลี ยังมีบรรดาผู้อาวุโสที่มาจากหลากหลายที่…ผู้คนเหล่านี้ต่างล้วนเคยโดดเด่นในนิกายหลวง คล้ายกับว่าคนเหล่านี้ปกป้องสำนักฝึกหลวง แต่ในความเป็นจริงแล้วเป็นการใช้ผลประโยชน์จากเจ้า แม้แต่เจ้าก็มองไม่ออกเชียวหรือ”

“เป็นท่านที่จัดการให้ข้ามาศึกษายังสำนักฝึกหลวง”

เฉินฉางเซิงจ้องมองดวงตานาง เอ่ยว่า “ถ้าหากผู้อาวุโสนิกายหลวงเหล่านั้นใช้ประโยชน์จากข้าจริง อีกทั้งสุดท้ายก็ทำสำเร็จ ก่อนที่ความโกรธเคืองของจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์จะร่วงบนยังศีรษะข้า ก็คงจะร่วงบนร่างกายของท่านก่อน หรือเพราะความเกรงกลัวในจุดนี้เป็นสาเหตุ ท่านจึงรีบเร่งให้ข้าถอดถอนการหมั้นหมาย เพื่อสร้างความดีความชอบชดเชยหรือ”

ท่าทางของม่ออวี่เปลี่ยนไปเล็กน้อย มิรู้ว่าเป็นเพราะเขากล่าวแทงใจหรือไม่ หลังจากนั้นนางจึงยิ้มเหยียดหยามออกมา “จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ให้ความไว้วางใจแก่ข้า ทั่วทั้งต้าลู่ต่างทราบดี เด็กน้อยเช่นเจ้า คิดว่าจะใช้คำพูดธรรมดาไม่กี่ประโยค แล้วสามารถทำอะไรได้อย่างนั้นรึ”

เฉินฉางเซิงกล่าวว่า “ใช่แล้ว เจ้าจัดการให้ข้าเข้าสำนักฝึกหลวงเป็นเพียงเหตุประจวบเหมาะพอดี จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์อาจจะมิได้มีความคิดเข้าใจผิดอะไร ทว่านางคงจะจดจำเรื่องราวนี้ เป็นการตัดสินใจที่ง่ายดายของท่าน ทำให้จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ได้รับการท้าทาย ขณะนี้จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ไว้วางใจเจ้า ด้วยเหตุนี้จึงไม่มีปัญหาใดๆ ภายภาคหน้าวันใดวันหนึ่ง ถ้าหากนางมิได้ไว้วางใจท่านต่อไปอีก เช่นนั้นเรื่องนี้ก็คงจะทำให้ท่านยุ่งยากอย่างยิ่ง”

ม่ออวี่ขมวดคิ้วเรียว แผ่กระจายกลิ่นของปราณกระบี่

“ที่จริงแล้วสถานการณ์ของสำนักฝึกหลวงตอนนี้ตึงเครียดเล็กน้อย ทว่าท่านมาเผชิญหน้ากับสถานการณ์เช่นนี้แท้จริงแล้วไม่ค่อยจะดีเท่าไหร่”

เฉินฉางเซิงกล่าวต่อ “ก็เหมือนกับที่เคยกล่าวในสวนรกร้างวันนั้น ข้าจะไม่เป็นฝ่ายถอดทอนการหมั้นหมาย นอกเสียจากนางเป็นฝ่ายมาเจรจากับข้าก่อน ทางด้านนี้ ท่านจะไม่ได้รับอำนาจเป็นผู้กระทำหรือเป็นฝ่ายชี้แนะ หลังจากกลับไปยังตำหนัก กรุณาให้ท่านคิดวิธีใหม่เสียเถิด”

ม่ออวี่รู้สึกว่าตนกำลังได้ยินประโยคที่มีความหมายอย่างยิ่ง คิ้วเรียวอยู่ในระดับปกติ น้ำเสียงราบเรียบเอ่ยออกมา “เด็กเช่นเจ้ากำลังขับไล่ข้ารึ”

เฉินฉางเซิงกล่าว “มิกล้า เป็นเพียงการเชิญท่านกลับ”

