(นิยายแปล) ตำนานวังหลังของพระชายาขาบู๊ – ตอนที่ 62: คั่นฉาก: ความเดือดดาลของฝ่าบาทพระพันปี

 

ลูเครเซีย ไฮน์ริช อัลแบร์ตินา กันเกรฟ คือมารดาแท้ ๆ ของฟาร์มาสผู้เป็นจักรพรรดิองค์ปัจจุบัน

แต่เดิมทีเธอเป็นแค่บุตรีเคานต์เท่านั้น ทว่าเธอก็ได้พบรักกับดีลจักรพรรดิรุ่นก่อนซึ่งตอนนั้นเขายังเป็นองค์ชายรัชทายาทอยู่ จากนั้นก็ได้รับการฝึกสอนในฐานะผู้ที่จะเป็นชายาเอกอย่างมากเท่าที่จะทำได้ แล้วเมื่อดีลสืบทอดบัลลังก์จักรพรรดิเธอก็ขึ้นครองตำแหน่งชายาเอกไปด้วยกัน ถึงกระนั้นสาเหตุหลักที่ทำให้ดีลโปรดปรานลูเครเซียมากที่สุดก็คือความอ่อนโยนและความเป็นแม่อันเอ่อล้นของเธอนั่นเอง การที่ดีลซึ่งเคยเป็นที่หมายปองของบุตรีขุนนางมากมายได้เลือกลูเครเซียให้เป็นชายาเอกนั้น ก็เพราะเขาประเมินว่าหากเป็นลูเครเซียต้องสามารถเลี้ยงดูจักรพรรดิรุ่นต่อไปได้เป็นอย่างดีแน่นอน

จากนั้นลูเครเซียก็พยายามอย่างสุดชีวิตเพื่อวางตัวให้เหมาะสมในฐานะชายาเอก ทว่าเธอก็ไม่ได้หยิ่งผยองแม้แต่น้อยและปฏิบัติกับทุกคนอย่างเปี่ยมล้นด้วยความเมตตา เธอไม่เคยใช้อำนาจที่มีในฐานะชายาเอก เอาแต่ทุ่มเทแรงกายแรงใจเพื่อสนับสนุนดีลเท่านั้น

 

ทว่า ดีลคนนั้นกลับเสด็จสวรรคตอย่างรวดเร็วเกินไป ทิ้งเพียงลูเครเซียไว้เบื้องหลัง

 

ทายาทสืบสายเลือดของดีลซึ่งไม่เคยคิดจะมีสัมพันธ์ใครอื่นนอกจากลูเครเซีย ก็มีเพียงฟาร์มาสบุตรชายคนโต กับน้องสาวของเขาเพียงสองคนเท่านั้นที่ลูเครเซียได้ให้กำเนิด และเมื่อดีลสิ้นชีพอย่างรวดเร็วเกินไป ฟาร์มาสจึงต้องขึ้นครองบัลลังก์โดยที่ไม่ได้เตรียมการอะไรไว้เลย

ฟาร์มาสที่สืบทอดตำแหน่งจักรพรรดิเช่นนั้น จึงเป็นได้แค่หุ่นเชิด

โดยเฉพาะตอนที่ฟาร์มาสเพิ่งจะขึ้นครองบัลลังก์ได้ไม่นาน เขาได้ถูกหลอกด้วยวาจาซับซ้อนโดยมาร์วิสอับราฮัม โนลด์ลุนด์ให้สร้างตำแหน่งมหาอำมาตย์ซึ่งเทียบเคียงกับอัครมหาเสนาบดีแอนตัน เรลโนตที่ความจริงแล้วควรจะรับผิดชอบการบริหารบ้านเมืองทั้งหมด และยังให้แต่งตั้งตนเองเข้าสู่ตำแหน่งนั้น เรียกได้ว่าฟาร์มาสถูกปฏิบัติเหมือนเป็นจักรพรรดิแค่ในนามเท่านั้นจริง ๆ

แม้แต่ในปัจจุบัน อย่างเช่นในการประชุมคณะองคมนตรี เขาถึงขนาดเริ่มการประชุมโดยที่ไม่รอให้ฟาร์มาสมาถึงก่อนด้วยซ้ำ และตัวฟาร์มาสเองก็ดูจะไม่สนใจการบริหารบ้านเมืองที่ซับซ้อนนัก จึงมีบ่อยครั้งที่เขาไม่ได้ไปเข้าร่วมในการประชุมทำนองนั้นด้วย

