ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา – ตอนที่ 98 ฟังหญิงสาวผู้หนึ่ง

บุรุษวัยกลางคนผู้นั้นนามว่าเทียนไห่เฉิงอู่ จากยี่สิบปีก่อน หลังจากบิดาของเขาเทียนไห่โยว่กั๋วได้เสียชีวิต เขาจะได้สืบทอดเป็นผู้นำของตระกูลเทียนไห่ ภายใต้การนำของเขา ตระกูลเทียนไห่นับวันยิ่งเจริญรุ่งเรือง จนกระทั่งมีบางครั้ง บรรดาผู้คนต่างลืมเลือนว่าเขาเป็นหลานชายของจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์

เบื้องหลังการปกครองของจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ เขาสามารถทำจุดนี้ได้ ไม่พูดถึงมิได้ นี่เป็นเรื่องที่น่าชมเชยอย่างยิ่ง

“ผู้อาวุโสล้วนแต่มีพละกำลังอย่างยิ่ง แม้แต่ข้าก็มิกล้าไปยุแหย่พวกเขา…เซิ่งเสวี่ยทำเรื่องนี้ช่างเยาว์วัยยิ่งนัก เจ้ามีฐานะเป็นลุง เพราะเหตุใดไม่ทัดทาน มิหนำซ้ำช่วยให้เขาเปิดประตูได้สะดวกขึ้น เจ้าอยากจะให้เขาเห็นว่าสุดท้ายแล้วจะเสียโลหิตเท่าไหร่รึ”

สวีซื่อจีเดินไปนั่งเก้าอี้ที่อยู่ด้านหน้าเขา ท่าทางเฉยเมยจ้องมองออกไปด้านนอกกำแพง พลางเอ่ยว่า “เมื่อคนเสียชีวิต ใต้เท้ามุขนายกจะต้องชดใช้สิ่งแลกเปลี่ยนนี้”

เซวียสิ่งชวนดูแลทหารรักษาพระราชวังในต้าโจว เป็นผู้ใต้บังคับบัญชาที่จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ให้ความไว้วางใจเช่นกัน หลังจากเขาไปรบแนวหน้ากลับมาก็รับผิดชอบดูแลความสงบสุขภายในเมืองจิงตู ด้านหน้าสำนักการศึกษากลางวันนี้มีผู้คนที่มิได้เกี่ยวข้องรวมตัวกันเป็นจำนวนมาก ถ้าหากไม่ได้รับความยินยอมจากเขาเงียบๆ เดิมทีเรื่องเหล่านี้ก็คงไม่เกิดขึ้น

“แลกเปลี่ยนสิ่งใดเล่า หรือว่าเขาจะถูกขับไล่ออกจากสำนักการศึกษากลางรึ พวกเจ้าล้วนแต่คิดผิดเสียแล้ว ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับใต้เท้าสังฆราชยิ่งย่ำแย่ ตำแหน่งของเขาก็ยิ่งมั่นคง เป็นเพราะว่าในนิกายหลวงมีเพียงเขาคนเดียวที่มีคุณสมบัติและประสบการณ์สามารถทัดทานใต้เท้าสังฆราชได้ ด้วยเหตุนี้จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์…จึงต้องการเขา”

เทียนไห่เฉิงอู่กล่าวต่อ “จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ชื่นชอบผู้ใด ผู้นั้นก็จะมีหน้ามีตา ดังเช่นสวีโหย่วหรงกับม่ออวี่ จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ให้ความสำคัญกับผู้ใด คนผู้นั้นก็จะลำพองใจ ดังเช่นเจ้ากับเซวียสิ่งชวน ทว่าล้วนแต่ไม่มีสิ่งใดเทียบได้…เพราะว่านี่เป็นการหมายถึงการเป็นหนึ่งเดียว หมายถึงคุณสมบัติบางอย่างที่สมดุลกัน”

“อย่าได้คิดไปลองยุแหย่สุนัขจิ้งจอกขี้เซาในสำนักการศึกษากลางอีก”

เขาจ้องเขม็งมองสวีซื่อจีพลางเอ่ยว่า “เหมยหลี่ซาคนผู้นี้ ข้าจับตามองมาหลายสิบปีก็ไม่สามารถมองทะลุปรุโปร่ง…หนุ่มน้อยเยาว์วัยดังเช่นเซิ่งเสวี่ยจะเป็นคู่ต่อสู้ของเขาได้อย่างไรกัน”

สวีซื่อจีเงียบนิ่งชั่วครู่ จึงเอ่ยถาม “หรือว่าสิ่งใดก็ล้วนแต่ไม่ต้องทำหรือ”

เทียนไห่เฉิงอู่ทราบดีว่าสิ่งที่เขาเป็นกังวลคือสิ่งใด จ้องมองเขาด้วยสายตาเมินเฉย กล่าวออกไป “หนังสือสมรสล้วนแต่ประกาศให้ทั่วทั้งใต้หล้าได้รับรู้ การหยั่งเชิงเช่นนี้ยิ่งทำยิ่งจะไร้ความหมาย กลับกันจะทำให้กลายเป็นยุ่งยากยิ่งขึ้น เพราะว่าเรื่องราวยิ่งทำให้ใหญ่แล้ว ก็ไม่สะดวกจะสังหารคน”

สวีซื่อจีขมวดคิ้วเล็กน้อย มิได้กล่าวสิ่งใด

“ตั้งแต่แรกเริ่มจนถึงสิ้นสุดข้าไม่เข้าใจยิ่ง หนุ่มน้อยผู้นั้นเข้ามาจิงตูหลายเดือนแล้ว เพราะเหตุใดเมื่อแรกเริ่มเจ้าไม่สังหารเขาเสีย จนกระทั่งถึงการชุมนุมไม้เลื้อย ถูกเขานำหนังสือสมรสมาพลิกสถานการณ์ นี่มิใช่นิสัยการจัดการธุระของเจ้าเลย”

เทียนไห่เฉิงอู่จ้องมองเขา พลางเอ่ยถามด้วยความโมโห

น้อยอย่างยิ่งที่สวีซื่อจีจะเห็นความรู้สึกนี้บนใบหน้าของเขา ทราบดีว่าเขาบันดาลโทสะจริงๆ

ตระกูลเทียนไห่แต่ไหนแต่ไรมีความสัมพันธ์อันดีต่อคนทางทิศใต้ กล่าวตามภายนอกแล้วเป็นการทำตามนโยบายการก่อตั้งประเทศของราชวงศ์ต้าโจว ทุ่มกำลังส่งเสริมการหล่อรวมกันของทิศเหนือทิศใต้ ทว่าในความเป็นจริงคนที่มีสติปัญญาเฉียบแหลมต่างรู้ดี ผู้นำของตระกูลเทียนไห่ผู้นี้ให้ความสำคัญกับสิ่งใดเป็นที่สุด แนวโน้มของคนทางทิศใต้มีความสำคัญต่อการช่วงชิงตำแหน่งจักรพรรดิในอนาคตของเขาเป็นอย่างยิ่ง

จากมุมมองทางนี้ ไม่ว่าจะเป็นธุระของอาณาจักร ธุระตระกูลหรือว่าเรื่องของบัลลังก์จักรพรรดิตัวนั้น การเกี่ยวดองระหว่างจวนขุนพลเทพตงอวี้กับตระกูลชิวซานล้วนแต่เป็นหนึ่งในกุญแจสำคัญ ทว่าตอนนี้ประสบกับความยุ่งยากอันยิ่งใหญ่ และความยุ่งยากนั้นเดิมทีควรจะถูกสวีซื่อจีกำจัดทิ้งเสียนานแล้ว

“โหย่วหรงมีจดหมายมา มิให้แตะต้องเขา” สวีซื่อจีหลังจากเงียบนิ่งชั่วครู่จึงเอ่ยออกมา

เทียนไห่เฉิงอู่บันดาลโทสะตบฉาดใหญ่เข้าพนักรองแขนเก้าอี้ จนก่อเกิดเสียงปังดังขึ้น “นั่นเป็นบุตรธิดาของเจ้า!”

ท่าทางสวีซื่อจีกลืนไม่เข้าคายไม่ออก เอ่ยว่า “นางยังเขียนจดหมายถึงม่ออวี่ ข้าไม่มั่นใจว่าจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เห็นหรือยัง”

ข้างป่าไผ่เงียบเชียบในพริบตา

เวลาผ่านไปยาวนาน เทียนไห่เฉิ่งอู่ถอนหายใจลึกๆ กล่าวว่า “ต่างคิดว่าตระกูลเทียนไห่ของข้าเป็นข้ออ้างออกหน้าแทนเด็กประหลาดเทียนไห่หยาเอ๋อร์ มีคนเพียงจำนวนน้อยนิดที่เข้าใจ ข้าอยากจะบีบเจ้าหนุ่มน้อยที่นามว่าเฉินฉางเซิงผู้นั้นให้แตกเป็นเสี่ยงๆ เสีย”

“มิผิด หยาเอ๋อร์เป็นบุตรของฮูหยินหก อาจจะห่างจากฮูหยินใหญ่มากอยู่ ทว่าเจ้าเด็กนี่มีความสามารถจริงๆ …เมื่อเยาว์วัยก็เข้าสู่ขั้นถอดจิตแล้ว เจ้าก็คงจะชัดเจนอย่างยิ่งว่านี่เป็นการอธิบายถึงสิ่งใด ถ้าหากเขาเข้าอยู่ในประกาศชิงอวิ๋น เจ้าเด็กผู้นี้ก็คงจะอยู่ก่อนอันดับยี่สิบได้สบาย”

สำหรับระดับขั้นของเทียนไห่หย่าเอ๋อร์ ในจิงตูต่างมีเรื่องกล่าวไว้จำนวนมาก จนกระทั่งถึงการชุมนุมไม้เลื้อยค่ำคืนแรก เพิ่งถูกมองออกถึงต้นสายปลายเหตุ ทว่ามองแล้ว ต่างจากเรื่องที่ผู้นำของตระกูลเทียนไห่ได้ยอมรับด้วยตนเองอย่างสิ้นเชิง ท่าทางของสวีซื่อจีแปรเปลี่ยนเป็นหนักอึ้งยิ่งขึ้น

ดวงตาของเทียนไห่เฉินอู่ราวกับมีเพลิงโลกันตร์กำลังแผดเผา “เอ่ยถึงคุณสมบัติทางด้านการบำเพ็ญเพียร เขาแข็งแกร่งกว่าเซิ่งเสวี่ย ยิ่งแข็งแกร่งกว่าน้องชายทั้งสามของเซิ่งเสวี่ยไม่รู้จะเปรียบระดับใด ถ้าหากเมื่อครั้งเยาว์วัยปีนั้นเข้าขั้นถอดจิต ถ้าหากราบรื่น ภายในระยะเวลาห้าปี เขาจะต้องอยู่ด้านหน้าธรณีประตูสู่ขั้นทะลวงอเวจี ถ้าหากเมื่อข้ามขั้นเขาโชคดีไม่เสียชีวิตเสียก่อน เช่นนั้นเขาก็จะ…อายุน้อยกว่าชิวซานจวินที่ทะลุทะลวงได้เสียอีก แต่อย่างไรก็ตาม เขาถูกทำให้พิการเสียแล้ว”

ท่าทางสวีซื่อจีแข็งทื่อพลางกล่าวถาม “แท้จริงแล้วท่านอยากกล่าวสิ่งใด”

“ข้าอยากให้เฉินฉางเซิงตาย”

เทียนไห่เฉินอู่จ้องมองเขาราวกับว่ายิ้มราวกับว่าไม่ยิ้ม เอ่ยว่า “องค์หญิงลั่วลั่วไม่มีผู้ใดแตะต้องได้ ตอนนี้เฉินฉางเซิงก็ยากจะแตะต้อง ทว่าเจ้าไม่เหมือนกัน เจ้าเป็นพ่อตาของเขาในอนาคต เจ้าจะทำสิ่งใดกับเขาก็สะดวกสบายมากกว่าคนโดยรอบ”

เมื่อได้ยินประโยคนี้ สีหน้าของสวีซื่อจีเปลี่ยนเป็นแปลกประหลาดน่าเกลียด หลังจากการชุมนุมไม้เลื้อย เขากลายเป็นเรื่องขบขันของทั่วทั้งเมืองจิงตู ผู้คนทั่วทั้งจิงตูต่างรู้ว่าเขารังเกียจคนจนชอบคนร่ำรวย ถึงแม้เรื่องราวที่เป็นจริงไม่ได้ง่ายดายเช่นนี้ ทว่าก็ประมาณนี้ หนังสือสมรสฉบับนั้นตบหน้าเขาไม่หยุดมาตลอด

ขอเพียงแต่สำนักฝึกหลวงยังอยู่ที่จิงตู เฉินฉางเซิงยังอยู่บนโลกใบนี้อีกหนึ่งวัน ความอัปยศอดสูก็ยังคงอยู่ไปอีกหนึ่งวัน เขาไม่มีความรู้สึกดีๆ ต่อเฉินฉางเซิงแม้แต่น้อย สามารถกล่าวได้ว่าคนบนโลกใบนี้ที่อยากให้เสียชีวิตที่สุดก็คือเฉินฉางเซิง ทว่าในเวลาเดียวกันเขาก็เป็นคนที่ไม่อาจแตะต้องได้ที่สุดเช่นกัน

ไม่อาจทราบได้ว่ามีคนมากน้อยเท่าใดที่คอยจ้องมองจวนขุนพลเทพตงอวี้ อยากเฝ้ามองว่าเขาจะตอบโต้อย่างไร โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้อาวุโสในนิกายหลวงเหล่านั้น เกรงว่าคงจะรอให้เขาลงมือ ถ้าหากว่าเขากล้าลงมือกับเฉินฉางเซิงจริงๆ พูดไม่ได้ว่าอาจจะมีคลื่นลมมหึมา จนกระทั่งอาจจะทำให้ต้องเดือดร้อนไปถึงจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์

สวีซื่อจีจะไม่บุ่มบ่ามกับความเสี่ยงเป็นแน่ เขาจ้องเขม็งนัยน์ตาของเทียนไห่เฉิงอู่ อยากจะมองให้ออกถึงผู้นำของตระกูลเทียนไห่ที่มีชื่อเสียงเรื่องความทระนงองอาจเด็ดขาดผู้นี้ แท้จริงแล้วกำลังคิดสิ่งใด “ถ้าหากเป็นเมื่อก่อนก็คงจะสังหารไปแล้ว ทว่าตอนนี้คงมิได้”

“หรือว่าท่านขุนพลเทพจะไม่อยากแบ่งเบาแทนตระกูลเทียนไห่รึ” เทียนไห่เฉิงอู่ยืดตัวลุกขึ้น ท่าทางเมินเฉยจ้องมองเขาพลางเอ่ยออกมา

สวีซื่อจีเข้าใจความหมายของฝ่ายตรงข้าม หลังจากเงียบนิ่งเพียงชั่วครู่จึงเอ่ยว่า “ใต้เท้า ข้าเป็นขุนพลเทพที่จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์คัดเลือก”

เมื่อกล่าวประโยคนี้สิ้นสุดลงแล้ว เขาหมุนกายออกไปยังด้านนอกสวน

เทียนไห่เฉิงอู่จ้องมองด้านหลังเขา กล่าวออกมา “จริงรึ เช่นนั้นครั้งก่อนที่เจ้ากับเฉินหลิวอ๋องพบกัน แล้วสนทนาสิ่งอันใดกันเล่า”

ย่างก้าวของสวีซื่อจีมิได้หยุดชะงัก ราวกับว่าเดิมทีมิได้ยินประโยคของเขา

สายฝนฤดูใบไม้ร่วงร่วงหล่นยามเช้าตรู่ เทียนไห่เซิ่งเสวี่ยบังคับม้ามุ่งตรงไป ปรารถนาจะบดขยี้ทำลายประตูของสำนักฝึกหลวง ถูกเฉินฉางเซิงกับพวกรวมทั้งหมดสามคนขัดขวางไว้ อีกทั้งยังมีจินอวี้ลวี่โผล่ออกมาบีบบังคับให้ฝ่ายตรงข้ามกลับไปมือเปล่า หลังจากนั้นก็มีกลุ่มผู้คนล้อมรอบสำนักฝึกหลวง ม้าศึกที่อยู่ด้านหน้าสำนักการศึกษากลาง เป็นภาพนองโลหิตของผู้คนอันน่าเศร้า

เพียงแค่ระยะเวลาหนึ่งวันสั้นๆ อำนาจเก่าใหม่ของราชวงศ์ต้าโจว ล้อมรอบสำนักฝึกหลวงและเฉินฉางเซิง เกิดการปะทะอย่างดุเดือดรุนแรงต่อเนื่องกันหลายเดือน ถึงแม้อาจจะไม่ถึงขั้นโลหิตนองไหลรินดังแม่น้ำ ทว่าก็เอ่ยได้ว่าเป็นการปะทะกันที่ตาต่อตาฟันต่อฟัน เพียงแค่ช่วงระยะเวลาหนึ่งบรรยากาศของเมืองจิงตูก็แปรเปลี่ยนเป็นตึงเครียด มีคนจำนวนมากที่นึกไปถึงเรื่องราววันนั้นเมื่อสิบกว่าปีก่อน

ขอบเขตและระดับของการปะทะกันได้รับการควบคุมอย่างเคร่งครัด อำนาจเก่าใหม่ทั้งสองค่อนข้างเงียบนิ่งหรืออาจจะกล่าวได้ว่ามีสติปัญญา เพราะว่าจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์กับใต้เท้าสังฆราชมิได้แสดงความคิดเห็นใดๆ ยืนตระหง่านอยู่ท่ามกลางจิงตู ถือว่าเรื่องนี้เป็นความหมายสัญลักษณ์ของสำนักฝึกหลวงที่เกิดขึ้นรุนแรง

สำนักฝึกหลวงแห่งนี้จะเปิดต่อไปได้หรือไม่ โชคชะตาของเฉินฉางเซิงจะไปในทิศทางไหน หรือว่าจดหมายสมรสฉบับนั้นจะถูกบรรดาผู้ยิ่งใหญ่หยิบยืมเจตนาและจิตใจของประชาชนทำลายเสีย สุดท้ายแล้วก็ต้องดูการตัดสินสถานการณ์ทั้งหมดของจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์กับใต้เท้าสังฆราช

“จักรพรรดิองค์ก่อนครองราชย์สี่ร้อยปี พลานามัยไม่แข็งแรง เพราะว่าทรงโปรดเล่นพิณ เล่นหมาก วาดรูป มิได้ใส่พระทัยต่อข้อราชการอันซับซ้อนวุ่นวาย จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์จึงเริ่มว่าราชการแทน ดูแลข้าราชการบ้านเมือง เวลานี้หากนับอย่างถี่ถ้วนแล้ว ปกครองมาเป็นระยะเวลาสองร้อยกว่าปี เรื่องภายในราชสำนักอยู่ในมือ ขุนพลเทพและขุนนางจำนวนมากอยู่ภายใต้การบังคับบัญชา หาไม่แล้วหลังจากจักรพรรดิองค์ก่อนสวรรคต จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์จะขึ้นครองราชย์ได้อย่างไร ผู้คนในเชื้อพระวงศ์จะโกรธแค้นอย่างไร ขุนนางมิอาจจะรับได้ หลังจากเกิดการนองโลหิตครานั้น ที่จริงแล้วเรื่องราวดุจดังขนแกะก็มิปาน”

“จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์จะต้องยอดเยี่ยมอย่างแน่นอน สำหรับเพราะเหตุใดถึงยอดเยี่ยม ข้าไม่รู้จริงๆ ข้ารู้เพียงแค่ว่า ท่านปู่เป็นผู้อาวุโสที่บ้าระห่ำกำเริบเสิบสาน หลายปีมานี้อยู่ที่เวิ่นสุ่ยไม่ยินยอมลงจากเขา ก่นด่าคนตระกูลเทียนไห่เป็นดังอุจจาระสุนัขก็มิปาน แต่ไม่ว่าจะเป็นคนรุ่นก่อนรุ่นหลัง โถงราชสำนักยังคงมืดมิด ล้วนแต่ไม่มีผู้ใดกล้าเอ่ยร้ายต่อจักรพรรดินีศักดิ์แม้แต่ประโยคเดียว”

“สำหรับต้าโจวทั้งหมดทั้งมวล สุดท้ายแล้วจะต้องดูความคิดของจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ สุขภาพร่างกายของผู้อาวุโสนาง ทว่าสรุปแล้วจากที่ครุ่นคิดเรื่องราว ตำแหน่งจักรพรรดิของราชวงศ์ต้าโจวจะส่งต่อให้กับผู้ใด จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์อาจจะอาศัยบารมีสูงเลิศล้ำสั่นคลอนบรรดาขุนนางเหล่านั้น ยิ่งใต้เท้าสังฆราชยังคงรักษาความนิ่งเงียบ ทว่าถ้าหากสุดท้ายแล้วบัลลังก์มิได้ไปอยู่ในเงื้อมมือของเชื้อพระวงศ์ตระกูลเฉิน เช่นนั้นไม่ว่าจะเป็นเทียนไห่เฉิงอู่ที่ผู้คนต่างยอมรับว่ายอดเยี่ยมที่สุดหรือว่าจะเป็นเทียนไห่เฉิงเหวินผู้เฉียบขาด ล้วนแต่ไร้ความสามารถที่จะสยบการคัดค้านเหล่านั้น ถ้าหากหลังจากบัลลังก์คืนสู่ตระกูลเฉิน จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์สวรรคต ตระกูลเทียนไห่จะต้องถูกกวาดล้าง เพราะถึงอย่างไรพระนางก็แซ่เทียนไห่ แล้วจะทนมองภาพที่จะเกิดขึ้นได้อย่างไรกัน”

“ด้วยเหตุนี้จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ขณะนี้ก็คงจะลังเลอย่างยิ่ง การต่อสู้ระหว่างอำนาจเก่าใหม่ทั้งสอง ก็เป็นเพราะว่าความลังเลของจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ที่จะให้โอกาสแก่ทั้งสองฝ่าย ซึ่งมองเห็นถึงความเสี่ยง สิ่งที่โชคร้ายก็คือ สำนักฝึกหลวงของพวกเรากลายเป็นสัญลักษณ์ของการปะทะกัน”

ใต้เท้าสังฆราชให้ลั่วลั่วไปอยู่สำนักจวนราชวังหลี นี่ก็เป็นการแสดงถึงอากัปกิริยาบางอย่างได้ชัดเจน จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ถ้าหากมีอากัปกิริยาเช่นนั้น สำนักฝึกหลวงเกรงว่าจะอันตรายเสียแล้ว ไม่ต้องเอ่ยถึงองค์หญิงลั่วลั่ว หากจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ปรารถนาจะสังหารผู้ใด จักรพรรดิขาวก็คงห้ามมิได้

ถังซานสือลิ่วจ้องมองเฉินฉางเซิงสุดท้ายกล่าวว่า “ถ้าหากข้าเป็นเจ้า ตอนนี้เรื่องที่ข้าจะต้องทำก็คือ คิดหาหนทางตามหาจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ หลังจากนั้นคุกเข่าอยู่ด้านหน้านาง กอดขานางไว้ ก่นด่าเรื่องการไม่ได้รับความเป็นธรรม หลังจากนั้นขอร้องให้ผู้อาวุโสของนางมอบความเป็นธรรมให้”

เฉินฉางเซิงครุ่นคิดเป็นเวลานาน เอ่ยถาม “เช่นนั้น ข้าจะไปหาผู้อาวุโสของนางได้อย่างไรเล่า”

ถังซานสือลิ่วเงียบนิ่งชั่วครู่ อยู่ก็ตะโกนลั่นออกนอกหน้าต่างด้วยความโมโห “อาหารยังไม่เสร็จอีกรึ”

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

ตลอดชีวิตของ เฉินฉางเซิง นั้นเต็มไปด้วยความลึกลับ เริ่มต้นจากกลิ่นหอมประหลาดที่แผ่กำจายออกมาจากตัวทำให้เหล่าสิ่งมีชีวิตเกิดความหิวกระหาย ตามมาด้วยร่างกายที่อ่อนแอเสียจนทำให้ไม่อาจบำเพ็ญเพียรได้ สุดท้ายจบลงที่อาการป่วยที่ทำให้ชีวิตของเขามิอาจยืนยาว ตลอดระยะเวลาสิบกว่าปีที่ผ่านมาเขาทำได้แค่ท่องตำราจำนวนหลายพันเล่ม แม้จะรู้ว่าอาการป่วยมิอาจรักษา บางทีมันจะเป็นโชคชะตา แต่เขาก็อยากจะท้าทายลิขิตฟ้านี้ดูสักครั้ง เขามิใช่คนเก่ง แต่เขาอยากลอง และนั่นคือจุดเริ่มต้นเส้นทางการพลิกโชคชะตาของเขา…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset