[นิยายแปล] Overlimit Skill Holder – Only A Reincarnator Can Possess The Skill That Exceeds The Limit – ตอนที่ 0

อารัมภบท

มันมีอุโมงค์เล็กๆแห่งหนึ่งที่มีเพียงแค่เด็กเท่านั้นที่เข้าได้แม้ว่าเสื้อของเด็กคนนั้นจะขูดกับกำแพงเลยก็ตาม พวกคนเหมืองเรียกมันว่า “รูแรคคูน”

ผมกำลังนั้งพักผ่อนและดื่มน้ำจากขวดของผม ข้่างๆผมมีกระเป๋าของผมเองที่อยู่ในสภาพขาดหลุดลุ้ย หลังจากนั้นผมได้ยินเสียงตะโกนออกมาจากรูแรคคูน

「ชั้นเจอหินสกิลแล้ว!」

「เท่านี้ก็ครบกำหนดของวันนี้แล้ว!」ผมยืนขี้นพร้อมตะโกนกลับไปยังรู

ในรูนั้นไม่ได้มืดอย่างที่คิด กำแพงรอบๆนั้นเรืองแสงซีดๆออกมาด้วยพลังบางอย่าง นี้คงจะเป็นลักษณะของที่ๆเรียกกันว่า “ดันเจี้ยน” สถานที่ที่มีมอนสเตอร์ปรากฎตัวออกมา แต่ดันเจี้ยนที่ผมกับลาคอยู่นั้นแตกต่างจากที่อื่นๆ มันเป็น1ในดันเจี้ยนที่มีเพียง8ที่บนโลกที่สามารถหาสกิลได้

「เป็นอะไรไปหรอ ลาค?」

ผมไม่ได้ยินเสียงตอบกลับจึงมุดหัวลงไปในรูแล้วถามเธอ ลาคนั้นอายุมากกว่าผม3ปีและเป็นคนที่มีอายุน้อยที่สุดในเหมืองก่อนที่ผมจะถูกขายมายังเหมืองนี้เมื่อ3ปีก่อน

ดังนั้น เธอมักจะชอบทำตัวเหมือนเป็น”พี่สาว”ของผม

ทว่ามันก็… ไม่ได้รู้สึกแย่เท่าไหร่นะ ก่อนที่ผมจะมาที่นี้ ผมนั้นทั้งจนและอ่อนแอ อาหารที่ผมมีอันน้อยนิดก็มักจะถูกขโมยไป ดังนั้น ตอนรี้ผมจึงดีใจที่มี”พี่สาว”ลาคคอยช่วยดูแลผม ยังไงก็ตาม ไม่ใช่แค่ผมไม่ได้รับอาหารอะไรเลย แม้แต่ชื่อผมก็ไม่มี

ลาคจะเป็นคนนำผมในตอนที่เราทำงานบ่อยๆ และเพราะเธอเป็น”พี่สาว” เธอมักจะแบ่งบางส่วนจากขนมปังของเธอให้ผมแล้วบอกว่าผมควรกินเยอะๆจะได้โตๆ อืม มันก็จริงละนะที่ผมนั้นค่อนของเตี้ยเพราะขาดสารอาหาร

ยังไงก็ตาม ลาคน่าจะออกมาจากรูแรคคูนในตอนที่เราครบกำหนด”หินสกิล10อันต่อวัน”แล้วสิ

แต่ว่าเธอก็ยังไม่ออกมา

「แย่ละ หรือว่าเธอโดนมอนสเตอร์เล่นงาน?!」

ผมสันหลังวาบไปทั้งหลัง

ที่นี้เป็นเหมืองที่มีสกิลฝังอยู่ เพราะงั้น มีเพียงนักพจญภัยและทาสสำหรับขุดเหมืองไม่กี่คนที่ได้รับอนุญาตให้เข้า แต่ก็ไม่ได้มีแค่พวกเราที่อยู้ข้างล่างนี้ พวกมอนสเตอร์ก็อยู่ข้างล่างนี้กันกับเราด้วย

เด็กๆอย่างพวกเราถูกสั่งให้ขุดหินสกิลในรูแรคคูนนี้ ไม่ใช้แค่เพราะว่าพื้นที่ไม่พอสำหรับผู้ใหญ่ แต่รวมถึงเพราะว่าพวกมอนสเตอร์นั้นโผล่ออกมาน้อยด้วย

แต่ “โผล่ออกมาน้อย” ก็ใช่ว่าจะไม่โผล่ออกมา ในอดีต มันก็มีกรณีที่มีมอนสเตอร์ประเภททากโจมตีและละลายเด็กที่อยู่ในรูแรคคูนที่มีแต่ทางตัน

「ผะ-ผมจะไปช่วยเดียวนี้แหล่ะ!」

ในตอนที่ผมนึกถึงเรื่องนั้นขึ้นมาได้ ผมก็รีบคว้าสิ่วที่ห้องอยู่ตรงเอวผม แล้วพุ่งตัวด้านบนของผมเข้าไปในรูแรคคูน ผมแทรกตัวเข้าไปในรู

พวกเราทาสสำหรับขุดเหมืองนั้นได้รับอนุญาตให้พกอาวุธได้ มันดูจะไม่มีปัญหาที่ทาสจะพกอาวุธ เพราะทาสนั้นไม่สามารถขัดขีนเจ้านายได้เพราะเวทมนตร์ทาส ยังไงก็เถอะ อาวุธที่จะให้เด็กอย่างพวกเราใช้ก็มีแค่มีดบิ่นๆ1เล่ม และ”พี่สาว”ลาคก็ไม่มีทางจะให้มีดเล่มนั้นกับผมอยู่แล้ว

เพราะแบบนี้ สิ่วก็คือทั้งหมดที่ผมมี ถึงยังงั้น สิ่วก็สามารถเป็นอาวุธได้ มันสามารถตัดหินได้ ดังนั้นมันก็น่าจะควักลูกตาของก็อบลินได้ ถึงผมจะไม่เคยเจอก็อบลินก็เถอะ

(พื้นสั่นไหว)

อยู่ๆผมก็รู้สึกถึงการสั่นของพื้นด้านล่าง ในตอนนั้นใจผมตกลงไปยังตาตุ่มเลย

แต่ผมก็ทิ้งลาคไปไม่ได้

「ผมจะไปช่วยเดี่ยวนี้แหล– ห่ะ?!」

ขณะที่ผมมุดตัวไปตามรูด้วยมือและเข่าของผม อยู่ๆก็มีบางสิ่งนุ่มๆโดนหน้าผม

「นี้! นายมาทำอะไรในนี้เนี้ย?!」

「ฟหดๆไเกดหกหฟด…(ผมกำลังมาช่วยพี่)」

หน้าผมฝังลงไปตรงก้นของเธอ

「ยะ-อย่าพูดสิยะเจ้าบ้า มันจักจี้นะ… อะ-ฮะๆๆๆๆ!」

ลาคเริ่มหัวเราะออกมาเพราะรู้สึกจักจี้พร้อมทั้งสะบัดขาไปมา ขาข้างนึงของเธอโดนเข้ากับกรามของผมส่งให้หัวของผมกระแทกเข้ากับเพดานของรูแรคคูน

================================================================

「โทษทีๆ เจ้าน้องชาย」

「…」

「แต่นายเองก็ผิดนะ ทำไมถึงมุดเข้ามาในตอนที่ชั้นยังอยู่ข้างในกันยะ?」

「ก็เพราะว่าพี่ไม่ตอบกลับเลยนี้นา!」

「โทษทีๆ พอดีชั้นจดจ่ออยู่กับหินสกิลอยู่หน่ะ」

พวกเราออกมาจากรูแรคคูนและกำลังมุ่งหน้าไปยังทางออกของเหมือง

ลาคที่เดินข้างๆผมนั้น เธอสูงกว่าผมนิดหน่อย มีผมสีบอร์นยาวที่มัดกันอยู่ด้านหลัง เธอมีดวงจาสีม่วงส่องประกายแสดงถึงความซุกซน ใต้จมูกแหลมเล็กของเธอมีริมฟีปากอันเล็กๆที่ไม่เคยจะหยุดพูดเลย

บางครั้งที่เราเจอกับนักพจญภัย พวกเขามักจะร้อง”โว้ว!”ออกมาเวลาเห็นลาค บางทีเธอคงจะเป็นประเภทที่โตไปต้องสง่างามแน่เลย ถึงแม้ผมเองจะไม่แน่ใจก็เถอะ เพราะทาสขุดเหมืองอย่างพวกเรานั้นถูก”ตอน”ไปแล้วก็เถอะ ในความหมายทางเวทมนตร์อ่ะนะ เพราะเวทย์พันธสัญญามันจะไปกดอารมณ์พวกนั้นเอาไว้นะสิ

…เห้ เจ้าน้องชาย นายรู้จักคำซับข้อนเกินอายุของนายแบบนั้นได้ยังไง? นายไปเรียนมาจากไหนหน่ะ? ลาคเคยถามผมอย่างนั้น เธอผมก็ตอบเธอได้แค่ว่าผมเองก็ไม่รู้ ผมก็ไม่ได้โกหกเรื่องอายุตัวเองหรืออะไรหรอกนะ ผมนะเป็นเด็กอัจฉริยะอายุ10ขวบนะ

ทางในเหมืองแตกแขนงอย่างกับต้นไม้เลยละ กำแพงนั้นขรุขระแต่พื้นผิวรอบๆนั้นทั้งชื้นและหยึยๆ หินสกิลที่พวกเราขุดนั้นก็พุดออกมาจากพวกนั้นเหมือนฟองอากาศเลย

จากที่พูดถึงเมื่อกี้ เนื่องจากทางมันแตกแขนงเหมือนต้นไม้ ถ้าเราเดินไปตามทางที่กว้างที่สุดก็จะไปถึงทางเข้าเหมืองได้ ถึงยังงั้น วิธีนี้ใช้ได้กับแค่”ชั้นบน”ที่พวกเราอยู่กันแค่นั้นแหล่ะ ในขณะที่”ชั้นกลาง”กับ”ชั้นล่าง”นั้นเห็นว่าแต่ละชั้นนั้นเค้าโครงต่างกันโดยสิ้นเชิงเลย พวกมอนสเตอร์ส่วนใหญ่ก็จะอยู่แถวๆชั้นพวกนั้น ดังนั้นทั้งนักพจญภัยและคนเหมืองที่เป็นอดีตนักพจญภัยมักจะลงไปข้างล่างกัน และแน่นอนว่าหินสกิลที่พบในชั้นล่างๆจะมีประสิทธิภาพมากกว่าของชั้นบนๆ

「จดจ่องั้นหรอ?? เอาเถอะ ก็รู้นะว่าหินสกิลมันสวย แต่พวกเราก็เห็นมันทุกวันจนผมชินแล้วนะ」

มันมีหินสกิล9ก้อนอยู่ในกระเป๋าของผม มีตั้งแต่สีแดง,ฟ้า,เหลือง,ฯลฯ แต่ละอันใหญ่กว่ากำปั้นผมถึง2เท่า

ผมนึกถึงหินสกิลแต่ละอันที่พวกเราเจอ

หนึ่งในนั้นมีสีแดงจางๆ มีแสงเปล่งออกมาจากข้างใน และมีคำสลักอยู่ข้างใน ー ー【เสริมกำลังขา★】