 

เรียกได้ว่า เป็นขุนนางกังฉินกับจักรพรรดิผู้โง่เขลาอย่างแท้จริง—

ในสภาวะที่รากฐานของจักรวรรดิอาจตกอยู่ในอันตรายเช่นนี้ มีเพียงอัครมหาเสนาบดีแอนตันคนเดียวที่มีใจใสสะอาด

 

“ให้ตายสิ……”

 

หลังออกมาจากวังหลัง ลูเครเซียก็มุ่งหน้าไปยังราชสำนักอย่างรีบร้อน

ปกติแล้ว ลูเครเซียไม่ควรออกปากคำในด้านการเมืองการปกครอง และอาศัยอยู่ในตำหนักที่แยกไปต่างหากเท่านั้น จะบอกว่างานของเธอคือใช้ชีวิตหาวิธีคลายความเบื่อไปวัน ๆ โดยมีคนรับใช้ที่รู้ใจไม่กี่คนก็ได้

สาเหตุหลักก็คือความเชื่อของลูเครเซีย—ว่า “สตรีไม่ควรออกปากคำในเรื่องการเมืองการปกครอง” นั่นเอง

 

เมื่อย้อนประวัติศาสตร์ดูแล้ว เมื่อใดที่พระมเหสีหรือพระพันปีมีอำนาจขึ้นมา มันก็ไม่เคยจบในทางที่ดีเลย

บางทีอาจเป็นเพราะลูเครเซียศึกษามาไม่พอจึงไม่เคยเห็นตัวอย่างที่ดีเท่านั้น แต่โดยส่วนใหญ่มันมักเกิดความวุ่นวายทางการเมืองจากจักรพรรดิที่มักมากในกามรมณ์กับสตรีที่ทำทุกอย่างเพื่อสนองความปรารถนาของตนเองนั่นเอง ดังนั้นแม้ลูเครเซียจะอยู่ในตำแหน่งพระพันปีแต่เธอก็ไม่เคยบอกสั่งอะไรกับฟาร์มาสเลย มันอาจเป็นการประเมินคุณค่าบุตรชายของตัวเองสูงเกินไปบ้าง แต่เธอเชื่อมั่นว่าอุปสรรคเพียงเท่านี้ฟาร์มาสคงจะสามารถก้าวข้ามมันไปได้ในที่สุด

ทว่า—ครั้งนี้เท่านั้นที่ต่างออกไป

ฟาร์มาสได้ทำเรื่องที่เลวร้ายที่สุดลงไปซะแล้ว ผู้ที่สามารถหยุดยั้งสิ่งนั้นได้นอกจากลูเครเซียแล้วก็ไม่มีใครอื่นอีก

 

จากมุมของลูเครเซียแล้ว เฮเลนาเป็นหญิงสาวในอุดมคติเลยทีเดียว

แม้อายุยี่สิบแปดมันจะดูมากไปเล็กน้อย แต่เดิมทีฟาร์มาสเองก็ชอบคนอายุมากกว่าอยู่แล้วจึงไม่มีปัญหาอะไร ยิ่งไปกว่านั้น สตรีที่แม้อายุจะใกล้สามสิบแต่กลับดูสาวและสวย รักษาสัดส่วนรูปร่างที่สมดุลเอาไว้ได้เช่นนี้หาได้ไม่ง่ายนัก

นอกจากนี้ เธอยังเป็นนักรบที่มีฝีมือยุทธเทียบเคียงแปดยอดขุนศึก มีความสามารถในการบังคับบัญชาการรบพุ่งอยู่ในแนวหน้าของสมรภูมิได้ ซึ่งก็แปลว่าน่าจะเก่งในด้านกลยุทธทางการทหารด้วยเช่นกัน

และสิ่งที่เรียกว่าสติปัญญาไหวพริบมันย่อมสามารถใช้ได้กับทุกเรื่อง หากเป็นสตรีที่เก่งกาจในกลยุทธทางการทหาร ความรู้ในเชิงวิชาการเองก็คงโดดเด่นด้วย เพราะมีสติปัญญาถึงขนาดนั้นจึงสามารถไต่เต้าในกองทัพได้ทั้งที่เกิดมาเป็นสตรีนั่นเอง

 

