ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา – ตอนที่ 96 ต่อสู้กับจิงตู (3)

“ผู้อาวุโส เหตุใดท่านถึงรู้จักหนุ่มน้อยผู้นี้เล่า”

เซวียสิ่งชวนจ้องมองจินอวี้ลวี่ใบหน้าไร้ความรู้สึกเอ่ยออกมา

ประโยคนี้ทำให้ผู้คนเหนือความคาดหมาย อยู่ที่ประตูของสำนักฝึกหลวง เพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ทั่วทั้งผืนก็แปรเปลี่ยนเป็นเงียบนิ่ง

ผู้คนล้วนแต่มองออก ถึงแม้เซวียสิ่งชวนใบหน้าไร้ความรู้สึก คล้ายกับว่าเฉยเมย ทว่าเสียงนั้นผู้อาวุโสกลับเอ่ยออกมาสงบจิตสงบใจ มิได้ลังเลใดๆ คนที่ล่วงรู้ความเป็นมาของจินอวี้ลวี่คงจะไม่ได้รู้สึกแปลกประหลาด ขณะนี้ผู้ที่มีคุณสมบัติเป็นขุนพลเทพทั้งสามสิบแปดของทั่วทั้งต้าลู่มีอายุมากที่สุดก็คือเฟ่ยเตี่ยน สำหรับเขาก็ไม่อาจกล่าวถึงเรื่องคุณสมบัติและประสบการณ์ได้ เซวียสิ่งชวนเป็นขุนพลผู้ยิ่งใหญ่ของต้าโจว เรียกฝ่ายตรงข้ามว่าผู้อาวุโสเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลยิ่ง ทว่าบรรดาคนหนุ่มสาวที่อยู่ด้านหน้าประตูสำนักฝึกหลวงมิได้ล่วงรู้เรื่องนี้ ด้วยเหตุนี้จึงตกตะลึงอย่างยิ่ง

จินอวี้ลวี่ยิ้มออกมา กล่าวว่า “มีคนจะพุ่งชนเข้ามา ข้าทำได้เพียงขัดขวางไว้”

เซวียสิ่งชวนหันกาย จ้องมองบุรุษหนุ่มน้อยของจิงตูที่มีเลือดท่วมตัว ขมวดคิ้วเล็กน้อย เอ่ยออกมา “ลงมือคงจะหนักไปเสียหน่อย”

จินอวี้ลวี่พยักหน้าพลางกล่าวว่า “แต่ก่อนเป็นขุนพลทหาร มีหน้ารับผิดชอบดูแลบรรดาพลทหาร เผ่ามารกล้าล่วงล้ำเขตแดนมาเพียงก้าวเดียว ข้าก็จะโจมตีพวกเขาให้ล่าถอยไป ใช้วิธีทุกอย่างไม่ได้ด้วยเล่ห์ก็เอาด้วยกล ตอนนี้ข้าเป็นเวรยามของสำนักฝึกหลวง มีหน้าที่รับผิดชอบประตูใหญ่ของสำนัก มีคนอยากจะพุ่งชนสำนักฝึกหลวง ข้าก็โจมตีพวกเขาให้ล่าถอยไป มิได้คำนึงถึงผลที่จะเกิดหลังจากนี้”

เซวียสิ่งชวนเงียบนิ่งไร้คำเอื้อนเอ่ย เขาเข้าใจความหมายของฝ่ายตรงข้าม

เวลานี้ รองขุนพลทหารเดินมาข้างกายเขา กล่าวเสียงเบาไม่กี่ประโยค

เซวียสิ่งชวนขมวดคิ้วเล็กน้อย เอ่ยว่า “เรื่องวุ่นวายนี้ลุกลามใหญ่โต เห็นท่าไม่ค่อยจะดี”

จินอวี้ลวี่ชี้ไปยังที่เกิดเหตุที่ส่อเค้าให้เห็นความวุ่นวายรางๆ บางครั้งบางคราวได้ยินคำพูดหยาบคายจากกลุ่มฝูงชน จึงกล่าวว่า “ท่านดูเถิด พวกข้าจะทำเช่นไรได้ พวกเขาร้องโหวกเหวกโวยวายอยู่ด้านนอกประตูเป็นระยะเวลายาวนาน ราชสำนักมิได้มาดูแลความเรียบร้อยก็มิเป็นไร แต่จะมาห้ามให้พวกเราไม่ดูแลความเรียบร้อยเชียวหรือ”

