(นิยายแปล) ตำนานวังหลังของพระชายาขาบู๊ – ตอนที่ 32 สนทนา

ตื่นมาแล้ว ก็ฝึกร่างกายเบา ๆ

กินอาหารเช้าเสร็จ ก็ฝึกร่างกายต่อ

กินอาหารกลางวันเสร็จ ก็ฝึกร่างกายอีก

เมื่อถึงอาหารเย็น จึงค่อยพักผ่อนในที่สุด

นั่นคือวิธีการใช้เวลาหนึ่งวันของเฮเลนา และยังเป็นเรื่องที่ต้องทำเป็นประจำทุกวันด้วย ได้อาบน้ำพักผ่อนร่างกายที่เหนื่อยล้าอย่างพอเหมาะ จากนั้นก็เข้านอนบนเตียงอุ่น ๆ มันช่างมีความสุขเสียนี่กระไร

ทว่าสิ่งที่ขัดขวางหนึ่งวันที่ยอดเยี่ยมที่สุดนั้นของเฮเลนาก็ได้มาถึงหลังจากอาหารเย็น

การมาเยือนของฟาร์มาสนั่นเอง

 

“เรามาแล้ว ‘สนมฟ้าสุริยา’ ของเรา”

 

“ยากลำบากหน่อยนะคะฝ่าบาท”

 

เธอทักทายตอบเช่นนั้นกับฟาร์มาสที่มาหาเหมือนทุกที

ทว่าวันนี้เขาไม่ได้พาคนคุ้มกันติดตามมาสองคนดังเช่นทุกครั้ง แต่คนที่พามาด้วยแทนในคราวนี้เป็นใบหน้าที่เธอไม่ได้เห็นมานานเลยทีเดียว

 

“เอ้า เข้ามาสิ”

 

“……คือว่า ฝ่าบาทเพคะ เหตุใดจึงต้องการของเช่นนี้?”

 

“จะขัดคำสั่งเรางั้นรึ? สอดรู้สอดเห็นนักเดี๋ยวก็โดนตัดคอทั้งตระกูลหรอก”

 

“ม มิบังอาจเพคะ!”

 

อิซาเบลที่ได้ออกความเห็นกับฟาร์มาสรีบก้มศีรษะลงอย่างร้อนรนและออกคำสั่งกับนางกำนัลคนอื่น ๆ

สิ่งที่พวกเธอยกกันเข้ามาก็คือเตียง

อิซาเบลจะรู้สึกสงสัยก็ไม่แปลก โดยปกติแล้ววังหลังคือสถานที่ซึ่งจักรพรรดิทำอะไรต่อมิอะไรกับนางสนม เพื่อการนั้นก็เป็นธรรมดาที่จะร่วมเตียงเดียวกัน และเตียงที่มีอยู่ในห้องจึงเป็นเตียงไซส์ใหญ่อยู่แล้ว

ดังนั้นจึงไม่มีความจำเป็นต้องมีเตียงที่สองเลย

 

ทว่าฟาร์มาสกลับสั่งให้ยกมันเข้ามาวางไว้ในห้อง ตัวห้องค่อนข้างกว้างขวางจึงไม่มีปัญหาอะไร แต่ย่อมไม่สามารถวางเรียงกันสองเตียงได้ อีกเตียงหนึ่งจึงถูกจัดวางไว้ติดกำแพงในลักษณะทำมุมฉากกับเตียงเดิม

บางทีเขาคงจะเกรงใจที่เฮเลนาไม่ได้นอนร่วมเตียงด้วยเมื่อวานกระมัง ถึงได้อุตส่าห์ช่วยจัดหาเตียงมาแบบนี้

 

“เอาล่ะ จัดเสร็จแล้วก็รีบ ๆ ไปซะ”

 

“ฝ่าบาท เช่นนั้นข้าก็ขอตัวเช่นกัน”

 

“อืม ลำบากเจ้าแล้วเกรเดีย เจ้าเองก็ไปพักผ่อนเถอะ”

 

“รับทราบครับ”

 

ใบหน้าที่ไม่ได้เห็นมานานนั้นก็คือ—บุรุษผู้เป็นอดีต “ขุนศึกพยัคฆ์แดง” และผู้บังคับบัญชาคนเก่าของเฮเลนา เกรเดีย โรมุลุส

ร่างกายที่แข็งแรงกำยำนั้นแม้จะห่างไปจากสมรภูมิก็ไม่ได้เปลี่ยนไปเลย ทั้งที่เกษียนตัวไปได้ห้าปีแล้วแต่ก็ยังคงฝึกฝนร่างกายอยู่ไม่ขาดสินะ

