(นิยายแปล) ตำนานวังหลังของพระชายาขาบู๊ – ตอนที่ 7 การตำหนิของนางกำนัลอเลกเซีย

 

เฮเลนาไล่นึกสิ่งที่ตนเองพูดไปที่ห้องของสองคนนั้น รวมทั้งสิ่งที่ชาร์ลอตเตกับมาริเอลได้พูดกับตน พลางเล่าเรื่องราวให้อเลกเซียฟัง

ถึงในตอนแรกเริ่มอเลกเซียจะยังยิ้มอยู่ แต่พอผ่านไปคิ้วก็เริ่มขมวดเป็นปม จากนั้นก็หลับตาลงแล้วก็เริ่มกุมขมับ แม้ว่าเฮเลนาจะไม่ได้ตั้งใจทำอะไรที่แปลกขนาดนั้น แต่ดูเหมือนสิ่งที่เธอไปพูดมาในห้องของสองคนนั้น หากมองจากมุมของอเลกเซียแล้วมันยากจะให้อภัยเลยทีเดียว

หลังจากนั้นก็เล่ามาจนถึงตอนที่ออกมาจากห้องของมาริเอล กลับมาที่ห้องของตัวเอง แล้วก็ไม่รู้จะทำอะไรดีก็เลยซิตอัปสักหน่อย ก่อนจะจบเรื่องเล่าตรงนั้น

อเลกเซียที่ใบหน้าได้รูปกำลังบูดเบี้ยว คิ้วขมวดเป็นปม และยังกุมขมับอยู่จึงได้อ้าปากพูดขึ้นในที่สุด

 

“……ก่อนอื่น ฉันขอพูดในฐานะที่ไม่ใช่นางกำนัลติดห้องอเลกเซีย แต่เป็นในฐานะน้องสาวของ ‘ขุนศึกหมีน้ำเงิน’ ที่เคยรู้จักกับท่านเฮเลนาเมื่อสมัยยังเด็กนะคะ”

 

“อ อืม……”

 

อเลกเซียเปิดเรื่องมาแบบนี้แปลว่ามันคงจะเป็นอะไรที่ในฐานะ “นางกำลังรับใช้ติดห้อง” แล้วพูดไม่ได้ แต่ในฐานะ “เพื่อนสมัยเด็ก” แล้วสามารถพูดได้สินะ

หรือก็คือหลังจากนี้กำลังจะพูดอะไรตรง ๆ โดยที่ไม่สนใจฐานะของเธอที่เป็น “สนมฟ้าสุริยา” ซึ่งเป็นว่าที่พระชายานั่นเอง

 

“ท่านเฮเลนาน่ะ ไม่มีสามัญสำนึกเลยสักนิดเดียวค่ะ”

 

“ทำไมอ่ะ!?”

 

“กับท่านชาร์ลอตเตน่ะ ถึงฉันจะไม่ช่วยบอกก็น่าจะรู้ไม่ใช่หรือคะ? อันดับแรกเลย การไปหาโดยที่ไม่นัดหมายล่วงหน้าก่อนจะถูกตีความได้ว่ากำลังดูถูกผู้ที่ไปพบค่ะ การพบปะกันของขุนนางน่ะโดยพื้นฐานแล้วต้องมีการนัดหมายล่วงหน้าก่อนเสมอ”

 

“……นัดหมายล่วงหน้า?”

 

“เป็นการแจ้งว่า ‘หลังจากนี้อีกกี่นาทีจะไปหาที่ห้องของคุณนะคะ’ ยังไงล่ะคะ สมมุติว่าเมื่อท่านเฮเลนาไป แล้วท่านชาร์ลอตเตมีแขกคนอื่นอยู่ก่อนแล้วหรือว่ากำลังอาบน้ำอยู่ ท่านเฮเลนาคิดจะทำยังไงหรือคะ?”