แรงขมวดคิ้วของเซวียสิ่งชวนรุนแรงยิ่งขึ้น วันนี้สำนักฝึกหลวงเกิดเรื่องราวต่อเนื่องกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องนี้ ล้วนแต่เป็นเรื่องที่เสื่อมเสียทั้งสิ้น ถ้าหากมิใช่เพราะพระราชวังมีคำสั่งให้เขามาควบคุมสถานการณ์ ป้องกันการเกิดผลกระทบที่เลวร้ายเกินไป เขาจะมาถึงที่เกิดเหตุได้อย่างไร

รองขุนพลทหารผู้นั้นเอ่ยว่า “ใต้เท้า หรือว่าเรารอดูอยู่ด้านข้างกันก่อน ถ้าหากมีผู้ใดฝ่าฝืนกฎระเบียบของต้าโจว ค่อยจัดการก็มิสาย”

เซวียสิ่งชวนได้ยินประโยคนั้นรู้สึกปลาบปลื้มใจ ในใจครุ่นคิดแท้จริงสมภาคภูมิที่ตนเห็นความสำคัญ ข้อแนะนำนี้เหมาะสมอย่างยิ่ง

เขามิได้ลังเลแม้แต่น้อย เดินมุ่งไปหอสุราที่อยู่ใกล้ๆ ตรอกไป่ฮวา ในที่สุดเตรียมตัวที่จะดูอยู่ข้างๆ กิเลนเมฆแดงรู้สึกห่อเหี่ยวใจเมื่อจ้องมองรอบๆ เดินตามเขาขึ้นไป กลุ่มพลทหารรักษาพระราชวังตั้งขบวนอยู่ตรงหน้าประตูสำนักฝึกหลวง ชัดเจนยิ่งนักว่าทั้งสองฝั่งมิได้ช่วยเหลือ ทว่าก็มิได้มีผู้ใดมีความหมายที่เกินเลยกว่านี้

เซวียสิ่งชวนพึงพอใจต่อสถานการณ์นี้อย่างยิ่ง ผู้คนที่อยู่ด้านข้างทั้งสองฝั่งของประตูสำนักฝึกหลวงกลับไม่พึงพอใจยิ่งนัก

บรรดาผู้คนที่มาก่อกวนรู้สึกว่าฝ่ายของตนถูกทำร้ายได้รับบาดเจ็บสาหัส เซวียสิ่งชวนกับทหารรักษาพระราชวังคาดไม่ถึงว่าจะไม่จับกุมมือสังหาร ไม่สนใจไถ่ถาม เช่นนี้แท้จริงแล้วช่างไม่มีเหตุผลเสียเลย ถังซานสือลิ่วยังคิดว่าผู้คนที่ด้านหน้าสำนักยังคงร้องโหวกเหวกโวยวาย คาดไม่ถึงพวกเจ้ายังไม่ออกหน้าห้ามปราม ช่างไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย

ไม่ว่าอย่างไรก็ล้วนแต่ไม่มีเหตุผลเสียเลย

เซวียสิ่งชวนรู้สึกว่าตนถูกบีบบังคับให้มาจัดการเรื่องนี้ยิ่งไม่มีเหตุผล ด้วยเหตุนี้เขาไม่อยากจะเอ่ยถึงเหตุผล ถึงอย่างไรทหารรักษาพระราชวังก็อยู่ที่นี่ น่าจะไม่มีผู้ใดกล้าโจมตีสำนักฝึกหลวง คนในสำนักฝึกหลวงก็คงจะไม่ให้เกียรติตนเพื่อทำร้ายคนต่อไป ตนก็ทำได้เพียงแค่อธิบายแก่ตนเองเพียงแค่นั้น

ปรารถนาให้ผู้ยิ่งใหญ่ดังเช่นเขาอธิบาย เพียงแค่ต้องเป็นพระราชวังทั้งสองแห่งนั้นเท่านั้น พระราชวังกับพระราชวังหลี