ถ้าเป็นไปได้เฮเลนาก็อยากจะพูดคุยกับเกรเดีย แต่ในตอนนี้เฮเลนาคือนางสนมของฟาร์มาสและเป็นเสมือนชายาเอก หากพูดคุยกับชายอื่นโดยไม่คิดก็อาจนำไปสู่ความผิดฐานคบชู้ได้

ดังนั้นเฮเลนาจึงเพียงแต่ส่งซิกทางสายตา และไม่ได้ก้มศีรษะให้

เกรเดียที่เห็นเฮเลนาส่งสายตาดังนั้นก็ขยิบตาข้างเดียวทักทายกลับมาอย่างไม่สมวัยเลยสักนิด

ดูเหมือนนิสัยเองก็ไม่ได้เปลี่ยนไปเลย

 

“ขอโทษที่ให้รอนะ เฮเลนา”

 

“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ขอบพระคุณที่จัดหาเตียงมาให้นะคะ”

 

“อืม วันก่อนทำให้เจ้าต้องนอนบนโซฟาไปนี่นะ สำหรับเราแล้วก็อยากจะนอนเตียงเดียวกัน แต่ก็ไม่มั่นใจว่ามีเจ้านอนข้าง ๆ แล้วเราจะไม่ทำอะไรได้น่ะ”

 

ฟาร์มาสยักไหล่พลางกล่าวเช่นนั้น

แม้จะตอบกลับไปว่า ‘ล้อเล่นอีกแล้วนะคะ’ แต่สายตาของฟาร์มาสค่อนข้างจริงจังทีเดียว สตรีเช่นนี้มันมีอะไรน่าสนใจกันนะ

 

“อีกอย่าง ขืนทำอะไรกับเจ้าที่กำลังหลับล่ะก็ ร่างกายของเราเองก็คงไม่ปลอดภัยกระมัง”

 

“……ขออภัยค่ะ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้”

 

“ใช่ไหมเล่า? ว่ากันว่านักบู๊ชั้นหนึ่งแม้หลับไหลอยู่ก็สามารถรับมือกับการโจมตีได้ ถ้าเจ้าเป็นนักบู๊ชั้นหนึ่งจริง หากเราย่องเข้าหาตอนกลางคืนก็คงได้มีแขนขาหักบ้างสินะ”

 

เป็นไปตามที่ฟาร์มาสพูด

ต่อให้สะลึมสะลืออยู่เฮเลนาก็มั่นใจว่าสามารถต่อสู้ได้ และเมื่อกำลังสะลึมสะลือก็อาจไม่ตัวรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นจักรพรรดิ

หากเป็นเช่นนั้นเฮเลนาอาจเผลอปลิดชีพไปโดยไม่รู้ตัวเลยก็เป็นได้

 

“สำหรับเราแล้ว ต่อให้เป็นเช่นนั้นเจ้าก็ยังเป็นอัญมณีที่มีค่าพอให้อยากจะโอบกอดล่ะนะ ทว่าน่าเสียดายที่หากคิดถึงสถานการณ์ปัจจุบันแล้วคงปล่อยให้เจ้าทำเราบาดเจ็บไม่ได้”

 

“เอ่อ……คือว่า หากข้าทำให้ฝ่าบาทบาดเจ็บ อาจจะถูกศัตรูทางการเมืองนำมาใช้งานได้นะคะ”

 

“ใช่ สมมุติมันถูกตีความว่า ‘สนมฟ้าสุริยา’ ผู้เป็นเสมือนชายาเอกมีความคิดกบฏขึ้นมา แอนตันอาจเสียจุดยืนไปเลย หากเป็นแบบนั้นโนลด์ลุนด์ก็คงจะเริ่มโกงกินได้สะดวก ในสภาพปัจจุบันนี้ที่ต้องรักษาสมดุลไว้จะทำเรื่องสะเพร่าแบบนั้นไม่ได้”

 

‘ฟู่ว’ ฟาร์มาสถอนหายใจเฮือกใหญ่

สิ่งที่เขาแบกรับอยู่คือประเทศทั้งประเทศ ภาระอันหนักอึ้งนั้นเป็นเช่นไรเฮเลนาก็ได้แต่จินตนาการ

เฮเลนาเป็นอีกหนึ่งแรงที่ช่วยสนับสนุนเขาอยู่ได้ดีพอหรือยังนะ

 

“จะว่าไปแล้ว ที่มาด้วยกันเมื่อครู่คือท่านเกรเดียใช่ไหมคะ?”

