(นิยายแปล) ตำนานวังหลังของพระชายาขาบู๊ – ตอนที่ 49: ยามเช้าที่เปล่าเปลี่ยว

 

“อืม……”

 

เมื่อยามเช้ามาถึง เฮเลนาก็ค่อย ๆ ลุกขึ้น

เมื่อวานนี้เธอนึกว่าฟาร์มาสจะมาหาก็เลยรออยู่ แต่สุดท้ายฟาร์มาสก็ไม่ได้มา ตอนที่มาเยือนคราวก่อนเขาก็ไม่ได้พูดเลยว่าจะไม่สามารถมาได้ ทว่าฟาร์มาสเองก็เป็นจักรพรรดิและคงจะยุ่งมากล่ะมั้ง เธอบอกตัวเองเช่นนั้น

ถึงกระนั้น เธออดทำหน้าบึ้งไม่ได้ เนื่องจากก็รู้สึกว่าเวลาที่เธอใช้รอคอยโดยคิดว่าเขาอาจจะมาก็ได้มันเปล่าประโยชน์ไปหน่อย ทุกทีแล้วอเลกเซียจะคอยพูดว่า “ฝ่าบาทอาจจะมาก็ได้นะคะ!” แล้วก็ห้ามไม่ให้เธอฝึกฝนร่างกายหลังจากอาหารเย็น หากรู้ว่าฟาร์มาสจะไม่มาล่ะก็ เธอคงได้ออกกำลังกายสักเล็กน้อยหลังจากอาหารเย็นเมื่อวานแล้วแท้ ๆ

ระหว่างที่กำลังคิดเช่นนั้น เธอก็มองไปทางเตียงอันว่างเปล่าซึ่งตั้งอยู่ในห้อง

พอไม่เห็นร่างที่ปกติจะนอนหลับอยู่ตรงนั้น ก็รู้สึกขัดข้องไม่กลมกลืนเอาเสียเลย

 

“……พอ ๆ”

 

คิดไปก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา ยังไงมันก็คือความเป็นจริงที่ฟาร์มาสไม่ได้มา และไม่มาก็ดีเหมือนกันจะได้นอนหลับสบายไม่ใช่รึไง มันเหมือนกับเธอกำลังพยายามพูดแก้ตัวกับตนเอง แต่ก็ยังยอมรับได้ไม่เต็มร้อยอยู่ดี เฮเลนาถอนใจให้กับความพวกคิดนั้น

บางที มันอาจมีบางส่วนในใจของเฮเลนาที่รู้สึกสนุกที่ได้ใช้เวลาร่วมกับฟาร์มาสก็เป็นได้ ดังนั้นพอเขาไม่มาเธอจึงได้รู้สึกเสียดายขึ้นมาเช่นนี้

ทั้งที่นั่นเป็นบุรุษที่อ่อนกว่าตนเองตั้งสิบปีแท้ ๆ

ทั้งที่เป็นบุรุษที่ทั้งไม่รู้จักสมรภูมิ และแทบไม่สามารถต่อสู้ได้แท้ ๆ

 

ถึงกระนั้น ก็มีแค่เฮเลนาที่รู้

ว่าฟาร์มาสนั้นกำลังแสร้งเป็นจักรพรรดิผู้โง่เขลาเพื่อเตรียมการกวาดล้างสิ่งไม่ชอบธรรมในอนาคต ทั้งหมดก็เพื่อความสงบสุขของปวงประชา การที่เขากำลังคิดวางแผนเช่นนั้น มันช่างสมกับเป็นจักรพรรดิโดยแท้

และในราชสำนักที่แทบไม่มีใครเข้าใจเขา วันนี้เขาก็คงจะแสร้งเป็นจักรพรรดิผู้โง่เขลาอยู่เช่นเคย เพราะรู้ว่าช่วงเวลาที่ซุ่มหมอบอย่างอดสูเช่นนี้จะผลิดอกออกผลในสักวันหนึ่ง

มันคือการต่อสู้ที่เฮเลนาไม่รู้จัก—การต่อสู้ในสนามของการเมืองนั่นเอง

 

เมื่อเป็นเช่นนั้น ก็ไม่สามารถกล่าวว่าฟาร์มาสเป็นบุรุษที่ไม่รู้จักการต่อสู้ได้

 

“……ท่านฟาร์มาส”

 