เพียงแต่ว่าเขาคิดไม่ถึง หนุ่มน้อยทั้งสามของสำนักฝึกหลวง คงจะให้เกียรติเขา ยิ่งให้ความสนใจในการรับรองตน

มองเห็นทหารรักษาพระราชวังยืนตั้งขบวนด้วยความเคารพอย่างสูงสุดอยู่ด้านหน้าสำนักฝึกหลวง ผู้คนที่มาก่อเรื่องวุ่นวายก็คาดเดาได้ เพียงแค่ตนเองไม่ตรงเข้าประตูสำนักฝึกหลวงต่อ พระราชสำนักก็คงจะไม่สนใจ มีคนที่จิตใจกล้าหาญ จึงเริ่มด่าทอขึ้นมาด้วยความรวดเร็วอย่างยิ่ง

อยู่ในสำนักฝึกหลวงได้ยินเสียงชัดเจนมากกว่าในหอตำรามาก ได้ยินเสียงคนที่เพิ่งเป็นเศรษฐี ได้ยินคำพูดราวกับเสียงของคางคก ได้ยินเสียงคนเหล่านั้นไม่ลังเลต่อว่าต่อขานเรื่องหนังสือสมรสเป็นเรื่องเท็จ ความรู้สึกในจิตใจของเฉินฉางเซิงแปรเปลี่ยนเป็นหนักอึ้งเล็กน้อย ใบหน้าของถังซานสือลิ่วแข็งกระด้าง มือที่กุมด้ามกระบี่ยิ่งนานยิ่งแนบแน่น

“เจ้าเป็นคนหูหนวกหรือ เสียงดังขนาดนี้ไม่ได้ยินรึ”

ถังซานสือลิ่วตะโกนลั่นต่อรองขุนพลเทพทหารรักษาพระราชวังวัยหนุ่มผู้นั้น

รองขุนพลเทพทหารรักษาพระราชวังวัยหนุ่มผู้นั้นหมุนกายกลับมา ใบหน้าไร้ความรู้สึกเหลือบมองเขา “ชัดเจนอย่างยิ่ง ทำไมรึ”

ถังซานสือลิ่วเอ่ยว่า “ในเมื่อได้ยินพวกเขากำลังด่าทอผู้คน แล้วพวกเจ้าไม่ห้ามปรามเลยหรือ”

รองขุนพลทหารวัยหนุ่มเงียบนิ่งชั่วครู่ คล้ายกับว่ากำลังคิดใคร่ครวญอย่างจริงจัง หลังจากนั้นกล่าวว่า “เพราะเหตุใดข้าต้องปราบปรามด้วยเล่า”

ท่าทางของถังซานสือลิ่วยิ่งเยือกเย็น จ้องมองเขาเอ่ยว่า “เช่นนั้นหากข้ากล่าวว่ากระทำชำเราน้องสาวเจ้า ก็ได้อย่างนั้นหรือ”

ได้ยินประโยคนี้ พลทหารรักษาพระราชวังเหล่านั้นโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ เวลานี้ใต้เท้าขุนพลเทพพักอยู่ที่หอสุราชั่วคราว เพียงแค่ผู้นำออกคำสั่ง พวกเขาก็จะพุ่งเข้าไปนำคำหยาบคายที่ออกมาจากปากของหนุ่มน้อยผู้นี้ตีคว่ำลงพื้นดิน จัดการอย่างสุดกำลังเสีย

รองขุนพลทหารหนุ่มผู้นั้นแปลกประหลาดยิ่งที่มิได้โมโห กลับตั้งอกตั้งใจกล่าวเสียด้วยซ้ำไป “เจ้าแน่ใจว่าต้องการทำเรื่องนั้นรึ”

ถังซานสือลิ่วคิดไปถึงเมื่อยามหญิงสาวผู้นั้นยังเยาว์วัยมีท่าทางดังอันธพาล รู้สึกสั่นไหว ทำให้ตนรู้สึกสงบเยือกเย็น พลางกล่าวว่า “ข้าเพียงแค่กล่าวออกมา จะจริงจังทำไมกันเล่า”