 

เฮเลนาขมวดคิ้วใช้ความคิด

ตอนนั้นแค่นึกว่ายังไงก็ไปทักทายก่อนแล้วกัน ก็เลยไม่ได้คิดเรื่องพวกนั้นไว้เลย แต่ยังไงทางเราก็เป็นฝ่ายไปหาแบบกระทันหันเอง ถ้ามีเหตุผลไม่สะดวกแบบนั้นก็แค่เลื่อนออกไปก่อนก็ได้นี่นา

 

“……ก็ไม่มีอะไรนี่ ถ้าเป็นแบบนั้นข้าก็แค่รอไปก่อน”

 

“ท่านชาร์ลอตเตเป็นบุตรีเคานต์ค่ะ เทียบกับบุตรีมาร์ควิสอย่างท่านเฮเลนาแล้วจึงมีความต่างของยศศักดิ์อยู่ แม้จะเป็น ‘สามสนมฟ้า’ คนหนึ่งเหมือนกัน แต่ถ้ามองจากมุมของท่านชาร์ลอตเตแล้วการที่ ‘ปล่อยให้อีกฝ่ายที่มีศักดิ์สูงกว่าตนต้องมารอเพื่อความสะดวกของตนเอง’ มันจะกลายเป็นจุดด่างพร้อยได้ค่ะ เพื่อไม่ให้เกิดเรื่องแบบนั้น เราถึงต้องมีการนัดหมายล่วงหน้ากันยังไงล่ะคะ”

 

“……อึ่ก”

 

“ซึ่งหมายความว่าการไปเยือนโดยไม่นัดหมายล่วงหน้าก็เหมือนกับการส่งคำข่มขู่ไปหาอีกฝ่ายว่า ‘อย่าปล่อยให้ฉันรอเด็ดขาดเชียวนะ’ นั่นเองค่ะ จึงเป็นธรรมดาที่ฝ่ายผู้ถูกมาเยือนโดยไม่นัดหมายล่วงหน้านั้นจะเข้าใจว่าตนเองกำลังถูกดูแคลนอยู่”

 

ไม่ค่อยเข้าใจเลยอ่ะ

ก็คิดจะพูดแบบนั้นอยู่ แต่เจอสายตาอันแข็งกร้าวของอเลกเซียแล้วมันพูดไม่ออก

 

“แล้วก็ หลังจากไปพบโดยไม่นัดหมายล่วงหน้าแล้ว ท่านเฮเลนาก็ได้ถามชื่อของท่านชาร์ลอตเต……เรื่องนี้น่ะแย่ที่สุดเลยค่ะ”

 

“……ไม่ดิ ก็ไม่รู้จักชื่อจริง ๆ นี่นา”

 

“อีกฝ่ายเขาไม่มองแบบนั้นหรอกค่ะ จากมุมของท่านชาร์ลอตเตแล้วที่ท่านเฮเลนาถามชื่อก็เหมือนกับการไปยั่วยุท้าทายว่า ‘กะอีแค่ตัวตนอย่างเธอน่ะ ฉันจะไปรู้จักได้ยังไง’ นั่นเองค่ะ”

 

ทำไมมันเป็นแบบนั้นไปได้ฟะ

ก็แค่ไม่รู้จักชื่อเลยถามเท่านั้นเอง มิตรไมตรีมันควรจะเริ่มจากการแนะนำตัวซึ่งกันและกันนี่นา

แม้เฮเลนาจะคิดเช่นนั้น แต่ดูเหมือนสังคมของขุนนางจะไม่มีอะไรแบบนั้นอยู่

 

