[นิยายแปล] ซาซากิกับพีจัง! – ตอนที่ 1 คำเชิญสู่ต่างโลก (1)

อายุย่างเข้าใกล้เลข 4, ดวงจิตช่างอ้างว้างเปล่าเปลี่ยวเสียนี่กระไร

เป็นตรงนี้เองที่เดินทางมายังร้านขายสัตว์เลี้ยง ต้นเหตุก็เป็นเพราะรุ่นพี่ในที่ทำงานเค้าเริ่มเลี้ยงแมวน่ะสิ วันๆก็เลยเอาแต่พูดถึงน้องแมวสุดที่เลิฟซ้ำไปซ้ำมาด้วยท่าทางมีความสุขมากมายเป็นล้นพ้นจนอิทธิพลมันแผ่มาถึงด้วยนี่แหละ เล่นถึงกับตั้งวอลเปเปอร์โน๊ตบุ๊คกับสมาร์ทโฟนเป็นรูปแมวหมดเลย ท่าทางนี่คือดูดำเนินชีวิตทุกวันโดยเต็มเปี่ยมไปด้วยความสุขสุดขีด

ทว่า การจะเลี้ยงแมวก็มีเรื่องชวนให้กลุ้มเยอะอยู่เช่นกัน

ถ้าหาอพาร์ตเม้นท์เช่าแล้ว นอกจากเงินค้ำประกันจะพุ่งสูงปรี๊ดขึ้นมาไม่พอ ยังจำเป็นต้องหาห้องที่มีความกว้างพอสมควรเลยอีกด้วย แถมแค่ต้นทุนเริ่มต้นที่จำเป็นต้องใช้จ่ายในการเลี้ยงนี่ก็ปาเข้าไปแล้วหลายแสน…เจอแบบนี้แล้วก็ถึงกับต้องหยุดชะงักคิดกันนานๆเลย นี่แหละน้าชะตากรรมแสนเศร้าของคนเงินเดือนน้อย

อยากได้เงินจังเลย

ถ้ามีเงินซะอย่าง ก็เลี้ยงท่านแมวได้แล้ว

ไม่สิ เผลอๆการจะเลี้ยงท่านหมาก็อาจไม่ใช่ฝันเลยด้วย

นุ้งหมาที่แกร่งสุดในใต้หล้า โกลเด้ลรีทรีฟเวอร์น่ะ

ทว่า เราในตอนนี้มันไม่มีเงินไง

ฉะนั้นจะหมาจะแมวก็จนปัญญามันทั้งคู่

เพราะงั้นวันนี้ สิ่งที่จ้องเพ่งเล็งก็เลยเป็นนกขนาดเล็กๆ

ต้องเป็นสัตว์ที่สามารถเลี้ยงได้ในอพาร์ตเม้นท์ห้องเดี่ยวที่ใช้อยู่ตอนนี้…หากพิจารณาตามเงื่อนไขนี้แล้ว ก็เหลือชอยส์แค่นกกับหนูเท่านั้น ทว่าหนูนั้นมีอายุขัยสั้นมาก เห็นเหมือนว่าพันธุ์ส่วนมากต่างก็อยู่ดูโลกได้แค่ 2-3 ปีเท่านั้นเอง ทำไมมันช่างน่าเศร้าแบบนี้นะ

ถ้าเลี้ยงหนูขึ้นมา พอนึกถึงหลากหลายฤดูกาลที่ไม่แน่นอนว่าจะอยู่ร่วมกันไปได้ตลอดรอดฝั่งไหมแล้ว มีหวังได้คอยพะวงถึงวันๆที่จะได้ใช้ร่วมกับคู่หูมากจัดจนไม่เป็นอันได้ทำอะไรกินกันแหง ทั้งที่เราอยากจะเลี้ยงเพื่อให้เป็นแหล่งเยียวยาจิตใจแท้ๆ แต่ขืนเลี้ยงจริง ดีไม่ดีแล้วจะทำให้หน้าดำคร่ำเครียดหนักมากกว่าเก่าอีกมั้งนั่น

พอคิดแบบนั้นแล้วก็เหลือทางเลือกแค่นกเท่านั้น

อยากจะเลี้ยงน้องนกน้อยฉลาดๆที่ทนทานความเครียดได้จังเลย ขอแบบเสียงร้องเบาๆหน่อยด้วยยิ่งดี

 

“ ………โกลเด้ลรีทรีฟเวอร์น่ารักจัง ”

 

เจอน้องหมาน้อยพันธุ์โกลเด้นรีทรีฟเวอร์ในร้านด้วยล่ะ

ดวงจิตร่ำร้องต้องการน้องหมาตัวใหญ่ๆ

กู่ร้องว่าอยากจะเลี้ยงโกลเด้นรีทรีฟเวอร์ในบ้านหลังโตโอ่โถงจังเลยโว้ย

รีทรีฟเวอร์เบบี๋นอนหลับผล็อยอยู่ในกรง เพราะความน่ารักน่าเอ็นดูอันท่วนท้นและเหนือล้น ก็เลยทำให้เผลอหันสายตาไปมองดูอยู่เรื่อยทุกทีไป ขาที่กำลังก้าวถลำเข้าไปในร้านนี่คือเกือบจะหยุดกึกคาที่เลยทีเดียวเชียว สายตามันถูกดูดตรงไปยังป้ายราคา ว่าแล้วก็ตรวจเช็คดูวงเงินสูงสุดของบัตรเครดิตโดยพลัน

แต่ถึงราคาจะอยู่ในระดับที่วงเงินสูงสุดครอบคลุมถึง ฝันนั้นก็ไม่อาจเป็นจริงได้อยู่ดี

เหตุผลนั้นไซร้ ก็เพราะว่าบ้านเราคือห้องเดี่ยวแสนแคบยังไงละเอ๋ย

จะอะไรต่อมิอะไร ก็ล้วนมีต้นเหตุมาจากความช็อตไม่มีเงินนี่แหละน้า

จับจ้องมองน้องหมาน่อยแสนน่ารักจากด้านข้าง ขาก้าวตรงดิ่งไปยังมุมสัตว์ปีก

 

“ นั่นไง…. ”

 

ตัดสินนกพันธุ์ที่จะเลี้ยงเอาไว้แล้ว นามนั้นก็คือนกกระจอกชวา

ถือเป็นนกพันธุ์ที่เสียงเบา ฉลาดใช้ได้ แล้วในเน็ตยังบอกไว้อีกด้วยว่ามีอายุขัยอยู่ได้ประมาณ 7-8 ปีเลย หนำซ้ำยังตัวเล็กเชื่องคนด้วยอีกตะหาก เพอร์เฟ็คแบบนี้แล้วมันก็คิดหาอะไรอื่นนอกจากนกกระจอกชวาไม่ได้จนถึงกับทะยานบึ่งเข้าร้านมานี่ล่ะ

 

“ อย่างแหล่มแฮะ น่ารักสุดๆ ”

 

อีแบบนี้มันต้องซื้อ ของมันต้องมี

ปัญหาคือจะเอาตัวไหนดี

มีขายอยู่เยอะผิดคาดเลย

 

“ ……………. ”

 

กลุ้มเลยนะเนี่ย ก็ยังไงซะ นี่คือคู่หูที่จะต้องใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันไปหลายปีนะ

หากลองพิจารณาจากจุดที่ว่าเหล่าหนุ่มสาวที่ประสบปัญหาเตียงหักหย่าร้างกว่าครึ่งนั้น มักเริ่มที่จะแยกตัวออกห่างจากกันในช่วง 5 ปีหลังแต่งงานแล้ว งั้นหากจะเปรียบเทียบการตัดสินใจเลือกชอยส์ ณ ที่แห่งนี้ว่าเป็นการหาคู่ ก็ไม่ถือว่าเป็นอะไรที่เกินความจริงไปเลยแม้แต่น้อยนิด ควรจะเลือกตัวที่มีมุมมองค่านิยมใกล้เคียงกันที่สุดนั่นแหละ แน่นอนว่ารูปโฉมเองก็นับเป็นปัจจัยสำคัญ

ว่าแล้วก็เริ่มต้นตรวจสอบกรงที่ตั้งเรียงรายทีละกรงๆ

ทำแบบนั้นไปซักพัก ก็ได้ยินเสียงร้องดังออกมาจากกรงนึง

 

[เลือกฉันสิ เลือกฉันสิ]

“ ………….. ”

 

นกกระจอกชวาพูดได้ว่ะเฮ้ย

สะดุ้งเลย

เอ้ยไม่สิ ในเน็ตบอกว่ามีตัวที่พูดได้อยู่เหมือนกันนี่นะ ถึงจะหายากก็เหอะ

มันก็คงมีบ้างแหละมั้งอีแบบเนี้ย

 

[เลือกฉันสิ เลือกฉันสิ]

 

ดูเหมือนจะอยากให้เลือกแฮะ

เอ้ยไม่หรอก นกตัวนี้คงไม่น่าจะเข้าใจภาษาคนหรอก คิดว่าน่าจะจำคำพูดของใครซักคนมาเฉยๆแหละมั้ง ที่ร้องออกมาก็มีแต่คำพูดเดิมซ้ำไปมาด้วย บทสนทนาส่วนนึงของลูกค้ากับพนักงานมันคงจะไปสะกิดต่อมอะไรของนกกระจอกชวาตัวนี้เข้าแหละ แหม่ทำไมถึงเป็นคุณนกที่ขายตัวเก่งแบบนี้นะ

 

“ ……………… ”

 

ลงอีหรอบนี้แล้วก็ชักจะเริ่มสนใจขึ้นมา

เริ่มคิดแล้วด้วยเนี่ยว่าเป็นโชคชะตาฟ้าลิขิตมารึเปล่า

เอาวะ ตัดสินใจละ

 

“ ขอโทษนะครับ พอดีอยากจะขอซื้อนกกระจอกชวาตัวนี้….. ”

 

เลี้ยงนกกระจอกชวาช่างพูดตัวนี้ดูดีกว่า

 

 

 

กลับจากร้านขายสัตว์เลี้ยงมาถึงบ้านแล้ว

ทำการเก็บกวาดด้านบนของชั้นวางของที่ตั้งกองอยู่ตรงมุมห้อง แล้วจึงวางกรงสำหรับใช้เลี้ยงนกกระจอกชวาเอาไว้ตรงนั้น เท่านี้ก็ถือว่าเคลียร์ขั้นตอนการรับเลี้ยงไปได้เรียบร้อย จะน่าดีใจก็ตรงที่ไม่ต้องเตรียมที่ขับถ่ายหรือทำรั้วล้อมให้มากความเหมือนหมากับแมวนี่แหละน้า

อย่างอื่นที่ต้องเตรียมก็มีแค่อาหารสัตว์กับผ้าสำหรับใช้คลุมกรงแค่นั้นมั้ง

 

“ ………น่ารักจังเลยน้าา ”

 

จ้องมองนกกระจอกชวาที่อยู่ข้างในกรงแล้วมันช่างชวนให้ใจกระชุ่มกระชวยดีจริงๆเลยวุ้ย

โกลเด้นรีทรีฟเวอร์นี่ก็ดีแหละ แต่นกกระจอกชวาก็เด็ดสะระตี่อีกเช่นกัน

ต่อจากนี้ไปก็ขอฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะครับนะ

 

“ เอ้อ จริงด้วยสิ ต้องตั้งชื่อให้น้องเค้าหน่อย ”

 

ตั้งเป็นชื่อแบบไหนดี

อยากจะตั้งชื่อน่ารักๆให้จัง

เอาเป็นชื่อที่สอดคล้องกับรูปลักษณ์ภายนอกนี่คือน่าจะเยี่ยม

 

[นามของเราคือปิแอร์คาโล ผู้มาจากต่างแดนและนักปราชญ์แห่งดวงดาว]

“ ………………. ”

 

ตะกี้อะไรพูด

เฮ้ยนกกระจอกชวาพูด

ดูท่าทางจะมีชื่อแสนไพเราะอยู่เรียบร้อยแล้วงั้นหรือนี่

เอ้ยไม่ดิ จะบ้ากันไปใหญ่แล้ว

 

“ ปิแอร์คาโล? ”

[ใช่แล้ว]

“ ………………. ”

 

ฉิบหาย คุยกับนกกระจอกชวาได้เฉยเลยว่ะ

คุยกันรู้เรื่องเฉยเลยซะงั้นว่ะ

ถ้าจำไม่ผิดเพี้ยน นกตัวนี้เพิ่งเกิดมาลืมตาดูโลกได้แค่สองเดือนนิดๆเองนะ ถ้าฝึกให้เชื่องกับคนแล้วจะสอนให้กลายเป็นนกกระจอกชวามือถือได้ง่ายๆเลยนะครับ…เนี่ยคุณยามาดะที่ร้านขายสัตว์เลี้ยงเค้าว่ามาแบบนั้น ฟังแล้วคือตัดสินใจเด็ดขาดเลยว่าตรูจะลองดูแน่นอน แล้วก็รีบรุดบึ่งเอากลับบ้านมาเลย

 

“ พีจัง ”

[พีจัง]

“ ถ้างั้นก็ ชื่อพีจังนั่นแหละ ”

[………………]

 

ไม่พอใจหรือไงหว่า เหมือนรู้สึกว่าหน้าตาดูเคร่งน่ากลัวขึ้นมาหน่อยๆ

แต่ก็น่าร๊าก

ลองคุยด้วยดูอีกซักนิดแล้วกัน ถือว่าเป็นการยืนยันไปด้วยในตัว

 

“ พีจัง กับข้าววันนี้อยากจะกินอะไรดีล่ะ? ”

[เราต้องการชาโตเบรียนต์ที่ทำจากเนื้อวัวโกเบ]

“ เอ๊ะ ว่าไงนะ…. ”

[เจ้าผู้ชายชื่อยามาดะที่ทำงานอยู่ในร้านพูดอยู่ว่าอร่อยเลิศรสมากๆ]

“ ……………… ”

 

คุยกันรู้เรื่องแน่นอนชัวร์ป๊าบ 100% เต็ม

แล้วก็นะ คุณยามาดะที่ร้านขายสัตว์เลี้ยงกินเนื้อหรูใช่เล่นเลยไม่ใช่เหรอนั่นเฮ้ย ถ้าจำไม่ผิดเพี้ยน ชาโตเบรียนต์เนี่ยรู้สึกว่าหนึ่งร้อยกรัมจะราคาปาเข้าไปตั้งหนึ่งหมื่นเยนเลยเชียวนะ ถ้าเป็นของแบรนด์ชื่อดังแล้วละก็ เหมือนว่าจะราคาพุ่งขึ้นไปจากเดิมถึง 2-3 เท่าตัวเลยด้วยอีกตะหาก

 

“ ……….เอาเป็นอาหารเม็ดที่อยู่ตรงโน้นแทนไม่ได้เหรอ? ”

 

ชี้ไปยังถุงอาหารเม็ดโภชนาการครบห้าหมู่ข้างกรงที่ซื้อมาพร้อมกับน้องนกเพื่อเป็นการยืนยัน เห็นว่ามีใส่โภชนาการที่จำเป็นสำหรับนกกระจอกชวาเอาไว้อยู่เต็มเปี่ยม ขอแค่เอานี่กับน้ำให้กินเรื่อยๆก็พอแล้ว…เนี่ยคุณพนักงานเค้าว่ามาแบบนั้น

ถือเป็นอาหารจานหลักของนกกระจอกชวาไปตลอดชีพเลยเชียว

คล้ายกับกิวด้งร้านสาขาสำหรับพนักงานเงินเดือนไส้แห้งแหละ

 

[มันไม่อร่อย]

“ เหรอ……. ”

 

ถ้าไม่อร่อยงั้นก็ช่วยไม่ได้

เราเองก็ไม่อยากกินของรสชาติห่วยแตกเหมือนกันแหละ

เอ้ยแต่กิวด้งร้านสาขาเนี่ยอร่อยใช้ได้ ถ้าโปะด้วยขิงดองเยอะๆแล้วกินรวมกันกับไข่สด น้ำมันจะฉ่ำออกมาสุดยอดโคตรพ่อโคตรแม่อร่อยสุดๆเลยให้ตาย เวลากลับบ้านด้วยรถไฟขบวนสุดท้าย พอแวะเข้าร้านกิวด้งใกล้บ้านแล้วได้กินปุ๊บนี่คือมีกำลังใจพร้อมลุยสู้งานวันพรุ่งนี้อีกครั้งนึงเลย ถ้านานๆทีก็มีเติมซุปหมูกินหรูๆเก๋ๆดูมั่ง

 

“ แต่ขอโทษนะ ชาโตเบรียนต์นี่คงไม่ไหวหรอก ”

[ทำไม?]

“ มันเป็นเนื้อที่แพงม๊ากมากมากเลยน่ะสิ อย่างผมนี่ซื้อไม่ได้หรอก ”

[……….งั้นหรือ?]

“ ขอโทษด้วยนะ ดันถูกพนักงานเงินเดือนไส้แห้งซื้อมาซะได้ ”

[………………]

 

เอาเป็นว่าตอนนี้ละความจริงที่ว่ากำลังคุยอยู่กับนกกระจอกชวาไปก่อนก็แล้วกัน ใจมันว๊อนอยากจะอัดคลิปแล้วอัพลงยูทูปสุดๆไปเลยก็จริงแหละ แต่อีกฝั่งดูมีความเป็นมนุษย์มากกว่าที่คิดเอาไว้โขเลยไง ก็เลยทำลำบากอยู่เหมือนกันอะนะ

ลองคุยดูอีกซักหน่อยไปก่อนแล้วกัน

 

“ กินหมูสามชั้นแทนได้มั้ย? มีอยู่ในตู้เย็นพอดีแน่ะ ”

[ถ้าไม่มีเงิน ก็หาเข้าเสียก็หมดเรื่อง]

“ เอ๊ะ? ”

 

อ้าวไม่ชอบหมูสามชั้นเหรอ

คิดว่าออกจะอร่อยใช้ได้แท้ๆน้า

 

[ตั้งแต่ที่ตัวเราถูกขับไล่ออกมาจากต่างโลก และได้ลืมตากลับมามีชีวิตอีกคราในสภาพนี้ ก็มีครุ่นคิดคำนึงถึงเรื่องต่างๆอยู่มากมาย ทำอย่างไรจึงจะกลับไปยังโลกเดิมได้ จำเป็นต้องใช้อะไรจึงจะทำตามเป้าประสงค์ได้ และต่อให้กลับไปได้จริงๆ ก็สมควรจะทำอะไรต่อดี]

“ ……….เหรอ? ”

 

จู่ๆก็พูดยาวออกมาเฉ๊ย

เป็นนกกระจอกชวาที่มีภูมิหลังยิ่งใหญ่กว่าที่คาดคิดเอาไว้เยอะแฮะ

เล่นทำเอาอยากรู้เลยว่าจะเป็นยังไงต่อ

ถึงกับตอบรับต่อบทสนทนาโดยเป็นธรรมชาติเลยเนี่ย

 

[และแล้ว ตัวเราก็คิดได้ข้อสรุป]

 

จะงอยปากขยับดุ๊กดิ๊กๆน่ารักจริงๆเลยแหม่

ราวกับกำลังอ้อนขออาหารจากแม่นกอยู่เลยก็ไม่ปาน

 

[คิดขึ้นได้ว่า…ต่อจากนี้แค่ดำเนินชีวิตตามที่ใจต้องการดูเสียก็พอแล้วไม่ใช่หรือ น่ะ]

“ ……….งี้นี่เอง ”

 

พูดบิ้วมาซะอลังแต่กลับจบแบบพื้นๆเฉยเลยซะงั้น

แต่ความเห็นแบบนั้นเนี่ยก็คิดว่าสำคัญมากเลยเหมือนกันนะ เราไม่เห็นจำเป็นต้องผลาญเวลาเพื่อให้ลงล็อกเข้ากับผู้คนรอบตัวเลยซักนิด ไม่ว่าเป็นใครเวลาตายก็โดดเดี่ยวเดียวดายเหมือนกันหมด ระหว่างที่มีชีวิตอยู่ก็ควรทำสิ่งที่อยากทำให้หมดแหละ พอมาเป็นขี้ข้าบริษัทแล้วยิ่งทำให้คิดแบบนี้หนักเลย

เออแล้วก็ นี่ร้อง [เลือกฉันสิ เลือกฉันสิ] ด้วยนิสัยเคร่งขรึมแบบนี้จริงเรอะเนี่ย

มันชักจะรู้สึกเอ็นดูม๊ากมากขึ้นมาเล้ยแม่เจ้า

 

[เพื่อการนั้นแล้วเราจำเป็นต้องขอยืมแรงจากผู้ให้ความร่วมมือในโลกฝั่งนี้]

“ แบบนี้นี่เอง ”

[ช่วยให้ความมือกับเราทีเถอะ หากเจ้าทำเช่นนั้นแล้วการหาเงินนี่จะไม่ใช่เรื่องยากเย็นใดๆเลย]

“ สัตว์เลี้ยงแสนน่ารักขอร้องมาแบบนี้ ก็เต็มใจอยากช่วยอยู่หรอกนะ….. ”

[เยี่ยม ถ้าเช่นนั้นก็ถือว่าตกลงกันแล้วนะ]

“ เอ๊ะ……. ”

 

จู่ๆปากของนกกระจอกชวาก็พลันเปิดอ้าขึ้นเฉย

พอคิดแบบนั้นเท่านั้นแหละมีวงแหวนเวทมนตร์ลอยโผล่ขึ้นมาอยู่ต่อหน้าทันควัน ไอ้แบบที่เห็นได้บ่อยๆในอนิเมะหรือมังงะนั่นแหละ เจ้านั่นมันลอยเด่นอยู่กลางอากาศ ส่องแสงเจิดจ้าเรืองรอง ไม่เห็นจำได้เลยว่าเคยซื้อของเล่นแบบนี้มาด้วย หรือว่านี่…พีจังเป็นคนเสกมันออกมาเหรอ

 

“ พีจัง นี่มันอิหยัง ”

[จะมอบพลังส่วนนึงของเราให้กับเจ้า]

 

พอกล่าวเช่นนั้นแล้ว วงแหวนเวทมนตร์ก็ยิ่งทวีคูณเพิ่มระดับความสว่าง

พอเห็นว่ามันสว่างวาบปุ๊บ ภาพเบื้องหน้าก็กลายเป็นสีขาวล้วน จ้าสุดยอดไปเลยนะเนี่ย อดรนทนไม่ได้ถึงกับต้องหลับตาเกร็งตัวเลย พอทำแบบนั้นแล้ว ก็พลันเกิดสัมผัสอันอบอุ่นขึ้นมาอยู่ข้างในอก หยั่งกับมีแผ่นแปะให้ความอบอุ่นถูกฝังอยู่ข้างในตัวเลยงั้นแหละ

 

“ เอ๊ะ เดี๋ยว ไอ้นี่ท่าจะไม่ดี….. ”

[ใจเย็นๆ เดี๋ยวก็เรียบร้อยแล้ว]

“ ……………… ”

 

เป็นวีรกรรมที่ชักจะเหนือล้ำเกินนกกระจอกชวาแล้วนะ

รู้งี้เลือกนกตัวที่อยู่ในกรงข้างๆมาแทนซะก็ดี….เนี่ยถึงกับมีคิดแบบเนี้ยขึ้นมานิดๆเลยทีเดียว ถ้ามันมีคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าแบบความยาวคลื่นสั้นออกมาจากวงแหวนเวทนี่จะทำยังไงดีละเรา เละสิครับแบบนั้น ปีนี้นอกจากตรวจสุขภาพแล้วอาจจะควรต้องจองตรวจสแกนแบบละเอียดเอาไว้ด้วยซะละมั้งเนี่ย

แสงจ้านี่ถ้าให้ตีเป็นเวลา ก็จ้าต่อเนื่องราวๆซักสิบกว่าวินาที

ไม่นานนัก แสงสว่างจากข้างในกรงก็ค่อยๆลดระดับลง

วงแหวนเวทที่ล่องลอยอยู่หน้าพีจังก็หายวับไปตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้

 

[เท่านี้เจ้าก็มีพาสเชื่อมต่อกับเราแล้ว]

“ เอ๊ะ? ”

 

พาสที่ว่านั่นมันคืออะหยัง เนี่ยคิดแบบนี้เลย

ดูไม่เห็นท่าทางเหมือนว่ามีอะไรบางอย่างอยู่ระหว่างเราสองคนเลยซักกะนิด

 

[เปิดกรงนี่ให้ที]

“ อ๊ะ คับ ”

 

ไม่รู้อะไรเป็นอะไร แต่ลงอีหรอบนี้แล้วก็ขอตามไงตามกันไปให้สุด มีที่อยากจะยกขึ้นมาพูดมากมายหลายเรื่องราว แต่อารมณ์มันเหมือนว่าโดนลากเข้ามาพัวพันไปด้วยแล้วเรียบร้อย ถ้าพาลโวยวายขึ้นมาแล้วทำพีจังอารมณ์เสียแบบนั้นก็น่ากลัว

ในเมื่อต้องมาดำเนินชีวิตอยู่ในห้องเดียวกันแล้ว ก็อยากจะสนิทสนมกันต่อไปเรื่อยๆอะนะ

 

“ …………แบบนี้เหรอ? ”

[อืม]

 

พีจังที่บินออกมาจากกรง พลันขึ้นมายืนอยู่บนไหล่เราเนี่ย

นกกระจอกชวาไหล่ถือ น่าร๊าก

ยังไม่ทันได้ฝึกให้เป็นนกมือถือก็ยอมขึ้นมายืนอยู่บนตัวแล้ว โคตรพ่อโคตรแม่ปลื้มปีติเลยครับโว้ย

ว่าแล้วเชียว คิดถูกจริงๆแหละที่เลือกน้องคนนี้มา

 

[เท่านี้ตัวเราก็จะสามารถใช้พลังดั้งเดิมได้โดยผ่านร่างกายของเจ้า แม้ร่างกายของเจ้าจะอ่อนแอและบอบบางอย่างยิ่งยวด แต่ก็คงดีกว่าร่างกายของนกตัวเล็กๆเช่นเรานี้เป็นไหนๆ อย่างน้อยก็ไม่มีความเสี่ยงที่ร่างกายจะพังทลายจากผลของการใช้เวทมนตร์ละนะ]

“ เอิ่ม ถ้ามันเป็นอะไรที่ท่าจะไม่ดีต่อสุขภาพแล้วละก็ ขอปฎิเสธแล้วกันนะ……. ”

[เช่นนั้นแล้วก็ไปกันเลยเถอะ]

 

ว่าแล้วพริบตาถัดมา ภาพเบื้องหน้าก็พลันกลายเป็นสีดำสนิทไปเฉย  

 

 

 

 

ชั่วพริบตาหลังจากที่โลกดับวูบ รู้สึกอีกทีภาพทิวทัศน์รอบตัวก็เปลี่ยนแปลงไปแบบสุดขั้วเลยทีเดียวเชียว

ถ้าจะให้อธิบายจบรู้เรื่องในวรรคเดียว ก็เป็นโลกแฟนตาซีแห่งดาบและเวทมนตร์แหละ

สภาพบ้านเมืองที่อุดมเต็มเปี่ยมไปด้วยตึกหิน ทางเดินที่ถูกปูด้วยอิฐ เหล่าผู้คนสภาพเหมือนตัวละครเกม RPG ที่เดินไปมาอยู่ตรงโน้นตรงนี้ ดาบกับหอกที่มองเห็นอยู่ได้ทั่วไปหมด ไอเท็มย้อนยุคอย่างเช่นชุดเกราะ แล้วก็รถม้าที่แล่นทะยานเสียงดังก้อง

และพวกเราก็กำลังยืนหัวโด่อยู่ตรงมุมนึงของถนนใหญ่ จับจ้องมองดูไอ้ที่ว่าๆมาข้างต้นนี้อยู่จากทางด้านข้าง

 

 

“ พีจัง ที่นี่ที่ไหนเนี่ย? ”

[โลกที่เราอาศัยอยู่ก่อนที่จะได้เกิดใหม่มาในร่างนี้อย่างไรละ]

“ งี้นี่เอง ”

[ที่แห่งนี้คือเมืองชนบทของอาณาจักรเฮิร์ทซ์ มีนามว่าเอเตรียม]

“ จะว่าไปแล้วนี่ผม มาแบบเท้าเปล่าเลยนะเนี่ย ”

[……….จริงด้วยสินะ]

 

แถมทั้งเสื้อทั้งกางเกงยังเป็นสเวตเตอร์แบบเอาไว้ใส่อยู่บ้านอีกตะหาก

เพราะงี้แหละเลยรู้สึกประหม่าสุดๆไปเลย ถ้าต้องออกมาเจอหน้าคนก็อยากจะอยู่ในสภาพสวมกางเกงสแล็คกับเสื้อเชิ๊ตแบบมีปกเสื้อมากกว่า ในอายุปูนนี้ที่จะสวมกางเกงยีนส์หรือเสื้อยืดก็แทบจะไม่ไหวแล้วนี่ หากไม่ได้สวมกางเกงขายาวก็ทำเอากลุ้มเลยว่าจะถูกชาวบ้านเค้ายอมรับสิทธิมนุษยชนรึเปล่า

อย่างเวลาตอนไปร้านสะดวกซื้อหรือห้างซูเปอร์เงี้ย ถ้าใส่ยีนส์กับเสื้อยืดไป คุณพนักงานเค้าจะทำสีหน้าคนละแบบกับตอนที่ใส่สแล็คกับเสื้อเชิ๊ตแหละ ไม่แน่อาจจะแค่คิดไปเองเฉยๆก็ได้หรอก แต่ก็ถือเป็นมาตรการป้องกันสภาพจิตของตาลุงขี้เหร่ไส้แห้งแหละนะ

นามบัตรของบริษัทกับกางเกงขายาว มีแค่สองอย่างนี่แหละที่เป็นตัวช่วยปกป้องคุ้มครองเหล่าลุงๆทั่วโลกเอาไว้

 

“ ดูท่าที่นี่จะเป็นต่างโลกจริงๆด้วยสินะ ”

[เชื่อแล้วใช่ไหม?]

“ ก็เล่นอัดให้เห็นกันซะขนาดนี้นี่เนอะ คิดว่าผมเข้าใจที่พีจังพูดแล้วละ ”

[เป็นเช่นนั้นก็ดีแล้ว]

 

ดูท่าคุณนกเค้าจะไม่ได้พูดโกหกแฮะ เอาจริงๆแล้วแค่ตอนที่เห็นนกกระจอกชวาพูดได้นี่มันก็น่าจะรู้แล้วแท้ๆว่าไม่ได้โกหกหรืออำกันเล่นชัวร์ๆ แต่พอลองได้มาเหยียบสัมผัสทางเดินหินใต้เท้าแบบนี้แล้ว ความฉงนสงสัยเล็กๆน้อยๆที่แอบซ่อนหลบอยู่ในหลืบก็ถึงกับถูกเป่ากระเด็นหายลับวับไปกับตาหมดเกลี้ยงไม่เหลือหลอทันควัน

 

“ แต่แล้วมันเกี่ยวพันกับการหาเงินยังไงเหรอ? ”

[พวกเราสามารถเดินทางข้ามไปมาระหว่างโลกนี้กับโลกเมื่อซักครู่ได้อย่างอิสระ]

“ ………..แล้ว? ”

[ฉะนั้นแค่ทำการค้าระหว่างสองโลกเสียก็พอ ของที่หาซื้อได้ด้วยราคาถูกในโลกฝั่งโน้น หากนำมายังโลกฝั่งนี้อาจจะขายได้ราคางามเลยก็เป็นได้ กลับกันแล้วของที่มีราคาถูกในโลกฝั่งนี้ หากนำไปยังโลกฝั่งโน้นก็อาจจะขายได้ราคาดีเลยอีกด้วยเช่นเดียวกัน]

“ งี้นี่เอง ”

[หากเจ้าทำเช่นนั้น ไม่นานนักก็จะมีชาโตเบรียนต์มาตั้งตระหง่านรอเราอยู่บนโต๊ะอาหาร]

“ ………..ก็จริงนะ ”

 

เข้าใจที่พีจังอยากจะสื่อแล้ว

แต่ถ้าจะทำแบบนั้นก็เห็นทีจะจำเป็นต้องใช้เวลาวางแผนสร้างระบบที่รัดกุมและแน่นอนนานพอตัวอยู่แฮะ สาเหตุนั้นก็เพราะว่าสิ่งที่พีจังเสนอมานั่น ให้ว่าแล้วมันก็คือการแปลงเอาวัตถุของต่างโลกให้กลายเป็นค่าเงินเยน ซึ่งก็มีความหมายเทียบเท่ากับการเอาของที่ขโมยมาหมุนในระบบนั่นแหละ

แถมหากจะเอาให้ถึงกับระดับมีชาโตเบรียนต์มาตั้งตระหง่านรออยู่บนโต๊ะอาหารทุกวันเลย ก็คงจะเป็นงานที่มีเรื่องให้ต้องวิตกมากมายพอดู ถ้าจะกินอาหารที่หนึ่งมื้อปาเข้าไปถึงหลายหมื่นเยนทุกวันแล้วละก็ ค่าใช้จ่ายตลอดปีไม่ทะลุเกินกว่าสิบล้านไปอีกเหรอนั่น นับว่าเป็นราคาในระดับที่ไม่ใช่เล่นๆเชียวนะ

 

“ แต่ว่านะพีจัง มันอาจจะยากเอาเรื่องเลยก็ได้นะวิธีนั้น ”

[ทำไมล่ะ?]

“ ต่อให้เราได้ทรัพย์สินสมบัติของโลกนี้มา แล้วนำกลับไปยังโลกอีกฝั่งนึงได้จริงก็เถอะ แต่ก็ไม่มีวิธีเปลี่ยนให้กลายเป็นเงินได้อยู่ดี ก็ถ้าถูกเค้าถามว่าไปได้มาจากไหน พวกเราเองก็อธิบายไม่ได้เหมือนกันไง”

[…………ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น?]

“ ก็ถ้าอธิบายเรื่องต่างโลกให้ฟังไปแบบตรงๆ ก็มีหวังได้เป็นเรื่องใหญ่กันพอดีน่ะสิ ”

[อุบเงียบเอาไว้ก็น่าจะไม่เป็นอะไรแล้วนี่?]

“ ก็ประเด็นคือมันทำแบบนั้นไม่ได้ไง ”

 

ถ้าไอ้ขี้ข้าบริษัทต๊อกต๋อยตลอดปีตลอดชาติเอาของมีราคาไปเข้าโรงรับจำนำซ้ำๆเรื่อยๆแล้วละก็ โดนแจ้งตำรวจมารวบตัวแน่นอนไม่ต้องสงสัยเลย โรงจำนำมักจะแอบมีติดต่อกับทางตำรวจอยู่บ่อยๆ ถ้าเกิดโดนถามว่าไปหาของพวกนั้นได้มาจากไหนละก็จบเห่ ตัวเราในตอนนี้คิดหาวิธีแถเอาตัวรอดจากการถูกสอบปากคำที่จะตามมาติดๆไม่ออกเลยแม้แต่นิดเดียว

แล้วก็ ต่อให้แลกเงินได้สำเร็จจริงๆก็เหอะ แต่ความมันก็จะไปแตกแน่นอนในตอนที่ต้องยื่นขอคืนภาษีช่วงปลายปี

ในญี่ปุ่นเนี่ย การไหลเวียนของเงินเยนจะถูกจัดการเอาไว้แบบที่รัดกุมมากเลยทีเดียว อาชีพที่มักมีการหนีภาษีอยู่บ่อยๆก็คือสาวอาบอบนวด สาเหตุที่พวกคุณหล่อนที่เป็นผู้ประกอบการธุรกิจส่วนตัวมักจะถูกสรรพากรรวบแล้วบังคับให้ต้องจ่ายค่าปรับเงินภาษี ก็เป็นเพราะกระทำการหนีภาษีโดยไม่ได้เข้าถึงใจระบบนี้ให้ดีก่อนนั่นเอง

ถ้าคิดว่าทำงานแบบได้เงินเดือนจากมือเจ้านายตรงๆแล้วจะปลอดภัยก็ขอบอกเลยว่าผิดถนัด มันดูออกง่ายกว่าที่คิดเอาไว้มากเลยนะอะไรพวกนี้ ต่อให้ไม่ต้องเช็คผ่านบัญชีธนาคาร แต่เหล่าพวกคุณๆท่านๆแห่งสรรพากรก็มีวิธีการตรวจสอบการไหลเวียนของเงินพวกเราอยู่ดี ยิ่งเป็นสมัยนี้ที่ธุรกิจออนไลน์เฟื่องฟูด้วยแล้ว อิทธิพลในทางด้านนี้ก็เลยยิ่งเพิ่มหนักมากเข้าไปใหญ่ มีคนที่ไม่รู้ว่าการใช้จ่ายโดยส่วนตัวของเราเนี่ยได้ถูกเบื้องบนคอยตรวจเช็คโดยสมบูรณ์ไว้แล้วอยู่เยอะผิดคาดเอาเรื่องเลย

หากนำของที่มีมูลค่าสูงไปแลกเงินในสถานที่สาธารณะซ้ำหลายๆครั้งเข้า ก็เห็นกันชัดเจนว่ามีหวังได้ถูกสงสัยแน่ว่าไปได้ของมาจากไหน ยิ่งถ้าโดนสรรพากรตรวจสอบภาษีในด้านการจำนำด้วยแล้วนี่คือเปรี้ยงเดียวเกมเลย แต่ถึงอย่างนั้น จะเลือกไม่ยอมเสียภาษีในการทำธุรกิจในที่สาธารณะมันก็ไม่ได้อีก

ญี่ปุ่นน่ะใช้ระบบยื่นผลภาษีกับตรวจสอบภาษี ถ้าเกิดว่าเรื่องที่เราหนีภาษีมันเกิดแดงขึ้นมาละก็ ไม่แคล้วถูกบังคับให้ต้องจ่ายค่าปรับเงินภาษีไล่หลังตามที่ทางสรรพากรประเมินค่าเอาไว้แน่ๆ แล้วก็ ถ้าอยากจะปฎิเสธข้อกล่าวหาด้วยวิธีการที่ถูกต้องตามกฎหมายแล้ว เราก็จำเป็นต้องแสดงหลักฐานที่มาที่ไปของเงินให้เห็นเป็นที่แน่นอนตามหลักกฎหมาย

ผมเอาทรัพย์สินทั้งหมดทั้งมวลนี่มาจากต่างโลกคับ….เนี่ยต่อให้ปากจะฉีกก็พูดไปไม่ได้เด็ดขาด ไม่สิ ถ้าเผลอพูดออกไปมีหวังโดนลากมาไต่สวนสอบปากคำกันยาวๆจนถึงกับปากฉีกแหงๆเลยชัวร์ โดนหิ้วจนต้องพลัดพรากจากพีจังแน่นอน แถมต่อให้กลายเป็นบุคคลล้มละลายก็ยังเคลียร์ให้ภาษีที่ติดค้างกลายเป็นศูนย์ไม่ได้อีก

ไม่อยากจะแบกรับความเสี่ยงแบบนั้น

กล่าวคือ จำเป็นต้องสร้างระบบที่มันจะไม่ลงเอยแบบนั้นขึ้นมานั่นแหละ

อะไรแบบที่มีให้เห็นในพวกหนังยากุซ่าบ่อยๆไง

การฟอกเงิน มันนี่ลาวเดอร์ริ่งเงี้ย

ถ้าแลกเงิน แล้วจ่ายภาษีตามตรงได้แบบนั้นมันก็คงจะดีที่สุดแล้วแหละ แต่เกี่ยวกับตรงนี้นี่คืออับจนปัญญาจริงๆ ก็นี่เรากำลังพูดถึงสินค้าในนามต่างโลกที่ไม่มีทางชักหน้าให้ถึงหลังได้แน่นอนอยู่นี่นา ถ้าอยากจะทำการแลกเปลี่ยนให้เป็นไปได้จริงๆ ก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากคิดหาวิธีการเหมาะๆให้ได้สถานเดียว

ว่าแล้วก็ทำการเล่าพวกประเด็นดังกล่าวเนี่ยให้พีจังฟัง

 

[ยุ่งยากใช่เล่นเลยนะ ระบบการเงินของประเทศเจ้าน่ะ]

“ ก็ใช่น่ะสิ ”

[แต่ก็ยอดเยี่ยม ถือเป็นระบบที่วิเศษมากจริงๆ]

 

น้องนกแกยอมเข้าใจง่ายๆผิดคาดเลยแฮะ

แหม่เป็นนกกระจอกชวาที่ฉลาดอะไรแบบนี้นะ

ไม่แน่ถ้าลองถ่ายคลิปน้องนกตอนกำลังพูดๆแบบนี้ไปอัพโหลดลงยูทูปดู แบบนั้นอาจจะถือเป็นวิธีการที่ทำให้ฝันกลายเป็นจริงได้เร็วที่สุดก็ได้เหมือนกัน…เนี่ยถึงกับคิดแบบนั้นขึ้นมาเลย แต่ถ้าทำจริงๆก็น่าสงสารอะนะเพราะงั้นอย่าเลยละกัน

 

“ แต่ถึงจะว่างั้น ต่อให้เปลี่ยนเอาของไปออกตามงานประมูลหรือตลาดมือสองที่ไม่ว่าใครๆก็สามารถจับจ่ายใช้สอยได้ แต่นั่นก็จะไม่ทำให้เรารวยพอจะซื้อชาโตเบรียนต์เนื้อวัวโกเบมากินแทนข้าวทุกวันได้หรอกนะ ฉะนั้นการจะทำให้สิ่งที่พีจังพูดออกมาเป็นจริงเนี่ย คงอาจจะจำเป็นต้องใช้เวลาซักหน่อยเลยแหละ ”

[ฮื่ม…..]

“ ก็งั้นแหละนะ วันนี้กินหมูสามชั้นแทนก่อนได้มั้ย? ”

 

ถึงจะเป็นแค่หมูสามชั้น แต่ถ้าปรุงดีๆแล้วก็น่าจะอร่อยอยู่นะ

ถ้าเอาไปผัดนี่คือถือว่าแหล่ม จะเรียกว่าเป็นจ้าววัตถุดิบแห่งการผัดก็ไม่ได้เกินจริงไปเลยนะ หมูสามชั้น

อย่างหมูผัดกิมจิอะไรเนี่ยนับว่าเป็นเมนูสุดแกร่งในใต้หล้าเลย น้ำลายสอเลย

 

[ถ้าเช่นนั้นก็ช่วยไม่ได้ ตัดใจที่จะเสพสุขในโลกฝั่งโน้นเสียดีกว่าสินะ]

“ พีจังอุตส่าห์เสนอมาแท้ๆ ขอโทษด้วยนะ ”

[ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็มาเสพเสวยสุขกับโลกฝั่งนี้แทนเสียแล้วกัน หากเป็นเช่นนั้นคงไม่มีปัญหาอะไรใช่ไหมละ? เรายังคงมีความสนใจในอาหารและสิ่งบันเทิงของโลกฝั่งโน้นอย่างยิ่งยวดอยู่ก็จริง แต่ก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องรีบร้อนเลยแต่อย่างใด หากรอคอยอยู่ซักระยะไม่แน่สถานการณ์อาจจะเปลี่ยนไปจากเดิมก็เป็นได้]

“ โลกฝั่งนี้ไม่มีระเบียบข้อบังคับแบบโลกนั้นเหรอ? ”

[ก็มีระบบภาษีอยู่เช่นกัน แต่ไม่ได้รัดกุมมากถึงขนาดโลกของเจ้า]  

“ เหรอๆ ”

 

ถ้าอย่างนั้นก็คงไม่มีปัญหาเนาะ

แล้วก็ เราเองก็มีสิ่งที่สนใจอยู่หลายอย่างเหมือนกัน พอเฝ้าจ้องมองสภาพถนนแบบนี้แล้ว มันก็รู้สึกอยากจะลองเที่ยวชมดูขึ้นมาอะนะ ก็ที่นี่มีแต่ของที่เพิ่งจะเคยเห็นครั้งแรกเต็มไปหมดนี่นา หากสามารถเดินทางไปมาได้อย่างอิสระ งั้นก็ถือว่ากำหนดแผนพักผ่อนตอนช่วงวันหยุดได้ไปซักพักใหญ่ๆเลย

 

[เช่นนั้นแล้ว ก็ตกลงตามนี้]

“ นั่นสิน้า ”

 

พอยืนยันความยินยอมของกันและกันแล้ว พวกเราก็หวนกลับไปยังห้องพักเดิม

 

 

จากผู้แปล : เผื่อคนที่ยังจำได้ เรื่องนี้ผมเคยแปลเอาไว้เจ็ดแปดตอนเมื่อราวปีสองปีก่อนครับ จากฉบับ WN ที่เนื้อหามันออกจะค่อนข้างลวกๆไม่สมเหตุสมผลบ้างในบางจุด แล้วมันเกินรับไหวเลยดรอปไปดื้อๆ แต่คราวนี้อาจารย์คนแต่งแกเขียนลงฉบับเล่มละ ปรับเนื้อหาส่วนที่ขัดแย้งให้เรียบร้อยหมด ก็เลยหยิบเอามาอีกรอบ

และเนื่องจากมีเนื้อหาใหม่ที่ฉบับ WN ไม่มีเพิ่มเข้ามา เลยตัดสินใจลงใหม่ตั้งแต่แรกเริ่มเลยครับ 

Options

not work with dark mode
Reset