หลายวันก่อน เราก็พบอันหายากด้วย หินสีฟ้าที่ไม่ค่อยจะได้เจอ ー【เวทย์ไฟ★★】

ผมก็เริ่มรู้สึกสงสัยว่าลาคเจออะไรในวันนี้

「นายพูดว่าชินแล้วงั้นหรอ? นี้ละน้าทำไมนายถึงน่าผิดหวังหน่ะ เจ้าน้องชาย」

「หยุดทำตัวหยิ่งแล้วบอกมาเถอะหน่า พี่เจอเข้ากับหิน3ดาวหรอ?」

ยิ่งมีดาวเยอะเท่าไหร่ หินสกิลนั้นก็จะยิ่งเป็นของหายากขึ้นเรื่อยๆ จากความรู้ที่ผมมี โอกาศที่จะเจอหิน2ดาวเท่ากับ1ใน100ก้อน ไม่ต้องพูดถึงหิน3ดาวที่เจอจาก1ใน1000ก้อนเลย แต่โอกาศเจอพวกมันในชั้นกลางกับชั้นล่างก็ต่างจากชั้นบนอยู่

ผมเคยเห็นหิน3ดาวอยู่ครั้งนึง หิน3ดาวจะส่องแสงจ้ากว่าหิน1ดาวมาก ยิ่งพูดก็ยิ่งทำให้หิน1ดาวดูด้อยค่าไปเลยแต่ว่าหิน3ดาวหน่ะขายได้ในราคาที่สูงมากๆเลยหล่ะ เอาเถอะ ราคาขายก็ไม่ใช้อะไรที่ทาสอย่างผมควรรู้อยู่แล้ว

「มันไม่ใช่อะไรขี้ปะติ๋วอย่าง3ดาวหรอกนะเจ้าน้องชาย เอาเถอะถ้านายอยากจะดูจริงๆละก็ จะเอาให้ดูก็ได้นะ」

「ไม่ละ ไม่เป็นไร ยังไงเราก็ต้องเอาทั้งหมดให้คนตรวจสอบตรงหน้าทางเข้าอยู่แล้ว」

หินสกิลทั้งหมดที่ขุดโดยทาสจะถูกยึดตรงทางเข้า และพวกเขาจะตรวจดูว่าครบตามเป้าที่กำหนดไว้หรือปล่าว

「อุ๊กก.. นายนี้น่าเบื่อจริงๆเลย!」

「ถึงพูดยังงั้นมันก็ไม่ได้ช่วยอะไรหรอกนะ」

「แต่นายไม่อยากจะเห็นมันจริงๆหรอ? จริงๆนายเองก็อยากจะเห็นใช่ไหมละ?」

「ก็ได้ๆ ผมอยากเห็นมัน ดังนั้นหยุดเอาสนับมือของพี่มาจี้ขมับของผมได้แล้ว โอะ-โอ้ย-โอ้ยๆๆๆ!」

「พลิ้ว… ต้องซื่อสัตย์อย่างงี้สิเจ้าน้องชาย」

หลังจากนั้นลาคก็หยิบ มัน ออกมาจากกระเป๋าที่คาดอยู่ตรงเอวของเธอ

ในวินาทีนั้นผมก็คิดแค่ว่าหินที่ลาคเจออย่างมากสุดก็น่าจะเป็นหิน4ดาวโคตรหายากเท่านั้น

ถึงอย่างงั้นมันก็ยังทำให้ผมรู้สึกตกใจอยู่ดี

「โว้ววว!」

ผมรีบหันหน้าหลบทันทีเพราะว่าแสงที่เปล่งออกมานั้นมันจ้าเกินไป

แสงที่เปล่งออกมาเป็นสีรุ้ง สว่างขนาดที่หิน3ดาวดูเป็นเรื่องตลกไปเลย

「หิน4ดาวหรอ? มันวิบวับมากเลย」

ยิ่งไปกว่านั้นสีของแสงนั้นเป็นสีรุ้ง ซึ่งเป็นเครื่องหมายว่าหินสกิลนี้เป็น”ยูนีคสกิล”

「จะบ้าหรือไงยะเจ้าน้อยชาย นายคืดว่าแสงแบบนี้เป็นแค่หิน4ดาวงั้นหรอ? จะบอกให้ว่านี้คือ…」

ลาคกระซิบที่ข้างหูผม

ーหิน6ดาว เจ้าน้องชาย

ผมไม่อาจเก็บความดีใจไว้ได้เลย ทั้งความตื้นเต้น ทั้งแรงปราถนาภายในที่ควรจะถูกสะกดไว้

และตรงกลางของแสงอันแพรวพราวนั้น มีคำๆนี้ปรากฎอยู่ー

【ราชันแห่งเงา★★★★★★】

================================================================

ตรงทางเข้าของเหมืองจะมีลักษณะเป็นถ้ำขนาดใหญ่ มีบ้านไม้หลายหลังถูกสร้างอยู่บริเวณนั้น หลักๆบริเวณบนพิ้นก็จะเป็นที่พักและสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับนักพจญภัย สำหรับคนเหมืองจะอยู่บริเวณขอบของถ้ำ ทั้งยังถูกสร้างเป็นแนวตั้งตึดนึบไปกับกำแพง

บันไดไม้เล็กๆที่ไม่มีราวจับถูกฝังไปกับกำแพง ถ้าได้เห็นก็จะรู้ว่าตรงนี้ไม่ได้อยู่ในบริเวณของดันเจี้ยน เพราะว่ากำแพงของดันเจี้ยนมักจะเรืองแสงอยู่ตลอดเวลา ทั้งยังซ่อมแซมตัวเองได้ต่างจากกำแพงตรงนี้ เสาไม้ที่ยึดอยู่กับกำแพงก็อยู่มานานหลายปีหรืออาจจะนานยิ่งกว่านั้นก็ได้ บางครั้งมันก็ทำให้ผมกังวลและกลัวว่ามันจะหักเมื่อไหล่จนผมไม่กล้าปีนขึ้นไปเลย ดังนั้นผมเลยพยายามไม่คิดถึงมันมากนัก

เนื่องจากบนเพดานของถ้ำาเป็นรูขนาดใหญ่ ทำให้พวกเรารู้เวลากลางวันกลางคืนรวมถึงฝนด้วยละนะ ถึงอย่างงั้น “บ้านบนกำแพง”ก็ไม่ได้สร้างบนพื้นอยู่แล้ว ถึงตกลงมาก็ไม่เปลียกง่ายๆหรอก

(พื้นสั่นไหว)

เอาอีกแล้ว ผมรู้สึกถึงแผ่นดินไหวอีกแล้ว ช่วงนี้ผมรู้สึกว่าจะรู้สึกถึงมันบ่อยขึ้น แต่เหล่าคนเหมืองก็ไม่มีใครสนใจ พวกเขาบอกว่ามันก็เกิดขึ้นเป็นประจำและเราจะมาหยุดงานด้วยเรื่องแค่นี้ไม่ได้หรอก อืม ผมว่าพวกเขาก็พูดถูกนะ

「แรงสั่นสะเทือนมันลดลงนะ…」

「นี้เจ้าน้องชาย มัวยืนทำอะไรอยู่ละ? ไปกันได้แล้ว」

ผมกับลาคทำความสะอากตัวของพวกเราด้วยผ้าเปียกหลังเสร็จงานวันนี้ ก่อนจะมุ่งหน้าไปยังโรงอาหาร

โรงอาหารนั้นสร้างอยู่บนพื้นไม่ใช่บนกำแพง คงเป็นเพราะมันจำเป็นต้องใช้ไฟละมั้ง หรืออาจจะเพราะต้องการพื้นที่เยอะก็ได้ ในโรงอาหารนั้นทั้งยาวและแคบ โต๊ะกับเก้าอี้วางเรียงกันอย่างกระจัดกระจาย มีควันออกจากหม้อที่มีอยู่เต็มโรงอาหารอย่างไม่ขาดสาย

มันฝรั่ง, แครอท, หัวหอม, และก็เนื้อเกรตต่ำถูกต้มเอาไว้พร้อมกับเกลือ นอกจากนี้ก็ยังมีขนมปัง แต่ว่าขนมปังนั้นอบด้วยเตาเก่าๆที่บางครั้งทำเอาขนมปังไหม้เป็นสีดำเลย เอาเถอะ เหมือนว่าวันนี้จะไม่มีปัญหานะ

พวกอาหารส่วนใหญ่จะเป็นพืชแบบหัวเพราะมันเก็บไว้ได้นาน นานๆทีเราถึงจะมีพืชอื่นๆบ้าง พวกนั้นมันไม่ค่อยเป็นที่นิยมสำหรับพวกคนเหมือง แต่ผมชอบพวกมันนะเพราะผมจะได้รับสารอาหารมากมายจากพวกมันยังไงละ

「เจ้าทำได้ดีมากเลยลาค! ยินดีด้วยนะ!」

「เธอทำมันได้ เพื่อฉลองวันนี้ชั้นจะเพิ่มเนื้อให้เป็นพิเศษเลยนะ」

「ในที่สุดเธอก็จะได้ออกไปจากที่นี้แล้ว! ยินดีด้วยนะ!」

ลาคขอบคุณเหล้าคนเหมืองแบบเหมือนไม่ใจว่าพวกเขายินดีกับตัวเธอเองหรือคนอื่นกันแน่

ข่าวที่ลาคนำหินสกิล6ดาว 【ราชันแห่งเงา★★★★★★】กลับมาแพร่สะพัดไปทั่วทั้งเหมือง

「เจ้าตัวเล็กจังนะเจ้าหนู เอ้ากินเยอะๆจะได้โตๆ」

มีชายร่างกายกำยำลูบหัวผมจากด้านหลัง

「ผมก็เติบโตมาอย่างดีแล้วแต่ก็ขอบคุณครับ」ผมตอบเขาที่กำลังยิ้มร่าด้วยเสียงเบาๆ แต่ดูเหมือนเขาจะไม่ได้ยิน คงเพราะในโรงอาหารตอนนี้เสียงดังกันมากจนอยากจะเอามือปิดหูเลย

「โอ้ หนูน้อย เธอต้องกินให้เยอะๆนะ นี่มาเดี่ยวป้าแถมเนื้อให้เป็นพิเศษเลยนะ」

มันก็เป็นเรื่องปกติไปแล้วที่ผมจะได้เนื้อเพิ่มนิดหน่อยจากป้าแม่ครัว และแน่นอนว่าป้าเองก็มีรอยสักที่แขน ก็เพราะว่าทุกคนที่นี้เป็นทาสนี้นา

ผมรับถ้วยไม้ที่ใส่อาหารของผมกับช้อนเหล็กแล้วกลับไปยังโรงอาหารกับลาค

ปกติโต็ะจะถูกใช้เพียงแปปเดียวและยุ่งยากเกิยไปสำหรับผู้ใหญ่จะใช้ มันจึงเหมาะกับพวกเรา

「ถูกคนพูดถึงแต่พี่แหน่ะ พี่ลาค ก็พี่เจอหินสกิล6ดาวเลยนี้นะ เท่านี้พี่ก็จะถูกปลดจากการเป็นทาสแล้วละ」

พวกเราเป็นทาส แต่พวกเราก็ได้รับค่าจ้างตามงานที่เราทำ ค่าจ้างจะขึ้นอยู่กับจำนวนดาวที่เราเจอ เมื่อถึงจุดๆหนึ่ง ก็สามารถถูกปลดจากการเป็นทาสและกลายเป็นคนธรรมดาที่สามารถออกจากเหมืองที่ทั้งมืด,ชื้น,และอันตรายแห่งนี้ได้