“ทำก็ไม่กล้าทำ กล่าวก็ยังไม่กล้ากล่าว เวลานี้ถูกคนเป็นพันๆ ชี้หน้าด่าทอแม้แต่โต้เถียงก็ยังมิกล้า ใช้ไม่ได้จริงๆ”

รองขุนพลทหารหนุ่มจ้องมองเขาพลางเอ่ยเยาะหยันออกมา “รีบกลับไปหลบที่เวิ่นสุ่ย ร้องไห้ขี้มูกโป่งอยู่ต่อหน้าท่านปู่เจ้าเสียเถิด”

ถังซานสือลิ่วได้ยินประโยคนี้จึงโกรธจัด ชี้ไปยังกลุ่มผู้คนมืดฟ้ามัวดินอยู่ด้านหน้าประตูสำนัก เอ่ยออกมา “คนเพียงหนึ่งด่าทอผู้คนนับพัน เจ้าคิดว่าข้าโง่เง่าหรือ”

รองขุนพลทหารหนุ่มผู้นั้นสีหน้าเป็นปกติกล่าวว่า “เช่นนั้นข้าก็หมดหนทางแล้ว ปากอยู่ที่พวกเขา เพียงแค่เสียงดังเล็ดลอดมาถึงสำนักฝึกหลวง แล้วใครจะจัดการได้เล่า”

เฉินฉางเซิงคิดว่าบทสนทนาระหว่างสองคนนี้มีปัญหา จึงเดินไปข้างหน้า เอ่ยถามเสียงเบา “พวกเจ้ารู้จักกันหรือ”

“ไล่คนพวกนี้ออกไปเสียก่อนค่อยคุยกับเจ้า” ถังซานสือลิ่วกล่าว

มีคนมองเฉินฉางเซิง รู้สึกว่ารูปร่างเหมือนกับเรื่องเล่าขานอย่างยิ่ง แน่ใจว่าธรรมดาถึงที่สุด ทว่าอาภรณ์ของถังซานสือลิ่ววิจิตรงดงามอย่างยิ่ง รูปร่างหน้าตางดงาม คงจะไม่ใช่คนนั้น เสียงกระซิบกระซาบดังขึ้น ไม่นานก็มั่นใจว่าเขาคือเฉินฉางเซิง ราวกับทอดน้ำมันด้วยไฟแรง เกิดการปะทุขึ้นด้วยความรวดเร็ว เสียงด่าทอเพียงชั่วพริบตาก็ดังกังวาน ราวกับว่ากำลังจะแยกท้องฟ้าจิงตูก็มิปาน

ใบหน้าของถังซานสือลิ่วยิ่งนานยิ่งไม่น่ามอง มือซ้ายทำสัญญาณมือโบกเบาๆ

เซวียนหยวนผ้อไม่รู้ว่าออกไปตั้งแต่เวลาไหน แผ่นไม้กระดานประตูสำนักที่ถูกทำลายเมื่อตอนรุ่งอรุณ เวลานี้วางพาดไว้ด้านหลัง เขาทำตามคำสั่งของถังซานสือลิ่ว เดินไปตามริมขอบกำแพงมุ่งไปทางทิศตะวันตกด้วยระยะห่างยาวอย่างยิ่ง หลังจากนั้นปีนขึ้นบันไดแล้วพลิกตัวออกไป แล้วจากมุมนั้นของตรอกไป่ฮวาเบียดเข้าไปกลางฝูงชน

กลุ่มฝูงชนถึงแม้จะหนาแน่น ทว่าใครจะทัดทานพลังของหนุ่มน้อยเผ่าปีศาจผู้นี้ได้ เมื่อกำลังเอ่ยบทสนทนาตอนนั้น เขาได้มาถึงสถานที่ห่างจากประตูสำนักประมาณยี่สิบกว่าจั้ง ข้างกายเขาล้วนแต่เป็นคนหนุ่มที่เต็มไปด้วยความโมโหเคียดแค้น จึงไม่มีผู้ใดสนใจท่าทางแปลกๆ ของเขา

