(นิยายแปล) ตำนานวังหลังของพระชายาขาบู๊ – ตอนที่ 57: คั่นฉาก: คุณบาร์โตโลเมในวังหลวง ครึ่งแรก

 

“……ให้ตายสิ มันเรื่องอะไรกันนะ”

 

เมื่อได้มาถึงนครหลวงและก้าวเท้าลงจากรถม้าแบบนั่งรวมซึ่งวิ่งผ่านถนนในเมืองแล้ว หนึ่งในแปดยอดขุนศึกแห่งจักรวรรดิกันเกรฟ บาร์โตโลเม เบอร์การ์ซาร์ดก็ได้ถอนหายใจเฮือกใหญ่

ความจริงแล้ว กองอัศวินหมีน้ำเงินที่บาร์โตโลเมบัญชาการนั้นประจำการอยู่ที่แนวหน้าการรบกับจักรวรรดิอัลเมดาทางทิศใต้ของจักรวรรดิกันเกรฟ ซึ่งสาเหตุก็มาจากการที่ดีลจักรพรรดิองค์ก่อนได้สิ้นพระชนม์ไป ทำให้จักรพรรดิฟาร์มาสต้องสืบทอดบัลลังด้วยวัยเพียงสิบเจ็ดปี ส่งผลให้เกิดความสับสนวุ่นวายภายในประเทศ อัลเมดาจึงฉวยโอกาสที่จะลดพลังอำนาจในฐานะประเทศของจักรวรรดิกันเกรฟลงด้วยการประกาศสงครามนั่นเอง

สถานการณ์รบปัจจุบันอยู่ในสภาวะชะงักงันและความสับสนของสายบัญชาการภายในประเทศก็ลดน้อยลงไปแล้ว ดังนั้นอันที่จริงฝ่ายจักรวรรดิอัลเมดาเองก็น่าจะอยากรีบเจรจาสงบศึก ทว่าตอนนี้จักรวรรดิกันเกรฟเองก็ยังไม่ได้ถูกตีให้ถอยร่นแต่อย่างใด จะยื่นขอเจรจาสงบศึกไปก็ไม่ได้ประโยชน์อะไรขึ้นมา จึงเหมือนกับว่าสภาวะสงครามนี้กำลังถูกฝืนทำให้ยืดเยื้อออกไปอยู่

 

กองอัศวินหมีน้ำเงินที่บาร์โตโลเมบัญชาการไม่ใช่หน่วยรบที่เข้มแข็งในศึกตั้งรับนัก กองอัศวินหมีน้ำเงินซึ่งรวมเอาแต่พวกบ้าการต่อสู้ที่คิดว่าการบุกจู่โจมและการเข้ายึดครองต่างหากคือความงดงามแห่งศึกสงคราม ทั้งหมดต่างก็เดิมพันฝากชีวิตไว้กับการมีชายผู้แข็งแกร่งที่สุดที่ชื่อว่าบาร์โตโลเมวิ่งนำหัวทัพและบดขยี้ทัพของศัตรูนั่นเอง

พวกเขาจึงไม่นิยมชมชอบสภาวะชะงักงันในปัจจุบันนี้เอาเสียเลย ภายในกองอัศวินมีเสียงบ่นไม่พอใจให้ได้ยินเพิ่มมากขึ้นทุกวัน มีทหารจำนวนไม่น้อยรู้สึกเบื่อหน่ายกับสงครามซึ่งไม่มีการเคลื่อนไหวแม้แต่น้อยเช่นนี้

ในตอนนี้ ด้วยการให้ “ขุนศึกพยัคฆ์แดง” วิกเตอร์ ครีกซึ่งมีไหวพริบและเข้มแข็งในศึกตั้งรับทำหน้าที่บัญชาการโดยรวมอยู่ จึงพอจะรักษาสภาพการณ์ปัจจุบันเอาไว้ได้

 

แม้จะฝากให้วิกเตอร์ทำหน้าที่บัญชาการโดยรวมอยู่ในสภาวะเช่นนั้น แต่การที่ “ขุนศึกหมีน้ำเงิน” บาร์โตโลเม ผู้เป็นหัวหน้าของกองอัศวินหมีน้ำเงินมาอยู่ที่นครหลวงเช่นนี้ ก็ไม่ได้เป็นเพราะเขาลาหยุดพักผ่อนแต่อย่างใด