ม่ออวี่หัวเราะออกมาจริงๆ เพราะรู้สึกว่าเป็นเรื่องไม่น่าเชื่อเหลือเกิน “คิดไม่ถึงว่าเจ้ากล้าปฏิบัติต่อข้าเช่นนี้”

เฉินฉางเซิงกล่าวว่า “สนทนาไม่ถูกคอแค่ครึ่งประโยคก็มากเกิน”

การสนทนาครั้งนี้ เขาแสดงราวกับว่าเป็นผู้ยิ่งใหญ่ ทว่าในความเป็นจริงเขาเป็นเพียงแค่หนุ่มน้อยคนหนึ่ง คล้ายกับว่าไม่สะทกสะท้าน วาจาเชือดเฉือนเหมาะสมกับใบหน้าที่อ่อนเยาว์ ท่าทางโบกมืออย่างฝืนๆ ในความเป็นจริงมองแล้วน่ารักและก็งุ่มง่ามอย่างยิ่ง

ความน่ารักและความงุ่มง่ามเป็นเรื่องจริง ด้วยเหตุนี้ม่ออวี่ก็โมโหจริง คำพูดที่อยู่ต่อหน้าเหล่านั้น นางเข้าใจได้ว่าเป็นการต้องการปะทะกันตาต่อตาฟันต่อฟัน จนกระทั่งท้ายที่สุด นางถึงมั่นใจ เดิมทีเฉินฉางเซิงไม่ได้ใส่ใจตน และก็มิได้เกรงกลัวตน

ตั้งแต่ติดตามรับใช้จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ ไม่มีผู้ใดกล้าปฏิบัติต่อนางเช่นนี้ ยิ่งไม่มีผู้ใดกล้าเป็นฝ่ายร้องขอให้นางกลับออกไป ไม่ว่าจะเป็นอัครเสนาบดีหรือว่าจะเป็นผู้มีฐานะสูงส่งของตระกูลเทียนไห่ หรือว่าจะเป็นผู้ยิ่งใหญ่ในนิกายหลวงก็ตาม แม้จะเป็นใต้เท้าสังฆราชยังรักใคร่เอ็นดูนาง แต่เฉินฉางเซิงกลับทำเช่นนี้

“เจ้าไม่กลัวเสียชีวิตจริงหรือ” นางกัดริมฝีปากกล่าวด้วยความโกรธแค้น

เพราะความโกรธโมโห จึงลืมตัวเสียกิริยา การกระทำของนางเช่นนี้กลับเหมือนหญิงสาวที่เปิดเผยตรงไปตรงมา

เฉินฉางเซิงกล่าวด้วยความสัตย์จริง “ถ้าหากท่านสามารถสังหารข้าได้ ที่สระน้ำมังกรดำค่ำคืนก่อน ข้าก็คงจะเสียชีวิตแล้ว ในเมื่อข้ายังไม่เสียชีวิตจะต้องเป็นเพราะสาเหตุบางประการที่ท่านไม่สามารถสังหารข้าได้ ด้วยเหตุนี้ข้าจึงกลัวการเสียชีวิต แต่…ไม่กลัวท่าน”

ยังมีประโยคนั้น ยิ่งเป็นความจริงยิ่งทำร้ายคน ด้วยเหตุนี้ประโยคนี้ของเขาจึงยิ่งทำร้ายคน

นัยน์ตาของม่ออวี่ยิ่งนานยิ่งเยือกเย็น

“ไม่ผิด ข้ารับปากกับบางคนไว้ ด้วยเหตุนี้จึงทำสิ่งใดเจ้าไม่ได้…ทว่าคนที่อยากจัดการเจ้ายังมีอีกมากมาย ถึงแม้จะมีหนังสือสมรสแล้วจะเป็นเช่นไรเล่า เจ้าไม่สามารถสมรสกับสวีโหย่วหรง นางก็ไม่สามารถสมรสกับเจ้า เพราะว่านางเป็นหงส์กลับชาติมาเกิดทั่วทั้งต้าลู่มีเพียงหนึ่งไม่เป็นสองรองใคร ฐานะของนางบริสุทธิ์ผุดผ่องไร้ราคี การหมั้นหมายระหว่างนางกับชิวซานจวินเป็นเรื่องดีงามที่ผู้คนต่างวิพากษ์วิจารณ์กันมานานหลายปี มีความเกี่ยวข้องกับนางทั้งสิ้น ในความคิดจิตใจของผู้คน ล้วนแต่เป็นตำนานกล่าวขาน ตอนนี้กลับมีโคลนตมที่ไม่สะดุดตาเช่นเจ้าปรากฏออกมา เจ้าคิดว่าผู้คนจะเห็นด้วยรึ”

