(นิยายแปล) ตำนานวังหลังของพระชายาขาบู๊ – ตอนที่ 13 รุ่งสางของคืนที่ยาวนาน

“อื ม……”

 

จิ๊บจิ๊บ เสียงนกร้องพร้อมกับแสงแดดยามเช้าที่สาดเข้ามาทางหน้าต่าง ในเวลาเดียวกันนั้นเฮเลนาก็ลุกขึ้นจากเตียงพลางกุมศีรษะที่กำลังปวดหนึบ

ดูเหมือนเมื่อคืนจะดื่มหนักไปพอสมควร กระนั้นการที่เธอตื่นมาในช่วงที่ตะวันกำลังขึ้นพอดีก็คงเป็นเพราะนิสัยที่เฮเลนาติดมาจากกองทัพ ถึงแม้ปกติแล้วจะตื่นก่อนตะวันขึ้นเสมอก็เถอะ เทียบกันแล้ววันนี้จะเรียกว่าตื่นสายนิดหน่อยก็ว่าได้

สุราชั้นดีที่ขอยืมมาจากบ้านตระกูลมาร์ควิสเรลโนต ดูเหมือนว่ามันจะทั้งอร่อย ทั้งดื่มง่าย แล้วก็ดีกรีแรงกว่าที่เฮเลนาคาดไว้ซะอีก

 

“ปวด หัว……”

 

“ก็ดื่มไปตั้งมากนี่นะ ไม่แปลกใจเลย เอ้า น้ำ”

 

“อา……ขอบใจ วิก”

 

เธอรับน้ำมาดื่มหนึ่งคำ เพียงเท่านั้นก็รู้สึกว่าอาการปวดศีรษะดีขึ้นบ้างแล้ว อาการเมาค้างเนี่ยใช้น้ำช่วยได้จริง ๆ

เอ๋? ตอนนั้นเองที่รู้สึกสงสัยขึ้นมา

ในสายตาที่ไม่ค่อยจะโฟกัสเพราะความปวดหัว มีภาพของผู้ชายสะท้อนอยู่ และที่สำคัญที่นี่คือวังหลังนั่นจึงย่อมไม่ใช่วิกเตอร์

ซึ่งก็หมายความว่า

 

“ฝ ฝ่าบาท—!?”

 

“……มันมีอะไรต้องตกใจขนาดนั้นด้วยรึ”

 

‘ควับ’ เฮเลนารีบสำรวจร่างกายของตัวเองก่อนเป็นอันดับแรก

เธอยังอยู่ในชุดเดรสตัวเดิมที่ใส่อยู่เมื่อคืน แล้วก็ไม่ได้ส่วนที่ฉีกขาดหรือถูกถอดออกไปเป็นพิเศษ ถ้าจะให้ออกความเห็นอะไรสักอย่างก็คงจะมีแค่ว่าชุดมันยับสุด ๆ เพราะนอนหลับไปทั้งแบบนั้นแค่นั้น

ซึ่งก็แปลว่า เมื่อคืนไม่ได้มีอะไรเกิดขึ้นนั่นเอง

 

“……ดูเหมือนจะไม่ค่อยเชื่อใจเราเลยสินะ”

 

“ฝ ฝ่าบาท!? ขออภัยด้วยค่ะ! มันเผลอไป!”

 

“ไม่เป็นไรหรอก มันคงเป็นสัญชาติญาณของสตรีที่ตื่นมาแล้วพบว่ามีบุรุษอยู่ด้วยล่ะมั้งนะ น่าเสียดายว่าเราน่ะไม่คิดจะโอบกอดสตรีที่เมาอยู่หรอกนะ แต่ยังไงก็ตามจะทิ้งเจ้าที่เมาไม่ได้สติอยู่แล้วกลับไปทั้งแบบนั้นก็กระไรอยู่”

 

ในที่สุดสายตาก็โฟกัสได้สักที ภาพที่เห็นเหมือนมีหมอกบังก็ค่อย ๆ แจ่มชัดขึ้นทีละน้อย เฮเลนาจึงมองดูสภาพของห้อง

ขวดสุราสี่ขวด ว่างเปล่าโดยสมบูรณ์และนอนกลิ้งอยู่ตามพื้น

นั่นคือสุราชั้นเลิศยี่ห้อดังทั้งหมดที่เฮเลนาขอยืมมาจากบ้านตระกูลมาร์ควิสเรลโนต ซึ่งก็หมายความว่าเธอได้ดื่มสุราแรง ๆ แบบนั้นเข้าไปจนหมดทั้งสี่ขวดเมื่อคืนซะแล้ว

และเวลาที่เฮเลนาเมา เธอก็มักจะจำอะไรไม่ได้

 

“ฝ ฝ่าบาทคะ……เอ่อ ข้าน่ะคออ่อนมาก แล้วก็มีบางครั้งที่จำอะไรไม่ค่อยได้……”

 

หมายความว่า ต่อให้เมื่อคืนได้ทำอะไรที่เสียมารยาทลงไป เธอก็จะจำไม่ได้

แย่ล่ะสิ

เคยโดนวิกเตอร์ตักเตือนมาหลายต่อหลายครั้งจนนับไม่ไหวแล้วเหมือนกัน ว่า ‘เธอเนี่ยเวลาเมาเหล้าแล้วแย่มาก’

 

“ไม่ต้องกังวลหรอก อย่างที่เราได้บอกไปว่าเมื่อคืนจะไม่ถือเรื่องหมื่นเบื้องสูงใด ๆ ทั้งนั้น อีกอย่างก็เหมือนได้เห็นอีกด้านหนึ่งที่น่ารักของหญิงสาวด้วยน่ะ ไม่มีอะไรให้เราต้องต่อว่าหรอก”

 

“ข ขอบพระคุณมากค่ะ……”

 

“แต่ว่ายังจำเรื่องที่เราบอกเมื่อคืนได้ใช่ไหม?”

 

‘หือ’ เธอขมวดคิ้ว

เรื่องที่ฟาร์มาสบอกเมื่อคืน เธอพยายามนึกอย่างสุดชีวิต

ไม่สิ เพราะโดนบอกหลายต่อหลายเรื่องมากเกินไป จนไม่รู้ว่าหมายถึงเรื่องไหนต่างหาก

บางทีอาจจะหมายถึงเรื่องที่ขอร้องว่าให้ไปออกงานเลี้ยงในฐานะชายาเอก น่าจะใช่ล่ะมั้งนะ

 

“……เรื่องนั้น จำได้ค่ะ”

 

“งั้นก็ดีแล้ว ส่วนเรื่องหลังจากที่เจ้าเริ่มพูดจาไม่รู้เรื่องมันก็ไม่ได้เป็นอะไรไปมากกว่าเรื่องล้อเล่น ไม่จำเป็นต้องไปจำหรอก”

 

ฟาร์มาสกล่าวเช่นนั้นและหันหลังให้เฮเลนา

และตรงโซฟากับโต๊ะที่มีอยู่ในห้องของเฮเลนา–ซึ่งบนโต๊ะนั้นมีเอกสารจำนวนมากวางซ้อนกันอยู่ เขาก็เริ่มทำงานโดยการหยิบมันขึ้นมาตรวจดูทีละแผ่น

 

“……เอ่อ ฝ่าบาทคะ”

 

“ไว้ทานอาหารเช้าเสร็จแล้วเราค่อยไปราชสำนักละกัน แหม่ วังหลังนี่สะดวกดีจริง ๆ นะ เอางานที่ทำในห้องทำงานไม่ได้มาทำที่นี่ได้ด้วย”

 

‘หึๆ’ ฟาร์มาสหัวเราะ ดูท่าว่าเขาจะติดนิสัยชอบทำเสียงหัวเราะแบบนั้นล่ะมั้ง

จากนั้นเขาก็ยื่นกระดาษหนังแกะแผ่นหนึ่งมาให้เฮเลนาดู

 

“……นี่คือ?”

 

“เอกสารรายงานรายรับรายจ่ายในเขตปกครองของตระกูลมาร์ควิสโนลด์ลุนด์น่ะ อ้อแล้วก็เป็นอะไรที่ห้ามให้คนนอกเห็นด้วย เพราะงั้นจับไว้ให้ดี ๆ ล่ะ”

 

“แล้วทำไมเอามาให้ข้าดูล่ะคะ!?”

 

เธอตกใจจนมือลื่นเกือบจะเผลอทำตก

เฮเลนานับว่าเป็นคนนอกโดยสมบูรณ์ เป็นคนที่ไม่ควรจะได้ดูเอกสารนี้แน่ ๆ ถึงอย่างนั้นฟาร์มาสกลับเอาของแบบนี้มาให้เธอดูหน้าตาเฉย ไม่เข้าใจเลยว่าคิดอะไรอยู่

เขากำลังยิ้ม เหมือนกับว่าแกล้งคนได้สำเร็จแล้วหรืออะไรทำนองนั้นอยู่ ทั้งที่ฟาร์มาสมีโครงหน้าซึ่งเข้าที่เข้าทางขนาดเรียกได้ว่าเป็นหนุ่มรูปงามแท้ ๆ แต่กลับดูเหมาะกับสีหน้าชั่วร้ายแบบนี้มาก

 

“ไม่เห็นเป็นอะไรนี่ ตอนนี้เจ้าก็เป็นเหมือนชายาเอกของเราไง”

 

“……ก็แค่ ‘เป็นเหมือน’ นะคะ”

 

“งั้นก็นับว่าเป็นผู้เกี่ยวข้องแล้ว อีกอย่าง เรื่องที่พูดในราชสำนักเบื้องหน้าไม่ได้น่ะ อย่างน้อยขอให้ได้บ่นออกมาที่นี่บ้างเถอะ ข้าเองก็เหนื่อยนิดหน่อยเหมือนกันน่ะ”

 

‘เฮ้อ’ ฟาร์มาสถอนหายใจเบา ๆ

ตั้งแต่เมื่อกี้ฟาร์มาสก็กำลังตรวจดูเอกสารต่าง ๆ นานา แล้วก็กำลังทำเครื่องหมายลงไปที่จุดต่าง ๆ อยู่ อย่างเช่นใบรายงานการเงินของตระกูลมาร์ควิสโนลด์ลุนด์ที่เฮเลนาถืออยู่ก็มีการทำเครื่องหมายสีแดงเอาไว้ตรงที่ต่าง ๆ เหมือนกัน

เธอไม่เข้าใจเลยแม้แต่น้อยว่าตัวเลขพวกนี้มันมีความหมายว่ายังไง

 

“เฮเลนา เจ้าคำนวณเลขเป็นไหม?”

 

“ไม่เป็นค่ะ”

 

“……ยืดอกตอบอย่างมั่นใจเลยนะ ถ้าคำนวณเลขเป็นก็จะอธิบายให้ฟังได้ง่าย ๆ น่ะ”

 

‘ฟู่’ ดูเหมือนฟาร์มาสจะรู้สึกเหนื่อย เขาจึงเอนหลังทิ้งตัวลงบนโซฟา

เอกสารที่อยู่ตรงหน้าวางกองอยู่เป็นภูเขาสองลูก ท่าทางว่าด้านหนึ่งจะเป็นกองที่ตรวจสอบเสร็จทั้งหมดแล้ว ส่วนอีกด้านคือกองที่ยังไม่ได้ตรวจดูล่ะมั้ง

นี่เขาตื่นขึ้นมาตั้งแต่กี่โมงกันเนี่ย

 

“รายได้ที่รายงานมา มันน้อยเกินไปน่ะสิ”

 

“……หมายความว่ายังไงหรือคะ?”

 

“ตัวอย่างเช่น ตรงนี้มีหัวข้อเรื่องค่าใช้จ่ายทางการทหารอยู่ แน่นอนว่าในอาณาเขตซึ่งมอบให้ขุนนางปกครองจะมีค่าใช้จ่ายทางการทหารเกิดขึ้นมาบ้างก็ไม่แปลก โดยเฉพาะกับอาณาเขตที่ติดต่อกับต่างชาติ ทว่าค่าใช้จ่ายทางการทหารที่มาร์ควิสโนลด์ลุนด์รายงานมาน่ะมันมากเกินไป ที่ดินตรงนั้นมันไม่ได้ติดต่อกับต่างชาติเลย แล้วก็ไม่มีบันทึกว่ามีการส่งกำลังเสริมกองหนุนไปช่วยใครด้วย”

 

“อ่า……”

 

สำหรับเฮเลนาที่เคยอยู่ในกองทัพ มันเป็นเรื่องที่เธอไม่รู้สึกว่าแปลกสักเท่าไหร่

ทหารก็เหมือนกับแมลงที่สูบกินทุนทรัพย์ โดยเฉพาะเมื่อมียศเป็นอัศวินก็ยิ่งไปกันใหญ่ เพียงแค่มีตัวตนอยู่ก็เท่ากับผลาญเงินไปแล้ว แถมยังไม่ได้สร้างผลผลิตอะไรขึ้นมาอีกด้วย

การที่ค่าใช้จ่ายทางการทหารสูงมันก็เป็นเรื่องธรรมดานี่นา

 

“ค่าใช้จ่ายทางการทหารที่ตระกูลมาร์ควิสโนลด์ลุนด์ส่งรายงานมาน่ะ จำนวนมันมากพอจะใช้บริหารจัดการกองกำลังอัศวินของประเทศเราได้กองกำลังนึงเลยล่ะ”

 

“นั่นมันมหาศาลเลยไม่ใช่หรือคะ!”

 

“……ก็กำลังจะบอกแบบนั้นอยู่ไงล่ะ”

 

ฟาร์มาสถอนหายใจอย่างดูเหนื่อย ๆ

จำนวนเงินที่มากพอจะบริหารจัดการกองกำลังอัศวินได้หนึ่งกอง มันคือจำนวนเงินที่มากโขเลยทีเดียว อย่างน้อยที่สุดแค่กองกำลังอัศวินพยัคฆ์แดงที่เฮเลนาเคยสังกัดอยู่ ก็มีอัศวินอยู่ถึงหนึ่งกรม—หรือก็คือประมาณห้าพันนาย และทั้งหมดนั้นก็ไม่ใช่แค่ทหารธรรมดาแต่เป็นอัศวิน ค่าจ้างจึงย่อมสูงกว่าทหารทั่วไปอย่างมากมาย

ในทางกลับกัน กองกำลังอัศวินแบบที่ประกอบไปด้วยทหารราบกองหนุนก็จะมีทหารเป็นหลักหลายหมื่น โดยมีแกนกลางเป็นผู้บังคับบัญชาซึ่งเป็นอัศวิน

จำนวนเงินที่มากพอจะจัดเตรียมกองทัพแบบนั้นได้—ก็คงเรียกเป็นอย่างอื่นไม่ได้อีกนอกจากคำว่ามหาศาล

 

“เพื่ออะไรกัน……”

 

“เรื่องมันก็ง่ายนิดเดียว มันกำลังพยายามยักยอกเงินโดยไม่ให้ข้ารู้ตัวไงล่ะ”

 

“นั่นเป็นความผิดถึงขั้นที่โดนโทษตัดคอได้เลยนี่คะ……”

 

การยักยอกเงินหลวงโทษคือประหารชีวิต แอนตันบิดาของเฮเลนามีอาชีพเป็นที่ปรึกษาหลวงซึ่งเป็นตำแหน่งที่ค่อนข้างพิเศษ จึงเป็นขุนนางที่ไม่มีอาณาเขตในปกครอง แต่ถึงกระนั้นก็ยังต้องข้องเกี่ยวกับเงินหลวงไม่มากก็น้อย

ด้วยนิสัยของแอนตัน คิดว่าคงไม่มีทางยักยอกอะไรแน่ ๆ อยู่แล้ว แต่สมมุติเกิดไปทำเข้าก็จะถูกประหารโดยไม่มีสิทธิ์อุทธรณ์ใด ๆ เรื่องนี้เป็นไปตามกฎหมายที่วางไว้แล้ว และจะไม่มีผิดแปลกไปจากนี้

หมายความว่า สำหรับมาร์ควิสโนลด์ลุนด์ ผู้ที่มือสกปรกไปเสียแล้วนั้น—

 

“ใช่ แต่ว่าตอนนี้จะปล่อยให้มันรอดไปก่อน ขุนนางคนอื่น ๆ ก็เหมือนกัน ต่อให้เอาสิ่งนี้ไปกล่าวโทษมันเดี๋ยวนี้ ก็เป็นได้แค่การไปตัดหางจิ้งจกเท่านั้น ตอนนี้ต้องรวบรวมหลักฐานให้แน่นหนา และสักวันข้าจะลากไอ้พวกฝีหนองที่แฝงอยู่ในประเทศของข้าออกมาให้หมดเลย จะต้องให้มันนึกเสียใจที่มาดูถูกข้าคนนี้”

 

“……เอ่อ ฝ่าบาทคะ ตั้งแต่เมื่อกี้ พูด ‘ข้า’ ”

 

เธอรู้สึกคาใจยังไงชอบกล ที่ตั้งแต่เมื่อกี้แล้วฟาร์มาสได้เปลี่ยนสรรพนามบุคคลที่หนึ่งจาก “เรา” เป็น “ข้า”

ชวนให้คิดสงสัยว่านี่คงจะเป็นบุคลิกที่แท้จริงล่ะมั้ง

 

“อา นั่นสินะ เผลอหลุดไปซะได้ แต่ก็ช่างมันเถอะ……ตอนนี้ได้เวลาที่เราต้องมุ่งหน้าไปราชสำนักแล้วล่ะ”

 

“ฝ่าบาท อย่าฝืนเกินไปนะคะ……”

 

“อา งั้นก็ลาก่อนนะเฮเลนาเอ๋ย ไว้เราจะมาใหม่”

 

“ให้ข้าไปส่งถึงประตูนะคะ”

 

ฟาร์มาสกำลังจะหอบเอกสารที่กองเป็นภูเขาแล้วเดินไปที่ประตูห้อง มือทั้งสองไม่ว่างอยู่แบบนั้นคงจะเปิดประตูไม่ได้แน่ ว่าแต่ว่าเอาเอกสารพวกนั้นเข้ามาได้ยังไงกันแน่เนี่ย

เฮเลนาเดินตามหลัง มองแผ่นหลังของจักรพรรดิที่สูงพอ ๆ กับเธอ—หรืออาจจะเตี้ยกว่าด้วยซ้ำ พลางคิดขึ้นว่า

แผ่นหลังนี้ต้องแบกรับความรับผิดชอบเอาไว้มากมายขนาดไหนกันนะ

 

“อา จริงสิ”

 

“คะ?”

 

“ได้เพลิดเพลินกับใบหน้าน่ารักตอนนอนไปแล้ว แต่เราก็ไม่ได้ทำอะไรเลย อย่างน้อยขอรางวัลแค่นี้คงไม่เป็นไรใช่ไหม?”

 

ระหว่างที่ฟังคำพูดนั้นเฮเลนากำลังเปิดประตู

เธอก้าวออกไปนอกห้องหนึ่งก้าว ตั้งใจว่าจะมองส่งตอนที่ฟาร์มาสจากไป

แล้วก็ราวกับเล่นทีเผลอ

 

‘จุ๊บ’ ริมฝีปากเธอสัมผัสเข้ากับบางสิ่งที่อ่อนนุ่ม

 

“แล้วพบกันนะ สนมฟ้าสุริยาของเรา”

 

เพียงแค่นั้น แค่ริมฝีปากที่สัมผัสกันเบา ๆ

แค่นั้นเองแท้ ๆ

เฮเลนากลับยืนแข็งทื่ออยู่ตรงนั้น เหมือนกับว่าได้กลายเป็นหินไปซะแล้ว

มันทีเผลอมาก ๆ ซะจนไม่สามารถหลบได้ ไม่นึกไม่ฝันมาก่อนเลยว่าฟาร์มาสจะทำอะไรแบบนั้นออกมา

ทั้งที่เฮเลนาอายุมากกว่าตั้งสิบปี และควรจะไม่มีเสน่ห์ในสายตาของฟาร์มาสแม้แต่น้อยเลยแท้ ๆ

ถึงจะเธอรับรู้ได้ว่าชีพจรมันกำลังเต้นรัวขึ้นมา แต่ก็ไม่เข้าใจว่าความรู้สึกนี้มันคืออะไรกันแน่

 ‘อ๊า—’ เธอร้องในใจ แต่อย่างไรก็ตามเมื่อคิดได้ถึงแค่ตรงนั้น

 

เฮเลนาก็เลือกโยนการใช้ความคิดทิ้งไปอีกตามเคย

 

Comment

Options

not work with dark mode
Reset