 

“อ่า……ใช่แล้ว อดีต ‘ขุนศึกพยัคฆ์แดง’ เคยเป็นผู้บังคับบัญชาของเจ้าสินะ”

 

“ค่ะ ในตอนนั้นคนที่เป็นผู้ช่วยผู้บังคับบัญชาของ ‘ขุนศึกพยัคฆ์แดง’ หรือท่านเกรเดียก็คือวิกเตอร์ ส่วนข้าเป็นทหารฝ่ายธุรการ ข้าเองก็ไม่ได้เจอกับท่านเกรเดียเลยตั้งแต่ที่เขาเกษียนไป แต่ดูเหมือนจะกำลังรับใช้ฝ่าบาทอยู่นี่เองสินะคะ”

 

“อืม เป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่เราเชื่อใจได้ในรังของมารร้ายนี้เลยล่ะ”

 

‘โอ้’ เฮเลนาส่งเสียงปรบมืออยู่ในใจ

เกรเดียเป็นแม่ทัพที่เฮเลนาเองก็เชื่อใจ เขาเป็นบุคคลที่เหมาะสมที่สุดกับตำแหน่งหนึ่งในแปดยอดขุนศึกผู้เป็นเสาหลักของจักรวรรดิกันเกรฟ มีทั้งพลังบู๊และภาวะผู้นำที่ยิ่งใหญ่ นอกจากนี้ยังเป็นยอดขุนศึกที่โดดเด่นในด้านไหวพริบ

เพราะอายุเกินหกสิบปีจึงเกษียนไปตามกฎของกองทัพ แต่ก็ยังมีหลายคนที่เสียดายการเกษียนนั้น ในตอนแรกวิกเตอร์ที่ได้รับตำแหน่ง “ขุนศึกพยัคฆ์แดง” มาใหม่ต้องเครียดหนักกับภาระอันใหญ่หลวงนั้นเลยทีเดียว

เป็นแม่ทัพที่หลงเหลือชื่อเป็นตำนานไว้ถึงขนาดนั้น

ไม่แปลกใจเลยที่ฟาร์มาสจะเชื่อใจเขาด้วยเหมือนกัน

 

“แปลว่าเป็นองค์รักษ์ส่วนตัวของฝ่าบาทด้วยใช่ไหมคะ?”

 

“ใช่ แต่เดิมทีเขาเป็นครูฝึกสอนวิชาต่อสู้ส่วนตัวของเราตั้งแต่เมื่อห้าปีก่อนน่ะ ถึงจะเป็นจักรพรรดิแต่ก็ควรรู้จักต่อสู้ในระดับที่ปกป้องตัวเองได้ ดังนั้นก็เลยได้รับการฝึกฝนมาบ้างตั้งแต่ยังเด็ก ในตอนที่เกรเดียเกษียนจักรพรรดิองค์ก่อนก็ได้ให้เขามาประกบสอนเรา”

 

“เป็นเช่นนั้นเอง หากเป็นท่านเกรเดียก็นับว่าเลือกคนได้ไม่ผิดเลยค่ะ”

 

เฮเลนาพยักหน้าอืม ๆ

เฮเลนาเองก็เคยได้รับการฝึกฝนชี้แนะจากเขาเหมือนกัน เธอเคยรู้สึกสยองพองเกล้ากับพลังบู๊อันเลิศล้ำนั้นมานับครั้งไม่ถ้วนแล้ว

ยิ่งไปกว่านั้นมันก็ไม่ใช่ความแข็งแกร่งเหนือมนุษย์แบบ “ขุนศึกหมีน้ำเงิน” บาร์โตโลเม แต่ความแข็งแกร่งของเกรเดียคือจุดสูงสุดของมนุษย์ปุถุชนที่ผ่านการขัดเกลามาจนแหลมคมที่สุด เรียกได้ว่าเป้าหมายที่เฮเลนาอยากจะมุ่งไปให้ถึงก็คือศาสตร์แห่งยุทธของเกรเดียนั่นเอง

ดังนั้นเธอจึงเคยประมือกับเกรเดียมานับครั้งไม่ถ้วนแล้วก็พ่ายแพ้กลับมาทุกครั้ง เป็นความทรงจำที่ดีอีกอย่างหนึ่ง

 

“ดูเหมือนเจ้าเองก็เชื่อใจเกรเดียมากทีเดียวนะ”

 

“เป็นผู้บังคับบัญชาที่ยอดเยี่ยมมากค่ะ ในฐานะแม่ทัพคงไม่มีขุนศึกคนใดที่ยอดเยี่ยมได้เท่าเขาอีกแล้ว ข้าคิดว่าแม้แต่ในบรรดาแปดยอดขุนศึกรุ่นปัจจุบันก็ไม่มีใครเหนือไปกว่าท่านเกรเดียเลย”

 

“……หืม ขนาดนั้นเชียวรึ”

 