พอเผลอเอ่ยชื่อนั้นออกมาจากปาก เธอก็ตกใจกับตัวเองแล้วก็เอามือมาปิดปากไว้

เพราะเพิ่งจะตื่นมาตอนเช้า อเลกเซียก็เลยยังไม่มา แปลว่าในห้องนี้มีแค่เฮเลนาคนเดียว ถึงกระนั้นเธอก็อดไม่ได้ที่จะหันมองรอบข้างว่าจะมีใครได้ยินหรือไม่

มันอะไรกันนะ ไอ้ความรู้สึกนี้—เธอพยายามกดข่มความรู้สึกขุ่นมัวลึกในอก แล้วตัดสินใจที่จะเริ่มวิดพื้นก่อน

เรื่องที่ไม่เข้าใจ ก็ไม่ต้องไปคิดมันดีกว่า

ดังนั้นเวลาที่รู้สึกกลุ้มใจ การขยับร่างกายจึงได้ผลที่สุด

 

‘ฮึบ’ เธอเอาสองแขนยันพื้น

 

—อืม อ้วน (หนา) มาก

 

แล้วก็หยุดเคลื่อนไหว

ฟาร์มาสได้บอกไว้ว่าแขนของเฮเลนานั้นอ้วนหนา

ยิ่งฝึกฝนร่างกายซ้ำไปซ้ำมาเท่าไร กล้ามเนื้อมันก็ยิ่งแข็งแกร่งทรหดมากขึ้นเท่านั้น และกล้ามเนื้อที่แข็งแกร่งทรหดก็เท่ากับว่ามันจะหนาขึ้นนั่นเอง

หากเธอวิดพื้น แขนคู่นี้ที่ฟาร์มาสบอกว่ามันอ้วนหนาอยู่แล้ว ก็จะอ้วนหนาขึ้นไปอีกไม่ใช่หรือไงกัน

 

ก่อนหน้านี้เฮเลนาไม่เคยคิดเรื่องแบบนี้เลย

ยิ่งหนาเท่าไรก็แปลว่ายิ่งแข็งแกร่งทรหดเท่านั้น ยิ่งสามารถอาละวาดในสมรภูมิได้มากยิ่งขึ้นไปอีก เธอควรจะรู้สึกยินดีซะด้วยซ้ำ

ทว่าคำพูดของฟาร์มาสมันกลับไม่ยอมห่างหายไปจากหัวสมองของเธอเลย

หากแขนคู่นี้อ้วนหนาน่าเกลียด เธออาจจะถูกฟาร์มาสรังเกียจก็เป็นได้—เธออดไม่ได้ที่จะคิดอะไรแบบนั้น

 

นี่ตัวเราอ่อนแอถึงเพียงนี้เชียวหรือ

 

“หรือว่าข้าจะ……”

 

ความรู้สึกที่ขุ่นมัว อ้อมอกที่เหมือนเจ็บปวดตรงไหนสักแห่ง และความเปล่าเปลี่ยวอ้างว่างที่พลุ่งพล่านอยู่ในใจนี้

ก็แค่ฟาร์มาสไม่อยู่ แค่นั้นเองแท้ ๆ มันกลับทำให้เธอรู้สึกเหงา

ก็แค่ตื่นขึ้นมารับอรุณคนเดียวเท่านั้นเอง มันกลับเกิดความรู้สึกขัดข้องไม่กลมกลืนจนไม่รู้จะทำยังไงดีแบบนี้

นี่มันคืออะไรกันนะ

เฮเลนาเหม่อมองล่องลอยไปยังกำแพงห้อง

 

“……อยู่ในสังคมของบุรุษมานานเกินไป พอไม่มีบุรุษอยู่ใกล้ตัวเลยสงบใจไม่ได้งั้นรึ?”

 

‘หืม’ เธอเอียงศีรษะด้วยความฉงน

หัวสมองอันน่าเสียดาย วันนี้ก็ไม่ทำมาหากินได้อย่างน่าชื่นชมเหมือนเคย

 

 

 

 

 

 

 

 

เมื่ออเลกเซียมาเยือนและเธอได้ทานอาหารเช้าแล้ว เฮเลนาก็เปลี่ยนไปใส่ชุดที่เคลื่อนไหวสะดวกและมุ่งไปยังสวนระหว่างอาคาร

ตามที่คุยกันเมื่อวาน ฟรองซัวส์กับคลาริสซาก็น่าจะมาหลังอาหารเช้าทั้งคู่ สำหรับฟรองซัวส์ ให้เธอฝึกเมนูเดียวกับเมื่อวานเพื่อสร้างพลังกายพื้นฐานไปเรื่อย ๆ น่าจะดี ส่วนคลาริสซาก็ไม่รู้ว่าเธอมีความสามารถทางกีฬาแค่ไหน ดังนั้นอันดับแรกน่าจะต้องตรวจสอบระดับพลังกายก่อน

หรือบางทีคลาริสซาเองก็ไม่มีแรงเหมือนฟรองซัวส์หรือเปล่านะ เฮเลนาอดไม่ได้ที่จะสังหรณ์ใจอย่างไม่แน่ว่าจะถูกเสมอไปเช่นนั้น อันที่จริงก็ไม่ควรจะไปคาดหวังให้บุตรีขุนนางมีเรี่ยวมีแรงแต่แรกอยู่แล้วล่ะมั้ง

เมื่อมุ่งไปยังสวนพลางคิดแบบนั้นไปเรื่อย ก็เห็นว่าที่นั่นมีคนมารวมตัวกันอยู่แล้วประมาณสิบคน

ทำไมเยอะขนาดนี้ล่ะ—เธอนึกสงสัย แล้วก็รู้เหตุผลได้ในทันที

 

“อา! ท่านเฮเลนา!”

 

ผู้ที่มองเห็นเฮเลนาก่อน คือสตรีร่างใหญ่ที่ยืนอยู่ใกล้ที่สุด

ส่วนสูงของสตรีผู้นั้นสูงกว่าเฮเลนาที่ตัวสูงอยู่แล้วไปอีก จนศีรษะโผล่พ้นออกมาคนเดียวจากทุกคนในกลุ่ม และในเวลาเดียวกันก็มีร่างกายกำยำที่ผ่านการฝึกฝนมาอย่างดี ถึงกระนั้นก็มันดูไม่ใช่กล้ามเนื้อที่มาจากการฝึกร่างกายอย่างเดียว แต่เป็นกล้ามเนื้อที่เหมาะกับการต่อสู้จริงซึ่งผ่านการขัดเกลามาในสมรภูมิ

เมื่อเห็นร่างของผู้ที่ไม่ได้เห็นเสียนานนั้น เฮเลนาเองก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา

 

“ดีอันนา ไม่พบกันเสียนาน”

 

“ไม่พบกันเสียนานเลยค่ะ! ข้ารอคอยวันนี้มานานเลยค่ะ!”

 

ดีอันนา คีล

เป็นเจ้าหน้าที่ชั้นเสนาธิการของกองกำลังอัศวินหมาป่าเงินที่ทิฟฟานีเป็นผู้บัญชา จัดว่าเป็นหมายเลขสามของกองกำลัง หากนับแค่ฝีมือการต่อสู้แล้ว จะเรียกว่าเธอคือผู้แข็งแกร่งที่สุดในกองกำลังอัศวินหมาป่าเงินเลยก็ได้

ซึ่งนั่นมันก็สมควรแล้วล่ะ เทียบกับแม่ทัพทิฟฟานีซึ่งมีรูปลักษณ์โดยรวมตัวเล็กและบอบบางแล้ว ดีอันนาผู้นี้ทั้งสูงใหญ่และดุดัน ขนาดที่ว่าไปยืนปะปนในกองกำลังอัศวินชายก็อาจไม่มีใครสังเกตเห็นเลยด้วยซ้ำ

แล้วดีอันนาคนนั้นก็ได้ย่อร่างกายที่ใหญ่โตกว่าคนอื่นลง และคำนับศีรษะให้กับเฮเลนา

 

“ไม่พบกันเสียนานเลยนะคะ! ท่านเฮเลนา!”

 

“สบายดีไหมคะ!”

 

“อยากพบเหลือเกินค่ะ!”

 

เหล่าอัศวินคนอื่น ๆ ก็พากันคำนับศีรษะตามดีอันนาไปด้วย ไม่ว่าคนไหนก็เป็นใบหน้าที่เฮเลนารู้สึกคุ้นตา และเป็นคนที่เธอเคยฝึกสอนให้ด้วยตนเองทั้งนั้น แม้นอกจากดีอันนาแล้วจะไม่มีใครที่แข็งแกร่งโดดเด่นเป็นพิเศษ แต่ทุกคนก็ให้ความรู้สึกว่าสามารถต่อสู้ได้เหนือกว่ามาตรฐาน

อย่างน้อยที่สุด ทุกคนก็ฝึกฝนมาจนอยู่ในระดับที่สามารถฝึกซ้อมประลองกับเฮเลนาได้โดยไม่ถูกสังหารในพริบตาเดียว

 

“พวกเจ้าก็ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ”

 

“ไม่นึกเลยค่ะว่าท่านเฮเลนาจะเข้าวังหลังมาแบบนี้!”

 

“ทำไมท่านเฮเลนาต้องเข้าวังหลังล่ะ! ท่านเฮเลนาควรจะเป็นท่านเฮเลนาของทุกคนแท้ ๆ!”

 

“หากบอกว่าจำเป็น พวกเรา ‘สมาคมผู้ตามหลังท่านเฮเลนา’ จะใช้พลังทั้งหมดเพื่อพาท่านเฮเลนาออกไปจากวังหลังให้ดูค่ะ!”

 

“ใจเย็นกันก่อนสิพวกเจ้า”

 

‘ให้ตายสิ’ เฮเลนาถอนใจ

แม้อัศวินเหล่านี้จะตั้งใจฝึกฝน มีมารยาทดี และมีความแข็งแกร่งที่คู่ควร แต่ก็มีข้อเสียคือใจร้อนกันไปหน่อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งพอเป็นเรื่องของเฮเลนา สายตาจะคับแคบจนเรียกได้ว่าน่าเสียดายเป็นอย่างมากทีเดียว

เฮเลนากำลังรู้สึกเอือม โดยที่ไม่ได้รู้เลยว่าตัวเองก็มีหัวสมองอันน่าเสียดายพอกัน ดูเหมือนว่าเธอจะยังไม่รู้สึกตัวเอง

 

“เอาล่ะ มาฝึกกันเถอะ แต่ถึงกระนั้นข้าก็คงฝึกให้พวกเจ้าไม่ได้ในทันทีนะ”

 

“ค่ะ ท่านเฮเลนา ได้ยินมาว่ามีมือใหม่อยู่ด้วย”

 

“ใช่ ต่างจากข้าที่เป็นบุตรีมาร์ควิสแต่ชื่อ พวกนั้นเป็นบุตรีขุนนางที่ถูกเลี้ยงดูเหมือนไข่ในหินของแท้ ดังนั้นจึงไม่มีแรงกายกัน ให้ฝึกเมนูเดียวกับพวกเจ้าไม่ได้น่ะ เอาไว้หลังจากนี้ข้าจะช่วยเป็นคู่ซ้อมประลองให้ แต่เมนูการฝึกโดยพื้นฐานแล้วให้ดีอันนาเป็นคนชี้แนะก็แล้วกันนะ”

 

“รับทราบค่ะ ท่านเฮเลนา”

 

“อืม ฝากด้วยแล้วกัน ข้าขอไปดูกลุ่มมือใหม่ก่อน”

 

จากนั้นเฮเลนาก็ถอนสายตาออกจากดีอันนา และมองดูสามคนที่ยืนเรียงแถวกันอยู่

นี่มันก็ควรจะเป็นกลุ่มมือใหม่นะ แต่ว่า

 

“ขอความกรุณาด้วยค่ะ! ท่านเฮเลนา!”

 

ฟรองซัวส์กล่าวทักทายมาเช่นนั้นอย่างร่าเริงสดใสเหมือนเคย วันนี้ก็ยังคงไฮเปอร์จนถ้าเธอมีหางมันก็คงจะหมุนเป็นใบพัดไปแล้วกระมัง

 

“อ เอ่อ……นี่ข้ามาผิดที่หรือเปล่าคะ? ยังไงก็……ขอความกรุณา……แบบเบา ๆ หน่อยนะคะ”

 

คลาริสซาลอบมองซ้ายมองขวาอย่างรู้สึกผิดที่ผิดทาง ไม่มีความมั่นใจนัก คงนึกไม่ถึงว่าจะมีอัศวินหญิงมากันเยอะขนาดนี้ล่ะมั้ง

 

“ดิฉันเองก็จะพยายามค่ะ ขอความกรุณาด้วยนะคะ”

 

 

“……ทำไม?”

 

และ

คนสุดท้ายที่ไม่รู้ว่าทำไมถึงมาอยู่ที่นี่ได้ “สนมฟ้าดารา” มาริเอล รีเวียร์

 

แม้เฮเลนาจะส่งสายตาเคลือบแคลงสงสัยไปให้ แต่มาริเอลซึ่งสวมชุดที่เคลื่อนไหวสะดวก (และน่าจะราคาแพง) ก็เพียงแค่ยิ้มตอบกลับมาเท่านั้น

 

Comment

Options

not work with dark mode
Reset