ตอนแรก ลูเครเซียตั้งใจแค่จะไปดูลาดเลา

แม้จะเคยได้ยินมาว่าลูกสาวของแอนตันสังกัดอยู่ในกองทัพ แต่ก็เคยคิดว่าเธอคงไม่ได้มีฝีมือขนาดแม่ทัพเรย์ลาซึ่งมีเรื่องเล่าเหนือมนุษย์มากมายหรอก ที่สำคัญหากมีฝีมือระดับแม่ทัพเรย์ลาจริง แทนที่จะให้อยู่ในฐานะชายาเอก สู้เอาไปใช้งานในฐานะแม่ทัพน่าจะเป็นประโยชน์ในการป้องกันประเทศมากกว่า

เพื่อตัดสินเรื่องนั้นให้แน่ชัด เธอจึงลองสนทนากับเฮเลนาดู

 

ผลลัพธ์ก็คือ เธอสอบผ่าน

เพราะเป็นลูกสาวของแอนตัน ชาติตระกูลจึงไม่มีปัญหา อีกทั้งยังได้รู้แล้วว่าเธอเป็นสตรีที่มีครบทั้งปัญญาและความกล้าหาญ หากเป็นเฮเลนาคงสามารถเกื้อหนุนฟาร์มาสซึ่งเกลียดการใช้หัวอยู่สักหน่อยได้ทั้งในทางราชการและชีวิตส่วนตัว ลูเครเซียเชื่อมั่นแบบนั้นเลยทีเดียว

ดังนั้น การที่ฟาร์มาสกำลังรักใคร่โปรดปรานเฮเลนาอยู่ในปัจจุบัน จึงทำให้ลูเครเซียรู้สึกภูมิใจอยู่ไม่น้อยว่าลูกชายเราก็ตาถึงไม่เบา

ทว่าปัญหาก็คือ—พฤติกรรมของฟาร์มาสเมื่อคืน

 

“หลีกไปซะ! ฟาร์มาสอยู่ข้างในใช่ไหม!”

 

“ท ท่านคือ……ฝ่าบาทพระพันปีลูเครเซีย!?”

 

“เจ้าคือโรมุลุสใช่ไหม ฉันมาเพราะมีธุระกับฟาร์มาส เจ้าหลีกไปซะ”

 

“ท ทว่า ฝ่าบาทกำลัง……”

 

“ฉันซึ่งเป็นพระพันปีกำลังบอกว่ามีธุระ มันมีอะไรที่สำคัญกว่านั้นด้วยหรือไงกัน”

 

“อุ……”

 

ลูเครเซียกล่าวกับชายสูงอายุซึ่งยืนอยู่หน้าประตูทางเข้าห้องส่วนตัวของฟาร์มาส—เกรเดีย โรมุลุส

อันที่จริงเธอไม่อยากใช้อำนาจในฐานะพระพันปีเช่นนี้เลย แต่วันนี้เป็นกรณีพิเศษ ต่อให้ต้องใช้ทุกอย่างที่มีก็ต้องเข้าไปคัดค้านฟาร์มาสให้ได้

เกรเดียเข้าไปด้านในเพื่อยืนยัน จากนั้นก็กลับออกมาในเวลาไม่นาน

 

“……ฝ่าบาทกล่าวว่าสามารถเข้าพบได้ครับ”

 

“อืม จะเข้าไปล่ะนะ”

 

“ครับ เชิญครับ”

 

เมื่อเกรเดียเปิดประตู ลูเครเซียก็เข้าไปด้านใน

ที่นี่คือห้องส่วนตัวของฟาร์มาส เวลาที่ไม่มีอะไรเป็นพิเศษเขามักจะอยู่ที่นี่เสมอ ไม่รู้เหมือนกันว่ามัวทำอะไรอยู่ข้างใน

ความสัมพันธ์พ่อแม่ลูกของราชวงศ์มันมักจะเบาบางเช่นนี้เอง

 

“ฟาร์มาส”

 

“ไม่ได้พบกันเสียนานเลยนะครับ เสด็จแม่”

 

เมื่อเห็นลูเครเซียมาเยือน ฟาร์มาสก็ได้โค้งคำนับก่อนเป็นอันดับแรก

ความเป็นจริงองค์จักรพรรดิไม่ควรก้มหัวให้ผู้อื่นเช่นนี้ ทว่าที่นี่คือห้องส่วนตัว เป็นสถานที่ส่วนตัวของฟาร์มาส

ในสถานที่เช่นนั้น การก้มศีรษะให้ลูเครเซียผู้เป็นมารดาของตนเองก็คงไม่มีปัญหาอะไร

 

ลูเครเซียชำเลืองมองฟาร์มาสหนึ่งครั้ง

 

“ขอนั่งนะ”

 

“เชิญครับ”

 

เธอนั่งลงบนโซฟาที่มีอยู่ในห้อง ซึ่งน่าจะมีไว้เพื่อรับรองแขก

และในเวลาเดียวกันฟาร์มาสก็มานั่งที่ด้านตรงข้ามหันหน้าเข้าหาลูเครเซียด้วย

 

“รู้ใช่ไหมว่าธุระสำคัญครั้งนี้คืออะไร?”

 

“……ไม่ครับ ไม่ทราบเลย”

 

“ฟาร์มาส วันก่อนฉันบอกแล้วใช่ไหม ว่าอย่าทำให้หนูเฮเลนาเขาเสียใจน่ะ”

 

“……ก็ ได้กล่าวไว้นะครับ”

 

ลูเครเซียนั้นรับรู้ถึงความอ้างว้างเดียวดายของเฮเลนา

แม้เฮเลนาจะปิดปากเงียบไม่พูดถึงมัน แต่ในใจเธอกำลังแบกรับบาดแผลที่ลึกซึ้งเอาไว้ ซึ่งก็เกรงว่าคงเป็นเพราะชายที่เคยเจอในอดีตคนนั้น

เพราะฉะนั้นแม้จะมีความงามและชาติตระกูลดีถึงขนาดนั้นแต่ก็ยังไม่ได้แต่งงานมาจนปัจจุบันที่อายุยี่สิบแปด ถึงจะไม่รู้โดยละเอียดนัก แต่ลูเครเซียก็พอจะเดาได้ว่าหนึ่งในสาเหตุที่เฮเลนาเข้ากองทัพต้องเกี่ยวข้องกับชายคนนั้นเป็นแน่

เฮเลนาเคยถูกทำให้เจ็บปวดถึงขนาดเลือกที่จะทิ้งทุกสิ่งทุกอย่าง—ลูเครเซียกำลังคิดแบบนั้นอยู่

 

ดังนั้นลูเครเซียจึงบอกย้ำกับฟาร์มาสซ้ำแล้วซ้ำอีก

ว่าอย่าทำอะไรให้เธอต้องเสียใจนะ

ว่าอย่าทำให้เธอต้องร้องไห้นะ

 

ทั้งที่ย้ำขนาดนั้น แต่ไอ้ผู้ชายคนนี้มันกลับ—!

 

“ถ้างั้นทำไมถึงไปเยือนห้องของสนมคนอื่นล่ะ แถมนั่นยังเป็นสหายของหนูเฮเลนาด้วยไม่ใช่รึ”

 

“เรื่องนั้น……”

 

“แถมช่วงหลายวันมานี้ดูเหมือนจะไม่ได้โผล่หน้าไปหาหนูเฮเลนาด้วยใช่ไหม กำลังเล่นสนุกกับสนมคนอื่นอยู่หรือไงกัน?”

 

“ม ไม่ครับ ไม่ใช่แบบนั้นเลยนะครับ……”

 

ฟาร์มาสอ้ำอึ้ง

การที่อ้ำอึ้ง ก็แปลว่ามีความรู้สึกผิดอะไรสักอย่างอยู่นั่นเอง

หากไม่มีอะไรในใจก็แค่บอกเหตุผลออกมาตรง ๆ ก็พอ ทว่าเขากลับบอกไม่ได้—แปลว่าฟาร์มาสเองก็รู้ว่าเขากำลังทรยศต่อเฮเลนาอยู่

ลูเครเซียรู้สึกโกรธ จนเกือบอยากจะตะโกนออกมา

 

“ก็นึกว่ากำลังรักใคร่โปรดปรานหนูเฮเลนาอยู่ซะอีก”

 

“เปล่าครับ……เรื่องนั้นก็ไม่ได้ผิดหรอก ข้าน่ะ กับเฮเลนา……”

 

“เช่นนั้นแล้วทำไมถึงทำอะไรอย่างไปเยือนห้องของสหายของเธอกันล่ะ ไม่รู้หรือว่ามันจะทำให้หนูเฮเลนากังวลใจขนาดไหน? หรือว่าชอบสหายอะไรนั่นถึงขนาดนั้นเลย?”

 

“เปล่าครับ ไม่ใช่แบบนั้นเลย ทว่า คือว่า……”

 

ฟาร์มาสมีสีหน้าบิดเบี้ยวเหมือนพูดยาก

พอดูให้ดีแล้วก็เห็นว่าใต้ตาของเขามีรอยคล้ำบาง ๆ และดูอ้อนล้าอย่างบอกไม่ถูก แม้แต่ทรงผมก็ดูไม่เป็นทรงเท่าไหร่ เป็นภาพที่แตกต่างจากฟาร์มาสในยามปกติซึ่งเปี่ยมด้วยความมั่นใจ จนรู้สึกขัดข้องไม่กลมกลืนอยู่ไม่น้อย

‘มันยังไงกันแน่นะ’ ลูเครเซียหรี่ตามอง

 

“……เธอคิดจะทำให้หนูเฮเลนาเป็นชายาเอกอยู่ใช่ไหม?”

 

“ครับ”

 

“แล้วทำไมถึงได้ไปหานางสนมคนอื่นล่ะ”

 

“นั่นก็เพราะ……เพราะมีเรื่องต้องบอกให้เธอทราบเล็กน้อยครับ แล้วก็มีเรื่องที่อยากจะถามด้วย”

 

“ไปบอกเรื่องอะไรกันล่ะ ฉันคิดว่าไม่น่ามีอะไรที่เธอต้องไปบอกสหายของหนูเฮเลนานะ”

 

“……ขออภัยด้วยครับ แม้จะเป็นคำพูดของเสด็จแม่ข้าก็ไม่สามารถตอบเรื่องนั้นได้”

 

แม้กล่าวด้วยวาจาสุภาพ แต่ฟาร์มาสก็ได้ปฏิเสธมาแบบนั้น

 ทว่าจากท่าทางของฟาร์มาสแล้ว ดูท่าว่าคงไม่ใช่เรื่องรักใคร่เสน่หา ดังนั้นลูเครเซียจึงยิ่งรู้สึกขัดข้องไม่กลมกลืนมากขึ้นไปอีก

เขาไปสนทนาอะไรแบบไหนกับนางสนมคนอื่นกันแน่

 

“คือว่า……เสด็จแม่ครับ”

 

“อะไรรึ”

 

“ท่านอยู่ที่ห้องของเฮเลนาจนถึงเมื่อครู่ใช่ไหมครับ?”

 

“ใช่ พอได้ยินว่าเธอไปเยือนสหายของเฮเลนา ฉันก็รีบกลับมาเลยล่ะ”

 

“……เฮเลนา ได้กล่าวอะไรถึงข้า บ้างหรือเปล่าครับ?”

 

เขาพูดออกมาอย่างขาดความมั่นใจชอบกล

ราวกับว่าได้คิดกังวลแล้วกังวลอีก แต่สุดท้ายก็ยังไม่พบคำตอบ

ความแปลกประหลาดนั้น ทำให้ลูเครเซียขมวดคิ้ว

 

“……ก็ไม่ได้พูดอะไรเป็นพิเศษนะ”

 

“งั้น หรือครับ……”

 

“ฟาร์มาส เธอเป็นอะไรไปรึ? เกิดอะไรขึ้นหรือไง?”

 

เพราะท่าทางของเขาต่างจากปกติมากเกินไป ลูเครเซียจึงต้องซักถามเช่นนั้น

ทว่า ฟาร์มาสก็ส่ายหน้า

 

“ข้าไม่เข้าใจครับ”

 

“ไม่เข้าใจ อะไรรึ……?”

 

“ดูเหมือนว่าข้า……จะได้ทำอะไรบางอย่างที่ไม่ดีกับเฮเลนาไป ทว่าก็ไม่เข้าใจเลยว่าเรื่องนั้นมันคืออะไรกันแน่……”

 

“……หา?”

 

“ข้าอาจถูกเธอเกลียดซะแล้วหรือเปล่านะ……”

 

เมื่อได้ฟังการพร่ำบ่นคนเดียวของฟาร์มาส ลูเครเซียก็แหงนหน้ามองเพดานอย่างไม่เข้าใจ

เฮเลนาไม่ได้พูดอะไรเป็นพิเศษเกี่ยวกับฟาร์มาสเลย ทว่าฟาร์มาสซึ่งได้พบกับเธอบ่อยที่สุดกลับมีท่าทีอ่อนแอถึงขนาดนี้ แสดงว่าคงมีอะไรสักอย่างเป็นแน่

ลูเครเซียแทบไม่เคยเห็นฟาร์มาสหดหู่ถึงขนาดนี้มาก่อน

นั่นคงเป็นเพราะ เขาให้ความสำคัญกับเฮเลนามากถึงขนาดนั้นสินะ

 

“ทำอะไรลงไปรึ……?”

 

“เรื่องนั้น ข้าก็ไม่ทราบครับ……แต่ว่าอยู่มาเช้าวันนึง เฮเลนาก็ทำตัวเย็นชามาก……”

 

“นั่นมันก็……คงจะเผลอทำอะไรผิดไปจริง ๆ นั่นแหละนะ”

 

ลูเครเซียพยักหน้าให้กับการบ่นพึมพำของฟาร์มาส

มันไม่มีทางที่อยู่มาเช้าวันนึงจะเย็นชาไปโดยไม่มีสาเหตุอยู่แล้ว แปลว่าฟาร์มาสคงจะไปทำอะไรสักอย่างให้เฮเลนาโกรธนั่นเอง

และฟาร์มาสก็ไม่รู้ว่าเรื่องนั้นมันคืออะไร ดังนั้นเขาจึงมากังวลอยู่แบบนี้

 

“ข้าจึงลองไปถามนางสนมที่เธอบอกว่าสนิทด้วยที่สุดดูครับ ว่าข้าอาจทำผิดอะไรสักอย่างต่อเฮเลนาไป……ทว่านางสนมคนนั้นก็บอกว่าไม่ได้ยินอะไรมาเป็นพิเศษเหมือนกัน……”

 

“แหม……”

 

ลูเครเซียได้แต่ยิ้มแห้ง ๆ ให้กับความเยาว์วัยอย่างไม่คาดคิดของบุตรชาย

ตั้งแต่เล็กเขาก็มักทำตัวเป็นผู้ใหญ่เกินวัยและไม่เคยแสดงความอ่อนแอให้เห็น ฟาร์มาสผู้ที่ทำอะไรต้องสมบูรณ์แบบเสมอคนนั้น ตอนนี้กลับดูขลาดกลัวซะเหลือเกิน

ยิ่งไปกว่านั้น ความกังวลใจที่ว่ายังเป็น “ถูกสตรีที่ชอบเกลียดเข้าแล้วหรือเปล่านะ” ซะอีก

ลูเครเซียได้รับรู้ถึงความไร้เดียงสาสมวัยของฟาร์มาสเป็นครั้งแรก

 

“ฉันเองก็ไม่ได้ยินอะไรมาเป็นพิเศษ……แต่ถ้าเธอทำผิดอะไรสักอย่าง การไปขอโทษซะก็น่าจะดีที่สุดนะ”

 

“ข้าไม่รู้เลย ว่าเฮเลนาโกรธเรื่องอะไร……”

 

‘ขึก’ เห็นได้ชัดว่าฟาร์มาสกำลังคบเขี้ยวเคี้ยวฟัน

ฟาร์มาสที่ลูเครเซียรู้จักนั้นเป็นคนหัวดี ดังนั้นเขามักจะหาคำตอบให้ปัญหาส่วนใหญ่ได้

เพราะมีความฉลาดพอที่จะหาคำตอบโดยไม่พึ่งพาคนอื่น และเป็นคนที่ทำอะไรต้องสมบูรณ์แบบนั่นเอง จึงไม่เคยคิดจะแสดงด้านอ่อนแอให้ใครเห็น

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กับสตรีที่ตนเองชอบพอยิ่งแล้วใหญ่

ดังนั้นเขาจึงไม่กล้าไปถามกับเจ้าตัวโดยตรงนั่นเอง

 

เพราะเป็นสาเหตุที่เล็กน้อยกว่าที่คิดไว้ ลูเครเซียจึงได้แต่ถอนใจ

 

“……ตั้งใจว่าจะมาตำหนิแต่หมดอารมณ์แล้วล่ะ ฉันก็ช่วยแนะนำได้เรื่องเดียว ว่ารีบไปขอโทษซะนะจ๊ะ”

 

“ครับ ขอบพระคุณครับ เสด็จแม่”

 

หลังจากคลายความกังวล ลูเครเซียก็กล่าวเช่นนั้นพลางลุกขึ้นยืน

 

ซึ่งลูเครเซียก็ไม่รู้เลย

ว่าสาเหตุสำคัญที่สุดที่ทำให้เฮเลนามีท่าทีเย็นชา จนฟาร์มาสต้องมานั่งกังวลอยู่แบบนี้

 

มันก็เพราะเธอโดนบอกว่าแขนทั้งสองอ้วนหนา ก็เท่านั้นเอง

 

Comment

Options

not work with dark mode
Reset