“ท่านชาร์ลอตเตได้พูดชื่อของท่านเฮเลนาออกมาก่อน จากนั้นท่านเฮเลนากลับบอกไปว่าไม่รู้จักเธอ ถึงตรงนี้สถานภาพของทั้งสองฝ่ายก็ไม่เท่าเทียมกันอีกต่อไปแล้วค่ะ ถึงดูเหมือนว่าท่านชาร์ลอตเตจะยังฝืนไม่บอกชื่อออกมา แต่สุดท้ายเมื่อท่านเฮเลนาถามซ้ำไปอีกครั้งก็ยอมตอบออกมาจนได้ แบบนี้ก็เหมือนกับว่าท่านชาร์ลอตเตได้พ่ายแพ้ให้กับการบังคับของท่านเฮเลนานั่นเองค่ะ”

 

 

“……ไม่เข้าใจเลย”

 

“ซ้ำร้าย การประชดประชันของท่านชาร์ลอตเตที่ว่า ‘พระสนมที่อายุมากกว่าตั้งสิบปี’ ท่านเฮเลนาก็ไม่ได้พูดอะไรกลับไป นี่ก็มองได้ว่าท่านชาร์ลอตเตพยายามยั่วยุท้าทายท่านเฮเลนา แต่ท่านเฮเลนากลับแสดงท่าทีเหมือนเป็นผู้ใหญ่กว่าด้วยการไม่โต้ตอบ เล่นเอาฉันคิดเลยล่ะค่ะว่าที่ท่านชาร์ลอตเตไม่วีนแตกขึ้นมาก็บุญแล้ว”

 

“……เอ่อ ก็ มันเรื่องจริงนี่นา”

 

เฮเลนาอายุยี่สิบแปด จักรพรรดิอายุสิบแปด เป็นความจริงที่ไม่ผิดตรงไหนเลย เธอก็เข้ามาในวังหลังทั้งที่รู้เรื่องนั้นอยู่แล้ว ไม่มีความจำเป็นต้องปฏิเสธอะไรสักนิด

ไม่สิ จะให้เธอปฏิเสธว่ายังไงกันเล่า

 

“และในตอนท้ายที่สุด ท่านกล่าวไปว่า ‘ปรับปรุงท่าทีแบบนั้นซะ’ ซึ่งก็คงจะถูกแปลความว่าให้ส่องกระจกดูการกระทำของตัวเองที่ผ่านมาแล้วก็ ‘รู้จักเจียมตัวซะบ้างเถอะ’ อย่างไม่ต้องสงสัยเลยค่ะ เหมือนกับบอกให้เธอที่เป็นบุตรีเคานต์ส่องกระจกดูฐานะของตนเองก่อนคิดที่จะทำอะไร อะไรทำนองนั้นน่ะค่ะ”

 

“……ทำไมมัน เป็นงั้นไป”

 

“ต่อไปก็จำนวนของสาวใช้ค่ะ เรื่องนี้น่ะพูดไปแล้วก็เหมือนกับการแสดงบารมีของตนเองภายในวังหลัง แม้จะมีกฎอยู่ว่าให้พามาได้แค่คนเดียวแต่ก็แทบไม่มีบุตรีขุนนางคนไหนทำตามกันหรอกค่ะ แม้แต่ห้องของท่านมาริเอลก็ยังมีสาวใช้อยู่สี่หรือห้าคนเสมอเลย ทั้งที่เป็นแบบนั้นแต่เธอกลับโดนท่านเฮเลนาตักเตือนเอา”

 

“ก็ มันผิดกฎนี่นา……”

 

“จากมุมของท่านชาร์ลอตเตแล้ว คงจะมองเป็นท่านเฮเลนากำลังตัดสินว่า ‘ไม่รักษากฎของวังหลังกันเลย แบบนี้จำเป็นต้องมีคนมีคอยกำกับดูแลใกล้ชิดสินะ’ ล่ะมั้งคะ แปลว่าท่านเฮเลนากำลังออกปากคำกับเรื่องกฎของวังหลังนั่นเอง แบบนี้จะถูกมองว่า ‘ทำตัวเหมือนได้เป็นพระชายาไปแล้ว’ ก็ช่วยไม่ได้แล้วล่ะค่ะ”

 

“………”

 

ไม่เข้าใจอะไรอีกต่อไปแล้ว

จริงอยู่ที่หลังจากเธอตักเตือนไปทางนั้นก็ดูโกรธพอสมควร ก็เลยนึกว่า ‘เราพูดแรงไปหน่อยรึเปล่านะ’ อยู่เหมือนกัน แต่สำหรับเฮเลนาแล้วเธอก็แค่พูดให้ด้วยความหวังดี

แล้วไหงไอ้ที่พูดมันโดนบิดความหมายจนเป็นแบบนั้นไปได้กัน

 

“อืม จุดที่เป็นปัญหาในการสนทนากับท่านชาร์ลอตเตก็คงจะมีแค่ประมาณนี้แหละค่ะ”

 

“……ก็คือทั้งหมดเลย?”

 

“ถ้าพูดตรง ๆ ก็ ใช่ค่ะ”

 

นี่มันอะไรกันเนี่ย

การสนทนาตั้งแต่ต้นจนจบหาจุดที่จะชมเชยเฮเลนาไม่เจอเลย ซ้ำร้ายไปกว่านั้น ถ้าชาร์ลอตเตตีความไปแบบนั้นแล้วก็เท่ากับว่าเราเป็นฝ่ายไปชวนทะเลาะเองชัด ๆ

ครั้งต่อไปที่เจอกันควรจะทำหน้ายังไงดี—–คิดได้แค่นั้นเฮเลนาก็เริ่มจะปวดหัวขึ้นมาแล้ว

 

“เอาล่ะ ต่อไปก็ขอพูดถึงการสนทนากับท่านมาริเอลนะคะ”

 

“……กับรายนั้นข้าคิดว่าจบกันไปด้วยดีออกนะ”

 

“กับทางนี้เองก็เช่นเดียวกัน ที่ไปหาโดยไม่นัดหมายล่วงหน้าก็แย่ค่ะ จากนี้ไปขอให้ทำการนัดหมายล่วงหน้าทุกครั้งนะคะ ถ้าให้พูดแบบเป็นรูปธรรมก็คือ บอกฝากมากับฉัน แล้วฉันจะไปที่ห้องของพระสนมคนอื่นเพื่อแจ้งให้ทราบเองค่ะ”

 

“……ค่ะ”

 

‘ต่อต้านอะไรไม่ได้อีกแล้ว’ เฮเลนาคิดพลางมองไปที่อเลกเซียด้วยสีหน้าเหมือนจะร้องไห้

ซึ่งอเลกเซียก็ยังทำหน้าไร้อารมณ์ไม่เปลี่ยน

ถ้าถามเฮเลนาแล้ว เธอไม่รู้สึกว่าที่สนทนากับมาริเอลมันมีปัญหาอะไรเป็นพิเศษ ในทางกลับกันเธอรู้สึกว่ามันไม่มีเรื่องให้อีกฝ่ายจะโกรธได้เลยด้วยซ้ำ

 

“อันดับแรกเลย การที่ไม่รู้จักตระกูลรีเวียร์……ข้อนี้ยังนับว่าผ่านแบบคาบเส้นนะคะ ตระกูลรีเวียร์เพิ่งได้รับแต่งตั้งเป็นขุนนางได้ไม่นานจึงไม่เป็นอะไร แต่ถ้าเป็นขุนนางคนอื่นล่ะก็จะได้ยินเป็นการยั่วโมโหว่า ‘ตระกูลพรรค์นั้นฉันจะไปรู้จักได้ยังไงกันเล่า’ ค่ะ จากนี้ไปถึงจะไม่รู้จักก็ช่วยแกล้งทำเป็นรู้จักไว้ก่อนนะคะ”

 

“อะ ค่ะ……”

 

ถึงจะผ่านแบบคาบเส้นก็ยังโดนเทศน์อยู่ดีเรอะ จะว่าไปแล้วเฮเลนาจะต้องทนฟังการเทศนาไปจนถึงเมื่อไหร่กันเนี่ย

จุดยืนมันกลับตารปัดกันโดยสมบูรณ์แล้ว

 

“ต่อจากนั้น หลังจากพูดคุยสัพเพเหระกันเล็กน้อย ท่านก็ถามไปว่าฝ่าบาทเคยมาที่ห้องของท่านมาริเอลหรือไม่ ใช่ไหมคะ?”

 

“ก ก็ใช่น่ะ……”

 

“เป็นหมากตาที่เลวร้ายที่สุดเลยค่ะ ท่านมาริเอลคงจะเดาได้แล้วล่ะค่ะ ว่าคืนนี้หรือไม่ก็ในเร็ววันนี้ฝ่าบาทจะเสด็จมาที่ห้องของท่านเฮเลนา”

 

“เอ๋!?”

 

ทำไมเป็นแบบนั้นไปได้ล่ะ

ทั้งที่พยายามถามอ้อม ๆ เพื่อไม่ให้คิดแบบนั้นแล้วแท้ ๆ

 

“ถ้าอยากจะรู้ว่าฝ่าบาทจะมาหรือไม่ แค่ถามนางกำนัลรับใช้ก็จะได้คำตอบแล้วล่ะค่ะ อย่างน้อยที่สุดหัวหน้านางกำนัลรับใช้ก็รับรู้ทั้งหมดว่าฝ่าบาทจะมาที่ห้องของใครเมื่อไหร่ นอกจากนี้ถ้าอยากจะรู้ว่าต้องทำยังไงบ้างเวลาต้อนรับฝ่าบาท แน่นอนว่านางกำนัลอย่างพวกเราทุกคนก็ย่อมรู้วิธีกันอยู่แล้ว การที่ข้ามขั้นไปถามกับท่านมาริเอลเลย…….เธอย่อมสามารถตัดสินได้ว่าคำถามนี้ต้องการคำตอบอย่างเร่งด่วนค่ะ”

 

“……ก ก็มันคืนนี้จริง ๆ นี่นา”

 

“และเมื่อเป็นเช่นนั้น เธอจึงมั่นใจแล้วว่าคืนนี้หรือเร็ว ๆ นี้ฝ่าบาทจะต้องเสด็จมาเยือนห้องของท่านเฮเลนาแน่ เพราะฉะนั้นเลยสอนวิธีการต้อนรับที่โกหกร้อยแปดเช่นนั้นให้กับท่านเฮเลนานั่นเองค่ะ”

 

“……เอ๋?”

 

วิธีต้อนรับจักรพรรดิที่ได้รับการสอนมา

ชำระล้างร่างกาย

ต้มน้ำชาเตรียมไว้ด้วยตัวเอง

รอคอยในชุดวาบหวิว

ถ้าจำไม่ผิดมันคือสามข้อนี้นี่นา

 

“ชำระล้างร่างกายนี่คือเรื่องธรรมดาค่ะ ที่บอกให้อาบน้ำก็ไม่ใช่เรื่องผิด”

 

“อ อืม นั่นสินะ”

 

“อีกสองข้อต่างหากที่เป็นปัญหาค่ะ ก่อนอื่นที่บอกให้เตรียมชาไว้น่ะ……การเสิร์ฟชาที่เย็นแล้วให้กับชายที่มาเยือนในยามค่ำคืนนั้นมีความหมายเดียวกับการไล่ให้กลับไปซะโดยไม่ต้องพูดออกมาค่ะ”

 

“เอ๊ะ!?”

 

ทำไมเสิร์ฟชาให้มันถึงกลายเป็น ‘กลับไปซะ’ ไปได้กัน

ไม่เข้าใจเลยสักนิดว่าเรื่องแบบนี้มันกลายเป็นสามัญสำนึกไปได้ยังไง

 

“ถ้าฝ่ายตรงข้ามเป็นคนที่เรามีใจด้วยล่ะก็ ธรรมดาแล้วควรจะรินสุราค่ะ เหมือนกับเป็นการบอกโดยนัยว่า ‘โปรดมัวเมาไปกับทั้งสุราและตัวฉันด้วยเถอะ’ ยังไงล่ะคะ ส่วนถ้าเสิร์ฟชาที่เย็นแล้วก็จะมีความหมายว่า ‘ฉันไม่ได้มีความรู้สึกเร่าร้อนให้กับคุณเลย’ ขืนเสิร์ฟชาที่เย็นแล้วให้กับฝ่าบาทล่ะก็……จะถูกสั่งตัดคอมันซะตรงนั้นก็ไม่น่าแปลกใจเลยนะคะ”

 

“……เอ๋—”

 

“ข้อสุดท้าย ชุดวาบหวิว……ที่ให้รอคอยทั้งชุดชั้นในน่ะ ถ้าคิดอย่างมีสามัญสำนึกหน่อยก็น่าจะรู้นะคะว่ามันแปลก หากฝ่าบาทจะเสด็จมาหา โดยสามัญสำนึกแล้วนางสนมควรจะรอคอยอย่างใสซื่อค่ะ ฝ่าบาทก็คงไม่ได้อยากเริ่มทำอะไรต่อมิอะไรในทันทีขนาดนั้น……ก่อนหน้านั้นย่อมต้องมีช่วงเวลาที่สนทนากันอย่างสงบเป็นธรรมดาค่ะ ขืนรอต้อนรับฝ่าบาทด้วยชุดวาบหวิวแบบนั้น จะโดนฝ่าบาทตำหนิว่าเป็นหญิงแพศยาก็ไม่แปลกเลย ที่ท่านมาริเอลบอกว่าตนเองเปลือยกายรอนั่นก็โกหกชัด ๆ เหมือนกันค่ะ เอาล่ะ จบแค่นี้แล้วค่ะ……ทีนี้เข้าใจหรือยังคะ?”

 

“……เอ๋?”

 

เฮเลนากำลังกุมขมับเพราะเริ่มไม่รู้จะเชื่อในอะไรดีแล้ว

แต่เมื่อได้ยินคำถามที่กระทันหันของอเลกเซีย เธอก็เงยหน้าขึ้นมาแบบงง ๆ

 

“เข้าใจแล้วหรือยังคะ?”

 

“……เรื่องอะไรรึ?”

 

“ในวังหลังนี้ วิธีการใช้ชีวิตของท่านเฮเลนามีแต่จะนำความตายมาสู่ตัวค่ะ อย่าคิดว่าจะสนิทสนมกับพระสนมคนอื่น ๆ เลยค่ะ สำหรับพวกเธอเหล่านั้นแล้วท่านเฮเลนาไม่ใช่มิตรแต่เป็นคู่ต่อสู้ที่ควรกดให้จมลงไปต่างหาก และเพื่อการนั้นแล้วก็จะไม่เลือกวิธีการใด ๆ ทั้งสิ้นด้วยค่ะ ราชสำนักเบื้องหน้าอาจเป็นรังของมารร้ายและวังวนแห่งเล่ห์เหลี่ยมกลโกง……แต่วังหลังแห่งนี้เป็นยิ่งกว่านั้น นี่คือแดนมารที่อัดแน่นไปด้วยความเกลียดชังของหญิงสาวค่ะ ได้โปรดอย่าลืมเลือนข้อนี้ไปนะคะ”

 

อเลกเซียยิ้มออกมาเหมือนในตอนแรก ทว่าแววตานั้นไม่ได้ยิ้มไปด้วยเลย

จากนั้นก็กล่าวต่อมาว่า

 

“นี่แหละค่ะคือวังหลัง ท่านเฮเลนา”

 

Comment

Options

not work with dark mode
Reset