(นิยายแปล) ตำนานวังหลังของพระชายาขาบู๊ – ตอนที่ 0 บทนำ

บทนำ

 

ท่ามกลางการรบที่วุ่นวาย มีขุนศึกผู้หนึ่งกำลังควบม้าไปอย่างสุดกำลัง

ขุนศึกผู้นั้นกวัดแกว่งขวานศึกด้ามยาวอยู่บนหลังม้าในสนามรบที่ปะปนไปทั้งมิตรและศัตรู คมขวานหั่นคอของทหารข้าศึกที่เข้ามาใกล้อย่างแม่นยำ และในบางครั้งก็ใช้พลังกล้ามเนื้อนั้นสับสะบั้นจนขาดกระจุยไปพร้อม ๆ กันทั้งคนทั้งเกราะ กลางสนามรบที่อื้ออึงไปด้วยเสียงร้องของโทสะกับเสียงโหยหวนแห่งความตาย แลตามองไปทางไหนก็มีแต่โลหิตที่ฟุ้งกระจายและซากศพนั้น ขุนศึกได้ควบอาชาทะยานไปอย่างเด็ดเดี่ยวราวกับเป็นร่างอวตารของเทพนักสู้ผู้ไร้เทียมทาน

 

“โอ้วว!”

 

ขุนศึกกู่ร้องขึ้นพลางบุกประชิดฐานที่มั่นของข้าศึกเข้าไปเรื่อย ๆ ราวกับแผ่นหลังนั้นกำลังออกคำสั่งว่า ‘จงตามข้าผู้เป็นแม่ทัพมา’ ทำให้มีเหล่าทหารที่เปี่ยมขวัญกำลังใจตามติดมาเป็นขบวน

กระบวนทัพที่เหนียวแน่นของข้าศึกค่อย ๆ แหลกสลายลงไปราวกับชีสที่ถูกหั่นด้วยมีด

ขุนศึกพุ่งทะยานไปราวกับศรดอกหนึ่ง และศรนั้นก็ได้มุ่งไปหยุดเผชิญหน้ากับชายร่างใหญ่ในเกราะอันเด่นสะดุดตาคนหนึ่ง

‘ฟู่ว’ ริมฝีปากงามภายใต้หมวกเหล็กพ่นลมหายใจออกมาหนึ่งคำเล็ก ๆ

 

“……เจ้าคงจะเป็นแม่ทัพของศัตรูสินะ”

 

“ถูกต้องแล้วล่ะ”

 

ชายผู้น่าจะเป็นแม่ทัพของศัตรูหัวเราะหึ ๆ

นับว่าการลอบโจมตีครั้งนี้สำเร็จอย่างงดงาม ในสถานที่อีกแห่งหนึ่งที่ห่างออกไปจากที่นี่กำลังมีการพุ่งรบของทหารจำนวนนับไม่ถ้วนอยู่ ซึ่งทั้งหมดนั้นคือแผนหลอกล่อภายใต้คำสั่งของ “ขุนศึกพยัคฆ์แดง” ผู้เป็นผู้บังคับบัญชาของขุนศึกผู้นี้ มันเป็นแผนเพื่อเปิดเส้นทางมายังฐานที่มั่นของศัตรู

 

ทัพของข้าศึกมีจำนวนมากกว่าทัพของเราเกือบเท่าตัว

 

คงจะเป็นการยากที่จะเอาชัยด้วยการรบปกติ ดังนั้น “ขุนศึกพยัคฆ์แดง” จึงใช้หน่วยของตนเองเป็นตัวล่อ และฝากให้ผู้ใต้บังคับบัญชาที่ไว้ใจได้ลอบโจมตีฐานที่มั่นของศัตรูนั่นเอง

เมื่อได้รับความไว้วางใจก็ย่อมต้องตอบสนองให้ได้

 

“ดูเหมือนข้าคนนี้จะติดกับเข้าแล้วสินะเนี่ย”

 

“ขอรับศีรษะนั่นไปก็แล้วกัน”

 

“อย่าคิดว่าจะเอาจะเอาศีรษะกลับไปได้โดยง่ายล่ะ ข้าคือยอดขุนศึกอันดับหนึ่งของราชอาณาจักรริฟาล นามว่า กาเซ็ต การิบัลดี! ตราบเท่าที่หัวข้ายังอยู่บนบ่าทัพของเราก็ยังไม่แพ้!”

 

ชายผู้นั้น หรือก็คือการิบัลดี คว้าง้าวอันใหญ่ยักษ์สมกับขนาดร่างกายของเขาขึ้นมาตั้งท่าเตรียมรับมือ

ขนาดของง้าวนั้นใหญ่โตขนาดที่ว่าต้องใช้ชายผู้ใหญ่ปกติสองคนช่วยกันถึงจะสามารถแบกได้ หรือถ้าเป็นคนที่มั่นใจในพลังของตัวเองหน่อยก็อาจสามารถใช้พลังทั้งหมดจึงจะยกมันขึ้นมา แต่ทั้งที่เป็นแบบนั้นการิบัลดีที่เรียกได้ว่าอยู่ในวัยกลางคนแล้วกลับสามารถใช้มันเป็นอาวุธได้แบบนี้ บอกตามตรงแล้วก็รู้สึกน่านับถืออยู่เหมือนกัน

ทว่าเมื่อได้พบกันในฐานะศัตรูเช่นนี้ก็ย่อมไม่มีความปราณี

 

“บอกนามมาสิ ขุนศึกของกันเกรฟเอ๋ย”

 

“สังกัดหน่วยที่หนึ่ง กองกำลังอัศวินพยัคฆ์แดง รองผู้บังคับบัญชา เฮเลนา เรลโนต”

 

“……แก เป็นสตรีรึ”

 

ผู้ที่ปรากฏออกมาจากใต้หมวกเหล็กคือหญิงงามที่ย้อมไปด้วยโลหิตของข้าศึก

เส้นผมสีทองที่ยาวถึงประมาณบ่าได้ล้นออกมาทางด้านหลังของหมวกเหล็กเล็กน้อย ส่วนที่สามารถเห็นได้จากช่องว่างของหมวกเหล็กที่ปิดลงมาถึงสันจมูกนั้นคือดวงตาที่หางงอนขึ้นนิด ๆ อีกทั้งริมฝีปากได้รูปกับสุ้มเสียงราวกับกระดิ่งที่ดังกังวาน แม้จะปกคลุมไว้ด้วยเครื่องประดับที่ดูป่าเถื่อนอย่างหมวกเหล็กก็ตามแต่ทั้งหมดนั้นก็ยังกล่าวได้ว่างดงาม

ภาพของเธอที่ทะยานไปบนหลังม้าและสั่งการเหล่าทหารนั้น ราวกับว่าเป็นสตรีศักดิ์สิทธิ์ผู้กอบกู้ดังที่ปรากฎในตำนานเล่าขานเลยก็ไม่ปาน

แต่ทว่า เมื่อได้ฟังการประกาศนามของขุนศึก หรือของเฮเลนาแล้ว การิบัลดีกลับหัวเราะเย้ยหยันออกมา

 

“จักรวรรดิกันเกรฟเองก็ตกต่ำไปมากทีเดียว ถึงกับให้สตรีมานำทัพเช่นนี้”

 

“ไม่จำเป็นต้องพูดอะไรกันไปมากกว่านี้แล้วกระมัง”

 

“เหอะ ถ้าอยากจะสู้กับข้าล่ะก็ อย่างน้อยก็ไปตามหนึ่งในแปดยอดขุนศึกที่น่าภาคภูมิใจของกันเกรฟมาเถอะ กะอีแค่รองหัวหน้าแถมยังเป็นสตรีเช่นนี้ หากข้าเอาศีรษะกลับไปคงจะโดนดูถูกเอา”

 

“งั้นก็ไม่ต้องต่อสู้ขัดขืนก็ได้ ศีรษะเหี่ยว ๆ ของแกข้าจะขอรับไปเอง”

 

เฮเลนาจ้องเขม็งใส่การิบัลดี และชี้ขวานศึกด้ามยาวเข้าใส่

ขวานนั้นถูกชโลมย้อมไปด้วยเลือดและไขมันของศัตรู และนั่นก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้การิบัลดีมีอารมณ์อยากสู้ขึ้นมา

 

“โฮ่……แม่หนู นี่เจ้าไม่รู้จักข้างั้นรึ”

 

“กะอีแค่ตาแก่จากประเทศกระจอกอย่างริฟาลน่ะข้าไม่รู้จักหรอก”

 

“……ปากมากแบบนี้ระวังจะตายเร็วนะนังหนู”

 

“จริง ๆ แล้วศีรษะเหี่ยว ๆ ขอคนแก่มันไม่ได้มีค่าอะไรนักหรอก แต่จะถือซะว่าช่วยสงเคราะห์ให้กับไอ้แก่ที่ขาลงโลงไปข้างหนึ่งแล้วก็แล้วกัน”

 

“หุบปากซะ นังหนูนี่!”

 

การิบัลดีคำรามพร้อมกับฟาดง้าวยักษ์เข้ามา นั่นเป็นการโจมตีที่หากรับเอาไว้ตรง ๆ ทั้งขวานศึก ทั้งคอของม้า และตัวของเฮเลนาเองก็คงจะขาดเป็นชิ้นไปพร้อม ๆ กัน

ทว่าเมื่อมาถึงขั้นนี้แล้วเธอก็ไม่มีความคิดที่จะหนีเลยแม้แต้น้อย ที่แนวหน้าสุดของการรบนั้นทหารของเรากำลังต่อสู้อย่างยากลำบากกับกองทัพของศัตรูที่มีมากกว่าเป็นเท่าตัว หากเอาศีรษะของการิบัลดีกลับไปจากที่นี่ไม่ได้ กองทัพของฝ่ายเราคงจะต้องแตกเป็นแน่

เพราะอย่างนั้นถึงได้มีคำสั่งให้เฮเลนามาเด็ดหัวของการิบัลดีไปซะ

การโจมตีด้วยง้าวที่ราวกับลมกระโชกอันบ้าคลั่งถูกเฮเลนาใช้ขวานศึกปัดป้องเอาไว้ได้

การโจมตีที่หากรับเข้าตรง ๆ อาวุธก็คงแหลกสลายนั้น เฮเลนากลับใช้การเคลื่อนไหวที่ซับซ้อนปัดให้มันไหลผ่านไป ใช้ประโยชน์จากทิศทางของแรง ทิศทางของคมอาวุธ และแรงเฉื่อยของการโจมตี ทำให้แรงต้านจากการโจมตีของการิบัลดีหายไป

ง้าวยักษ์ของการิบัลดีและพละกำลังที่มาจากร่างอันใหญ่โต เรียกได้ว่าเป็นเอกอุของสายแข็ง

ส่วนเฮเลนาก็รับการโจมตีเช่นนั้นไว้ครั้งแล้วครั้งเล่าแล้วปัดมันให้ผ่านไปราวกับสายน้ำที่ไหลผ่าน แม้จะเป็นเพียงหญิงสาวที่ยังเยาว์ แต่ภาพร่างนั้นก็กล่าวได้ว่าเป็นเอกอุของสายอ่อน

ทั้งเหล่าทหารในฐานที่มั่นและทหารที่ติดตามเฮเลนามาต่างก็กำลังมองดูการต่อสู้ที่ราวกับกำลังเต้นระบำกันนี้อยู่

 

“อึ่ก……!”

 

“ฮ่า!”

 

ทว่าด้วยกำลังพื้นฐานของเฮเลนาแล้ว การจะต้านรับการิบัลดีอย่างหมดจดนั้นแทบจะเป็นไปไม่ได้

แต่เริ่มเดิมที การที่เกิดสงครามกับราชอาณาจักรริฟาลนั้นก็เป็นเรื่องที่อยู่นอกเหนือความคาดหมายของจักรวรรดิกันเกรฟ เพราะกันเกรฟนั้นเป็นประเทศใหญ่จึงเต็มไปด้วยอริศัตรูมากมาย ต้องรับมือกับศึกสองทางจากทั้งจักรวรรดิอัลเมดาทางใต้ และพันธมิตรสามอาณาจักรทางเหนือ ทำให้กำลังรบเกือบทั้งหมดไปกระจุกอยู่ที่แนวหน้าทางเหนือและใต้

ในระหว่างนั้นเอง ราชอาณาจักรริฟาลที่อยู่ทางตะวันออกกลับบุกโจมตีอย่างกะทันหัน เกรงว่าน่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับจักรวรรดิอัลเมดาหรือไม่ก็พันธมิตรสามอาณาจักรแล้วกระมัง หากมองจากมุมของจักรวรรดิกันเกรฟแล้วนับว่าเลือกเวลาบุกมาได้แย่ที่สุดเลยทีเดียว

กำลังรบที่กันเกรฟส่งออกมารับมือกับทัพของริฟาลได้จึงมีเพียงแค่แปดพัน เป็นแค่ทัพต้องห้าม (ทัพองครักษ์) ที่ประจำอยู่ในเมืองหลวงเท่านั้น และคำว่าทัพต้องห้ามนี้ก็กลับมีดีแต่ชื่อ เนื่องจากพวกเขาประจำอยู่แต่ในเมืองหลวงจึงแทบไม่มีประสบการณ์สู้รบจริง ยิ่งไปกว่านั้นผู้บังคับบัญชาของทัพต้องห้ามยังเป็นขุนศึกชราที่เลิกปฏิบัติหน้าที่จริงมานานแล้วอีกต่างหาก

ไม่ว่าใครก็คิดว่าเมืองหลวงของกันเกรฟจะต้องแตกพ่ายอย่างแน่นอน ในบรรดาขุนนางที่ใจร้อนก็มีบางส่วนที่คิดหนีเอาชีวิตรอดไปยังประเทศอื่นแล้ว

 

ในตอนนั้นเอง หนึ่งในแปดยอดขุนศึกของกันเกรฟ “ขุนศึกพยัคฆ์แดง” กับเฮเลนาผู้เป็นรองผู้บังคับบัญชาก็ได้บังเอิญอยู่ที่เมืองหลวงพอดี จะเรียกว่าเป็นปาฏิหาริย์เลยก็ว่าได้

 

เฮเลนาคือขุนศึกที่ถูกนับให้เป็นมือขวาของ “ขุนศึกพยัคฆ์แดง” แม้ในตอนนี้ตำแหน่งแปดยอดขุนศึกจะเต็มอยู่ แต่ใคร ๆ ก็กล่าวกันว่าหากมีที่ว่างเพิ่มขึ้นมาอีกสักที่หนึ่งล่ะก็เฮเลนาจะต้องได้ตำแหน่งนั้นไปอย่างแน่นอน

เพราะอย่างนั้นเอง

 

“ตายซะเถอะนังหนู!”

 

เธอไม่มีทางมาตายในที่แบบนี้แน่ ๆ

 

การิบัลดีสับอาวุธลงมาจากด้านบน การโจมตีจากด้านบนเช่นนี้ย่อมไม่อาจปัดให้ไหลออกไปได้เนื่องจากติดพื้นดินที่อยู่เบื้องล่าง

ตอนนั้นเอง เฮเลนาก็ได้ใช้ขวานศึกรับมันเอาไว้ตรง ๆ แล้วปล่อยมือออกทั้งอย่างนั้น

 

“อะไรกัน!?”

 

แรงที่ปล่อยออกมามากเกินไปถูกแรงที่หย่อนยานลงอย่างกะทันหันทำให้เสียกระบวน การิบัลดีจึงเสียหลัก และเนื่องจากง้าวอันใหญ่ยักษ์ของเขาทำให้ความพยายามที่จะตั้งหลักอีกครั้งนั้นเกิดเป็นช่องโหว่ขึ้นมาชั่วขณะ

แน่นอนว่าเฮเลนาย่อมไม่ปล่อยให้ช่องโหว่เช่นนั้นหลุดมือไป

 

“ฮ่า!”

 

หลังจากที่ทิ้งขวานศึกไปแล้วมือขวาของเธอยังว่างเปล่า เธอใช้มือนั้นชักดาบที่เอวออกมา ขาออกคำสั่งไปยังม้าให้เข้าประชิดตัวการิบัลดีทั้งแบบนั้น

ออกแรงไปตามธรรมชาติ สะบั้นศีรษะของการิบัลดีออกจากบ่า

ช่างเป็นจุดจบอันแสนสั้นเหลือเกินสำหรับขุนศึกผู้ได้ชื่อว่าเป็นดั่งตัวแทนของริฟาล

 

จากนั้นเฮเลนาก็ลงจากหลังม้าแล้วคว้าศีรษะของการิบัลดีขึ้นมา

 

“ทุกคน! ส่งเสียงฉลองชัยชนะกันหน่อย!”

 

เธอประกาศจุดสิ้นสุดของการต่อสู้พร้อมกับชัยชนะของฝ่ายตน

 

Comment

Options

not work with dark mode
Reset