“ค่ะ ฝ่าบาทรู้เรื่องการต่อสู้ที่ทุ่งราบกีแลนด์ไหมคะ? ในตอนนั้นพันธมิตรนครเอล-กีแลนด์ได้กบฏต่อจักรวรรดิ และเกิดการรบพุ่งกันที่ทุ่งราบกีแลนด์ค่ะ ผู้บัญชาการสูงสุดในตอนนั้นก็คือท่านเกรเดียนั่นเอง ภายใต้บัญชาของเขามี “ขุนศึกอสรพิษม่วง” “ขุนศึกแรดทองคำ” “ขุนศึกหมาป่าเงิน” รวมกันอยู่ถึงสามคน เรียกได้ว่าเป็นศึกสงครามอย่างเต็มกำลังเลยทีเดียว ข้าเองก็ได้เข้าร่วมอยู่ในศึกครั้งนั้นด้วย มันเป็นการบัญชาการรบที่สุดยอดมาก ๆ เลยล่ะค่ะ!

 

เฮเลนาพูดจ้ออย่างลื่นไหล

หากเป็นเรื่องเกี่ยวกับสงครามแล้ว สมองของเฮเลนาจะทำงานได้ดีเป็นอย่างมาก ดังนั้นตัวตนที่แท้จริงอันน่าเสียดายจึงยังไม่เปิดเผยออกมา

 

“กองทัพเอล-กีแลนด์ทางตะวันออกกับกองทัพกันเกรฟทางตะวันตกเข้าปะทะกันอย่างซึ่งหน้า ในตอนนั้น……รู้สึกว่าความต่างของพลังรบจะเป็นเอล-กีแลนด์หกหมื่น ส่วนกันเกรฟสี่หมื่น ทั้งที่เป็นเช่นนั้นแต่รู้ตัวอีกทีทัพกันเกรฟก็โอบล้อมทัพเอล-กีแลนด์เอาไว้แล้วค่ะ! ท่านเกรเดียอ่านสถานการณ์ได้อย่างชาญฉลาดและออกคำสั่งเคลื่อนพลอย่างแม่นยำ จนแม้ทางเราจะมีกำลังน้อยกว่าแต่ก็ทำการใหญ่อย่างโอบล้อมข้าศึกเอาไว้ได้ ศึกครั้งนี้ถูกนำไปสอนเป็นประจำในการบรรยายด้านยุทธศาสตร์ที่ทหารนายร้อยต้องเข้าฟัง ว่ากันว่าเป็นเอกอุแห่งกลยุทธ์ทางการทหาร……”

 

“เฮเลนา”

 

“……คะ?”

 

ทว่า

ฟาร์มาสที่อยู่ตรงหน้าเธอ

กลับดูอารมณ์ไม่ดีอย่างไรชอบกล

 

“เราคือใคร”

 

“……? ฝ่าบาทจักรพรรดิค่ะ”

 

“ขอถามอีกครั้ง เราคือใคร”

 

“เอ่อ……ฝ่าบาทฟาร์มาส ดีล ลูเครเซีย กันเกรฟค่ะ”

 

ถามทำไมกันนะ

คงไม่มีทางลืมชื่อของตัวเองอยู่แล้วใช่ไหม

ทว่าสายตาของฟาร์มาสนั้นจริงจัง

 

“เราขอห้ามไม่ให้เรียกเราว่าฝ่าบาท”

 

“……เอ๋?”

 

“เข้าใจนะ”

 

ทำไมถึงพูดอะไรแบบนั้นออกมานะ

เฮเลนาไม่เข้าใจเจตนาของฟาร์มาส แต่ก็คือกำลังจะบอกว่าไม่ให้ใช้คำเรียกว่าฝ่าบาท แต่ต้องการให้มองในฐานะมนุษย์คนหนึ่งที่ชื่อว่าฟาร์มาสอยู่รึเปล่านะ

เอาเถอะ ในเมื่อถูกสั่งห้ามก็ไม่ควรเรียกแล้วสินะ

 

“ค่ะ เข้าใจแล้วค่ะ”

 

ในตอนนั้นเอง เธอก็พยายามเรียกเหมือนมันเป็นเรื่องธรรมดา

ทว่าปากมันกลับชะงักไปเล็กน้อย

ทั้งที่มันไม่ใช่เรื่องที่ต้องอายอะไรเป็นพิเศษเลยแท้ ๆ

 

“……ท่านฟาร์มาส”

 

“อื้ม แบบนั้นแหละดี”

 

ไม่รู้ทำไม ฟาร์มาสได้จึงดูยินดี

และไม่รู้ทำไม เฮเลนาจึงได้รู้สึกขวยเขินชอบกล

 

(นิยายแปล) ตำนานวังหลังของพระชายาขาบู๊

(นิยายแปล) ตำนานวังหลังของพระชายาขาบู๊

Comment

Options

not work with dark mode
Reset