[นิยายแปล] Keiken Zumi na Kimi to, Keiken Zerona Ore ga, Otsukiai Suru Hanashi. – ตอนที่ 14 คนที่ชอบ

ผมจ้องมองดูคุโรเสะซังเพื่อสังเกตุดูว่าเธอกำลังอำกันเล่นอยู่รึเปล่า?

แต่เธอกลับจ้องมองมาที่ผมด้วยใบหน้าขุ่นเคือง

 

“เธอกำลังโกหกอยู่สินะ? ก็แบบ…..”

 

ก็ไม่ว่าจะภายนอกหรือภายในก็ไม่เห็นจะคล้ายกันเลยสักนิด

เรื่องความน่ารัก มันก็น่ารักพอๆกันทั้งคู่แต่ก็……….เมื่อผมมัวแต่คิดถึงเรื่องนั้นคุโรเสะซังก็ยิ้มออกมาราวกับชิงชังตนเอง

 

“พวกเราดูไม่เห็นจะดูเหมือนกันเลยสักนิดใช่ไหมล่ะ? เพราะพวกเราเป็นพี่น้องฝาแฝดกัน ตัวชั้นเหมือนกับทางฝั่งคุณพ่อมากกว่า ส่วนยัยผู้หญิงคนนั้นเหมือนทางฝั่งคุณแม่มากกว่า”

“…….เป็นเรื่องจริงงั้นเหรอครับ?……….”

“ชั้นก็ไม่ได้อยากที่จะมาโกหกนายกะอีเรื่องน่ารังเกียจพรรค์นี้หรอกนะยะ!! ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าตัวชั้นจะมีสายเลือดเดียวกันกับยัยร่านนั้นน่ะ!!”

“แต่ว่านามสกุล……..”

“พ่อแม่ของพวกเราหย่ากันตอนที่พวกเราอยู่ชั้น ป.5 แล้วตัวชั้นก็ได้เปลี่ยนไปใช้นามสกุลของคุณแม่แทนส่วนยัยผู้หญิงคนนั้นก็ยังคงใช้นามสกุลเดิมอยู่ นั่นก็คือนามสกุลของคุณพ่อ แล้วตัวชั้นก็พึ่งได้เริ่มเข้ามาเรียนที่โรงเรียนเดียวกันกับคาชิมะคุงในช่วง ม.ต้น เพราะอย่างนั้นนายก็คงจะไม่เคยรู้จักชั้นในตอนที่ชั้นเป็น ‘ชิราคาวะ มาเรีย’ อยู่แล้ว แล้วตอนที่ชั้นย้ายไปที่บ้านของแม่ ชั้นก็ต้องย้ายโรงเรียนด้วยก็เลยไม่มีใครรู้จักชั้นในตอนที่ชั้นเป็น ‘ชิราคาวะ มาเรีย’ เลย”

 

พอฟังที่เธอเล่ามา ผมก็เริ่มรู้สึกว่ามันเริ่มที่จะสมเหตุสมผลแล้วสิ

ระหว่างที่เราได้เรียนอยู่ห้องเดียวกัน ผมก็ได้ยินข่าวลือว่าคุณแม่ของคุโรเสะซังเธอเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยว มันก็มีนักเรียนบางคนมี่มีคุณแม่ที่เป็นแม่เลี้ยงเดี่ยวเหมือนกัน ผมก็เลยคิดว่ามันไม่ใช่เรื่องพิเศษอะไร

 

แล้วก็ถ้าผมจำไม่ผิดนอกจากที่อาศัยอยู่กับคุณแม่ของเธอแล้ว เธอก็อาศัยอยู่กับคุณตาคุณยายด้วยเพราะมันเกี่ยวข้องกับผู้หญิงที่ผมเคยชอบ เพราะงั้นตอนนี้ผมก็ยังคงจำเรื่องนี้ได้ดี

และคุโรเสะซังเธอก็ย้ายโรงเรียนไปเมื่อเราขึ้น ม.2 ถึงผมจะได้อยู่คนละห้องกันกับเธอแต่ก็บังเอิญได้ยินเพื่อนร่วมห้องของเธอพูดถึงแม่ของเธอว่าแม่ของคุโรเสะซังกำลังจะได้แต่งงานใหม่และเธอก็กำลังจะย้ายไปอาศัยอยู่ที่ชิบะเพราะพ่อใหม่ของเธอ

 

“…..หะ?”