เมื่อสามวันก่อนได้มีคนส่งสารที่ไม่ใช่การติดต่อตามรอบเวลาปกติมา แถมมันยังไม่ใช่จดหมายคำสั่งให้รักษาแนวการรบเอาไว้เหมือนเช่นทุกครั้ง แต่สิ่งที่ได้รับในครั้งนี้กลับเป็นคำสั่งให้บาร์โตโลเมเดินทางมายังนครหลวง

แม้ไม่รู้ว่ามีเหตุผลอันใดกันแน่ แต่บาร์โตโลเมก็เป็นทหารผู้รับใช้จักรวรรดิกันเกรฟ ในเมื่อเขารับใช้จักรวรรดิ ก็ย่อมไม่สามารถเมินเฉยต่อคำสั่งของจักรพรรดิผู้อยู่บนจุดสูงสุดของจักรวรรดิแห่งนี้ได้

ดังนั้นเขาจึงเคลียร์งานให้เสร็จในระดับหนึ่ง และต่องานฝากให้รองผู้บังคับบัญชา จัดแจงเรื่องต่าง ๆ ไว้ในแบบที่ต่อให้เขาไม่อยู่ก็จะไม่เป็นไร แล้วก็เดินทางกลับสู่นครหลวงตามคำสั่ง

 

“ ‘ขุนศึกหมีน้ำเงิน’ บาร์โตโลเม เบอร์การ์ซาร์ด มาเพื่อขอเข้าเฝ้าฝ่าบาท”

 

“ครับ! ครับท่าน! ไม่พบกันเสียนานนะครับ แม่ทัพเบอร์การ์ซาร์ด!”

 

“อืม ได้ใช่ไหม”

 

“กรุณารอสักครู่ครับ!”

 

บาร์โตโลเมกล่าวกับทหารเฝ้าประตูวังหลวงเช่นนั้นและรอคอยสักครู่หนึ่ง

อย่างไรเสียจักรพรรดิเองก็คงงานยุ่ง ส่งคำขอเข้าเฝ้าไปก็ใช่ว่าจะได้รับการตอบรับในทันที เป็นไปได้ว่าอาจต้องใช้เวลาอยู่ที่นครหลวงสักหลายวัน

ไหน ๆ ก็ได้โอกาสแล้ว โผล่หน้าไปที่บ้านสักหน่อยแล้วกัน แล้วก็ลองไปถามสารทุกข์สุขดิบของเฮเลนาจากน้องสาวต่างแม่ด้วยก็น่าจะดี

เมื่อคิดอะไรเรื่อยเปื่อยอยู่เงียบ ๆ เช่นนั้นไปสักพัก—ในที่สุดทหารเฝ้าประตูวังก็วิ่งเข้ามาหา

 

“ดูเหมือนฝ่าบาทจะสามารถให้เข้าเฝ้าได้ครับ เชิญที่ห้องท้องพระโรงได้เลย”

 

“……เดี๋ยวนี้ เลยงั้นรึ?”

 

“ครับ ต้องการให้นำทางหรือไม่”

 

“ไม่ต้องล่ะ ข้าจำสถานที่ของท้องพระโรงได้อยู่”

 

บาร์โตโลเมกล่าวเช่นนั้นกับทหารหน้าประตู และเดินเข้าไปในโถงทางเดินของวังหลวง

เขาเคยไปเข้าเฝ้าในห้องท้องพระโรงมาหลายครั้งแล้วในรัชสมัยของดีลจักรพรรดิองค์ก่อน ครั้งแรกที่เข้าเฝ้าก็คือตอนที่เกิดการก่อกบฏของพันธมิตรนครเอล กีแลนด์ โดยเขาได้ร่วมปราบกบฏกับเกรเดีย โรมุลุสซึ่งเป็น “ขุนศึกพยัคฆ์แดง” ในขณะนั้น และได้รับการตบรางวัลในฐานะผู้ที่ทำผลงานได้เป็นลำดับสอง ซึ่งหลังจากครั้งนั้นก็ยังได้เข้าเฝ้าอีกหลายครั้งด้วยกัน แต่สถานที่นั้นมันก็มักถูกห้อมล้อมไปด้วยขุนนางข้าราชการระดับสูงมากมาย เขาจึงไม่ชื่นชอบมันสักเท่าไหร่

ทว่าในการไปพบจักรพรรดิ นอกจากการเข้าเฝ้าในห้องท้องพระโรงแล้วก็ไม่มีตัวเลือกอื่นอีก แม้จะรู้สึกหนักใจอยู่บ้างแต่บาร์โตโลเมก็เข้าไปกล่าวธุระกับทหารรักษาพระองค์ซึ่งเฝ้าอยู่หน้าประตูที่เชื่อมต่อไปยังห้องท้องพระโรง

 

“ข้าบาร์โตโลเม เบอร์การ์ซาร์ด”

 

“ครับ ได้รับทราบเรื่องแล้ว ฝ่าบาททรงรออยู่ด้านในครับ”

 

“รออยู่แล้วงั้นรึ”

 

“ครับ เช่นนั้นก็—เปิดประตู!”

 

ทหารรักษาพระองค์สองนายเปิดประตูที่ดูหรูหราออกอย่างเชื่องช้าและพร้อมเพรียงกัน

ที่ดำเนินต่อไปภายในนั้น คือพื้นพรมที่ถูกปูไว้เหมือนเป็นถนนสีแดงชาด โดยรวมแล้วทุกสิ่งดูเป็นประกายสวยงามไปหมด เครื่องเรือนต่าง ๆ ชวนให้คิดว่าหากเอาแต่ละชิ้นมาดูก็คงเห็นได้ว่ามีราคาแพงทั้งหมด โคมระย้าที่ประดับสำแดงตัวตนอยู่ใจกลางห้องล้วนสลักด้วยหินคริสตัลทั้งอัน แม้แต่เศษเสี้ยวชิ้นเล็ก ๆ ก็คงมีราคามากเพียงพอให้ประชาชนทั่วไปใช้ชีวิตได้อย่างสบายไปหนึ่งปี

ภายในห้องท้องพระโรงนั้น มีร่างของคนอยู่ประมาณสิบคน

 

“บาร์โตโลเม เบอร์การ์ซาร์ด มาเข้าเฝ้าตามคำสั่งแล้วพะยะค่ะ”

 

“เข้ามา”

 

เมื่อได้ยินคำกล่าวมาจากใครสักคนแถว ๆ แท่นบัลลังก์ บาร์โตโลเมจึงค่อย ๆ เดินหน้าเข้าไป และหยุดลงที่บริเวณใจกลางห้อง

จากนั้นก็คุกเข่าข้างหนึ่งและก้มศีรษะลง

 

“ฝ่าบาทเสด็จแล้ว!”

 

พร้อมกับคำพูดนั้น ก็สัมผัสได้ว่าเบื้องหน้ามีการเคลื่อนไหว

นั่นคือ—ผู้ที่บาร์โตโลเมได้ยื่นคำขอเข้าเฝ้า และตอนนี้เขาก็ได้ตอบสนองคำขอนั้นแล้วมาปรากฏเบื้องหน้าแล้ว—จักรพรรดิแห่งจักรวรรดิกันเกรฟ ฟาร์มาส ดีล ลูเครเซีย กันเกรฟ

 

“เงยหน้าขึ้นเถิด เบอร์การ์ซาร์ด”

 

“พะยะค่ะ”

 

เมื่อได้ยินคำกล่าวของฟาร์มาส บาร์โตโลเมก็เงยศีรษะขึ้น

และก็รู้ได้ทันทีว่ามีชายหนุ่มผู้มีใบหน้าคมสันงดงาม ดูเหมาะสมกลมกลืนกับบัลลังก์นั้น กำลังจ้องมองมายังตน คนผู้นี้แหละ คือจักรพรรดิองค์ปัจจุบัน

ทว่า—ที่เห็นเหมือนเขากำลังมีสีหน้าเบื่อหน่ายรำคาญอยู่นั้น ไม่รู้ว่าบาร์โตโลเมคิดไปเองหรือเปล่า

 

“เดชะพระอาญามิพ้นเกล้ากระหม่อมปลื้มใจยิ่งที่ได้ยลพระพักตร์”

 

“ดีมาก แล้วมีธุระอะไรรึ”

 

“……พะยะค่ะ”

 

เมื่อเจอกับคำพูดที่ไม่คาดคิด บาร์โตโลเมจึงได้แต่ตอบกลับไปด้วยถ้อยคำสั้น ๆ เช่นนั้น

แต่เดิมทีแล้วบาร์โตโลเมก็ไม่ได้มีธุระอะไรกับฟาร์มาส ที่มานี่ก็เพราะได้รับคำสั่งให้เข้าเฝ้าเป็นการด่วนเท่านั้นเอง

แล้วดันมาถามกันว่ามีธุระอะไรเนี่ยนะ ไม่เข้าใจเลยสักนิด

 

“หืม? อะไรกัน นี่มาขอเข้าเฝ้าเราโดยที่ไม่มีธุระอะไรรึไง”

 

“……ม ไม่พะยะค่ะ ฝ่าบาท”

 

“งั้นมีอะไรล่ะ ลองบอกมาสิ เราเองก็ไม่ได้ว่างนะ”

 

‘ต่อให้พูดแบบนั้นก็เหอะ แล้วจะให้เราบอกว่าอะไรได้ฟะ’ นั่นคือใจจริงของบาร์โตโลเม

ถึงกระนั้นก็ตาม หากชี้ให้เห็นถึงความจริงนั้นเขาก็อาจโดนข้อหาหมิ่นเบื้องสูงได้ ดังนั้นเขาจึงไม่สามารถเอ่ยคำใดออกไป

ในตอนนั้นเอง บุคคลที่หากมองจากมุมของบาร์โตโลเมแล้วจะยืนอยู่ข้างขวาของฟาร์มาส—ชายชราที่เพิ่งจะพ้นวัยกลางคน อัครมหาเสนาบดีแอนตัน เรลโนต ก็ได้ ‘อะแฮ่ม’ ส่งเสียงกระแอมออกมา

 

“ฝ่าบาท ผู้ที่สั่งให้แม่ทัพบาร์โตโลเม เบอร์การ์ซาร์ดมาเข้าพบก็คือฝ่าบาทเองพะยะค่ะ”

 

“หืม……เป็นแบบนั้นหรอกรึ แอนตัน”

 

“หากจะมีผู้ใดมีธุระก็มิใช่แม่ทัพเบอร์การ์ซาร์ดแต่เป็นฝ่าบาทพะยะค่ะ เดิมทีแล้วทั้งที่แม่ทัพเบอร์การ์ซาร์ดไม่ควรจะออกห่างจากชายแดนแต่ฝ่าบาทก็ยังทรงฝืนบังคับเรียกเขามา หากมีธุระจำเป็นอันใดก็โปรดรีบบอกกล่าวเถิดพะยะค่ะ”

 

“น่ารำคาญจังเลยน้า แอนตันเนี่ย”

 

‘ฮึ่ม’ ฟาร์มาสทำหน้าบึ้ง

ท่าทางเช่นนั้น แทนที่จะเรียกว่าสมวัย น่าจะกล่าวว่ามันทำให้รู้สึกเหมือนเป็นเด็กผู้ไม่รู้จักโลกมากกว่า

บาร์โตโลเมเองก็ไม่เคยได้พบฟาร์มาสมาก่อนจนถึงบัดนี้ ดังนั้นแม้จะรู้ว่าเขาถูกเรียกเป็นจักรพรรดิผู้โง่เขลาอยู่ แต่ก็ไม่ได้รู้ไปถึงนิสัยจริง ๆ

ทว่า—หากมีท่าทางเช่นนี้ก็สมควรแล้วที่จะถูกขนานนามว่าเป็นจักรพรรดิผู้โง่เขลา

 

“ที่ปรึกษาหลวงเรลโนต การกล่าววาจาเช่นนั้นกับฝ่าบาทมันเป็นการลบหลู่ดูหมิ่นนะ”

 

“……แต่ข้ามิได้ตั้งใจที่จะลบหลู่ดูหมิ่นฝ่าบาทนะ”

 

“ไม่สิ แต่ข้าได้ยินเป็นแบบนั้นนะ ราวกับกำลังบอกว่าแม่ทัพต่ำต้อยนั้นเป็นผู้ที่มีความสำคัญกว่าฝ่าบาทผู้มีงานรัดตัวเสียอีก ไม่นึกเลยว่าวาจาของใต้เท้าอัครมหาเสนาบดีจะเป็นเช่นนี้ ยิ่งไปกว่านั้นการที่แม่ทัพมาเยือนนครหลวงน่ะ หากฝ่าบาททรงกล่าวว่าจำเป็นก็เป็นธรรมดาที่ข้าราชบริพารจะมีหน้าที่สนองความต้องการนั้นอยู่แล้ว การเอาเรื่องนั้นมาตำหนิติเตียนฝ่าบาทเนี่ย มิใช่ว่ามันก้าวล่วงเกินหน้าที่ในฐานะข้าราชบริพารไปแล้วหรือ”

 

ผู้ที่กำลังตำหนิอัครมหาเสนาบดีแอนตันด้วยเสียงอันดังนั้น คือบุรุษอ้วนท้วมที่หากมองจากมุมของบาร์โตโลเมแล้วจะยืนอยู่ข้างซ้าย

โดยปกติแล้ว บุรุษอ้วนท้วมมักจะมาพร้อมกับเสน่ห์อัธยาศัยอะไรสักอย่างหนึ่ง ทว่าชายผู้นี้กลับไม่เป็นเช่นนั้น เขามีดวงตาที่จมลึกบนใบหน้าที่มันเลื่อม และหน้าท้องที่พองออกมาจนเสื้อผ้าแทบจะปริออก ซึ่งเขาก็คงได้มันมาจากการใช้ชีวิตเพลิดเพลินในความหรูหราฟุ่มเฟือย

นั่นคือชายผู้มีชื่อเสียงเล่าลือว่ากำลังใช้วาจาซับซ้อน หลอกลวงจักรพรรดิฟาร์มาสผู้โง่เขลาเพื่อเสริมสร้างอิทธิพลของตนเองอยู่

มหาอำมาตย์ มาร์ควิสอับราฮัม โนลด์ลุนด์

 

ถ้อยคำของโนลด์ลุนด์ ทำให้แอนตันต้องกัดฟันแน่น

ในประเทศที่ปกครองแบบจักรวรรดิ มันก็เป็นเรื่องธรรมดาที่จะเทิดทูนจักรพรรดิไว้ในจุดสูงสุด ทว่าคำพูดของโนลด์ลุนด์นั้น กล่าวราวกับว่าขอแค่จักรพรรดิต้องการ ข้าราชบริพารทั้งหมดทั้งปวงก็ต้องทำงานถวายรับใช้เยี่ยงช้างม้าวัวควาย

วาจาเช่นนั้น แม้แต่บาร์โตโลเมฟังแล้วก็ยังรู้สึกอยากขบเขี้ยวเคี้ยวฟันไปด้วย

 

“ฝ่าบาทจักรพรรดิกับใต้เท้าแม่ทัพนั้นมีภาระหน้าที่แตกต่างกันไป และย่อมมิสามารถนำมาเทียบเคียงกันได้อยู่แล้ว ทว่าข้าเพียงแต่เรียบเรียงข้อคิดเห็นเท่านั้น ว่าในปัจจุบันนี้เราต้องรับศึกสามด้านจากทั้งจักรวรรดิอัลเมดา พันธมิตรสามอาณาจักร และริฟาลอยู่ ในสถานการณ์เช่นนี้มิควรเคลื่อนย้ายแปดยอดขุนศึกโดยปราศจากความจำเป็นนะครับ”

 

“โอ้ นี่เป็นคำพูดที่ไม่นึกเลยว่าจะออกมาจากปากบิดาของพระสนมฟ้าสุริยาคนนั้น มันมีข่าวลือหนาหูอยู่นี่ครับว่าพระสนมฟ้าสุริยาได้ร้องขอต่อฝ่าบาทให้ส่ง ‘ขุนศึกหมาป่าเงิน’ มาทำหน้าที่คุ้มกันวังหลังน่ะ”

 

“……ท่านก็น่าจะได้รับเอกสารอย่างเป็นทางการแล้วนี่ครับ ว่าเรื่องนั้นเป็นความต้องการของฝ่าบาทพระพันปีลูเครเซียน่ะ”

 

“โฮ่ มีเรื่องแบบนั้นด้วยรึนี่……”

 

“พวกเจ้าช่วยเงียบปากกันหน่อยซิ น่ารำคาญจริง”

 

ผู้หยุดยั้งแอนตันกับโนลด์ลุนด์ซึ่งกำลังพูดโต้ตอบไปมาเหมือนกำลังทะเลาะกัน ก็คือฟาร์มาสนั่นเอง

เขาทำมันลงไปโดยที่ไม่แสดงท่าทีตอบสนองอะไรเป็นพิเศษต่อความเห็นที่ไม่ลงรอยกันของข้าหลวงใหญ่ทั้งสอง และเหมือนกับกำลังข่มความง่วงเหงาหาวนอนอยู่เสียด้วยซ้ำ เกรงว่าน่าจะหยุดเพียงเพราะรู้สึกว่ามันหนวกหูก็เท่านั้นเอง

ทว่าข้าหลวงใหญ่ทั้งสองก็ยอมหยุดมีปากเสียงกันแค่นั้น และก้มศีรษะให้แก่ฟาร์มาส

 

“เอาเถอะ ดูเหมือนเราจะเรียกเจ้ามาเอง แต่โทษทีที่จำไม่ได้แล้วล่ะ บางทีตอนนั้นเราอาจจะดื่มเหล้าเมาอยู่ก็เป็นได้”

 

“……พะยะค่ะ”

 

เรียกให้มาถึงนี่โดยที่ไม่มีธุระอะไรเนี่ยนะ—บาร์โตโลเมชักรู้สึกเดือดดาลขึ้นมาแบบนั้น

หากติดตามรับใช้จักรพรรดิเช่นนี้ต่อไป ประเทศนี้ก็คงอยู่รอดได้อีกไม่นานแล้ว หากรู้ว่าจะเป็นเช่นนี้ สู้สนับสนุนวิกเตอร์ที่คิดจะก่อกบฏด้วยอารมณ์ชั่ววูบแล้วไปอาละวาดด้วยกันเลยอาจจะดีกว่าก็เป็นได้—ความคิดที่ป่าเถื่อนแบบนั้นมันเริ่มผุดขึ้นมา

 

“เอาเถอะนะ ขอบคุณที่เหนื่อยยากทุกวัน กลับไปตำแหน่งประจำการได้แล้วล่ะ”

 

“……พะยะค่ะ ขอบพระคุณพะยะค่ะ”

 

หากมีจักรพรรดิโง่เขลาที่ชื่อฟาร์มาสอยู่เช่นนี้ คงต้องคิดทบทวนอีกครั้งว่าควรอุทิศความภักดีให้กับประเทศนี้ต่อไปดีหรือไม่สินะ—บาร์โตโลเมนึกเช่นนั้นพลางเงยศีรษะขึ้น แล้วก็ได้เห็นบุคคลหนึ่งอยู่ที่ด้านหลังของแท่นบัลลังก์

บุคคลนั้นเอานิ้วชี้แตะที่ริมฝีปากตนเองแบบตั้งใจให้บาร์โตโลเมได้เห็น ราวกับกำลังเรียกร้องความสนใจอะไรบางอย่างอยู่

 

แล้วเขาคนนั้น ซึ่งก็คืออดีต “ขุนศึกพยัคฆ์แดง” เกรเดีย โรมุลุส ก็ได้ขยิบตาปิ๊ง ๆ มาให้บาร์โตโลเม

 

Comment

Options

not work with dark mode
Reset