[นิยายแปล] Hell mode – ตอนที่ 115 หาตี้จร 1

บทที่ 5 หาตี้จร 1

                พวกอเลนทั้ง 4 คนพอผ่านดันเจี้ยนระดับ C แห่งแรก ได้ไปเปลี่ยนตรานักผจญภัยที่กิลด์ให้เป็นนักผจญภัยระดับ D

                เนื่องจากผ่านดันเจี้ยนแล้ว เลยมีกิจวัตรลงไปที่ชั้นล่างสุดวันละครั้ง แน่นอนว่าต่อให้วันที่มีเรียนก็ลงชั้นล่างสุดเหมือนกัน

                บอสชั้นล่างสุดของดันเจี้ยนจะโผล่ใหม่ทุกๆ เที่ยงคืน ดาบเหล็กที่ได้มาจากบอสชั้นล่างสุดครั้งแรกขายได้ 2 เหรียญทอง

                เพราะอาศัยอยู่ 4 คนถือเป็นแหล่งรายได้ที่ล้ำค่า ถึงจะไม่ได้ใช้สุรุ่ยสุร่าย แต่อาหาร 3 มื้อที่กินข้างนอกมันค่อนข้างใช้เงินเยอะอยู่ แถมคุเรนะกินจุมาก และจะไม่เผื่อสำหรับค่าเล่าเรียนก็ไม่ได้

                ตามปกติหินเวทที่ได้จากในดันเจี้ยนจะเป็นของอเลน ส่วนรางวัลปราบบอสชั้นล่างสุดจะเป็นเงินค่าใช้จ่ายประจำวันของ 4 คน

                พอปราบบอสชั้นล่างสุด จะได้ของรางวัลที่ขายได้ประมาณ 1 – 2 เหรียญทอง ของรางวัลมีทั้งอาวุธ, เครื่องป้องกัน ยาฟื้นฟูต่างๆ ทำให้คิดว่ามันสุ่มค่อนข้างมาก

                ถ้าหากผ่านดันเจี้ยนระดับ C แห่งที่ 2 ได้แล้วละก็ น่าจะพอโควต้าอยู่

                จากฐานที่พวกอเลนอาศัยอยู่ ถ้าเดิน 15 นาทีจะมีดันเจี้ยนระดับ C 3 แห่ง, ดันเจี้ยระดับ B 2 แห่ง และดันเจี้ยนระดับ A 1 แห่ง รวมทั้งสิ้น 6 ดันเจี้ยน

                เลยพูดคุยว่าหลังจากนี้จะเพิ่มดันเจี้ยนที่ผ่านได้เพื่อเพิ่มจำนวนบอสชั้นล่างสุดที่จะล่าเป็นกิจวัตรประจำวัน

                ทุกคนเห็นด้วยกับแผนการนี้ ซึ่งเซซิลออกความเห็นเพิ่มอีกอย่าง

                เธอบอกว่าบ้านหลังนี้กว้างมากน่าจะจ้างคนมาช่วยงานบ้าน เลยแนะนำว่าควรจะจ้างแม่บ้านหรือเมดมาช่วยทำความสะอาด

                ตอนนี้ทั้ง 4 คนอาศัยอยู่ในบ้านใหญ่สำหรับ 20 คน แน่นอนว่ามีห้องที่ว่างและไม่ต้องทำความสะอาดอยู่เยอะ แต่ชั้น 1 ตรงส่วนที่ใช้งานร่วมกัน, ห้องน้ำ หรือพวกห้องครัว ทุกคนรวมไปถึงเซซิลต้องช่วยกันทำความสะอาด

                หลังจากนี้ ถ้ากิจวัตรประจำวันในการล่าบอสชั้นล่างสุดเพิ่มเป็น 4 หรือ 5 แห่งแล้วละก็ คงไม่มีเวลาว่างพอจะมาทำความสะอาดฐานได้เลย ต่อให้จ้างก็ต้องจ่ายค่าจ้าง 3 เหรียญทองต่อเดือน

                อเลนเองก็คิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ และบอกว่าถ้าการผ่านดันเจี้ยนคืบหน้าค่อยมาคิดกันอีกที ทำให้จบการพูดคุยแต่เพียงเท่านี้

                หลังจากผ่านดันเจี้ยนแรกไป 2 สัปดาห์ ก็เข้าสู่ต้นเดือนพฤษภาคม

                ตั้งแต่วันนี้จะต้องเรียน 4 วันที่โรงเรียน

                ห้องเรียนนี้จะนั่งตรงไหนก็ได้ ซึ่งที่นั่งส่วนใหญ่นักเรียนจะเลือกกันเอง อเลนนั่งข้างหน้าต่างเพราะต้องการใช้พลังเวทระหว่างคาบเรียนเพื่อเปลี่ยนหินเวทระดับ D หนึ่งหมื่นก้อนที่ได้มาจากกิลด์นักผจญภัยเป็นผลพลังเวท

                ถึงสร้างและผสมจะสามารถทำในห้องเรียนได้ แต่การจะเรียกสัตว์อัญเชิญพืช D เพื่อเปลี่ยนเป็นผลพลังเวท ยังไงก็ต้องทำบนพื้นดิน โดยจะแหล้งทำเป็นมองนอกหน้าต่าง และหาพื้นดินในระยะ 50 เมตรที่คนสังเกตเห็นได้ยาก ทำการสร้างผลพลังเวท เสร็จแล้วค่อยให้สัตว์อัญเชิญนก G คาบมาเก็บที่สมุดเวทมนตร์

                “หวัดดีอเลน”

                “หวัดดีริโฟล”

                พอนั่งลง นักเรียนที่นั่งอยู่ด้านหน้าก็หันมาทักทาย คนที่ชอบมานั่งหน้าอเลนเป็นเด็กหนุ่มรูปร่างบอบบางชื่อว่าริโฟล

                ถึงภายนอกจะดูบอบบาง แต่เป็นลูกของเคานต์ที่ไหนสักแห่ง แถมบอกว่าพ่อเป็นนายพลด้วย อเลนที่พบแหล่งข้อมูลของสนามรบจะเข้ามาทักทายเพื่อเป็นการผูกสัมพันธ์ในแบบของเพื่อนร่วมห้อง

                แต่ที่ริโฟลเข้าหาไม่ใช่เพราะตัวอเลน แต่น่าจะหมายตายอดนักดาบคุเรนะอยู่ พอเขาเห็นความสัมพันธ์ของอเลนกับคุเรนะ คงตัดสินใจว่าเข้ามาคุยกับอเลนน่าจะเป็นความคิดที่ดีกว่า

                อเลนคิดว่าความสัมพันธ์ที่มีผลประโยชน์ร่วมกันก็เป็นเรื่องที่ดี

                “อเลนรู้หรือยัง?”

                “หือ?”

                “ดูเหมือนเดือนหน้ายอดนักดาบโดเบิร์กจะมาสอนให้ด้วย แถมครั้งนี้น่าจะมาพร้อมกับผู้กล้า”

                (โอ๊ะ! ยอดนักดาบโดเบิร์กจะมาสอนเหรอ แถมผู้กล้าจะมาจากราชอาณาจักรทั้งที่เพิ่งผ่านการสอบเข้าไม่ถึง 2 เดือนเนี่ยนะ ว่างงั้นเหรอ? ไม่สิ ไม่น่าใช่อย่างนั้น)

                ไม่ได้ต่อสู้กับกองทัพจอมมารเป็นประจำ ป้อมปราการเองก็ไม่ได้ถูกโจมตีตลอด 24 ชั่วโมงด้วย ช่วงนี้จอมมารจะมาโจมตีป้อมปราการปีละ 1 ครั้ง แถมจากผลงานหลายปีของผู้กล้าทำให้จำนวนมอนสเตอร์ลดลงไปมาก กลายเป็น 2 – 3 ปีถึงจะมาโจมตีสักครั้ง

                แล้วพูดคุยกันเกี่ยวกับว่าผู้กล้าล่ามอนสเตอร์ไปมากขนาดไหน

                ผู้กล้ากับยอดนักดาบโดเบิร์กที่ได้ชื่อว่าแข็งแกร่งที่สุดในราชอาณาจักจะมาสอนที่โรงเรียน เพราะเรือเหาะเวทมนตร์ทำให้เดินทางไปมาได้อย่างสะดวก แถมยังบอกกันว่าสอนนักเรียนอย่างอบอุ่น เพื่อที่จะได้รับความนิยมจากโรงเรียนเลยเป็นธณรมเนียมแล้วว่าจะให้วีรบุรุษไปชี้แนะแก่นักเรียนเข้าใหม่

                (เวลาอย่างนี้ก็สะดวกดีนะเนี่ย ฉันเองเข้าร่วมคาบเรียนด้วยดีกว่า)

                อเลนเข้าร่วมคาบเรียนไหนก็ได้ ในระหว่างที่คิดว่าได้ฟังข้อมูลที่ล้ำค่าจากริโฟลลูกนายพล ครูประจำชั้นก็เดินเข้ามาในห้องเรียน

                คาบโฮมรูมก่อนเริ่มเรียนคาบเช้า

                “โอ้ว จะมาบอกข่าว ตั้งใจฟังกันหน่อย”

                เขาที่เหมือนครูพละ บอกว่าวันนี้มีเรื่องจะแจ้งให้ทราบ แล้วก็

                “นี่ พวกเธอเข้าเรียนมา 1 เดือนแล้ว สนิทกับทุกคนในห้องหรือยัง?”

                เหล่านักเรียนตกตะลึงกับคำถามที่ไม่ค่อยเข้าใจความหมาย

                “คิดว่าน่าจะมีนักเรียนบางคนรู้อยู่แล้ว แต่ช่วงวันหยุดฤดูร้อนของเดือนสิงหาคมและกันยายน มีการบ้านที่จะต้องผ่านดันเจี้ยนให้ได้”

                (หือ?)

                “จะผ่านดันเจี้ยนไหนก็ได้ แต่คนที่ไม่สามารถผ่านระหว่างวันหยุดฤดูร้อนจะถูกไล่ออกจากโรงเรียน”

                ได้ยินเสียงของเด็กผู้หญิงพูดเบาๆออกมาว่า “อะไรกัน”

                “ขอพูดเงื่อนไขการผ่านดันเจี้ยนก่อน จะไปชวนนักเรียนปี 1 ของห้องอื่นก็ได้ แต่ให้อยู่ภายใน 8 คน แต่ห้ามจ้างนักผจญภัยที่อยู่นอกโรงเรียน หรือให้นักเรียนปี 2 มาช่วยโดยเด็ดขาด ต่อให้ไม่ถูกต้องแต่จะมีข้อมูลเหลืออยู่ในตรานักผจญภัย คนที่พบว่าทำไม่ถูกต้องจะโดนไล่ออกเหมือนกัน”

                เหล่านักเรียนพอได้ยินคำว่าไล่ออกก็เซ็งแซ่กันมากขึ้น ซึ่งภายในนั้นมีคนที่สงบอยู่ น่าจะรู้อยู่แล้วว่านักเรียนปี 1 มีการบ้านวันหยุดฤดูร้อน

                “อ้อ ปีที่แล้ว มีราวๆ 20 คนที่เสียชีวิตในดันเจี้ยนช่วงวันหยุดฤดูร้อนซะด้วยสิ ตั้งใจไปตรวจสอบกันก่อนด้วย”

                จากเสียงเซ็งแซ่เปลี่ยนมาเป็นเสียงกรีดร้อง ดูเหมือนครูประจำชั้นจะไม่บอกเรื่องโครงสร้างของดันเจี้ยน หรือระดับความยากเลยสักนิด สุดท้ายคงอยากให้นักเรียนมารวมตัวเพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลกันเอง

                (อ้อ มันเป็นอย่างนี้นี่เอง)

                ในระหว่างที่ทุกคนกำลังโหวกเหวกกันอยู่ อเลนก็คิดออกแล้วว่าทำไมถึงพูดเรื่องเกี่ยวกับให้ผ่านดันเจี้ยน

                สิ่งนั้น อาจจะเพื่อส่งนักเรียนคนอื่นนอกจากขุนนางไปยังสนามรบ

                คิดเอาไว้แล้วตั้งแต่หนึ่งเดือนก่อนหน้านี้ ที่บอกว่าไม่จำเป็นต้องพูดให้เกียรติกับนักเรียนด้วยกัน อเลนเองเลิกพูดท่านนำหน้าเซซิลแล้ว ซึ่งทุกคนเองก็น่าจะเลิกเช่นกัน

                ที่ไม่ต้องพูดให้เกียรติเพื่อจะให้ขุนนางและประชาชนผ่านเป้าหมายที่ยากอย่างราบรื่น ปีหน้ากับปีถัดไปน่าจะมีการบ้านเหมือนกัน แล้วปีหน้าเหล่านักเรียนจะได้เรียนเกี่ยวกับประวัติศาสตร์จอมมาร พวกพ้องที่ร่วมกินข้าวหม้อเดียวกันต้องไปรับราชการทหารและต้องทนกับการทดสอบที่ยากลำบากซึ่งอาจจะเสียชีวิตก็เป็นได้

                ที่ต้องรับหน้าที่มีแค่ขุนนาง เพื่อนไม่จำเป็นต้องไปต่อสู้ด้วยก็ได้ ที่ให้ไปผ่านดันเจี้ยน 8 คนอาจจะเพราะอย่างนี้หรือเปล่า บางทีจุดมุ่งหมายของโรงเรียนที่ก่อตั้งโดยพันธมิตร 5 ทวีป อาจจะต้องการให้ขุนนาง 1 คน พาประชาชน 7 คนไปสนามรบด้วย

                ขุนนางที่จบการศึกษาแค่ปีละ 300 คน จะพาประชาชนที่เป็นข้ารับใช้, นักผจญภัยและทหารรับจ้างที่มีพรสวรรค์จำนวนมากกว่าหลายเท่าไปด้วย แล้วจากที่ไปสนามรบแค่ 300 คนจะกลายเป็นจำนวนหลายพันคน

                “โอ้ววววว!!!”

                “ในระหว่างที่คิดอย่างนั้น มีผู้ชายคนหนึ่งยืนขึ้น ทำให้ทุกคนทำหน้าสงสัยว่าจะทำอะไร

                “ฉันเฮกเตอร์! เปิดรับสมัครคนที่จะไปผ่านดันเจี้ยนด้วยกัน!! มีนักดาบ, ผู้ใช้หอก, ผู้ใช้ขวานบ้างหรือเปล่า!! ถ้าครบ 8 คนแล้วจะปิดรับสมัคร!!!”

                ชายร่างใหญ่ที่ชื่อเฮกเตอร์เริ่มเปิดรับสมัครหาพวก ทำให้มีใครสักคนบอกว่า “ขอเข้าร่วมด้วยสิ!” พอคนอื่นเห็นอย่างนั้นก็เริ่มเปิดรับสมัครด้วย

                (กะแล้วเชียวว่าครูประจำชั้นไม่ห้าม)

                ครูประจำชั้นต้องให้ยกมือก่อนถึงจะยอมให้พูด กอดอกและไม่ห้ามปรามในสถานการณ์เช่นนี้

                (นี่เป็นเปิดหาตี้จรเลยนี่)

                รู้สึกเดจาวูกับสถานการณ์อึกทึกจากการเปิดหาพวกบ้าง หรือตอบรับคำหาพวกบ้าง

                เป็นภาพที่อเลนสมัยยังเป็นเคนอิจิเห็นอยู่บ่อยๆ ในเกมออนไลน์มีบ่อยครั้งที่ต้องหาพรรคพวกไปทำการล่า ยังจำได้ดีเลยว่าพยายามพิมพ์แชทแทบตายเพื่อหาพรรคพวกเนี่ย

                โลกของเกมออนไลน์ มีระบบเพิ่มเพื่อนเป็นปกติอยู่แล้ว ถ้าพบคนที่เข้ากันได้ก็บันทึกเป็นเพื่อนเอาไว้ ดังนั้นตอนไปล่าก็ไปล่ากับเพื่อนพวกนี้

                แต่มีบ้างที่เปิดรับสมัครหาเพื่อนเพื่อไปล่าช่วงเวลาสั้นๆอย่าง เก็บไอเทมชิ้นเดียว หรือล่าครั้งเดียว สิ่งนี้เรียกว่า หาตี้จร ซึ่งบางเกมเรียกว่าตี้ด่วน

                สิ่งนั้นกำลังเกิดขึ้นต่อหน้า

                (ไม่ไหวๆ มือสมัครเล่นก็งี้แหละ เดี๋ยวจะแสดงพลังของฉันที่ตะโกนหาตี้จรวันละ 2 ชั่วโมงให้ดู จงดูแล้วรู้ซึ้งซะว่าหาตี้จรมันคืออะไร)

                อเลนค่อยๆยืนขึ้น

[นิยายแปล] Hell mode

[นิยายแปล] Hell mode

Artist: ,
อ่านนิยาย Hell modeยามาดะ เคนอิจิ พนักงานกินเงินเดือน อายุ 35 ปี ผู้ชื่นชอบเกมที่ต้องฟาร์มหนักๆ ตอนนี้กำลังสิ้นหวังกับยุคที่เกมเล่นผ่านง่ายๆกำลังเป็นที่แพร่หลาย ระหว่างนั้นเองที่เขาโดนเว็บไซต์หนึ่งที่เขียนว่า "สำหรับผู้ชื่นชอบการฟาร์มอย่างคุณ" ทำให้ไปเกิดใหม่ในต่างระดับเฮลโหมด ป.ล. 1 แปลจากเว็บโนเวล ถ้าไม่เหมือนฉบับรุปเล่มต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย ป.ล. 2 การอัพขึ้นอยู่กับเวลาว่างจากการทำงาน อย่าคาดหวังมาก(แต่จะพยายามอัพเรื่อยๆถ้าแปลเสร็จ

Options

not work with dark mode
Reset