 

แต่พอมาลองคิดดูดีๆนามสกุลของเธอก็ยังคงเป็น ‘คุโรเสะ’ ที่ผมเคยรู้จักอยู่เลยนี่นา

ตัวผมนั้นพยายามไม่คิดถึงเรื่องของคุโรเสะซังให้มากจนเกินไป เพราะแบบนั้นถึงไม่เคยได้คิดสงสัยถึงเรื่องนี้เลยจนถึงตอนนี้

 

“แม่ของชั้นพึ่งแยกทางกันกับพ่อใหม่เมื่อเดือนก่อนน่ะ………นั่นก็เลยเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมชั้นถึงได้กลับไปใช้นามสกุลของคุณตาเหมือนเดิม”

 

คุโรเสะซังบอกผมราวกับว่าเธอรู้ว่าผมกำลังคิดอะไรอยู่แล้วผมก็จ้องเขม็งเธออีกครั้ง

 

“เธอคือ……น้องสาวของชิราคาวะซังจริงๆอย่างนั้นเหรอ?”

“ก็อย่างที่บอกไง ว่าใช่น่ะ!!”

 

คุโรเสะซังพึมพัมออกมาอย่างไม่เต็มใจนักและในขณะนั้นผมก็นึกขึ้นได้

[ชั้นมีบางอย่างที่จะบอกกับริวโตะน่ะ]

นี่อาจจะเป็น….สิ่งที่เธอกำลังจะบอกผมเมื่อตอนก่อนหน้านี้ก็ได้

นอกจากนี้ที่เธอเคยพูดถึงครอบครัวของเธอเองเมื่อก่อนหน้านี้เองก็

[แต่ก็ดีแล้วนะครับที่เธอกับคุณพี่สาวไม่ได้แยกจากกันน่ะ]

[เอ๊ะ?]

และใบหน้าประหลาดใจของชิราคาวะซังในตอนนั้น

[อื้ม ใช่ ชั้นก็ว่างั้นแหละ]

และท่าทางที่ดูไม่เหมือนตัวเธอเองหลังจากนั้นคงเป็นเพราะเธอกำลังคิดถึงเรื่องของคุโรเสะซังแน่ๆ

 

“คุณพี่สาวคนโตและชิราคาวะซังได้ไปอยู่กับคุณพ่อ ส่วนเธอก็ได้ไปอยู่กับคุณแม่สินะครับ?”

 

พอผมถามเธอคุโรเสะซังก็กัดริมฝีปากของตัวเอง

 

“…..ชั้นน่ะ…….จริงๆแล้วอยากจะอยู่กับคุณพ่อ………..”

 

แล้วก็เป็นอีกครั้งที่น้ำตาของเธอเอ่อล้นออกมาและหลังจากนั้นน้ำตาหนึ่งหยดก็หยดลงมาจากดวงตาข้างหนึ่งของเธอซึมเข้าไปในกระโปรงของเธอเอง

 

“ชั้นกับลูน่าพวกเราต่างรักคุณพ่อเหมือนกันทั้งคู่ แต่พวกเราคนใดคนหนึ่งต้องออกจากบ้านนี้เพื่อไปอยู่กับคุณแม่ ส่วนพี่สาวคนโตของชั้นก็เรียนจบ ม.6 เรียบร้อยแล้วและก็หางานทำได้แล้วก็เลยบอกว่าเธอจะทำอะไรก็ตามใจชอบ แต่พวกเราน่ะยังคงต้องการความช่วยเหลือและเงินจากพ่อแม่ของพวกเราอยู่ พ่อแม่ของพวกเราก็พูดคุยตกลงกันและก็ดูเหมือนว่าผลตัดสินจะลงเอยออกมาเป็นอย่างนี้”

 

เธอเล่าให้ผมฟังอย่างนั้นแล้วคุโรเสะซังก็ปาดน้ำตาพร้อมกับสูดจมูกสะอึกสะอื้น

 

“ชั้นน่ะอยากจะอยู่กับคุณพ่อแต่ว่า……..คนที่พ่อเลือกก็คือลูน่า……..”

 

ใบหน้าของคุโรเสะซังก็บิดเบี้ยวพร้อมกับน้ำตาไหลเป็นทาง

 

“ลูน่าน่ะเธอเก่งเรื่องการทำให้คนอื่นมาคอยโอ๋เธออยู่ตลอดเวลา ทุกๆคนในครอบครัวก็พากันสนใจแต่เธอกันหมดและคุณพ่อเองก็รักลูน่ามากกว่าชั้นด้วย……..”

 

ใบหน้าของเธอขณะที่เธอกำลังพูดไปด้วยนั้นเต็มไปด้วยความโศกเศร้าที่มิอาจควบคุมมันได้อีกต่อไป

 

“เพราะว่าชั้นเป็นเด็กเงียบๆ……..ชั้นก็เลยถ่ายทอดความรู้สึกออกไปได้ไม่เก่งแล้วก็ยังห่วยแตกเรื่องที่จะทำให้คนอื่นมาชอบตัวชั้นเองด้วย ตอนนั้นชั้นก็เลยคิดว่าชั้นจะต้องเปลี่ยนตัวเอง”

 

คุโรเสะซังก้มหน้ามองลงด้วยสีหน้าที่กำลังครุ่นคิดอยู่

 

“ถ้าเกิดว่าเธอไม่เป็นที่รักล่ะก็ เธอก็จะไม่มีวันมีความสุข เธอจะต้องเป็นที่หนึ่ง เพราะถ้าเธอไม่ใช่ที่หนึ่ง เธอก็จะไม่ถูกเลือก”

 

เปลือกตาของเธอบวมเป่งแถมปลายจมูกของเธอก็แดงและขนตาของเธอก็เปียกชุ่มไปหมด………ถึงแม้ว่าจะอยู่ในสภาพนั้น คุโรเสะซังก็น่ารักอย่างที่ปฏิเสธไม่ได้เลยจริงๆ

นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมผมถึงได้รู้สึกถ้าจะทิ้งเธอแล้วไปจากที่นี้ แต่จริงๆไม่ใช่เพราะเหตุผลเพียงแค่นั้นแต่มันเป็นเพราะผมเริ่มรู้สึกสงสารเธอมากขึ้นเรื่อยๆแล้วต่างหากล่ะ

 

“หรือว่าบางที…….เพราะว่าเธอต้องการที่จะเลื่อยขาเก้าอี้ของคนที่เป็นที่ชื่นชอบที่สุดในห้องเรียนเรา เธอถึงได้เริ่มแพร่ข่าวลือเสียๆหายๆเกี่ยวกับชิราคาวะซังอย่างนั้นเหรอ?”

 

เมื่อได้ยินคำถามของผมคุโรเสะซังก็พยักหน้าเบาๆ

 

“เป็นอย่างนี้เองหรอกเหรอ…….”

 

ถึงแม้ว่าจะอยู่ในสถานการณ์

แบบนี้ผมก็ไม่คิดว่าสิ่งที่เธอทำลงไปมันจะเป็นเรื่องที่ยอมรับได้หรอกนะ แต่ยังไงซะผมก็รู้สึกว่าถ้าหากผมปล่อยเบลอให้เรื่องนี้ให้เป็นไปตามยถากรรมแล้วล่ะก็ คุโรเสะซังก็คงจะไม่รอดแน่ๆ

คุโรเสะซังที่ผมตกหลุมรักสมัยตอนที่เรียนอยู่ ม.1 กับตอนนี้เธอดูเหมือนคนละคนกันเลย

แต่ผมก็รู้สึกว่าตัวเธอในปัจจุบันที่อยู่ตรงหน้าผมเนี่ยแหละเหมือนจะเป็นตัวตนที่แท้จริงของคุโรเสะซังมากกว่า

เธอคงไม่เคยเล่าเรื่องนี้ให้ใครฟังมาก่อน ด้วยเหตุนี้ก็เลยตั้งเป้าที่จะทำให้ทุกๆคนหันมาชอบเธอ เธอก็เลยไม่ได้เผยไต๋ด้านแย่ๆของเธอออกมาเลยแบบนั้นรึเปล่านะ?

และในกรณีนั้นเองผมก็รู้สึกว่าผมคงต้องพูดอะไรสักอย่างกับเธอ

กับเธอที่กำลังเผยโฉมหน้าที่แท้จริงของเธอเองออกมาที่นี่และเดี๋ยวนี้

อะไรสักอย่างที่เธอจะสามารถสะท้อนออกมาจากก้นบึ้งของหัวใจของตัวเธอเอง

และนั่นก็จะเป็นต้นตอสำหรับความคิดของเธอในอนาคต

 

“…..แล้วเธอเคยถามออกไปไหมครับว่าทำไมคุณพ่อของเธอถึงได้เลือกชิราคาวะซังน่ะ?”

 

เมื่อผมถามเธอคุโรเสะซังก็พยักหน้าเบาๆ

 

“ชั้นเคยถามไปแล้ว แต่พวกเขาก็เอาแต่บอกว่ามันคือสิ่งที่คนเป็นพ่อแม่ต้องพูดคุยและตัดสินใจกันเองและชั้นก็ไม่ได้รู้เรื่องราวอะไรเพิ่มเติมอีกเลย”

 

จากนั้นเธอก็หรี่ตาลงราวกับว่ากำลังอารมณ์บูดบึ้ง

 

“แต่ถึงอย่างนั้น เรื่องนั้นชั้นเองก็พอจะรู้อยู่แล้วต่อให้ชั้นจะไม่เอ่ยปากถามออกไปก็ตามทีเถอะ เพราะคุณพ่อกับคุณแม่น่ะสนใจลูน่ามากกว่าชั้น พวกเขาก็พากันแย่งลูน่ากันนั่นแหละ”

“ไอ้เรื่องแบบนั้น……”

 

ไม่จริงเลยสักนิดแต่ว่าในฐานะของคนนอกผมก็ไม่รู้ว่าผมจะพูดได้รึเปล่า?

 

“…….พ่อแม่ของเธอน่ะ…..ทั้งคู่เองก็คงจะคิดมากและคำนึงถึงสถานการณ์อะไรหลายๆอย่าง เพราะงั้นผมก็คิดว่าที่พ่อของเธอเลือกชิราคาวะซังน่ะไม่ใช่เพราะแค่ว่าชิราคาวะซังน่ารักกว่าหรอกนะครับ”

“…………………………..”

 

คุโรเสะซังจ้องมองหน้าตักของตัวเองขณะที่กำลังทำสีหน้าที่เริ่มไม่มั่นใจขึ้นมา

 

“อีกอย่างวิธีการของคุโรเสะซังน่ะมันผิดครับ”

 

พอได้ยินคำพูดของผม คุโรเสะซังก็เงยหน้าขึ้นมาและมองมาที่ผมด้วยดวงตาที่อยากจะพูดว่า

 

“นายกำลังพูดถึงอะไร?”

“ก็เข้าใจความรู้สึกของคุโรเสะซังที่ต้องการที่จะเป็นผู้หญิงที่เป็นที่รักให้มากที่สุดนะครับ

แต่ก็…………เธอต้องการที่จะถูกเลือกให้เป็นคนพิเศษของพ่อของเธอเองใช่ไหมล่ะครับ? แล้วถ้าเป็นแบบนั้นแล้วจะทำเรื่องพวกนี้ไปเพื่ออะไรกันล่ะครับ?”

 

ใบหน้าของคุโรเสะซังดูประหลาดใจราวกับว่าเธอพึ่งรู้สึกตัวถึงอะไรบางอย่าง

 

“ที่คุโรเสะไม่ได้คบกับใคร เพราะว่าเธอไม่ได้ชอบใครเลยใช่ไหมล่ะครับ? ผมก็เลยสงสัยว่าการที่ถูกชอบโดยคนที่เธอไม่ได้ชอบเลยสักนิดน่ะ……..มันรักษาแผลใจจากการที่เธอไม่ได้ถูกเลือกให้เป็นคนพิเศษของคุณพ่อของเธออย่างนั้นเหรอครับ?

 

คุโรเสะซังก้มหน้าลงไปพร้อมกับกัดริมฝีปากตัวเอง

ตัวเธอดูเหมือนกับกำลังกัดฟันและขจัดความรู้สึกที่มีอยู่ในใจของเธอเอง

 

“จากนี้ไป แทนที่จะตั้งเป้าให้เป็นที่ชื่นชอบของทุกๆคน ผมคิดว่ามันคงจะดีกว่าถ้าคุโรเสะซังพยายามตั้งเป้าที่จะเป็นผู้หญิงที่ใครสักคนรักนะครับ…….โดยที่ผู้ชายคนนั้นสักวันหนึ่งเธออาจจะได้เจอกับเขาและก็ชอบเขาขึ้นมาจริงๆก็ได้”

“…………………………..”

 

หลังจากนิ่งเงียบไปแล้วก้มหน้ามองลงไปครู่หนึ่ง

คุโรเสะซังก็ลืมตาขึ้นแล้วเหลือบมองมาทางนี้พร้อมกับทำหน้าบึ้ง

 

“อย่างนายจะไปรู้อะไร……….”

“ผมไม่รู้อะไรหรอกครับแต่……..ผมมีความรู้สึกว่าคุโรเสะซังน่ะคล้ายกันกับผมน่ะครับ”

“หา!?”

“ขะ-ขอโทษครับ!………แต่ยังไงก็ช่วยฟังผมก่อนได้ไหมครับ?”

 

แม้ว่าคุโรเสะซังจะดูหงุดหงิดรำคาญแต่ผมก็พูดต่อ

 

“ชิราคาวะซังน่ะคือ…….เธอไม่ได้ทำตัวเหมือนว่ากำลังพยายามจะให้ทุกคนมาชอบเธอครับ เธอแค่พูดในสิ่งที่เธอคิดและทำมันออกมาอย่างเป็นธรรมชาติและจะยังไงก็ตามทีเธอเป็นคนที่สามารถสร้างความประทับใจดีๆให้กับผู้คนมากมายได้ด้วยการทำแบบนั้นครับ ผมคิดว่ามันไม่ใช่แค่เพราะหน้าตาของเธอหรอกนะแต่มันเป็นเพราะบุคลิกและแรงจูงใจโดยธรรมชาติแต่กำเนิดของตัวเธอเองต่างหากล่ะครับ”

 

เมื่อผมมองดูชิราคาวะซัง ผมก็มักจะแปลกใจว่าตัวเธอจะแตกต่างจากตัวผมสักแค่ไหนกันนะ? ผมคิดว่ามันคือสิ่งที่เรียกกันว่า ‘คุณธรรมส่วนบุคคล’ ล่ะนะ

 

“คุโรเสะซังน่ะบางที……..คงเป็นคนประเภทที่คิดว่าคนอื่นจะมองเธอยังไงถ้าเกิดว่าเธอพูดอะไรบางอย่างออกไป และพยายามคิดอย่างถี่ถ้วนก่อนจะพูดเพราะว่าเธอใส่ใจว่าคนอื่นจะมองยังไงใช่ไหมล่ะครับ? เรื่องนั้นผมเองก็เหมือนกันครับ”

 

และนั่นแหละถึงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมผมถึงคิดแบบนี้

 

“ถ้าคนแบบนั้นทำสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ พยายามที่จะเป็นเหมือนกับชิราคาวะซัง พวกเขาก็ต้องพยายามทำให้ดีที่สุดแบบนั้นต่อไปเรื่อยๆ ผมคิดว่าแบบนั้นมันคงจะเจ็บปวดน่าดูเลยนะครับ”

 

ผมไม่สามารถเข้าใจมันได้เลยไม่ว่าจะด้วยวิธีไหนก็ตาม แต่คุโรเสะซังต้องคิดมากเกี่ยวกับเรื่องของชิราคาวะซังแน่ๆ ทั้งๆที่พวกพวกเธอก็ไม่ได้อยู่ห่างไกลอะไรกันเลย

 

“อย่างนายจะไป……..”

“แต่ว่าเธอรู้อะไรไหมครับ”

 

ผมขัดจังหวะคุโรเสะซังที่กำลังจะสวนกลับและชิงพูดต่อ

 

“ผมคิดว่ามันก็มีคนมากมายบนโลกใบนี้ที่ชอบคนอย่างคุโรเสะซังมากกว่าชิราคาวะซังนะครับ”

 

คุโรเสะซังเงียบปากของเธอด้วยใบหน้าที่ประหลาดใจ

 

“ถ้าเธอสามารถที่จะหาคนที่เธอชอบในบรรดาผู้คนเหล่านี้ได้ล่ะก็ ผมคิดว่าคุโรเสะซังเองก็คงจะมีความสุขได้นะครับ”

 

คุโรเสะซังนิ่งเงียบไม่พูดไม่จาไปครู่หนึ่ง

 

“แล้วถ้าเกิดว่าเธอเองก็เชื่อในเรื่องนั้นล่ะก็………ผมก็อยากให้เธอไปขอโทษชิราคาวะซังสำหรับสิ่งที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ครับ”

 

คุโรเสะซังยังคงเงียบต่อไป ขณะที่ผมกำลังจะพูดอะไรมากกว่านี้เธอก็มองมาแล้วก็พูดขึ้นมาว่า

 

“……ชั้นเข้าใจแล้ว เพราะงั้นปล่อยให้ชั้นอยู่คนเดียวเถอะ……..”

 

น้ำเสียงของเธอเศร้าๆ เหมือนกับว่าเธอกำลังรู้สึกหดหู่ขั้นสุด

นั่นก็เลยเป็นเหตุผลที่ผมไม่สามารถที่จะพาตัวเองเดินจากไปได้

 

“คุโรเสะซัง………”

“อะไรล่ะ? นายกำลังพยายามที่จะปลอบชั้นอยู่รึไง?”

 

พอพูดอย่างนั้นคุโรเสะซังก็เงยหน้าขึ้นมามองผมด้วยรอยยิ้มที่น่ารังเกียจ

 

“เลิกทีเหอะ นายไม่ได้ชอบชั้นเลยด้วยซ้ำ คนที่นายควรไปปลอบไม่ใช่ลูน่ารึยังไง?”

“แต่…….”

“เอาเถอะน่า!! ชั้นไม่ได้หดหู่อะไรมากจนถึงขั้นที่ต้องให้แฟนของยัยลูน่ามาปลอบชั้นหรอกนะ!! ไปซะ!!”

“…………….”

 

แบบนี้ขืนพยายามที่จะคุยกับเธอต่อคงจะโดนเธอต่อต้านอีกแหงๆ

ด้วยความคิดแบบนั้นผมจึงหันหลังกลับไปอย่างไม่ค่อยเต็มใจนักแล้วก็เดินออกจากสถานที่ตรงนั้น

คุโรเสะซังที่ถูกทอดทิ้งให้อยู่คนเดียวตามลำพังตรงบันไดที่ว่างเปล่าแล้วเธอก็กอดเข่าของเธอเองพร้อมกับบ่นพึมพัมออกมาว่า

 

“…..แล้วแบบนี้ชั้นก็คงจะไม่มีความสุขอีกครั้งแล้วสินะ….เพราะในบรรดาคนหลายต่อหลายคน ชั้นเองก็ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าชั้นจะรู้สึกแบบนี้กับผู้ชายที่ชอบยัยผู้หญิงคนนั้นอย่างสุดหัวใจเลยน่ะ……..”

 

ใบหน้าของเธอบูดบึ้งและแก้มของเธอก็เปลี่ยนเป็นสีแดงหน่อยๆ

 

“ถ้าหากว่าชั้นไม่ใช่คนที่นายชอบแล้วล่ะก็……..ชั้นก็ขอให้นายอย่าได้มาแคร์อะไรชั้นอีกเลยนะ…”

Comment

Options

not work with dark mode
Reset