นางมองเฉินฉางเซิง พลางกล่าวเยาะหยันต่อ “เจ้ารู้หรือไม่ตอนนี้กำลังทำสิ่งใด เจ้ากำลังทำลายความคิดอันดีงามหรือจะกล่าวว่าความหวังรอคอยในจิตใจของผู้คนทั้งหมดสิ้น ความคิดและการรอคอยเหล่านั้นธรรมดาเป็นเรื่องน่าขบขันไร้เดียงสา ทว่าเจ้าทำให้ผู้คนทั่วทั้งโลกไม่ยินดีสำเร็จ เจ้าคิดว่าโลกนี้จะปฏิบัติต่อเจ้าอย่างไรรึ”

ม่ออวี่ออกจากสำนักฝึกหลวง เฉินฉางเซิงไปส่งในฐานะเป็นคนของสำนักฝึกหลวง ไม่ได้ไปส่งถึงหน้าประตูสำนัก แต่ส่งถึงด้านในของสำนักฝึกหลวง เป็นส่วนที่ลึกที่สุดของผืนป่าที่เขียวชอุ่ม มองนางเมื่อผ่านพ้นป่าหายไปอย่างไร้ร่องรอย เขายืนอยู่ที่เดิมเป็นระยะเวลายาวนาน

ในป่ามีกำแพง นั่นเป็นกำแพงระหว่างสำนักฝึกหลวงกับสวนร้อยหญ้า กำแพงที่ยื่นออกไปในหมอก กิ่งก้านของไม้เลื้อยลึกที่สุดสัมผัสกับกำแพงหนาอยู่ที่นั่นรำไร กำแพงหนาแห่งนั้นเห็นร่องรอยด่างพร้อยเลือนราง ตะไคร้น้ำบนก้อนอิฐจับตัวกันหนาอย่างยิ่ง มีประตูอิฐที่ยังไม่เคยเปิดมาก่อนเป็นเวลานาน

นั่นเป็นกำแพงของเขตพระราชวัง ม่ออวี่ใช้ประตูบานนั้นเพื่อกลับไปยังพระราชวัง

ในเวลาปกติ ไม่ว่ายืนอยู่ริมทะเลสาบหรือว่าบนต้นไทรใหญ่ ล้วนแต่สามารถมองเห็นสิ่งก่อสร้างในพระราชวังตามยอดไม้เลือนราง เขารู้ว่าพระราชวังอยู่ไม่ไกล แต่จนกระทั่งถึงวันนี้ เขาเพิ่งจะรู้เดิมทีด้านในลึกสุดของสำนักฝึกหลวงมีประตูบานหนึ่ง ที่แท้แล้วใกล้กับพระราชวังถึงเพียงนี้

เพราะว่าการชุมนุมไม้เลื้อย เขาจึงเข้าไปในพระราชวังครั้งหนึ่ง สำหรับบรรดาตำหนักที่กว้างขวางเหล่านั้น เขาจดจำสตรีวัยกลางคนริมสระน้ำได้ แน่นอนว่าไม่ลืมมังกรยักษ์น้ำค้างแข็งที่ถูกโซ่ตรวนคุมขังอยู่ข้างใต้สระน้ำมังกรดำตัวนั้น

เมื่ออยู่ข้างใต้เขาได้รับปากมังกรดำตัวนั้นว่าเมื่อมีเวลาจะไปหามัน ไปพูดคุยกับมัน เขายังไม่ลืมคำสัญญาของตน เพียงแค่ไม่รู้ว่าจะเข้าไปยังพระราชวังอย่างไร วันนี้เห็นประตูคร่ำครึที่ปกคลุมไปด้วยตะไคร่ อยู่ๆ เขาก็พบถึงความเป็นไปได้จริงๆ แล้ว