ในมือของเขาถือก้อนหินก้อนหนึ่งไว้

เมื่อเขาเห็นท่าทางมือที่วาดของถังซานสือลิ่ว จึงรู้ว่าเป็นเวลานี้ ทว่ายังลังเล จนกระทั่งเมื่อเห็นนัยน์ตาที่เยือกเย็นของถังซานสือลิ่ว ครุ่นคิดว่าหากไม่ทำตาม วันหลังอยู่สำนักฝึกหลวงจะต้องเผชิญต่อสิ่งใด ในที่สุดจึงกัดฟันตัดสินใจลงไป

เขาชูก้อนหินขึ้น โยนไปยังประตูของสำนักฝึกหลวง เวลาเดียวกันก็ตะโกนลั่น “ทุบเจ้าสิ่งของเลวระยำให้ตายเสีย!”

กลุ่มผู้คนที่เต็มไปด้วยคำด่าเสียเทเสีย เพียงชั่วพริบตาจึงเงียบลง ผู้คนทั้งหมดล้วนแต่ได้ยินประโยคนี้ชัดเจนอย่างยิ่ง และก็เห็นก้อนหินที่พุ่งไปยังประตูสำนักฝึกหลวง ถึงขนาดที่ว่ามองเห็นเส้นที่พุ่งออกไปชัดเจน มีคนเตรียมที่จะตะโกนกู่ก้องร้องออกไป มีคนที่สีหน้าเปลี่ยนเป็นขาวซีด

เหตุการณ์นี้ จะเปลี่ยนเป็นวุ่นวายยิ่งใหญ่จริงหรือ

เปรี้ยง!

ตามเสียงที่ดังขึ้น ก้อนหินก้อนนั้นตกลงยังบันไดหินด้านหน้าประตูสำนักฝึกหลวง ร่วงหล่นเป็นชั้นๆ ลงมา แตกละเอียดเป็นก้อนเล็กก้อนน้อย หลังจากนั้นสั่นสะเทือนตามแรง สุดท้ายแล้วร่วงลงมาอีกครั้ง

เวลานี้ ก้อนหินก้อนนั้นห่างจากเท้าของเฉินฉางเซิง มีระยะเพียงแค่ไม่กี่นิ้ว ก้อนหินที่แตกกระเซ็นออกจากกัน ไม่ได้กระทบเข้ากับขาของเขา ก็คงได้แต่กล่าวว่าโชคของเขาก็ไม่เลวนัก

ถังซานสือลิ่วคิดชื่นชม สมกับที่เป็นเผ่าปีศาจ พละกำลังที่มีแท้จริงแล้วมากกว่าคนทั่วไปหนึ่งเท่า คิดไม่ถึงว่าจะโยนได้แม่นยำเช่นนี้

เซวียนหยวนผ้อที่อยู่ในฝูงชนกลับนึกกลัวว่าพลังจะมากไปเสียเล็กน้อย

ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร ก้อนหินก้อนนั้นก็ร่วงหล่นยังพื้นแล้ว

เรื่องราวที่เกิดขึ้นด้านหน้าประตูสำนักฝึกหลวงเรื่องนี้ เพียงชั่วพริบตาเปลี่ยนจากสงครามด่าทอเป็นสงครามในสนาม

“คิดไม่ถึงว่าจะกล้าใช้อาวุธระยะไกล!”

ถังซานสือลิ่วโมโหจัดด่าทอออกไป เก็บหินก้อนหนึ่งมาจากพื้น โยนออกไปยังกลุ่มฝูงชนที่อยู่ด้านหน้า

ได้ยินเพียงเสียงฟิ้วที่ผ่านทะลุท้องฟ้าออกไป ต่อมาเป็นเสียงเจ็บปวด โอ๊ยยย

บุรุษที่สวมใส่ชุดนักปราชญ์มือกุมหน้าผาก ถอยหลังล้มลงไป มีโลหิตไหลซึมออกมาไม่ขาดสาย

เวลาต่อมา ก้อนหินก้อนที่สองของถังซานสือลิ่วก็ไปถึงแล้ว มีเสียงดังตุ้บ บุรุษเมืองจิงตูผู้หนึ่งฟันร่วงสองสามซี่ ทั่วทั้งปากเต็มไปด้วยโลหิต!

กลุ่มฝูงชนที่อยู่ด้านนอกสำนักเวลานี้จึงตื่นจากภวังค์ ร้องเรียกแพทย์อย่างตื่นตระหนก มีคนโกรธแค้นตะโกนลั่นเพื่อโจมตี และมีคนปะทะไปยังด้านหน้าของพลทหารรักษาพระราชวัง สหายที่โลหิตท่วมตัวทั้งสองคนนั้นหมายถึงสิ่งใด ต้องการให้พลทหารรีบไปจับกุมมือสังหาร ในที่ก่อเหตุวุ่นวายอลหม่าน

ในที่สุดมีคนเริ่มโจมตี พวกเขาเก็บบางอย่างมาจากพื้น โยนไปยังด้านหน้าประตูสำนักฝึกหลวง

ในที่เกิดเหตุเปลี่ยนสงครามอลหม่าน บรรดาพลทหารที่จัดแถวอยู่ด้านล่างกำแพงของสำนักฝึกหลวง เป็นธรรมดาที่จะไร้หนทางยับยั้งสิ่งใด

เมื่อหยิบก่อนหินไปยังกลุ่มฝูงชน ถังซานสือลิ่วก็พาเฉินฉางเซิงห่างจากประตูสำนักนานแล้ว ปีนป่ายขึ้นไปยังบันไดที่พาดอยู่ก่อนแล้ว บอกสัญญาณให้เฉินฉางเซิงหยิบก้อนหินส่งให้เขา ด้านล่างของกำแพงแห่งนี้ปลูกต้นเหมย วางก้อนหินเป็นชั้นๆ ไว้ มีครบทุกสิ่งทุกอย่างเท่าที่จะมีได้

สภาพด้านนอกของสำนักฝึกหลวงแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ตรอกไป่ฮวาเก็บกวาดสะอาดอย่างยิ่ง บนพื้นหินจะหาเก็บก้อนหินง่ายดายได้อย่างไร คิดจะงัดพื้นหินขึ้นมาหรือ เช่นนั้นแล้วสู้กลับบ้านไปเอามีดหั่นผักมาไม่รวดเร็วกว่าหรือ

มีคนที่เห็นประตูสำนักฝึกหลวงที่ผุผัง พบว่าที่แห่งนั้นมีก้อนหินแตกจำนวนไม่น้อย ยังมีเศษไม้ที่นำมาใช้ได้ อยากจะไปเอาเพื่อทำกระสุนดินให้กับสหาย ทว่าจินอวี้ลวี่ยังนั่งน่าเกรงขามอยู่ที่เก้าอี้ตัวนั้น แล้วจะมีคนเข้าไปได้อย่างไร

ดั่งคนมีเป้าหมายต่อสู้กับคนไร้ผู้นำ ดั่งคนเตรียมการกับคนมิได้เตรียมตัว การต่อสู้แพ้ชนะครานี้แยกได้ชัดเจนยิ่งนัก

ถังซานสือลิ่วคุ้มครองอยู่ด้านมุมกำแพงด้านหน้า ทุกครั้งที่ขว้างก้อนหินออกไป ก็จะมีคนล้มลง

มีเสียงดังเจ็บปวดทุกข์ทรมานไม่ขาดสาย มีผู้คนจำนวนหลายสิบคนถูกก้อนหินโจมตีอย่างต่อเนื่อง!

เมื่อยามรุ่งอรุณ สำนักฝึกหลวงถูกรถม้าของตระกูลเทียนไห่พังทลายประตูสำนัก จนถึงตอนนี้มีผู้คนเต็มเมืองล้อมรอบด่าทอสำนักฝึกหลวง เขาอดกลั้นมาเป็นระยะเวลายาวนาน ในที่สุดเวลานี้เจอช่องทางที่สามารถระบายได้ แล้วเขาจะออมมือสักน้อยได้อย่างไร ก้อนหินนำลมแผดคำรามออกไป ด้านล่างกำแพงสำนักล้วนแต่เต็มไปด้วยเสียงร้องเจ็บปวดระงม!

มีคนที่ยืนออกห่างออกไป คาดคิดว่าเขาคงขว้างไม่ถึงตน เบิกนัยน์ตากลมโตตะโกนด่าสุดชีวิต แล้วจะคิดได้อย่างไรว่าเวลาต่อมา จะมีก้อนหินพุ่งออกมาจากกำแพงทะลุออกไปกลางอากาศ

…เมื่อถังซานสือลิ่วใช้พลังปราณแท้ผลักก้อนหินทุบตีผู้คน เขากำลังคิดอะไรอยู่

“ชื่นชอบอย่างยิ่ง!”

เขายืนอยู่ตรงสันกำแพง สบายใจตะโกนออกมา กวัดแกว่งมือไปมา ก้อนหินทุกก้อนแผดเสียงคำรามร้องออกไป มีคนล้มลงไป กล่าวได้ว่าราบรื่นอย่างยิ่ง

หนุ่มน้อยผู้มีพรสวรรค์อยู่ในประกาศชิงอวิ๋น ใช้พลังปราณแท้รับมือเรื่องวุ่นวายกับกลุ่มฝูงชนธรรมดา มิใช่รังแกคนแล้วจะเป็นอะไรเล่า

หากวันนี้เขาเข้าอยู่ในขั้นถอดจิต สามารถกล่าวได้ว่าเป็นผู้แข็งแกร่งคนหนุ่มที่อยู่บนยอด จากก้อนหินในมือเขาที่โบยบินออกไป ถึงแม้จะไม่ใช้พลังปราณแท้ ยังคงแข็งแกร่งดังเช่นธนู ผู้คนที่อยู่ในตรอกเหล่านั้นจะแบกรับไหวได้อย่างไร

คำหยาบสาดเสียเทเสียด้านหน้าสำนักฝึกหลวง ได้ถูกเสียงร้องด้วยความเจ็บปวดเข้ามาแทนที่นานแล้ว เสียงตะโกนก่นด่า แปรเปลี่ยนเป็นเสียงร้องไห้คร่ำครวญติดต่อกัน

ด้านหน้ากำแพง กลุ่มฝูงชนวิ่งกระจัดกระจายขวักไขว่ไปทางทิศตะวันตกและทิศตะวันออก หลบหลีกไปทุกหนทุกแห่ง ฝุ่นละอองฟุ้งกระจายขึ้นมา

สามารถกล่าวได้ว่าขณะสนทนาเรื่องขบขันกันอยู่ ศัตรูแข็งแกร่งก็ได้หายไปแล้ว

“เกินไปแล้ว! เกินไปแล้ว!”

รองขุนพลทหารหนุ่มผู้นั้น จ้องมองผู้คนที่น่าเวทนาอยู่ในกลุ่มฝูงชน ในที่สุดรู้สึกทนไม่ไหว หันกายตะโกนลั่นกับถังซานสือลิ่ว

จะพูดก็พูดเถิด ถังซานสือลิ่วทำเรื่องอันใดล้วนแต่มิได้พิถีพิถัน ที่อื่นมีไม่ยืน แต่กลับยืนอยู่บนสันกำแพงที่อยู่ด้านบนของพลทหารรักษาพระราชวังที่จัดขบวน ก่อนหน้านี้กลุ่มฝูงชนในที่สุดแล้วยังเก็บก้อนหินเหล่านั้นขึ้นมา ทว่าเมื่อโจมตี อย่างน้อยก็ครึ่งหนึ่งที่วิตกกังวลไปหมดจึงไม่กล้าลงมือ ไม่ได้หยิบฉวยความแม่นยำมาด้วย

มือถังซานสือลิ่วไม่หยุดนิ่งพลางเอ่ยถาม “เกินตรงไหน”

รองขุนพลทหารหนุ่มผู้นั้นจนปัญญากล่าวว่า “เจ้าทุบตีผู้คนจนเป็นเช่นนี้ ยังคิดว่าไม่เกินไปอีกหรือ”

“ก่อนหน้านี้เจ้าเคยกล่าวไว้แล้ว ปากเป็นของพวกเขา เพียงแค่เสียงเล็ดลอดมาถึงในสำนัก ด้วยเหตุนี้เจ้าจึงหมดหนทางทำอันใด…ขณะนี้ก้อนหินเหล่านี้เป็นของข้า มือก็เป็นของข้า เพียงแค่โชคไม่ดีปลิวออกไปด้านนอกสำนัก แล้วมีความแตกต่างอันใดเล่า หากจะกล่าวอีก ก้อนหินก้อนแรกเป็นพวกเขาโยนเข้ามา!”

เมื่อกล่าวประโยคนี้ ถังซานสือลิ่วกวาดตามองไปยังกลุ่มฝูงชน มั่นใจว่าเซวียนหยวนผ้อผละออกจากฝูงชนไปนานแล้ว จึงวางใจ ใช้ก้อนหินปะทะผู้คนต่อไป

ฝุ่นในตรอกฟุ้งกระจายต่อเนื่อง เสียงร้องไห้สั่นสะเทือน ผู้คนประคองซึ่งกันและกันถอยหลังออกไปพร้อมกัน ในที่เกิดเหตุทุกคนเศร้าสลดสุดขีด ราวกับเป็นกลุ่มทหารที่ถูกตีพ่ายแพ้ก็มิปาน

กลุ่มฝูงชนราวกับนกที่แตกกระจาย ถังซานสือลิ่วกลับแสดงออกมาเป็นธรรมชาติอย่างเต็มที่ หรี่ตาลง หยิบแผ่นหินขึ้นมาหนึ่งแผ่น เล็งเป้าไปที่คนที่อยู่ด้านหลังที่สุดคนหนึ่ง…เขาจำได้แม่นยำอย่างยิ่ง ก่อนหน้านี้ผู้นี้ด่าทอเฉินฉางเซิงเป็นคนที่เกาะชายกระโปรงสตรี เพียงแค่ถูกก้อนหินทุบจนหัวแตก แล้วจะเพียงพอได้อย่างไรเล่า

เพราะหนังสือสมรสฉบับนั้นเป็นเหตุ เมืองจิงตูแห่งนี้จึงเผยให้เห็นเจตนาที่ไม่ดีอย่างยิ่งต่อสำนักฝึกหลวงและเฉินฉางเซิง

ถังซานสือลิ่วนำเจตนาที่ไม่ดีและความกลัดกลุ้มใจใส่ก้อนหินเหล่านี้โยนออกไป

เฉินฉางเซิงไม่ได้ทำอะไร เพียงแค่อยู่ด้านล่างกำแพงไม่หยุดที่จะยื่นก้อนหินออกไป ต้องการเปลี่ยนเป็นปกติธรรมดา เขาอาจจะคิดว่านี่เป็นเรื่องวุ่นวาย เป็นการเสียเวลาชีวิต ทว่าวันนี้เขายินดีอย่างยิ่ง แม้แต่เสื้อผ้าถูกกิ่งต้นเหมยเกี่ยวขาดก็มิรู้ตัว

เดิมทีชีวิตมีหนทางที่สามารถผ่านพ้นไปได้หลากหลายแบบ หรืออาจจะกล่าวว่าเป็นเรื่องการเล่นสนุก

และอาจจะไม่มีความหมาย ทว่ามีความหมายจริงๆ

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ทำเช่นนี้กลับมีความสุขมากได้อย่างง่ายดายจริงๆ

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

ตลอดชีวิตของ เฉินฉางเซิง นั้นเต็มไปด้วยความลึกลับ เริ่มต้นจากกลิ่นหอมประหลาดที่แผ่กำจายออกมาจากตัวทำให้เหล่าสิ่งมีชีวิตเกิดความหิวกระหาย ตามมาด้วยร่างกายที่อ่อนแอเสียจนทำให้ไม่อาจบำเพ็ญเพียรได้ สุดท้ายจบลงที่อาการป่วยที่ทำให้ชีวิตของเขามิอาจยืนยาว ตลอดระยะเวลาสิบกว่าปีที่ผ่านมาเขาทำได้แค่ท่องตำราจำนวนหลายพันเล่ม แม้จะรู้ว่าอาการป่วยมิอาจรักษา บางทีมันจะเป็นโชคชะตา แต่เขาก็อยากจะท้าทายลิขิตฟ้านี้ดูสักครั้ง เขามิใช่คนเก่ง แต่เขาอยากลอง และนั่นคือจุดเริ่มต้นเส้นทางการพลิกโชคชะตาของเขา…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset