(นิยายแปล) ตำนานวังหลังของพระชายาขาบู๊ – ตอนที่ 30 เอาคืนในยามเช้า

“ฮ้าว……”

 

เมื่อยามเช้ามาถึงเฮเลนาก็ขยับกายตื่นขึ้นมา เพราะรู้สึกแปลกที่จะนอนร่วมเตียงกันเฮเลนาจึงได้ปฏิเสธอย่างเกรงใจและยกเตียงให้ฟาร์มาส ส่วนเฮเลนาก็ไปนอนบนโซฟาแทน แต่ก็อย่างที่คิดว่ามันนอนไม่สบายนักเธอจึงตื่นขึ้นมาก่อนตะวันจะขึ้น

ก่อนที่ฟาร์มาสจะหลับไปเขาก็พยายามยกเตียงให้เฮเลนาอยู่ แต่เฮเลนาเป็นบุคคลที่ใช้ชีวิตอย่างอิสระได้ทั้งวันอยู่แล้ว ดังนั้นเธอจึงใช้เหตุผลว่าฟาร์มาสซึ่งทำงานบริหารบ้านเมืองในราชสำนักทั้งวันต่างหากที่ควรได้นอนบนเตียงและทำให้เขายอมนอนจนได้ แม้จะมีท่าทีอิดออดในตอนแรกแต่ฟาร์มาสเองก็คงสะสมความเหนื่อยล้าไว้มากจริง ๆ เขาจึงหลับไปในเวลาไม่นาน

ในกรณีเลวร้ายที่สุดเธอตั้งใจไว้ว่าจะใช้สันมือฟาดที่คอให้สลบไปเหมือนกัน แต่น่าเสียดายที่เฮเลนาเคยเห็นวิธีนี้แค่ในเรื่องแต่ง มีครั้งนึงเธอเคยทดลองใส่วิกเตอร์แล้วก็โดนโกรธแทบตาย หลังจากนั้นเลยไม่ได้ทำอีกเลย

 

“อืม……”

 

เธอยืดตัวเบา ๆ

ร่างกายที่เพิ่งตื่นนอนโดยรวมแล้วจะยังแข็ง ไม่มีความยืดหยุ่นตามปกติ ดังนั้นก่อนอื่นเฮเลนาจึงเริ่มทำกายบริหารยืดกล้ามเนื้อ

ต้องทำให้ข้อต่อต่าง ๆ ในร่างอ่อนตัวลงก่อน จากนั้นจึงค่อยเริ่มฝึกฝนได้

ทั้งที่บนเตียงมีจักพรรดินอนหลับอยู่ แต่เฮเลนาก็ยังกายบริหารอยู่ข้าง ๆ นั้นหน้าตาเฉย

ช่างน่าเศร้าใจที่จักรพรรดิยังไม่รู้ตัวถึงตัวตนที่แท้จริงอันน่าเสียดายของผู้หญิงคนนี้

 

หลังกายบริหารเสร็จ อันดับแรกก็คือวิดพื้น

เมื่อวานฟันดาบต่อเนื่องอยู่นานจึงยังมีความล้าหลงเหลืออยู่เบา ๆ ทว่าการทรมานร่างกายในสภาพเช่นนี้แหละที่จะทำให้กล้ามเนื้อแข็งแกร่งขึ้นไปอีก

เธอตั้งหน้าตั้งตาวิดพื้นโดยไม่ส่งเสียงเพื่อไม่ให้ฟาร์มาสตื่น

แม้อยากจะได้น้ำหนักถ่วงเพิ่มแต่น่าเสียดายที่อเลกเซียยังไม่มา

 

หลังจากวิดพื้นได้สักพัก ต่อไปคือการฝึกกล้ามท้อง

มันคือการนอนหงายบนพื้นและยกร่างกายส่วนบนขึ้นมา เป็นการออกกำลังกายที่เรียบง่าย ถ้ามีคนคอยกดขาให้ก็จะทำได้ง่ายกว่านี้ แต่ตอนนี้เฮเลนาไม่มีคนคอยช่วยจึงทำมันโดยไม่มีน้ำหนักกดอะไร ซึ่งกล้ามเนื้อหน้าท้องของเฮเลนาที่สามารถควบม้าได้ทั้งวันย่อมสามารถทำมันได้สบาย

ระหว่างที่ทำเช่นนั้น หน้าผากก็เริ่มมีเหงื่อผุดขึ้นมา

 

“ฟู่ว”

 

หลังจากเสร็จสิ้น ก็ถึงเวลาสควอตยืดหด

เธอเอามือไพล่ไว้หลังศีรษะและขยับร่างกายขึ้นลงอย่างมุ่งมั่น กล้ามเนื้อที่ได้รับการขัดเกลาเป็นหลักในท่านี้ก็คือกล้ามเนื้อต้นขา เวลาขี่ม้านั้นจะต้องใช้กล้ามเนื้อต้นขาด้านในหนีบไว้และออกคำสั่งด้วยการขยับเท้าอย่างเดียว ดังนั้นจึงต้องฝึกฝนกล้ามเนื้อขาไว้อยู่เสมอ ถ้าวังหลังกล้างขวางกว่านี้ก็อยากจะฝึกวิ่งด้วย แต่น่าเสียดายว่าที่กว้างที่สุดก็มีแค่สวนระหว่างอาคาร

 

วิดพื้น ฝึกกล้ามท้อง สควอตยืดหด หลังจากทำทั้งหมดนี้อย่างละสองร้อยครั้ง เหงื่อกำลังดีก็เริ่มหยดลงจากหน้าผาก แล้วถึงเวลาพักเหนื่อยในที่สุด

ระหว่างที่เธอกำลังรินน้ำดื่มจากเหยือกฟาร์มาสก็ได้ลุกขึ้นมา

 

“หืม……ตื่นแล้วงั้นรึ เฮเลนา”

 

“อรุณสวัสดิ์ค่ะ ฝ่าบาท”

 

เธอวางน้ำลงและรีบโค้งศีรษะ จากนั้นก็รินน้ำใส่แก้วอีกใบหนึ่งและส่งให้ฟาร์มาส

เมื่อคืนฟาร์มาสเองก็ดื่มไปพอสมควร สุราน่าจะยังตกค้างอยู่เล็กน้อยกระมัง

 

“เชิญดื่มน้ำก่อนค่ะ”

 

“อืม……โทษที ดูเหมือนเราจะดื่มมากไปหน่อยสินะ”

 

‘หึหึ’ ฟาร์มาสยิ้มเหมือนกำลังตำหนิตนเอง

อากัปกิริยาเช่นนั้นก็ทำให้เธอรู้สึกถึงความเป็นจริงว่า ก่อนบุรุษที่ชื่อฟาร์มาสจะเป็นจักรพรรดิเขาเองก็เป็นชายหนุ่มที่มีวัยเพียงสิบแปดเท่านั้น

ถึงจะเจ้าแผนการและวางอุบายมากมายหลายอย่าง ทว่าในความเป็นจริงแล้วเขาอายุน้อยกว่าเฮเลนาถึงสิบปี แม้จะเสียมารยาทไปสักหน่อยแต่เธอก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกเหมือนเขาเป็นน้องชายที่เก่งกาจเกินไปคนหนึ่ง

 

“นอนยาวเกินไปแล้วสินะ……คงต้องไปทานอาหารเช้าที่นู่นแล้วค่อยไปราชสำนัก”

 

“วันนี้ยุ่งมากหรือคะ?”

 

“อืม เดือนหน้าจะครบรอบหนึ่งปีวันสวรรคตของเสด็จพ่อ—ของ ดีล จักรพรรดิองค์ก่อนน่ะ จำเป็นต้องเตรียมการเรื่องนั้น แม้อัลเมดากับพันธมิตรสามอาณาจักรคงไม่ส่งใครมา แต่ประเทศเพื่อนบ้านอื่น ๆ ก็คงส่งทูตมาแสดงความเคารพแน่”

 

“อย่างนี้นี่เอง”

 

จะว่าไปแล้วก็เคยได้ยินมาเหมือนกันนะ เฮเลนาพยายามเรียกความทรงจำจาง ๆ ออกมา

ตั้งแต่เข้ามายังวังหลังก็มีหลายเรื่องมากเกินไป จนศูนย์กลางความทรงจำของเฮเลนามันช็อตไปในหลาย ๆ ความหมาย

 

“งานพิธีครบรอบก็มีแต่เรื่องยุ่งยากเหมือนกัน ถ้ามองจากมุมของต่างชาตินี่ก็เป็นโอกาสดีที่จะได้สร้างมิตรไมตรีกับประเทศของเรา……ทว่ากับประเทศที่แทบไม่ได้ติดต่อค้าขายอะไรด้วยเลยเนี่ย ถึงส่งทูตมาแสดงความเคารพก็มีแต่เป็นภาระเปล่า ๆ”

 

“โอ้ งั้นหรือคะ……”

 

จักรวรรดิกันเกรฟคือประเทศที่ใหญ่ที่สุดในทวีป แม้ปัจจุบันกำลังรับศึกสามทางกับจักรวรรดิอัลเมดา พันธมิตรสามอาณาจักร และริฟาลอยู่ แต่ก็ยังมีอำนาจในฐานะประเทศมากพอที่จะไม่สั่นคลอนด้วยเรื่องแค่นั้น

บางทีทั้งอัลเมดาและพันธมิตรสามอาณาจักรอาจต้องการทำสัญญาสงบศึกด้วยเงื่อนไขที่ตนเองได้เปรียบกระมัง เพื่อการนั้นจึงได้จุดชนวนสงครามจนต้องมีคนล้มตายอยู่ที่แนวหน้าแม้ในขณะนี้ พวกเขาคงตั้งใจว่าหากการป้องกันของกันเกรฟหย่อนยานลงแม้เพียงนิด ก็จะเจาะแนวหน้าเข้ามายังภายในประเทศเพื่อบังคับให้กันเกรฟต้องเป็นฝ่ายยื่นข้อเสนอสงบศึกด้วยตนเองได้

 

ทั้งหมดนั้นคือสิ่งที่วิกเตอร์ได้เคยบอกไว้ ซึ่งเฮเลนาเองก็ไม่ค่อยเข้าใจนัก เธอจับใจความได้แค่ว่าอย่างน้อยที่สุดสงครามนี้คงจะยืดเยื้อไปอีกสักพัก

 

“ถ้าเป็นไปได้ คราวหน้าช่วยปลุกให้เร็วกว่านี้อีกนิดนะ”

 

“เร็วกว่านี้อีกนิดหรือคะ?”

 

“ใช่ เราเองก็ไม่อยากตื่นมาแล้วต้องไปราชสำนักทันทีหรอก ถ้าเป็นไปได้ก็อยากจะดื่มชาผ่อนคลายกับเจ้าสักถ้วยก่อนแล้วค่อยไปทำงานน่ะ”

 

“อย่างนี้นี่เอง……รับทราบแล้วค่ะ”

 

จะว่าไปแล้ว การไปทำงานทั้งที่ยังตื่นไม่เต็มตามันก็รู้สึกแย่จริง ๆ นั่นแหละ

เช่นนั้นแล้ว เฮเลนาก็ควรจะออกกำลังกายตอนเช้าแค่เบาะ ๆ ก่อน แล้วค่อยมาปลุกฟาร์มาสสินะ

หลังจากนั้นก็เป็นเพื่อนคุยกับฟาร์มาสจนกว่าเขาจะไปทำงานก็พอ

 

“ยังพอมีเวลาอยู่นิดหน่อย ช่วยชงชาให้หน่อยได้ไหม?”

 

“ค่ะ”

 

เพราะคาดไว้แล้วว่าอาจจะสั่งแบบนั้น ตอนที่ไปรินน้ำจากเหยือกเฮเลนาจึงได้ตั้งไฟใต้กาต้มน้ำไว้แล้ว

หากสุดท้ายเขาไม่อยากได้น้ำชาก็จะปล่อยให้น้ำมันเย็นไปก็ได้

 

“อา……จริงสิ คืนนี้เรามาไม่ได้นะ”

 

“งั้นหรือคะ?”

 

“ความจริงเราก็จะอยากมา ทว่าน่าเสียดายที่คืนนี้มีงานปาร์ตี้ที่ต้องไปเข้าร่วม เราคงมาหาเจ้าหลังจากที่เพิ่งพูดคุยกับสตรีอื่นไม่ได้หรอก”

 

‘จึ้ก’ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างทิ่มแทงในใจ

ต่อให้ฟาร์มาสจะไปทำอะไรที่ไหนตอนกลางคืนก็ไม่ใช่เรื่องของเฮเลนาเสียหน่อย แม้จะได้รับการปฏิบัติเยี่ยงชายาเอกและเป็นนางสนมที่รักใคร่โปรดปราน แต่ในความเป็นจริงแล้วเธอก็เป็นแค่เพื่อนสนทนาเท่านั้นเอง

ฟาร์มาสจะไปพูดคุยหรือทำสิ่งใดกับสตรีอื่นก็ไม่เกี่ยวกับเฮเลนาเลย

 

“เข้าใจแล้วค่ะ แล้วมาใหม่นะคะ”

 

“……อย่าพูดเหมือนเป็นร้านค้าในเมืองแบบนั้นสิ เราไม่คิดจะรักใคร่โปรดปรานใครนอกจากเจ้าอยู่แล้ว ไม่ต้องอารมณ์เสียขนาดนั้นหรอก”

 

ก็ไม่ได้อารมณ์เสียซะหน่อยนิ

เฮเลนาเป็นเหมือนอย่างทุกที ไม่มีอะไรที่เปลี่ยนเลย

ทว่าที่ดูเหมือนอารมณ์ไม่ดียังไงชอบกล ก็คงจะไม่ได้แค่คิดไปเองกระมัง

แม้เจ้าตัวจะไม่รู้ตัวเองเลยก็เถอะ

 

“เชิญรับน้ำชาค่ะ”

 

เธอชงชาด้วยน้ำร้อนจากกาต้มน้ำที่เดือดแล้ว และเสิร์ฟมันให้กับฟาร์มาส เป็นแค่ชาธรรมดาพื้น ๆ เหมือนทุกที

ฟาร์มาสจิบดื่มไปคำหนึ่ง

 

“อืม อร่อยดี”

 

“เป็นแค่ใบชาราคาถูกนะคะ”

 

“พักหลังมานี้เราเริ่มเข้าใจความอร่อยของชาขึ้นมาบ้างแล้วล่ะนะ ไม่ใช่การเพลิดเพลินไปกับใบชาอย่างเดียว แต่การที่ว่าคนที่ชงให้คือใคร หรือเราได้ดื่มร่วมกับใครนั้นก็สำคัญไงล่ะ”

 

ฟาร์มาสมองมาที่เฮเลนาเหมือนกับจะถามว่าจริงไหม?

ทำไมคำพูดกลั่นแกล้งแบบนี้มันถึงรู้สึกทิ่มแทงใจทุกคำเลยนะ

ราวกับว่ามันกำลังยินดีที่โดนเช่นนี้

 

“ขอบพระคุณค่ะ ฝ่าบาท”

 

“เราก็แค่พูดไปตามจริงเท่านั้นแหละ เอาล่ะ……ใกล้ได้เวลาต้องไปแล้วสินะ”

 

ฟาร์มาสเป่าปาก ฟู่ ฟู่ ใส่ชาที่ยังร้อนอยู่ เพื่อให้มันเย็นลงและค่อย ๆ ดื่มทีละนิด

หากเขาไม่มีเวลาถึงขนาดนั้น เธอควรจะเสิร์ฟของที่มันเย็นกว่านี้ดีกว่า เฮเลนานึกเสียดายเบา ๆ

 

สุดท้ายแล้วฟาร์มาสก็ดื่มชาร้อน ๆ จนหมดในเวลาไม่นาน

 

“แล้วพบกันใหม่นะ ‘สนมฟ้าสุริยา’ ของเรา”

 

“ค่ะ ฝ่าบาท”

 

จากนั้นเธอก็เดินตามหลังไปส่งฟาร์มาสถึงประตู

เฮเลนาที่โดนปั่นหัวมาตลอดคราวนี้จะขอเอาคืนบ้าง

 

บนแก้มของร่างนั้นที่เตี้ยกว่าเฮเลนาเล็กน้อย

‘จุ๊บ’ เธอแตะริมฝีปากของตนลงไปแบบไม่ให้ตั้งตัว

 

“หืม……”

 

“เอาคืนค่ะ ฝ่าบาท”

 

‘ฮุฮุ’ เฮเลนายิ้มขณะมองหน้าฟาร์มาสซึ่งกำลังทำอะไรไม่ถูกอยู่ จากนั้นเธอก็ได้ปิดประตู

 

และแทบจะสลบไปด้วยความขวยเขิน

 

Comment

Options

not work with dark mode
Reset