เพียงแค่ในพระราชวังก็กว้างขวางอย่างยิ่ง ถึงแม้เขาจะแอบผ่านพ้นอันตรายเข้าไปได้ แล้วจะหาสวนรกร้างแห่งนั้นพบได้อย่างไร ค่ำคืนนั้นสามารถหาวังเวยยางพบ ล้วนแต่ต้องขอบคุณแพะดำตัวนั้นที่นำทาง ตอนนี้ไม่มีแพะดำ จึงไม่กล้าหลับหูหลับตาทำ

ม่ออวี่ก่อนจากไปได้ทิ้งคำพูดคล้ายกับสาปแช่งประโยคนั้น ที่ใกล้จะเปลี่ยนเป็นความจริงอย่างรวดเร็ว

หลังจากฝนฤดูใบไม้ร่วงหยุดลงแล้ว คนจำนวนหลายร้อยคนมาถึงด้านหน้าประตูสำนักฝึกหลวง มีนักเรียนของสำนักเทียนเต้า มีลูกศิษย์ของกระทรวงสิบสามชิงเหย้า มีขุนนางของจิงตู และก็มีประชาชนธรรมดาที่ไม่มีตำแหน่งจำนวนมาก รวมกันเป็นความวุ่นวายอย่างยิ่ง ทว่าเรื่องที่พวกเขาอยากจะทำเป็นสิ่งเดียวกัน

ผู้คนมุงดูประตูที่พังของสำนักฝึกหลวง กลุ่มฝูงชนโกรธแค้น ชูมือพลางร้องตะโกนก้องไม่หยุด

“ให้เจ้าหนุ่มที่แซ่เฉินออกมา!”

“จิตใจชั่วช้า ผู้คนล้วนอยากสังหาร!”

“เจ้านับว่าเป็นสิ่งใด! คิดไม่ถึงว่าอยากจะสมรสกับสวีโหย่วหรง!”

“เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นชิวซานจวินรึ!”

“เอาหนังสือสมรสปลอมออกมา!”

“เจ้าบ้านนอกคอกนามาจากแห่งใดกัน ไสหัวออกไปจากจิงตูเสีย!”

“คางคกอยากกินเนื้อหงส์! ถุย!”

เสียงด่าทอที่แสบแก้วหู ดังสะท้านอยู่ด้านหน้าประตูสำนักฝึกหลวง เสียงยิ่งนานยิ่งดัง ประโยคที่เอ่ยออกมายิ่งนานยิ่งไม่น่าฟัง เจ้าบ้านนอกคอกนา เจ้าหัวขโมยไร้ยางอาย สุดท้ายกลายเป็นคำด่าสาดเสียเทเสียโดยตรง ยิ่งนานคนยิ่งมาด้านหน้าสำนักฝึกหลวงมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นคนที่มารวมด่าทอด้วยหรือว่ามามองดูความหายนะอย่างสนุกสนาน…

โดยสรุป เวลานี้ ตอนนี้ ทั่วทั้งจิงตูไม่มีเจตนาดีใดๆ ต่อสำนักฝึกหลวง

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

ตลอดชีวิตของ เฉินฉางเซิง นั้นเต็มไปด้วยความลึกลับ เริ่มต้นจากกลิ่นหอมประหลาดที่แผ่กำจายออกมาจากตัวทำให้เหล่าสิ่งมีชีวิตเกิดความหิวกระหาย ตามมาด้วยร่างกายที่อ่อนแอเสียจนทำให้ไม่อาจบำเพ็ญเพียรได้ สุดท้ายจบลงที่อาการป่วยที่ทำให้ชีวิตของเขามิอาจยืนยาว ตลอดระยะเวลาสิบกว่าปีที่ผ่านมาเขาทำได้แค่ท่องตำราจำนวนหลายพันเล่ม แม้จะรู้ว่าอาการป่วยมิอาจรักษา บางทีมันจะเป็นโชคชะตา แต่เขาก็อยากจะท้าทายลิขิตฟ้านี้ดูสักครั้ง เขามิใช่คนเก่ง แต่เขาอยากลอง และนั่นคือจุดเริ่มต้นเส้นทางการพลิกโชคชะตาของเขา…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset