[นิยายวาย] ทะลุระบบข้ามภพมาหารัก – ตอนที่ 80 จิ้งจอกจอมเจ้าเล่ห์กับกระต่ายน้อยน่ารัก (3) / ตอนที่ 81 จิ้งจอกจอมเจ้าเล่ห์กับกระต่ายน้อยน่ารัก (4)

ตอนที่ 80 จิ้งจอกจอมเจ้าเล่ห์กับกระต่ายน้อยน่ารัก (3)

 

 

ตันหวายไม่ได้บังเอิญเจออาหารของตน ทว่าบังเอิญเจอพังพอนเหลืองที่กินตนเป็นอาหาร

 

 

เมื่อเห็นพวงหางใหญ่ที่กวัดแกว่งไปมาของพังพอนเหลือง ตันหวายก็ลูบใบหูกระต่ายของตนที่โผล่ออกมาข้างนอก รู้สึกว่าตนเองช่างอ่อนแอน่าเวทนาทั้งยังไร้ทางสู้

 

 

การเป็นภูตไม่ใช่เรื่องง่าย การเป็นกระต่ายที่ไม่มีพลังอาคมเอาแต่คิดจะตอบแทนบุญคุณไปวันๆ ไม่ใช่เรื่องง่ายยิ่งกว่า

 

 

ตันหวายถอยหลังไปสองก้าว ตั้งใบหูของตนขึ้นบนหัว แล้วชี้ปลายแหลมเล็กขนปุกปุยเหนือหัวของตนพลางกล่าว “เจ้าดูสิ แท้จริงแล้วข้าเป็นจิ้งจอก ข้าเล่นแปลงร่างเป็นกระต่ายพอดีน่ะ”

 

 

พังพอนเหลืองพลันนิ่งอึ้ง กระต่ายตัวนี้สมองทึบเสียล่ะมั้ง มันจะแยกจิ้งจอกกับกระต่ายไม่ออกเชียวหรือ?

 

 

กินกระต่ายโง่คงไม่กระทบสติปัญญาหรอก พังพอนเหลืองลังเลอยู่สักครู่ ตัดสินใจว่ากินเสียเลยแล้วกัน ด้วยสติปัญญาเช่นนี้ หากตนไม่กินก็ย่อมถูกสัตว์อื่นจับกินอยู่ดี อีกทั้งภูเขาร้างลูกนี้ไม่พบเจอสิ่งมีชีวิตจำพวกภูตมาเนิ่นนานแล้ว มันใกล้จะหิวตายเต็มที

 

 

อันที่จริงการบำเพ็ญเซียนในหมู่ปีศาจมีข้อห้ามประการหนึ่ง นั่นก็คือห้ามทำร้ายปีศาจจำพวกภูตระดับเดียวกัน แต่ภูตพังพอนเหลืองเช่นมันไม่คิดอยากเป็นเซียนอยู่แล้ว จึงไม่จำเป็นต้องละเว้นข้อนี้

 

 

เมื่อเห็นพังพอนเหลืองย่างกรายใกล้เข้ามาทุกที พวงหางด้านหลังบั้นท้ายตันหวายก็พองโตเป็นก้อนกลมไปแล้ว

 

 

“แหวะ~” พังพอนเหลืองทำจมูกฟุดฟิด สูดดมไปทั่วร่างของตันหวาย “ทำไมตัวเจ้าถึงมีกลิ่นสาบจิ้งจอก”

 

 

ตันหวายกะพริบตาปริบ ก่อนผลักไสพังพอนเหลืองออกไป ถือโอกาสแอบอ้างบารมีข่มเหงพลางแค่นหัวเราะกล่าว “ข้าบอกไปแล้ว ข้าเป็นจิ้งจอก เจ้ายังไม่เชื่ออีก”

 

 

ยามนี้พังพอนเหลืองชักไม่แน่ใจเช่นกันว่าเจ้าตัวตรงหน้านี่เป็นจิ้งจอกหรือกระต่ายกันแน่ แต่ตอนนี้มันหิวโซจริงๆ

 

 

“เจ้าสู้ข้าได้ไหมล่ะ?” พังพอนเหลืองถาม

 

 

“มะ…หมายความว่าอย่างไร?” ตันหวายสังหรณ์ใจไม่ดีขึ้นมา

 

 

พังพอนเหลืองหัวเราะหึๆ “หากว่าสู้ไม่ได้ กระทั่งจิ้งจอกข้าก็กินได้ทั้งนั้น!”

 

 

???

 

 

ลูกพี่จะกินไม่เลือกขนาดนี้เชียวหรือ?

 

 

พังพอนเหลืองแสยะยิ้ม กรงเล็บแทงโผล่ออกมาจากอุ้งมือทั้งสอง พลางกระโจนพุ่งเข้าหาตันหวายด้วยแววตาโหดเ**้ยม

 

 

ตันหวายรูม่านตาพลันหดวูบ พอคิดจะใช้กรงเล็บสวนกลับไป ก็มองเห็นแสงเงินสายหนึ่งแล่นวาบผ่าน ตนยังไม่ทันจะตั้งหลักได้ พังพอนเหลืองก็ถูกซัดกระเด็นล้มออกไปหลายก้าว

 

 

กลิ่นคาวเลือดคลุ้งตลบไปทั่วบริเวณ ตันหวายเห็นว่าใต้ร่างของพังพอนเหลืองเริ่มมีเลือดไหลซึม

 

 

“เฮ้อ~โจรชั่วหน้าไหน บังอาจก่อเรื่องในต้าฮวงซาน[1]ของข้า? ” สุ้มเสียงของชายหนุ่มอันน่าประหวั่นพรั่นพรึงดังก้องจากสี่ด้านแปดทิศ ตันหวายฟังจนหวาดสะดุ้ง

 

 

สุ้มเสียงนี้…ช่างไพเราะทรงเสน่ห์เหลือเกิน!

 

 

พังพอนเหลืองเบิกตาโพลง หลุดปากเอื้อนเอ่ยอย่างไม่อยากจะเชื่อ “ท่านยังอยู่? ”

 

 

สุ้มเสียงนั้นไม่ได้กล่าวสิ่งใดอีก ประหนึ่งเทพยดาที่เฝ้ามองฝูงมดปลวกทั้งหลาย

 

 

ตันหวายมองกองเลือดที่ไหลนองไม่หยุดใต้ร่างพังพอนเหลือง อยากบอกเหลือเกินว่าลูกพี่หยุดพักสักหน่อยเถอะ ถ้าพี่ยังไม่ไปเดี๋ยวคงได้ม่องเท่งเสียก่อน

 

 

พังพอนเหลืองคงจะคิดข้อนี้ได้เช่นกัน จึงวิ่งหนีล้มลุกคลุกคลานอย่างหน้าตาตื่น

 

 

รอบด้านกลับคืนสู่ความเงียบสงัดอีกครั้ง ได้ยินแต่เพียงเสียงลมพัดหวีดหวิว ทิวทัศน์โดยรอบมองเห็นไกลสุดลูกหูลูกตา ที่นี่ยังคงรกร้างว่างเปล่า

 

 

(เมื่อครู่นี้เกิดเรื่องอะไรขึ้น?) ระบบถาม

 

 

ตันหวายหันหลังไปมองศาลเจ้าร้างแวบหนึ่ง กระซิบกล่าวว่า “น่าจะเป็นเทพภูผาของภูเขาร้างลูกนี้ล่ะมั้ง”

 

 

ศาลเจ้าแห่งนั้นที่เขาพักอาศัยเมื่อสักครู่น่าจะเป็นศาลเจ้าเทพภูผา แม้จะถูกทิ้งร้างไปแล้ว ทว่าเทพภูผายังคงปกปักรักษาเหล่าสรรพสัตว์ผู้อ่อนแออยู่ที่นี่

 

 

ภูเขาที่ไหนไม่มีหญ้าขึ้นเลยสักต้น ที่นี่ต้องเคยเกิดเหตุการณ์บางอย่างขึ้นเป็นแน่

 

 

ตันหวาย “รอข้ากลับมานะ ถึงเวลานั้น ข้าจะบูรณะศาลเจ้าของท่านเสียใหม่ เพื่อให้ท่านเป็นเทพภูผาที่วิจิตรงดงาม”

 

 

ในเวลาเดียวกัน ภายในโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งบนต้าฮวงซาน ชายหนุ่มชุดดำเช็ดคราบเลือดที่ซึมออกจากมุมปากตน นัยน์ตาหรี่ปรือพลางพึมพำกล่าว “ข้าเป็นเทพภูผาเสียเมื่อไหร่กัน”

 

 

“ศาลเจ้านั่นไม่จำเป็นหรอกเจ้ากระต่ายน้อย” ชายหนุ่มหลับตาลง อ่อนแรงจนต้องเอนร่างของตนพิงกับผนัง “คืนยาในอีกครึ่งหนึ่งมาให้ข้าก็พอแล้ว”

 

 

 

 

 

 

——

 

 

[1] ในที่นี้เป็นชื่อภูเขา หมายถึง ภูเขารกร้างอันกว้างใหญ่

 

 

 

 

 

 

ตอนที่ 81 จิ้งจอกจอมเจ้าเล่ห์กับกระต่ายน้อยน่ารัก (4)

 

 

เดินลัดเลาะไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ตันหวายเดินมาถึงหมู่บ้านแห่งหนึ่งซึ่งตั้งอยู่บริเวณเชิงเขาของต้าฮวงซาน

 

 

ภายในหมู่บ้านมีคนไม่มากนัก แต่เพราะต้าฮวงซานเป็นที่ตั้งของป้อมปราการสำคัญ ที่นี่จึงมีผู้คนขวักไขว่ไปมาไม่ขาดสาย ที่นี่ยังมีโรงเตี๊ยมอยู่หลังหนึ่งด้วย

 

 

ตันหวายเหลือบมองผ้าเหลืองที่คลุมบนร่างของตน คำนวณว่าโอกาสที่ตนจะถูกขับไล่ไสส่งมีมากเท่าใด

 

 

ใบหูกระต่ายของเขาบัดนี้ถูกโพกปิดไว้แล้ว โดยใช้เสื้อผ้าเก่าสองสามชิ้นที่ไหม้เกรียมขาดรุ่งริ่งบนตัวเจ้าของร่างเดิม

 

 

ตันหวายแหย่เท้าเข้าไปข้างหนึ่งเป็นการหยั่งเชิง ยังไม่ทันยื่นเท้าอีกข้าง เงาสีเทาสายหนึ่งก็พุ่งวาบเข้ามา ทำเอาเขาตกใจจนถอยกรูดไปสองก้าว

 

 

“โอ้~เชิญขอรับนายท่าน ท่านต้องการรับประทานอาหารหรือพักค้างแรมขอรับ? ” เตี้ยนเสี่ยวเอ้อร์[1]เดินเข้ามาทักทาย

 

 

ตันหวายโผล่หัวออกมา ซ่อนร่างของตนไว้หลังกรอบประตูอย่างลังเลชั่วครู่ ถามเสียงเบาว่า “เจ้าชอบกระต่ายไหม?”

 

 

เตี้ยนเสี่ยวเอ้อร์ “???”

 

 

“ถ้าหากมีกระต่ายตัวหนึ่ง ใกล้จะหิวตายแล้ว แต่ว่าเจ้ามีอาหาร เจ้าจะช่วยมันไหม?”

 

 

เตี้ยนเสี่ยวเอ้อร์ลังเลสักครู่ “ช่วยกระมัง”

 

 

“เช่นนั้นก็ดี~เช่นนั้นก็ดี~”

 

 

ตันหวายโล่งอก พลางกระชับผ้าเหลืองบนร่างของตนเพื่อป้องกันความลับเปิดเผย ประคองเศษผ้าผืนเล็กบนศีรษะไปพลางซอยเท้าถี่ยิบลอดเข้ามาไปพลาง

 

 

เตี้ยนเสี่ยวเอ้อร์มองเห็นผ้าเหลืองบนตัวตันหวาย สายตาก็เปลี่ยนไปโดยพลัน รีบแทรกตัวเข้าขวางฝีเท้าของตันหวายไว้ ก่อนกล่าวด้วยความเคลือบแคลงใจว่า “นายท่าน แม้ร้านนี้จะเป็นร้านเล็กๆ แต่ก็ไม่ต้อนรับพวกกินอิ่มแล้วชักดาบนะขอรับ”

 

 

ตันหวายเม้มริมฝีปาก เอ่ยถามอย่างจริงจังว่า “เจ้าบอกเองไม่ใช่หรือว่าหากกระต่ายหิวเจ้าจะให้อาหารมันกิน?”

 

 

พอสิ้นเสียงกล่าว ตันหวายเองก็รู้สึกขายหน้านิดหน่อย นี่ถือเป็นมิติใหม่แห่งวงการกินแล้วชักดาบอย่างแท้จริง

 

 

เตี้ยนเสี่ยวเอ้อร์ตะลึงงันกับความหน้าด้านหน้าทนของตันหวายเช่นกัน เจ้าพูดถึงกระต่าย แต่ตัวเจ้าไม่ใช่กระต่ายเสียหน่อย!

 

 

เมื่อดูออกว่าคนผู้นี้เป็นพวกกินแล้วชักดาบ เตี้ยนเสี่ยวเอ้อร์ก็ไม่ยินดียินร้าย เห็นได้ชัดว่ามีประสบการณ์ถูกกินมาจนชินแล้ว

 

 

เตี้ยนเสี่ยวเอ้อร์ไม่มัวเปลืองน้ำลาย หยิบไม้กวาดที่หน้าประตูขึ้นมาไล่ตะเพิดคนออกไปข้างนอกโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง

 

 

ตันหวายถูกไล่ตะเพิดจนผ้าเหลืองบนตัวเกือบจะร่วงหลุดลงมา ทำเอาเขาตกใจรีบกอดหน้าอกเอาไว้

 

 

“ช้าก่อน”

 

 

เตี้ยนเสี่ยวเอ้อร์กับตันหวายหยุดชะงักพร้อมกัน หันมองไปทางบันไดโดยมิได้นัดหมาย

 

 

โรงเตี๊ยมเป็นตึกเล็กสองชั้น หัวมุมฝั่งตะวันตกเฉียงใต้มีบันไดที่แลดูสูงชันอันตรายเชื่อมทะลุถึงห้องพักบนชั้นสอง

 

 

ตันหวายมองหน้าคนพูดที่เดินลงมาจากบันไดทีละขั้น ฉับพลันนั้นก็ตะลึงงันไป ดวงตาของคนผู้นี้มีเสน่ห์ยิ่งนัก เค้าโครงใบหน้าคมคายชัดเจน ทว่าดวงตาคู่นั้นเพียรวาดพรรณนาให้เขาดูอ่อนโยนลงหลายส่วน

 

 

“โอ้นายท่าน เหตุใดท่านจึงลงมาเล่าขอรับ ร้านเล็กของเรารับรองบกพร่องหรือ?” เตี้ยนเสี่ยวเอ้อร์รีบเข้าไปต้อนรับขับสู้ ลืมแม้กระทั่งไล่ตะเพิดตันหวาย

 

 

โหลวชิงอันโบกมือปัดด้วยใบหน้าเรียบนิ่ง จ้องมองตันหวายพลางกล่าวกับเตี้ยนเสี่ยวเอ้อร์ว่า “ส่วนของเขา ข้าจ่ายเอง”

 

 

ตันหวายตกตะลึง เกือบจะสะอื้นไห้ด้วยความปิติยินดีอย่างสุดซึ้ง จะมีเรื่องใดที่ทำให้คนซาบซึ้งใจไปกว่าการมีคนเลี้ยงข้าวคุณสักมื้อยามคุณหิวโหยอีกหรือ? ไม่มีแล้ว ไม่มีอีกแล้วจริงๆ!

 

 

อาหารบนโต๊ะมากมายจนแทบไม่มีที่วาง ตันหวายเชมือบข้าวสวยหลายคำอย่างตะกละตะกลาม ยังไม่ทันได้คีบกับข้าว จู่ๆ เนื้อชิ้นหนึ่งก็ปรากฏอยู่ในชาม

 

 

“หือ?” ตันหวายกะพริบตาปริบๆ ขณะสบสายตากับโหลวชิงอัน

 

 

โหลวชิงอัน “ข้าคิดว่าอาหารจานนี้ปรุงได้ดีมาก เจ้าชิมดูสักหน่อยก็ได้”

 

 

ตันหวายเงียบไปชั่วครู่ ก่อนกล่าวขอบคุณเสียงเบา จากนั้นก็เกร็งหนังหัวกินเนื้อเข้าไป การกระทำสนิทสนมอย่างเช่นการคีบกับข้าวให้ ตันหวายไม่คุ้นชินยามเกิดขึ้นกับคนแปลกหน้าที่เพิ่งพบเจอกันไม่นานเลยจริงๆ

 

 

เมื่อดูออกว่าตันหวายอึดอัดใจ โหลวชิงอันก็ไม่ได้ทำอะไรต่อ ก่อนวางตะเกียบลงราวกับไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น หยิบจอกสุราขึ้นรินเองดื่มเอง

 

 

ตันหวายเขินอาย จึงรีบกินข้าวเข้าไปเพื่อปิดบังความประหม่า

 

 

กลืนเนื้อลงท้องอีกหลายชิ้น ปัญหาท้องอิ่มกายอุ่นคลี่คลายลงพอสมควร ในที่สุดตันหวายก็มีเวลาจดจ่อกับความประหม่าเมื่อครู่นี้สักที

 

 

“เอ่อ…เมื่อครู่ อันนั้นคือเนื้ออะไรหรือขอรับ? อร่อยมากทีเดียว” ตันหวายยิ้มแห้ง

 

 

สายตาที่เปี่ยมด้วยความใคร่รู้ของตันหวายจับจ้องอยู่ที่โหลวชิงอัน โหลวชิงอันยิ้มกริ่มพลางไล้นิ้วบนจอกสุรา กล่าวว่า “เนื้อกระต่ายอบน้ำแดง คัดสรรจากเนื้อกระต่ายหิมะชั้นดี หลังจากถลกหนังอย่างประณีตก็ค่อยใส่ลงอบน้ำแดงในหม้อ”

 

 

ตันหวายเบิกตาค้าง คิดว่าตนอาจจะฟังผิดไป

 

 

หันหน้ามามองเนื้อที่ยังกินไม่หมดอย่างสับสนงุนงง ตันหวายสองตาเหลือกขึ้น จมดิ่งสู่ห้วงแห่งความมืดมิด

 

 

 

 

 

 

——

 

 

[1] เตี้ยนเสี่ยวเอ้อร์ เป็นคำที่ใช้เรียกบริกรในร้านอาหาร

[นิยายวาย] ทะลุระบบข้ามภพมาหารัก

[นิยายวาย] ทะลุระบบข้ามภพมาหารัก

ตันหวาย นักศึกษาคณะศิลปะที่ประสบอุบัติเหตุรถชนเพราะช่วยชีวิต ไป๋เยว่ รุ่นพี่ที่ตนแอบชอบให้พ้นจากอันตรายจนตัวเองตายแทน วิญญาณจึงทะลุมิติมาอยู่ในระบบ H3883 ซึ่งบีบให้เขาต้องออกเดินทางไปยังโลกต่างๆ เพื่อสวมร่างผู้อื่น และทำภารกิจเพื่อสะสางความแค้นและทำความปรารถนาของเจ้าของร่างเดิมให้เป็นจริง ในชาติแรกมาเขาทะลุมิติมาอยู่ร่างบุตรชายอัครเสนาบดี ชาติที่สองเป็นเรื่องระหว่างภูติกระต่ายและภูติจิ้งจอก ชาติที่สาม ตันหวายมาอยู่ในร่างดาราหนุ่มแห่งโลกโอเมก้าเวิร์ส และในชาติสุดท้ายต้องมาย้ายอยู่ในร่างประมุขสำนักเซียนที่ต้องทำภารกิจคลายปมในใจของศิษย์น้อย หากทำสำเร็จ เขาก็จะฟื้นคืนชีพกลับไปโลกเดิมได้ แต่หากไม่สำเร็จ เขาจะต้องกลายเป็นระบบแทนและติดแหง็กอยู่ที่นี่ไปตลอดกาล!

Options

not work with dark mode
Reset