แน่นอนว่าผมคงจะคิดถึงลาคมากแน่หลังจากที่เธอออกไปแล้ว แต่… เหล่าคนเหมืองที่นี้ทุกคนก็มีสถานะเหมือนกันหมด – สถานะทาส – และทุกคนมักจะค่อยช่วยเหลือกันและกันอยู่แล้ว ไม่ได้มีแค่ทาสแบบที่ถูกขายมาเหมือนผมเท่านั้น ยังมีทาสอาชญากรรมที่ถูกส่งมาชดใช้โทษที่นี้ด้วย ถึงยังงั้นผู้คนที่นี้ก็เป็นมิตรถึงขนาดที่ในบางครั้งผมยังสังสัยเลยว่าพวกเขาได้ก่ออาชญากรรมจริงๆรึปล่าว ลายสักสีฟ้าที่ดูเหมือนกำไลข้อมือนั้นแสดงถึงความเป็นทาส ถ้ามี2วงจะแสดงว่าเป็นทาสอาชญากรรม ลาคกับผมมีแค่วงเดียว ทาสประมาณครึ่งนึงที่อยู่ที่นี้เป็นทาสอาชญากรรม

ผมก็คงไม่เป็นไรหรอกหากลาคออกไปจากที่นี้

ถ้ามองไปรอบๆโรงอาหารอันแสนจะหนวกหูนี้ มีแค่ลาคกับผมเท่านั้นที่ลงไปในรูแรคคูนได้ ถ้าลาคจากไปผมก็ตรงลงไปในรูเพียงคนเดียว มันก็ค่อนข้างน่ากลัวอยู่นะ แต่ได้แรงพลักดันที่จะออกไปจากที่นี้ในสักวัน รวมถึงวันที่จะมีเด็กที่อายุน้อยยิ่งกว่าผมถูกส่งเข้ามา มันก็คงจะน่าสงสารแย่ถ้าไม่มีเด็กที่อายุไล่เลี่ยกันอยู่ด้วย

「ผมคิดว่าต่อให้พี่ลาคไม่อยู่แล้วผมก็คงไม่เป็นไรหรอก ดูกล้ามพวกนี้สิ」

ผมพยายามเบ่งกล้ามให้ดู หืมมม… ไม่เห็นมีเลย มันต้องมีสิจริงไหม? ใช่ๆ มันต้องมีแน่ๆ ตราบได้ที่ยังเชื่อมั้นมันก็ต้องมีแน่นอน

「…………」

ถึงผมจะพยายามโชว์กล้ามที่ไม่มีตั้งแต่แรกแล้วให้ลาคดู ลาคก็ไม่ได้พูดอะไรเลย

「พี่ลาค? เป็นอะไรหรือปล่าวครับ?」

「หืมม…? อ๋อ… ชั้นแค่คิดว่า คนพวกนั้นนี้โง่จังเลยนะ หน่ะ」

「ห่ะ?!」

นี้เธอพูดอะไรของเธอเนี้ย?

「ลองคิดดูสิ นายคิดว่าหิน6ดาวจะมีค่าเท่าไหร่? …มันมากขนาดที่จะซื้อประเทศได้เลยนะ」ลาคพูดออกมาอย่างเงียบๆ

「ว่าไงนะ! นะ-นะนั้นพูดจริงหรอ?」

「เป็นชั้นกับนายที่เป็นคนพบนะ แต่ชั้นเป็นเพียงคนเดียวที่จะได้รับอิสระ มันไม่แปลกไปหน่อยหรอ? จริงๆอย่างน้อยนายเองก็ควรจะได้รับอิสระนะ」

「…นั้นเป็นเพราะพี่เป็นคนเจอมันนี้นา」

「กำหนด10หินสกิลต่อวันเป็นหน้าที่ที่ให้พวกเราทั้งคู่ทำด้วยกันนี้ งั้นนายก็ต้องได้รางวัลด้วยจริงไหม? แต่เจ้าบ้านั้น…」

ลาคขอร้องกับคนตรวจสอบหินสกิลให้ผมได้รับรางวัลด้วย

แต่ว่าเขากลับปฏิเสธด้วยเสียงเรียบว่า ใครละจะเป็นคนคลานเข้ารูแรคคูนกันละถ้าเจ้าหนูนี้ออกไปด้วย?

จนถึงตอนนี้ผมคิดว่ามีแค่หิน1ดาวที่หาได้จากรูแรคคูน มากสุดก็แค่2ดาว แต่ความคิดนั้นก็เปลี่ยนไปเมื่อลาคเจอหิน6ดาว

พวกนั้นคงจะไม่ยอมปล่อยผมไปแน่ๆจนกว่าจะหาคนมาแทนผมได้

ถึงจะรู้อย่างงั้น ลาคก็แยกเขี้ยวอย่างกับสัตว์ป่าเลย ตรงตามตัวอักษรเลย มันก็แปลกนะ… ลาคน่าจะโดนเวทย์พันธสัญญาแบบเดียวกับผมนี้ แต่เจตจำนงของเธอมันแสดงออกมามากกว่าผม

พันธสัญญามันก็ไม่ได้แข็งแกร่งอะไรขนาดนั้นหรอก ผมได้ยินมาว่ามันไม่ได้กดเจตจำนงที่แรงกล้าอย่างสมบูรณ์ได้

「ไม่เป็นไรหรอก… ผมเองก็ไม่ได้อยากออกไปจากที่นี้สักหน่อย」

「นี้นายพูดอะไรของนายหน่ะ…」

「โอ้ย!」

เธอเขกหน้าผากผมด้วยสนับมือของเธอ ทำเอาหัวผมโยกเลย

「ให้ตายเหอะ… ชั้นน่าจะซ่อนหิน6ดาวไว้ใช้ในตอนที่ชั้นจะได้ออกไปจากเหมืองแท้ๆน้า」 ลาคพูดในมองไปยังความว่างปล่าว 「ชั้นพลาดซะแล้ว… หิน6ดาวเชียวนะนายรู้ไหม… ชั้นอยากรู้จริงๆว่ามันมีพลังอะไรกันแน่」

ปลายสายตาของเธอที่มองไปมีแค่คานไม้ที่เต็มไปด้วยฝุ่นกับใยแมงมุมบนเพดานเท่านั้นเอง

================================================================

หลังจากทานข้าวกันเสร็จ ลาคกับผมก็ปีนบันไดขึ้นบ้านบนกำแพงพร้อมกับอาหารในมือ โรงอาหารตอนนี้ก็ยิ่งเสียงดังขึ้นไปอีก คนเหมืองที่โตแล้วมักจะลงไปชั้นล่างๆที่อันตรายเพื่อหาหินดาวสูงๆ ถึงจริงๆจะเพื่อให้หาหิน2ดาวได้มากขึ้น เห็นว่างั้นนะ ยิ่งดาวเยอะยิ่งได้เงินดี พวกเขาก็เอาบางส่วนมาซื้อเหล้าดื่มกัน กลิ่นเหล้ามันฉุนจมูกมาก ดังนั้นพวกเราจึงปีนบันไดขึ้นเพื่อหนีกลิ่น

มีคนเพียงคนเดียวที่อาศัยอยู่ในบ้านโทรมๆชั้นบนสุด คนนั้นคือตาแก่ฮินกา

「คุณตา หนูเอาอาหารมาให้นะ」

「นี้ข้าบอกเจ้ากี่ครั้งแล้วให้หัดรู้จักเคาะประตูบ้างหน่ะ ลาค?」

「อย่าใส่ใจมันเลยหน่าคุณตา อะไรแบบนั้นมันไร้ประโยชน์นะ」

มันเป็นงานของพวกเราที่จะต้องนำอาหารมาให้ตาแก่ฮินกา ตาแก่นั้นอาศัยอยู่ในบ้านโทรมๆ และเหล่าคนเหมืองมักจะมาหาเขาเมื่อต้องการปรึกษาเรื่องบางอย่าง เอาง่ายๆเขาก็เหมือนหัวหน้าหมู่บ้านของที่นี้ นั้นแหล่ะทำไมเขาถึงได้รับการยกเว้นจากการหาหินสกิลประจำวัน

ผมหยิกอันรุงรังตกลงบนหน้าอันเหี่ยวย่นของเขา หนวดของเขาเองก็ยาวมาก และผมก็ไม่เคยเห็นเขาออกจากบ้านเลย ที่นี้พวกเรานั้นมีปัญหาด้านห้องน้ำ – คือที่นี้มีแค่ห้องน้ำรวมเท่านั้น – ดังนั้นผมจึงมั่นใจวาเขาต้องเคยออกไปข้างนอกแน่นอน

มันมีแค่เก้าอี้ตัวเดียวสำหรับรับรองแขกในบ้านหลังนี้ เพราะว่าแค่เตียงฟางเตียงเดียวก็กินพื้นที่ไปเกือบหมดแล้ว ตาแก่นั้งอยู่บนเก้าอี้และรับถ้วยไม้กับช้อนเหล็กที่ผมยื่นให้อย่างไปอย่างสุภาพ

「มากันจนได้นะ」

「ถ้าพวกเราไม่มาตาก็อดตายนะสิ คุณตา」

「ถ้างั้น พวกเราจะมาเริ่มจากตรงไหนกันดี?」

คำพูดของลาคไม่ได้มีผลอะไรกับตาแก่ฮินกาเลย ลาคยักไหล่ขณะมองมาที่ผมก่อนจะนั้งลงบนเก้าอี้อย่างเงียบๆ

เรื่องที่ตาแก่ฮินกาจะพูดดวยเสียงแหบพร่าเวลาทานข้าวคือเรื่องราวเกี่ยวกับโลกใบนี้

พวกเรามักใช้เวลานี้เรียนรู้เรื่องต่างๆจากตาแก่ก่อนจะเข้านอน ถึงลาคมักจะหลับไประหว่างกลางเรื่องก็เถอะ

「ข้าไดเยินมาว่าเจ้าเจอหิน6ดาวมานี้ ลาค」

「ใช่แล้วละ หนูก็อยากจะถามตาเรื่องนั้นเหมือนกัน! ตารู้รึปล่าวว่าสกิล【ราชันแห่งเงา】มันเป็นยังไงอะ? มีผลยังไงบ้างหรอ?」

「ข้าเองก็ไม่รู้」

「ตาก็ไม่รู้งั้นหรอ? อา ไร้ประโยชน์ชะมัด」

「พี่ลาค!」

ผมทำการดุลาคเพราะเธอพูดคำหยาบคายออกมา แต่เธอก็ไม่ได้สนใจผมและมองขึ้นไปบนฟ้า ตาแก่ฮินกาเองก็ดูจะไม่ได้ใส่ใจเลยสักนิด เชายังคงตั้งหน้าตั้งตากินอาหารของตนเอง ตาแก่นี้มันสุดยอดจริงๆ

「ทุกคนนั้นมีช่องเรียนสกิลเพียงแค่ 8ช่องเท่านั้น สกิลอย่าง【เสริมความแข็งแกร่ง★】กินไปเพียงช่องเดียวเท่านั้น แต่สกิลหายากนั้นกินถึง4-5ช่อง หรือบางทีกินถึง 8ช่อง พวกเรานั้นจึงจำเป็นต้องระมัดระวังอย่างมากเมื่อเลือกสกิลที่เราต้องการ」

「หนูรู้คุณตา หนูมีช่องสกิลที่ใช้ไปแล้ว2ช่องจาก【เสริมความแข็งแกร่ง★】กับ 【เสริมพลังกาย★】หนูจึงเหลืออีก6ช่อง ใช่ไหมละ?」

ลาคถอนหายใจพลางบ่นออกมา เหลือ6ช่องงั้นหรอ หิน6ดาวที่เธอเจอก็น่าจะพอดีกับเธอเลย

「ประเทศนี้นั้นจะรับซื้อหินสกิลทั้งหมดที่พบที่นี้ ก่อนจะนำไปขายต่อให้ประชาชน」

「หินสกิลนั้นมีมูลค่าเท่าไหร่หรอครับ?」ผมถามออกไป

นัยน์ตาสีอำพันหันมาทางผมจากด้านหลังผมยุ่งๆของเขา

「หิน1ดาวเท่ากับ 1 เหรียญเงิน เจ้าสามารถกินอาหารครบ3มื้อที่ร้านอาหารในเมทองได้ด้วยเงินแค่นั้น หิน2ดาวนั้นเท่ากับ 100 เหรียญเงิน」

「100 เหรียญเงิน?!」

งั้นถ้าขุดหิน1ดาว 10 ก้อนใน1วันเท่ากับว่าจะสามารถกินข้าวได้30มื้อ เหมืองแห่งนี้ทำเงินไปเท่าไหร่แล้วเนี้ย? ถ้าจะนับอย่างนี้ พวกเราก็น่าจะทำเงินได้มหาศาลอยู่นะ

「…แล้วหิน6ดาวละครับ?」

「มันประเมินค่าไม่ได้หรอกนะ」

ตอนที่ผมมองไปทางลาค เธอมองกลับมาเหมือนกับบอกผมว่า “ชั้นก็บอกนายแล้วไง”

「มันน่าจะถูกเอาไปเก็บไว้เป็นสมบัติระดับชาติ เมื่อมีภัยคุกคามระดับชาติ มันก็คงจะถูกมอบให้คนที่มีประสิทธิภาพที่สุดในกองทัพใช้ละนะ」

「โธ่เอ้ย… งั้นหินสกิลที่ชั้นอุตส่าห์ตรากตรำกว่าจะหามันมาได้ต้องไปเน่าอยู่ในครังสมบัติงั้นหรอเนี้ย หาา…」

「หินสกิลมันเน่าไม่ได้ซะหน่อย」

「แค่เปรียบเปรยย่ะ เจ้าน้องบ้า」

ลาคเริ่มปากเสียใส่ผมแล้ว คงจะต้องให้เธออยู่คนเดียวสักพัก

「แต่คนปกติเขาก็ใช้ช่องสกิลจนหมดใช่ไหมครับ?」

「แน่นอน ปกติ คนตัดต้นไม้จะใช้【ทักษะขวาน★★】นักเวทย์จะใช้【เวทย์ไฟ★★】พ่อค้าทาสจะใข้【Slave Master★★★】ไม่มีใครเขาใช้หินสกิล1ดาวใส่จนครบ8ช่องหรอก」

「งั้นเวลาเกิดภัยคุกคามระดับชาติ จะมีคนที่เหลือช่องสกิลพอสำหรับ6ช่องหรอครับ?」

「มันมีสกิลที่ชื่อว่า【ถอนสกิล ★★★★】ในโลกใบนี้อยู่ ถึงจะมีอยู่แค่น้อยนิดก็ตาม」

ข้อมูลที่ว่าสกิลมันถอนออกได้ทำเอาผมช็อคเลย มันอาจจะทำให้ไม่มีข้อจำกัดในการถือครองสกิลเลยก็ได้

「ถึงจะพูดอย่างนั้น พวกเราทาสถูกพูกมัดด้วยเวทย์พันธสัญญาและทำให้ใช้หินสกิลไม่ได้ใช่ไหมละ?」

「แน่นอนอยู่แล้ว หินสกิลดีๆหรือหายากๆอย่าง”วิชาดาบศักดิ์สิทธิ์”และ”เวทย์ 8 ธาตุ”นั้นแลกเปลี่ยนกันในราคาที่สูงลิ่วเลยละ คงไม่ยอมปล่อยให้ทาสที่เจอมันเอาไปใช้เองหรอก」

「ถ้ามีเจ้าสกิล เจ้าจะสามารถกำหนดอนาคตของตัวเองได้ แต่ทาสอย่างพวกเรานั้นไม่มีแม้แต่อนาคตที่พวกเรานั้นจะมีสกิลเลย」

「ตราบใดที่ยังอยู่ที่นี้ในฐานะทาส มันก็คงจะอวดดีที่จะฝันถึงอนาคต」

ลาคเริ่มหัวเราะออกมาในตอนที่ตาแก่พูดแบบนั้น แต่ผมรู้สึกว่าเสียงหัวเราะของเธอนั้นช่างว่างปล่าว ผมก็ไม่รู้ว่าทำไม แต่ผมกลับรู้สึกว่าลาคนั้นไม่ได้หัวเราะออกมาจริงๆ

「ตาแก่ฮินกา ดาวของหินสกิลสูงที่สุดอยู่ที่ 8ดาวใช่ไหม? มันเป็นสกิลแบบไหนกัน?」

「…เจ้าไม่ควรทึกทักอะไรอุกอาจแบบนั้นนะ」

ดวงตาของตาแก่อยู่ๆก็สั่นไหวด้วยความหวาดกลัว แต่นัยน์ตาของเขานั้นกลับส่อแววถึงภูมิปัญญามากกว่าครั้งไหนๆ และผมก็เริ่มสงสัยแล้วว่าคนอย่างเขาควรมาอยู่ในที่แบบนี้จริงๆหรอ

「มันมีที่มากกว่า8ดาวอีกนะ…」

「ว่าไงนะ?」

「มันเป็นสิ่งที่มนุษย์ไม่สามารถใช้ได้ ข้าเคยเห็นมันอยู่ครั้งหนึ่ง หินสกิลที่เกินขีดจำกัดมนุษย์ ซึ่งหลับไหลอยู่ในโกดังของเหมืองแห่งนี้」

ถ้าพูดโกดัง เขาคงจะหมายถึง”โกดังเก็บหินสกิล”

คนตรวจสอบตรวจหินที่เรานำมาก่อนจะจัดเก็บแล้วนำไปไว้ที่โกดัง โกดังนั้นเป็นที่แห่งเดียวในนี้ที่สร้างจากหินในขณะที่สิ่งก่อสร้างอื่นๆนั้นทำจากไม้ ประตูเหล็ก2ด้านที่ขึ้นสนิมนิดหน่อย แต่มันก็ยังคงปล่อยออร่าที่ให้อิมเมจแบบว่าจะไม่ยอมให้ใครบุกรุกเข้าไปได้

ในช่วงท้ายของวัน โกดังจะถูกเปิดตอนเย็นเพื่อนำหินสกิลที่ขุดพบเข้าไปเก็บไว้ นอกจากนี้ยังมียามเฝ้าที่เป็นทหารของเหมืองนี้ พวกเขาถือโล่เงินที่ดูเหมือนฝาหม้อและใส่หมวกเหล็กทรงแหลมไว้

หินสกิลที่เกินขีดจำกัดมนุษย์นั้นอยู่ภายในโกดังหรอ?

ไม่เห็นเคยได้ยินมาก่อนเลย

「มันเป็นสกิลแบบไหน–」

「นั้นเป็นทั้งหมดที่จะเล่าแล้ว เอาหล่ะไปนอนได้แล้ว วันนี้นอนเช้าๆหน่อย ถึงพวกเจ้าจะรู้สึกไม่ง่วง แต่ถ้านอนลงไปแล้วหลับตายังไงก็หลับแน่นอน」

(พื้นดินสั่นไหว)

แผ่นดิยไหวอีกแล้ว มีทรายตกลงมาจากเพดานด้วย

「อย่าไปทำให้เหมืองแห่งนี้โกรธ」

ตาแก่พูดออกมาด้วยใบหน้าน่ากลัว แต่ก็ไม่ได้ผลเท่าไหร่ ลาคนั้นหลับไปแล้วข้างๆผม

นี้คือการใช้ชีวิตในแต่ละวันของผม

และผมก็คิดว่ามันคงไม่มีอะไรเปลี่ยนไปหลอก

「วันนี้ลงไปในรูแรคคูนนี้กันเถอะ」

「แต่พวกเราสำรวจไปเดือนที่แล้วนะ แถมก็ไม่เจออะไรด้วย」

「อาจจะมีอันที่เกิดขึ้นมาใหม่ข้างในก็ได้ คุณลุงบอกมาว่าหินสกิลมันเติบฌตช้าในตอนกลางคืนใช่ไหมละ?」

「ผมไม่ชอบเลยเพราะมันมีหน้าผาอยู่ตรงนี้…」

「ที่แบบนี้แหล่ะที่เหมาะจะเจอกับหินสกิลหายาก สัญชาตญาณของชั้นบอกมา!」

「ก็ได้ๆ… เอาไงก็เอา」

「ครั้งหน้าถ้าเจอสกิลหายากอีก ชั้นจะซ่อนมันไว้」

ผมตามลาคลงไปในทางเดินที่กว้างนิดหน่อยสำหรับรูแรคคูน ถึงแม้ว่ามันอาจจะไม่ใหญ่พอสำหรับผู้ใหญ่อยู่ดี

เมื่อพวกเรามาถึงหน้าผา ขาของผมก็เริ่มสั่นเมื่อนึกถึงตอนที่พื้นที่เหยียบพังลงไป ลาคบอกว่า มันไม่มีวันพังหลอกเพราะเราอยู่ในดันเจี้ยน แต่มันจะแย่ทันทีเลยนะถ้าเกิดว่าพื้นเริ่มสั่นไหวขึ้นมาในตอนนี้

มีลมพัดขึ้นมาจากด้านล่างมาบนหน้าผา ถ้าจะพูดให้ถูก คือพัดมาจากในหลุม

ผมได้ยินเสียงไกลๆมาจากด้านล่างด้วย คงจะมีนักพจญภัยกำลังต่อสู้ในพื้นที่โล่งด้านล่างห่างจากเราหลายชั้นแล้วเสียงก็สะท้อนขึ้นมาตามหลุมนี้

「โอ้ ดูนั้นสิ เวทยมนตร์สดๆร้อนๆละ」

「ว้าว…」

มีการระเบิดเกิดขึ้นและทำให้พื่นที่ตรงนั้นสว่างขึ้นแปปนึง แสดงให้เห็นว่ามีนักพจญภัยกำลังสู้อยู่กับมอนสเตอร์ที่ดูเหมือนกับกิ่งก่ามอนิเตอร์อยู่

「เราควรไปกันได้แล้วนะ」

「อะ-อืม…」

「อะไรหน่ะ? นายอยากจะเป็นนักพจญภัยอย่างนั้นหรอ เจ้าน้อยชาย?」

「ไม่ ผมแค่…」

มันคงจะ”อวดดี”เกินไปสำหรับคนที่อยู่ในฐานะทาสที่จะหวังถึงบางสิ่ง นั้นคือสิ่งที่ตาแก่บอกมา

「…บรรยากาศในชั้นล่างๆนั้นแตกต่างจากที่ๆพวกเรากำลังจะไปเลยเนอะ?」ผมถามออกไป

「นี้เป็นสิ่งที่ชั้นได้ยินมาหน่ะ มีทั้งน้ำตกขนาดใหญ่ กระจกที่สะท้อนตัวนาย และทางเดินที่มีลมพัดแรงมากขนาดที่ลืมตายังไม่ได้เลยก็มี」

「โว้ว」

「มันก็ยังมีพวกมอนสเตอร์ที่น่ากลัวๆอยู่ด้วย แต่ก็แลกมาด้วยการเจอสกิลหายากอย่างง่ายๆเลยละ」

「ทั้งหมดนั้นก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเราในตอนนี้หล่ะนะ」

「…ใช่แล้ว ในตอนนี้หน่ะนะ」

ทีละนิด ทีละนิด ชีวิตของผมก็เริ่มเปลี่ยนไป

เหมือนกับที่ลาคถอนหายใจอยู่ตลอด เสียใจกับความผิดพลาดของเธอเอง

เหมือนกับดวงตาของตาแก่ฮินกาที่สะท้อนถึงความรู้ เป็นครั้งคราว

ตัวผมเองก็ด้วย ไม่รู้ว่าทำไมผมถึงปราภนาความรู้ที่มากกว่านี้

ลองคิดดูดีๆ เหตุการณ์ที่พบเจอมาทั้งหมดนี้อาจจะเชื่อมโยงถึงกันเหมือนกับฟันเฟืองอันเล็กๆที่สร้างแรงขับเคริ่อนอันมหาศาลก็ได้ ถ้าผมบอกลาคเรื่องนี้ เธอคงจะถามผมว่าผมไปเรียนเรื่องแบบนี้มาจากไหน

「อ่าา… ไม่เจอหินสกิลแม้แต่ก้อนเดียวเลยทั้งที่เดินกันมาขนาดนี้แล้ว!」

「ผมบอกแล้วไง ผมไม่อยากเดินกลับไปที่หน้าผานั้นอีกครั้งนึงหรอกนะ」

「อ่าา… ช่วยไม่ได้แฮ่ะ สงสัยสัญชาตญาญของชั้นจะ ทื่อลงแล้วละมั้ง?」

และลาคก็ถอนหายใจอีกรอบ

================================================================

ทุกๆอย่างมันเริ่มขึ้นจากวันนั้น

เหล่าคนเหมิองต้องตื่นขึ้นมากันในตอนเช้าตรู่ พวกเรานั้นจะถูกปลุกโดยระฆังตอน6โมงในทกๆเช้าและต้องไปรวมตัวกันที่หน้าทางเข้าเหมืองเพื่อทำงานตอน6โมงครึ่ง ผมจุมขนมปังแข็งๆลงไปในซุปที่หน้าตาเหมือนกับเมื่อวานแล้วยัดเข้าไปในปาก ถึงจะอยากบ่นเรื่องอาหารก็บ่นไม่ได้ ไม่งั้นจะไม่มีแรงในการทำงานตลอดทั้งวันแน่

ผมเดินออกมาจากโรงอาหารกับลาค

ถ้ามองขึ้นไปยังเพดานถ้ำก็จะเห็นสีฟ้าอ่อนๆของท้องฟ้า ในเหมืองแห่งนี้นั้นมักจะรู้สึกเย็นในหน้าร้อนและอุ่นในหน้าหนาว มีเพียงสิ่งเดียวที่จะบอกถึงฤดูกาลได้ก็คือสีของท้องฟ้า

วันนี้เป็นสีของฤดูใบไม้ผลิ

「นี้ เจ้าน้องชาย」

「มีอะไรงั้นหรอ?」ผมตอบออกไปขณะขยี้ตาของตัวเอง

「ชั้นชอบสีตากับสีผมที่เป็นสีดำของนายนะ」

「…อยู่ๆก็พูดอะไรออกมาหน่ะ?」

เธอไม่เคยพูดอะไรแบบนี้มาก่อนเลย

ผมกับสีตาของผมนั้นเป็นสีดำ ซึ่งก็ดูจะเป็นสีที่ไม่ค่อยได้พบเจอบ่อยๆ – และยังถูกพูดกันว่าเป็นสีแห่งลางร้าย

ในหมู่พี่น้องของผม มีผมแค่คนเดียวที่ถูกเกลียดและถูกขายเพียงเพราะ”สีดำ”นี้

แต่ไม่มีใครในเหมืองนี้เลยที่สนใจในสีผมของผม ทุกคนนั้นทั้งสดใส ร่าเริง และเป็นมิตร

「อ้า!」

「พะ-พี่ลาค? เป็นอะไรไปหน่ะ?」

「อู้ววว…. ชั้นจะไปห้องน้ำแปปนึงนะ」

「ว่าไงนะ?! เขาจะเรียกรวมตัวกันแล้วนะ!」

「แก้ต่างให้ด้วย! ชั้นจะไปแล้ว!」

ลาควิ่งออกไปขณะกุมท้องของเธอ

「อยู่ๆก็เป็นอะไรไปนะ?」

นี้ดูไม่สมเป็นเธอเลย ไม่ได้หมายถึงเรื่องห้องน้ำนะ แต่หมายถึงเรื่องที่ชมรูปลักษณ์ของผมต่างหาก

ผมเข้าร่วมการรวมพลในเช้านี้เพียงคนเดียว เหล่าคนเหมืองมารวมตัวกันแล้วฟังหัวหน้าของเหมืองแห่งนี้ที่ยืนอยู่บนเวที ซึ่งก็เป็นเหมือนกันในทุกๆวัน

มันมีลานกว้างอยู่หน้าทางเข้าเหมืองซึ่งเป็นที่ๆทุกคนจะมารวมตัวกัน มีทั้งกลุ่มแบบ3คนและ5คน อย่างไรก็ตาม วันนี้ดูเหมือนจะมีคนเยอะกว่าปกตินะ

ทางเข้าเหมืองนั้นจะเป็นรูขนาดใหญ่ขนาดที่พวกเราทุกคนเข้าไปพร้อมๆกันก็ยังได้ แต่ถ้ายิ่งเดินลึกเข้าไป ทางก็จะยิ่งแคบลงเลยๆจนเล็กถึงขนาดรูแรคคูนเลยก็ยังได้

ช่างเรื่องนั้นเถอะ

เหล่าคนเหมืองนั้นมารวมตัวกันในที่ๆเดียวและมุ่งจุดสนใจไปยังหัวหน้าเหมือง – ชายอ้วนที่ปกปิดหัวล้านของเขาด้วยหมวกไหมพรม – และก็คนๆหนึ่งข้างๆเขา

「…ใครกันหน่ะ?」

ถึงเขาจะอ้วนเหมือนกับหัวหน้าเหมือง แต่เขาก็มีผมยาวไปถึงแผ่นหลัง

เขาสยบทุกๆคนด้วยแวตตาอันเฉียบแหลมของเขา รวมถึงหัวหน้าเหมืองที่ชอบกดขี่… ที่ไม่เคยจะจำชื่อและหน้าของพวกเราเลย (ยกเว้นผมที่ไม่มีชื่อตั้งแต่แรกแล้วหน่ะนะ) เขาทำตัวเจียมเนื้อเจียมตัวต่อหน้าชายคนนั้นมากเลย

「ทุกคนจงฟัง! นี้เป็นประกาศสำคัญจากท่าน อเคนบาค เจ้าของเหมืองที่ 6 แห่งนี้ ทั้งยังเป็นถึงดยุกแห่งสหพันธรัฐคีทแกรนด์อีกด้วย! คุกเข่าลงเดี่ยวนี้!」

เหล่าคนเหมืองเริ่มมองหน้ากันและซุบซิบกันประมาณว่า “พวกเราจะเอายังไงกันดี?” “ดยุกนี้คืออะไรหน่ะ?” ถึงอย่างนั้น เมื่อมีคนหนึ่งคุกเข่าลง คนอื่นๆก็เริ่มทำตาม นั้นรวมถึงผมด้วย คุกเข่าลงบนพื้นแข็งๆนี้เจ็บชะมัด…

เป็นครั้งแรกที่ผมได้รู้ว่าเหมืองแห่งนี้อยู่ในการปกครองของสหพันธรัฐที่ชื่อว่าคีทแกรนด์ ไม่เคยมีใครบอกผมเลย และเอาตรงๆนะ ชื่อประเทศนี้ถึงรู้ไปก็ไม่ได้ช่วยผมจากการที่ต้องเสี่ยงชีวิตเข้าไปในรูแรคคูนที่อาจจะเจอมอนสเตอร์ก็ได้เลยสักนิด

「หืมม… ที่นี้ยังคงชื้นและไม่สบายตัวเหมือนอย่างเคยเลยนะ」

「ต้องขออภัยเป็นอย่างสูงครับ นายท่าน」

ดยุกคนนั้นทำการบ่นออกมาดังๆ และก็เป็นหัวหน้าเหมืองที่ทำตัวเจียมเนื้อเจียมตัวพร้อมตอบกลับไป มันก็เป็นเรื่องปกติที่เหมืองมันจะชื้นนี้นา เขาจะขอโทษไปทำไหมหน่ะ?

「โอ้ กลิ่นก็ยังแย่อีกด้วย กลิ่นลอยมาถึงนี้เลยนะ」

「ต้องขออภัยเป็นอย่างสูงครับ นายท่าน ผมจะรีบสั่งให้พวกทาสไปอาบน้ำเดี่ยวนี้แหล่ะครับ」

「ไม่ต้องหรอก ข้าก็แค่ต้องไม่มาที่นี้อีกเป็นครั้งที่2ก็เท่านั้น」

พวกเราเหล่าคนเหมืองนั้นมองไปยังบทสนทนานั้นอย่างเหม่อลอย ผมก็เข้าใจนะว่าเขากำลังพูดเรื่องแย่ๆใส่พวกเรา แต่ผมกลับไม่รู้สึกโกรธเคืองเลยแม้แต่น้อย คงเป็นเพราะเวทย์พันธสัญญาที่ร่ายใส่พวกเราหรือปล่าวนะ?

「รีบๆทำให้จบเถอะ ข้าได้ยินมาว่ามีคนเจอหิน6ดาวที่นี้ ข้ามาเพื่อตรวจสอบมัน」

นั้นคงจะเป็นหิน6ดาวที่ลาคเจอแน่ๆ

ถึงขนาดคนใหญ่คนโตของประเทศมาด้วยตัวเอง ผมก็นึกถึงที่ลาคเคยพูดไว้ว่า มันมีค่าพอจะซื้อได้ทั้งประเทศ และก็ที่ตาแก่ฮินกาเคยพูดไว้ว่า มันไม่สามารถตีเป็นมูลค่าได้

「ครับท่าน หินนั้นอยู่ทางนี้ครับ」

มีทหารคนหนึ่งนำหินสกิลที่วางไว้บนพานพร้อมห่อด้วยผ้าสีม่วงเข้ามา ทหารคนนั้นคุกเข่าลงพร้อมทั้งมอบมันให้ดยุกด้วยท่าทีสำรวม ดยุกอเคนบาคมองมันสักพัก ก่อนจะดึงผ้าออกในทีเดียว

「ว้าววว…」เหล่าคนเหมืองส่งเสียงออกมา

หินนั้นเปล่งแสงสีรุ่งเหมือนกับวันนั้นที่ลาคเอาให้ผมดู มันยังคงไม่ได้ถูกนำออกจากเหมืองสินะ

「เข้าใจแล้ว… นี้สินะหินที่มียูนีคสกิล」

「ครับ นายท่าน」

「ข้าก็อยากจะลองใช้มันทันทีหรอกนะ แต่ราชาเจฟเฟริดที่ปกครองประเทศนี้และยังเป็นลูกพี่ลูกน้องของข้าอยากจะเห็นมันหน่ะสิ ดังนั้นข้าจะไปปรึกษากับท่านว่าจะทำยังไงกับมันดี」

「ครับ นายท่าน」

มันค่อนข้างสุดยอดไปเลย หินสกิลที่ลาคเจอจะถูกนำไปถวายแก่ราชา! …แต่ผู้หญิงที่ได้รับเกียรตินี้ดันไปเข้าห้องน้ำและยังไม่กลับมาสักที

「ข้าขอประกาศว่า ทาสที่เป็นคนพบมันนั้นจะถูกปล่อยตัวจากการเป็นทาสและจะกลายเป็นสามัญชน」

ดยุกอเคนบาคพูดออกมาอย่างทะนงตน แต่เรื่องนี้นั้นเป็นเรื่องที่เดากันได้อยู่แล้ว ดังนั้นจึงไม่มีใครส่งเสียงประหลาดใจออกไปเลย

「ทาสที่เจอหินสกิลนี้จงก้าวออกมาหาข้า!」

หลังสิ้นเสียงของดยุก ทุกคนก็หันมามองผมเป็นตาเดียวกัน

「เอ๊ะ?」

「โอ้ ใช่แล้ว เจ้านั้นแหล่ะ มาตรงนี้」

คนตรวจสอบที่คุ้นหน้าคุ้นตาเข้ามาจับแขนผมก่อนจะลากผมออกไป

「ไม่ เข้าใจผิดแล้ว ผมไม่ได้เป็นคนเจอ พี่ลาคต่างหากที่เป็นคนเจ–」

「ไม่ต้องไปสนใจหรอก รีบไปได้แล้ว」

ผมถูกลากไปตรงหน้าของดยุกอเคนบาคโดยที่ไม่มีใครพยายามหยุดเลย คงเพราะว่าในมุมมองของคนเหมืองนั้น มันก็คงจะไม่แตกต่างกันหรอกว่าจะเป็นผมหรือลาคที่ได้เป็นอิสระ

ไม่ ไม่เอานะ! ลาคต่างหากที่ต้องได้เป็นคนที่ได้รับอิสระสิ  แทนที่จะเป็นเด็กอ่อนแออย่างผม ควรจะเป็นคนที่ทั้งคิดในแง่บวก กระฉับกระเฉง และแข็งแกร่งอย่างลาคสิที่ควรจะได้ออกไปจากเหมืองแห่งนี้ ไม่ใช่ยังงั้นหรอ?

ผมอยากจะพูดออกไปแต่ก็พูดออกไปไม่ได้ ทั้งที่ก็ไม่มีอะไรอยู่ตรงคอผม แต่ผมกลับรู้สึกแปลกๆที่ลำคอราวกับหายใจไม่ออก

「จะ-เจ้านี้งั้นหรอที่เป็นคนเจอ…?」ดยุกมองมาที่ผมแล้วนิ้วหน้า 「ผมสีดำนั้นมันอะไรกัน? มันเป็นสัญลักษณ์ของลางร้ายไม่ใช้หรอ?! ไปให้ห่างจากข้านะ!」

ทุกคนเริ่มตื่นตระหนกจากเหตุการณ์ที่อยู่ๆก็เกิดขึ้นนี้

「หัวหน้าเหมือง!」

「คะ-ครับท่าน!」

「เก็บเจ้านี้ไว้ก็ไม่มีอะไรดีขึ้นหรอก! ฆ่ามันซะ!」

「…ห่ะ?」

「เจ้าไม่ได้ยินที่ข้าพูดรึไง?! ช้าบอกให้เจ้าฆ่ามันไงเล่า!」

「ตะ-แต่ว่านายท่าน เด็กคนนี้เป็นคนเจอหิน6ดาว–」

「หุบปาก! ถ้าเจ้าไม่ทำข้าก็จะทำมันเอง」

ดยุกดึงดาบที่ห้อยอยู่ตรงเอวของทหารที่ยืนอยู่ด้านหลังของเขาออกมา ผมเห็นแสงสะท้อนของคบเพลิงบนดาบสีเงิน ผมรู้ได้ทันทีว่าผมต้องตายแน่ถ้าผมยังยืนอยู่ตรงนี้ แต่ร่างกายของผมกลับไม่ยอมขยับ ในหัวของผมคิดออกว่าคงเป็นเพราะเวทย์พันธสัญญา แต่ไม่ว่าจะทำยังไงร่างกายของผมก็ไม่ยอมขยับ

สายตารังเกียจนั้นพุ่งตรงมาที่ผม ทำไมกัน? ทำไมผมสีดำกับตาสีดำถึงโดนเกลียดกัน? ผมไม่รู้ ผมไม่รู้อะไรเลย

「รอเดี๋ยวก่อน!」

มีเสียงๆหนึ่งดังแทรกขึ้นมา

「น้องชายของชั้นทำผิดอะไรกัน?!」

ผมไม่ต้องมองก็รู้ – เสียงของพี่สาวของผมเอง

「เจ้าเป็นใครกัน?」

「ชั้นมีนามว่าลาค」

「เด็กสกปรกพวกนี้มันมาจากไหนกัน? หัวหน้าเหมือง!」

「คะ-ครับท่าน!」

「กำจัดพวกมันทิ้งทั้งคู่เลย เดี่ยวนี้!」

「ตะ-แต่ว่า…」

「คิดจะขัดคำสั่งข้ารึไง?!!!」

และในตอนนั้นเองที่มันเกิดขึ้น พื้นดินเริ่มสั่นสะไหวอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

================================================================

「มะ-มะ-มันเกิดอะไรขึ้น!?」

พื้นสั่นจนผมไม่สามาถยืนอยู่ได้และล้มก้นจ้ำเบ้า เมื่อผมมองขึ้นไปก็เห็นแผ่นหลังของลาค แต่ผมไม่สามารถมองเห็นหน้าเธอได้

นั้นทำให้ผมรู้สึกกังวลเป็นอย่างมาก ไม่ใช่แค่นั้น ทุกคนที่อยู่รอบๆก็กำลังตื่นตระหนกกับแรงสั่นสะเทือนระดับนี้ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

บางคนกรีดร้อง บางคนหมอบลงกับพื้น และบางคนก็สวดมนต์อ้อนวอนต่อพระเจ้า

「ทุกคนอยู่ในความสงบ นี้มันก็แค่–」

คำพูดของหัวหน้าเหมืองไม่มีผลเลย

「อ้า!」ผมปล่อยเสียงโง่ๆออกมา

ผมมองขึ้นไปด้านบนก็เห็นเพดานที่อยู่รอบๆรูกำลังถล่ม  ถ้ำนี้อยู่นอกระยะของดันเจี้ยน เพราะงั้นมันจึงถูกทำลายหรือถล่มได้

ไม่มีเวลาเตือนคนอื่นให้หนี มีหินก้อนขนาดใหญ่กำลังตกลงมา มีเสียงกรีดร้องดังมาจากทุกทิศทาง

และผมก็เห็นมันอย่างเต็มๆตา

「เกิดอะไรขึ้นกั–」

หินก้อนใหญ่นั้นล่วงใส่หัวของดยุกที่กำลังหมอบอยู่กับพื้นทั้งยังเอามือกุมหัวอยู่บนเวที เวทีนั้นพังลงทำให้ดยุกนั้นตกลงมา เลือดสาดกระจายไปทั่วๆร่างของเขา สิ่งทีี่ผมเห็นต่อมาคือ… ร่างอันไร้หัวของดยุกนั้นกระตุกไปมาอยู่บนพื้น

ในตอนนั้นผมก็รับรู้ถึงบางสิ่งแปลกๆจากร่างกายราวกับเกิดพายุรุณแรงขึ้นภายในร่างของผม

「อ้า… อ้าา อ้าาา อ้าาาาาาา!!!」

ผมจำคืนนั้นได้ คืนอันหนาวเหน็บในหน้าหนาวที่ผมต้องนอนหลับอย่างเดียวดายภายในโรงนาโดยไม่มีแม้แต่ผ้าห่มสักผืน

ผมนั้นทั้งรู้สึกเปลี่ยวเหงา หนาวเหน็บ โศกเศร้า และเจ็บปวด ทำไมกัน?… ทำไมผมถึงเป็นคนเดียวที่ต้องอยู่แบบนี้?… อ้าา… เจ็บปวดเหลือเกิน… ใครก็ได้หยุดมันที… แข็งเหลือเกิน… หนาวเหลือเกิน… ผมไม่อยากอยู่คนเดียว… เหงาเหลือ… เจ็บปวดเหลือเกิน…  หนาวเหลือเกิน… ทำไมกัน?… ทำไมถึงเป็นผม?… ทำไมทุกคนถึงทำกับผมแบบนี้?… เจ็บเหลือเกิน… ไม่เอาแล้ว… ไม่เอาแล้ว… ไม่เอาแล้ว… ไม่เอาแล้ว ไม่เอาแล้วไม่เอาแล้วไม่เอาแล้วไม่เอาแล้วไม่เอาแล้วไม่เอาแล้วไม่เอาอีกแล้ว——-

「อ้ากกกกกกกกกกกกกกกกกกก!!!」

ผมเกลียดพวกมัน ครอบครัวของผม พวกมันรังเกียจผม โยนหินใส่ผม ขโมยอาหารของผม พ่อกับแม่ก็ทำเหมือนกับผมไม่มีตัวตน พวกมันพูดว่าไม่อยากเกี่ยวข้องกับคนที่มีผมสีดำตาสีดำเหมือนกับคนอย่างผม และผมเองก็จำได้ว่าพ่อพยายามจะฆ่าผมอยู่หลายครั้งโดยอ้างว่า เพื่อปกป้องพี่น้องของผม แม่ที่สัญญาว่าจะฆ่าผมเองกับมือถ้าพ่อของผมหาหลักฐานได้ว่าผมเป็นลูกของชู้

ที่ผมยังไม่ถูกฆ่าเพราะผมหนีไปที่โรงนาในคืนนั้น แต่แผลที่ผมได้รับในทั้งวันนั้นช่างเจ็บปวดและทรมาณจนผมอยากจะร้องไห้ แต่ที่ทรมาณที่สุดก็คือความหิวโหย

และในวันหนึ่ง พ่อค้าเร่ก็ได้มายังหมู่บ้าน ผมนั้นเลือกที่จะขายตัวเอง ถ้าผมไม่ทำแบบนี้ สักวันผมก็จะถูกครอบครัวฆ่าอย่างแน่นอน

ผมอ้วกทุกสิ่งทุกอย่างที่ผมกินไปเมื่อไม่นานมานี้ออกมา เนื้อที่ผมกินไปกับซุปนั้นเน่า มันฝร้่งและแครอทนั้นมีสีซีดจนไม่น่าจะกินได้ตั้งแต่แรก รวมถึงขนมปังไหม้ๆที่อบอย่างง่ายๆจากการโม่อย่างหยาบๆด้วยข้าวสากๆ รอยไหม้ของขนมปังเห็นได้อย่างชัดเจนแม้จะปะปนอยู่กลับอ้วกของผม

จนถึงตอนนี้ ทุกๆอย่างนั้นเป็นเรื่องหลอกลวง ผมกินของพวกนั้นที่ขนาดจะเรียกว่าอาหารสัตว์ยังไม่ได้เลย

ผมรู้ได้ทันทีเลย

「มันเป็นเพราะเวทย์พันธสัญญา…」

ความทรงจำร้ายๆที่อยู่ๆก็กลับมาและ”อาหาร”แย่ๆนั้นที่ผมพึ่งรับรู้ว่ากินมันเข้าไป น้ำตาผมเริ่มไหลออกมา แต่ผมกลับมองเห็นมันได้อย่างชัดเจนแม้สายตาจะพร่ามัวเพราะน้ำตา รอยสักสีฟ้าคล้ายกำไลที่ข้อมือของผม

ทุกๆอย่างเป็นเพราะเวทย์พันธสัญญา

เพื่อไม่ให้ทาสนั้นต่อต้าน ถ้าจะพูดให้ถูก ทำให้ทาสไม่รับรู้ถึงสิ่งผิดปกติ ห้ามไม่ให้ทาสทะเลาะวิวาทกันเอง เหมือนกับการสะกดจิตให้กลายเป็นเพียงสัตว์ที่อยู่ในปศุสัตว์ นั้นแหล่ะคือเวทย์พันธสัญญา

แต่ตอนนี้ เวทมนตร์ได้คลายลงแล้ว

ทำไมนะหรอ? มันเป็นเพราะดยุกที่เป็น”เจ้าของ”ของพวกเราเหล่าทาสและ”เจ้านาย”ที่ถูกระบุไว้ในเวทย์พันธสัญญานั้นได้ตายลง

เสียงที่คล้ายๆกันนี้ดังมาจากรอบๆตัวผม ประมาณครึ่งหนึ่งของทาสล้มตัวตัวลงพร้อมทั้งอ้วกออกมาเหมือนกับผม แต่อีกครึ่งหนึ่งที่เหลือเริ่มเคลื่อนไหวไปแล้ว พวกที่มี2รอยสักที่แขนหรือก็คือ ทาสอาชญากรรม

มีทาสคนหนึ่งล้มทหารแล้วขโมยดาบมาก่อนจะฟันไปที่คอของทหารคนนั้นอย่างเลือดเย็น

「เกี้ยฮ่าๆๆๆ! ข้าเป็นอิสระแล้วโว้ย!」

คนๆนั้นมัน… ชายที่ลูบหัวผมและบอกให้ผมกินเยอะๆในโรงอาหารไม่ใช่หรอ?

…และก็คนๆนั้นที่เตะทหารให้ล้มลง ก็เป็นคนที่ช่วยผมในตอนที่ผมกำลังมีปัญหากับกระเป๋าหนักๆในเหมือง

…และก็คนนั้นที่เตะทาสที่กำลังอ้วกขวางทางเขาออกไป ก็เป็นคนที่สอนผมว่าควรจะทำยังไงเมื่อผมเจอมอนสเตอร์ในเหมือง

เวทย์พันธสัญญาของทุกๆคนคลายออกอย่างพร้อมเพียงกัน

เพราะแบบนั้น คลื่นความทรงจำและอารมณ์จึงหวนกลับคืนสู่พวกเขา และไม่มีอะไรจะมาคอยห้ามพวกเขาอีกแล้ว

แน่นอนว่าตอนที่พวกเขากลายเป็นทาสก็ต้องถูกเอาสกิลออกไปอยู่แล้ว ตาแก่ฮินกาพูดไว้ว่ามันมีสกิลที่จะสามารถถอดถอนสกิลอื่นอยู่ ถึงยังงั้นทาสก็ยังแข็งแกร่งอยู่ดีโดยเฉพาะทาสอาชญากรรม แข็งแกร่งกว่าทหารที่แม้จะฝึกมาแต่ก็ยังขาดประสบการณ์อย่างแน่นอน

「ทหารทุกคนหยุดพวกทาสไว้ให้ได้! เร็วเข้า! ไปขอความช่วยเหลือจากนักพจญภัยด้วย!」หัวหน้าเหมือนกรีดร้องออกมา

ตอนที่ผมมองไปยังใบหน้าของเขา ผมแทบไม่เชื่อสายตาตนเองเลย ชายคนนี้หน้าตาน่าเกียจและนัยน์ตายังทั้งโลภและกระหายเลืยดขนาดนี้เลยหรอ

ดูเหมือนว่านอกเหนือจากการลบความเจ็บปวดออกเพื่อให้เป็นทาสที่เชื่อฟังแล้ว ยังลบทุกอย่างที่ทำให้เกิดอารมณ์ด้านลบด้วยแห่ะ

「หะ-เห้! แก! นั้นมัน–」

「นี้เป็นของชั้นแต่แรกแล้ว!」

ผมได้ยินเสียงอันคุ้นหู ก่อนจะหันไปมองต้นทางของเสียง

คนๆนั้นที่ผมคิดว่าเป็น”พี่สาว”ของผม และคนที่เรียกผมว่า“น้องชาย”กำลังถือหินสกิลสีรุ่งอยู่ในมือของเธอ

แสงแบบนั้นแย่แน่… ผมรู้สึกขนลุกไปทั่วทั้งตัว หินสกิลที่ลาคถืนนี้นแน่นอนว่าเป็นสีรุ้ง แต่ว่านอกจากความสวยงามที่รู้สึกแล้ว ยังรู้สึกขนลุกถึงบางสิ่งที่ไม่รู้จัก บางสิ่งที่ราวกับลางร้ายกำลังจ้องมองมาที่ผม

「พี่ลาค! อย่า—」

เสียงของผมส่งไปไม่ถึงเธอ

ลาคชูแขนของเธอขึ้นฟ้า แสงสีรุ้งสว่างจ้ากว่าทุกครั้งก่อนจะหายเข้าไปในร่างของเธอ

「นี้หน่ะหรอ【ราชันแห่งเงา ★★★★★★】นี้หน่ะหรอพลังของสกิล6ดาว!!」

ปากของลาคสั่นราวกับหัวเราะออกมา

ทว่า ในตอนนั้นหัวหน้าเหมืองก็ได้ออกคำสั่งออกมา

「จับตัวเธอไว้! ไม่สิ ตัดแขนตัดขาของเธอซะ! อย่าฆ่าเธอเด็ดขาด! ไม่งั้นเราจะเอาสกิลออกมาจากตัวเธอไม่ได้!」

เหล่าทหารนั้นพุ่งเข้าไปหาลาค พวกเขาดูจะไม่ได้ออมมือเลยสักนิดจากการที่ยกทั้งดาบและโล่ขึ้น

「จงมา ดาบของชั้น」

หลังจากที่เธอกางมือออก อะไรบางอย่างสีดำลักษณะเป็นเสี้ยวก็ออกมาจากมือของเธอและตัดผ่านอากาศ

มันกลืนกินทหารไปหลายคน ผ่าพวกเขาเป็น2ซีก ตัดผ่านแม้กระทั่งโล่ ก่อนจะหายไป

หัวหน้าเหมืองกรีดร้องลั่นก่อนพยายามจะหนี แต่เขานั้นอยู่ใกล้กับลาคเกินไป

「อย่าคิดที่จะหนี」

ลาคยกมือของเธอขึ้นก่อนจะตวัดลงมา เงาสีดำพรุ่งออกไปตัดผ่านร่างของหัวหน้าเหมืองจนขาดเป็น2ซีก ร่างที่ถูกแบ่งครึ่งล่วงลงไปทั้งซ้ายและขวาพร้อมกัน ทั้งเครื่องในและเลือดต่างไหลรินออกมา

ผมรู้สึกอยากจะอ้วกเมื่อได้เห็นภาพนั้น แต่ผมอ้วกทุกอย่างไปก่อนหน้านี้แล้ว ดังนั้นจึงไม่มีอะไรออกมา

「…………」

ลาคมองลงมาที่ผมที่ยังนั้งอยู่บนพื้น

คบไฟที่ตกลงมาจากทหารที่อยู่ใกล้ๆสะท้อนภายในดวงตาสีม่วงของลาค

「เจ้าน้องชาย」

สิ่งที่ผมรู้สึกได้ในตอนนั้นมีเพียงแต่ความหวาดกลัว

ใบหน้าอันผอมบางของเธอยังคงสงบนิ่ง ผมไม่รู้ว่าเป็นเพราะเธอฆ่าคนไปหรือเป็นเพราะความรู้สึกอื่นๆ แต่นัยน์ตาของเธอนั้นแสดงความโศกเศร้าออกมา

ช่วยชั้นด้วย… ผมรู้สึกเหมือนกับเธอพูดแบบนั้นออกมา ไม่ คงจะแค่คิดไปเอง ลาคยังไม่ได้แม้แต่เอ่ยปากพูดเลยใช่ไหมละ?

「นายยืนไหวไหม?」

ภายในมือของเธอที่ยื่นมาทางผม ผมเห็นเงาดำเคลื่อนไปมา ผมจึงหดตัวด้วยสัญชาตญาน ทำให้ลาคตกใจและหดมือกลับไป

ลาคมองมาภายในตาของผม ผมเองก็อยากที่จะมองใบหน้าเธอเหมือนกัน แต่ผมนั้นทำไม่ได้

หลังจากนั้นเธอก็หันหลังกลับไป

「…ทางออกเปิดแล้ว นายเองก็ควรจะหนีออกไปนะ」

เธอทิ้งคำพูดแบบนั้นแล้วเดินจากไป

「อา…」ผมรู้ว่าผมต้องพูดบางอย่างกับเธอ มันมีตั้งหลายอย่างที่ผมควรจะพูดกับเธอ

แต่ผมทำไม่ได้ เป็นเพราะผมรู้สึกผิดที่ไม่จับมือของเธองั้นหรอ? เป็นเพราะผมจับมือของฆาตกรไม่ได้งั้นหรอ? เป็นเพราะผมคิดว่าจะถูกฆ่าด้วยงั้นหรอ?

「ลาก่อน เจ้าน้องชาย…」

ผมมันโง่เองที่ไม่จับมือของเธอเอาไว้

ผมรู้ว่าผมจะต้องรู้สึกเสียใจไปตลอดชีวิตแน่ แต่ผมก็ไม่สามารถพูดออกไปได้อยู่ดี

================================================================

มีเสียงกรีดร้องและเสียงตระโกนดังระงมไปทั่ว ผมยืนขึ้นอย่างโซซัดโซเซ ไม่รู้ว่าควรจะทำอะไรต่อ ทาสเกือบทั้งหมดนั้นพยายามจะหนี บางคนก็กลัวเกินกว่าจะวิ่งหนีได้

ทาสหลายต่อหลายคนต่างตรงไปที่โกดังที่เก็บหินสกิลไว้ ประตูโกดังเปิดไว้อยู่แล้วตั้งแต่ที่นำ【ราชันแห่งเงา★★★★★★】ออกมาให้ดยุก อย่างที่ได้พูดไว้ว่าทาสนั้นถูกนำสกิลที่อันตรายๆออก จึงมีช่องว่างพอสำหรับใส่สกิล ทั้งยังสามารถเอาหินสกิลไปขายในราคาสูงได้อีกด้วย

มันมีการต่อสู้กันระหว่างทาสกับยามเฝ้าโกดัง

…จะเกิดอะไรขึ้นกับผมต่อจากนี้กัน? ถ้าผมยืนเฉยๆก็คงจะถูกจับโดยทหาร และคงถูกทำให้เป็นทาสโดย”เจ้านาย”คนใหม่อีกครั้งเป็นแน่

ผมไม่ชอบมันเลย ไม่อยากจะกลับไปใช้ชีวิตจอมปลอมแบบนั้นอีกแล้ว

ตัวผมที่เคยชินกับการใช้ชีวิตในเหมืองแล้วนั้นคิดว่า “ที่นี้ก็ไม่แย่ขนาดนั้นนะ อย่างน้อยก็ยังดีกว่าถูกเกลียดโดยพี่น้องและต้องอดข้าวอีก” แต่ผมก็รู้ตัวแล้วว่านั้นเป็นเพราะผลของเวทย์พันธสัญญา และผมก็ไม่อยากจะใช้ชีวิตอยู่ในภาพลวงตาแบบนั้นอีก

ถึงจะพูดอย่างงั้น ผมเองก็ไม่อยากกลับไปยังบ้านเกิดของตัวเองอยู่ดี

ดังนั้น สิ่งที่ผมจะทำต่อไปนั้นง่ายมาก ผมต้องมีพลังพอที่จะเอาชีวิตรอดด้วยตัวเองให้ได้

ลาค เธอเป็นคนแรกที่ได้รับพลังนั้น พลังเพื่อที่จะมีชีวิตรอด และเธอยังพยายามยื่นมือมาช่วยคนอย่างผม

ตอนนี้อย่าพึ่งคิดถึงเธอดีกว่า มีสิ่งเดียวที่ผมพอจะทำได้คือไปเอาหินสกิลจากโกดัง

จะโชคดีหรือโชคร้ายก็ไม่รู้ที่ผมนั้นไม่มีสกิลเลย ดังนั้นผมจึงสามารถใส่สกิลไหนก็ได้

ตอนที่ผมไปถึงโกดัง พวกทาสดูเหมือนจะได้เปรียบในการต่อสู้กับทหาร ความกระตือรือร้นมันต่างกันระหว่าง ทหารที่ไม่อยากตายอย่างทรมาณ กับ ทาสที่ไม่เหลือทางเลือกอื่นอีกแล้ว ผมเองก็บุกตามทาสคนอื่นๆเข้าไปในโกดังเหมือนกัน

โกดังนั้นใหญ่มากและเต็มไปด้วยชั้นวาง ทุกชั้นวางจะมีรูสำหรับใส่หินสกิล แต่ตอนนี้เกือบทุกชั้นนั้นว่างเปล่า

「แม่งเอ้ย! สกิลที่มีค่าแม่งโดนเอาไปหมดแล้ว!」

「ข้าไม่ต้องการสกิล1ดาว!」

「ถ้าไม่เอาก็ส่งมาให้ชั้น!」

「ฮ่าๆ! ข้าจะเอามันไปขาย!」

เหล่าทาสต่างเริ่มสู้กันเพื่อแย่งชิงหินสกิลที่เหลืออยู่

「เห้ มันมีประตูอยู่ด้านหลังด้วย!」

ทาสทุกคนมุ่งไปทางนั้นกันอย่างพร้อมเพียง ประตูเหล็กที่ล็อคอยู่ก็ไม่อาจต้านทานเหล่าทาสที่สิ้นหวังได้ กลอนประตูพังลงและเปิดออกโดยการทุบด้วยดาบและโล่หลายต่อหลายครั้ง

「ว้าว! นี้มันบ้าอะไรกันเนี้ย!」

「เต็มไปด้วยสกิลหายากทั้งนั้นเลย!」

มีแสงลอดผ่านประตูที่เปิดออก เหล่าทาสก็รีบพุ่งเข้าไปในห้องเล็กๆ หยิบหินสกิลที่ต้องการแล้วใช้มัน

「ไอ้สารเลว! ข้าต้องการนั้นนะ!」

「ใครเร็วใครได้เว้ยไอ้โง่–อ้ากกก!」

มีดาบแทงเขาจากด้านข้าง หินสกิลนั้นก็หล่นลงมาจากมือของเขา หินสีน้ำเงินอันแพรวพราวนั้นกลิ้งมาหยุดอยู่ที่เท้าของผม

[เวทยมนตร์ 4 ธาตุ★★★★]

นั้นเป็นสกิลที่หายากที่สุดที่ผมเคยเห็นเลยนอกจากสกิล6ดาวของลาค ในตอนที่ผมพยายามจะหยิบมันผมก็ถูกเตะจากด้านข้าง ผมกระเด็นลอยข้ามโกดังและร้องด้วยความเจ็บปวด ท้องของผมนั้นไม่มีอะไรแต่กลับรู้สึกเหมือนกับจะถูกฉีกกระชากออกเลย

「ถอยไปเจ้าเด็กบ้า! อะฮ่าๆๆๆ! ในที่สุดโชคก็เข้าข้างชั้นจนได้!」

เป็นป้าแม่ครัวนี้เองที่กำลังหัวเราะโดยมีหินสกิล4ดาวอยู่ในมือ ก่อนที่มันจะหายเข้าไปในตัวของเธอ

「ยัยแก่!」

「เอาคืนมานะ!」

「อะฮ่าๆๆๆ! หายไปซะเจ้าพวกโง่!」

ป้ายกมือของเธอขึ้นและปล่อยเวทย์ลมที่รุณแรงออกมา ทาสทั้ง2คนลอยขึ้นและปลิวไปกระแทกเข้ากับผนังของโกดัง

ว้าว… แค่หินสกิลเดียวก็มีพลังขนาดนี้เลยหรอ?

ทาสคนอื่นๆวิ่งหนีออกจากห้องเพราะไม่อยากกลายเป็นรายต่อไป และแน่นอนว่าไม่มีหินสกิลหลงเหลืออยู่อีกแล้ว

「ยัยแก่สารเลว สักวันข้าจะเอาคืนแกแน่…」

ทาสที่กระแทกกับผนังก็ลุกขึ้นและออกไปจากโกดัง โดยที่ป้าคนนั้นออกไปตั้งนานแล้ว

「ไม่เหลืออะไรเลย…」

ผมเป็นเพียงคนเดียวที่ยังเหลืออยู่ในโกดังที่ว่างเปล่าแห่งนี้

ผมกุมท้องด้วยความเจ็บปวดและเดินโซเซเข้าไปในห้องเล็กๆนั้น แต่ก็ไม่เหลืออะไรอยู่เลยในห้องที่สลัวๆนี้— หืมมม?

「อะไรกัน? ยังเหลืออยู่อันนึ—」

ผมรีบเอามือทั้ง2ข้างปิดปากของตัวเอง มันมีสกิลที่เสริมประสาทสัมผัสของมนุษย์อยู่ด้วย มันคงจะแย่ถ้ามีคนได้ยินที่ผมพูดไปเมื่อกี้

ผมกลืนน้ำลายแล้วเข้าไปใกล้ๆมันอย่างกังวล

มันเป็นหินสกิลสีดำสนิท มีแสงสีรุ้งเป็นจุดอยู่ตรงกลาง โคจรไปมาราวกลับถูกดูดกลืนแสงทั้งหมดไป

【World Ruler★★★★★★★★★★】

หินสกิลที่ไม่ควรมีอยู่บนโลกใบนี้

ผมนึกถึงสิ่งที่ตาแก่ฮินกาเคยบอกผมไว้ก่อนหน้านี้

–มันมีสกิลที่มีดาวมากกว่า8ดาวอยู่ มันเป็นสิ่งที่มนุษย์ไม่สามารถใช้ได้ ข้าเคยเห็นมันครั้งหนึ่ง… หินสกิลที่หลับไหลอยู่ภายในโกดังของเหมืองแห่งนี้… หินสกิลอันเกินขึดจำกัด

นี้แหล่ะ! นี้แหล่ะคือหินสกิลอันเกินขีดจำกัด!

ไม่รู้เพราะอะไร ผมรู้สึกเหมือนถูกเรียกหาโดยหินสกิลนี้

ผมเอื้อมมือออกไปและแตะลงบนพื้นผิวทรงกลมของมันอย่างเบาๆด้วยนิ้วของผม ผมคิดว่าผิวของมันคงจะเรียบลื่น แต่นิ้วผมกลับทะลุผ่านผิวของหินราวกับผมแตะลงบนผิวน้ำ

ผิวสีดำแตกออกและแสงสีรุ้งก็ค่อยๆทะลักออกมาจากข้างใน แสงทะลักออกมาราวกลับกระแสน้ำ แยกออกเป็นหลากหลายลำแสง หมุนวนไปทั่วห้องเล็กๆแห่งนี้ ก่อนจะพุ่งเข้าไปในหัวของผม

「อ้า. อ้าา.. อ้าาา… อ้าาาาาาาาา!」

ผมเห็นทุกสิ่งทุกอย่างผ่านกำแพงห้อง ผ่านถ้ำ ผ่านเหมือง ผ่านก้อนเมฆ ผ่านชั้นบรรยากาศ และผ่านพ้นถึงจักรวาล (TL: พระเอกเราลอยซะงั้น ฮา)

「อา ผมเข้าใจแล้ว…」

ในที่สุดผมก็เข้าใจ

「เพราะแบบนี้สินะผมถึงใช้หินสกิลนี้ได้…」

ถึงในหัวผมจะยุ่งเหยิงไปหมด – ทั้งแผลใจในอดีต เห็นผู้คนถูกฆ่า ถูกเตะท้อง ปฏิเสธที่จับมือของพี่สาว – ผมกลับรู้สึกสดชื่น

「…ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าผมมาเกิดใหม่ที่ต่างโลก เพราะผมมี2ชีวิต ชาติที่แล้วกับชาตินี้ ผมถึงมีช่องสกิลเป็น2เท่าหรือก็คือ16ช่อง」

และตอนนี้ผมเองก็มีชื่อแล้ว

「ผมคือ ฮารุมิ เรย์จิ ผมตายตอนยังเป็นนักเรียนม.ปลาย… และได้มาเกิดใหม่ในโลกแห่งนี้」

* *

ท้องฟ้าภายนอกหน้าต่างนั้นมืดมิด

ผมเหลืออยู่ตัวคนเดียวในห้องเรียน พิมพ์บางอย่างลงบนคีย์บอร์ดที่ผมไม่ค่อยจะคุ้นเคย จากนั้นผมก็หยุดและบิดขี้เกียจไปมา

「เสร็จสักที… เหนื่อยจริงๆน้า」

บ้านผีสิง ห้องเรียนของพวกเราเลือกหัวข้อนี้ในงานโรงเรียน ทั้งๆที่มันควรจะเป็นเรื่องปกติ ครูที่ปรึกษาสุดขี้เกียจของเรากลับพูดว่า “นี้คืองบประมาณและก็วางแผนกันเอง จะทำอะไรก็ระวังๆหน่อยนะ” แล้วโยนงานทั้งหมดให้นักเรียน หลังจากนั้นเพื่อนร่วมห้องของผมก็โยนงานทั้งหมดให้ผมทำก่อนจะแยกย้ายกันกลับบ้าน

งานนี้มันก็แค่ทำไปงั้นๆแหล่ะ ถึงจะเตรียมเอกสารดีๆไป ครูที่ปรึกษาของผมก็คงจะอนุมัติทันทีโดยไม่แม้แต่จะมองมันด้วยซ้ำ

「กลับบ้านไปเรียนหนังสือต่อดีกว่า」

ไม่มีใครทำอะไรผมทั้งนั้น ทุกๆวันผมก็แค่”ถูกใช้งาน”และ”ไม่ได้รับความขอบคุณ”จากใครสักคนก็เท่านั้นแหล่ะ

แต่การเรียนไม่เคยหักหลังผม ยิ่งผมเรียนหนักเท่าไหร่ เกรตของผมก็ยิ่งดีขึ้น และโอกาศที่จะติดมหาลัยที่ผมเลือกก็จะมากขึ้นตาม สิ่งเดี่ยวที่สนุกที่สุดสำหรับผมในตอนนี้ก็มีแต่การเรียนนี้แหล่ะ

นี้มันไม่ว่างเปล่าไปหน่อยงั้นหรอ? แน่นอนอยู่แล้ว! จริงๆผมเองก็อยากมีประสบการณ์หวามอมเปรี้ยวในชีวิตม.ปลายกับสาวๆเหมือนกันนะ!

「แต่ด้วยความเตี้ยของผมมัน…」

ในตอนที่ผมกำลังปั่นจักรยานกลับบ้าน ผมก็รู้สึกขมขื่นกับร่างกายของตัวเองที่ดูจะไม่โตขึ้นอีกต่อไปแล้วขึ้น เพราะแบบนั้นผมจึงไม่ทันระวังถนน

จักรยานได้พุ่งออกจากถนน ผมตกลงไปในคลองที่มีน้ำท่วมเต็มจากฝนเมื่อวันก่อนและก็จมน้ำตาย

* *

ผมรับรู้ถึงความสามารถของ【World Ruler★★★★★★★★★★】ได้ในทันที

แก่นแท้ของสกิลนี้คือข้อมูลต่างๆที่หลั่งไหลเข้ามาภายในหัวของผม ยกตัวอย่างเช่น ถ้าผมมองไปบนท้องฟ้า ผมก็จะรับรู้ได้ทันทีว่าเป็นท้องฟ้าของฤดูใบไม้ผลิและจะมีฝนตกเล็กน้อยในตอนกลางคืน มันเป็นความรู้สึกที่อธิบายไม่ถูก ความรู้สึกมีอำนาจที่จะเข้าใจในทุกสิ่งที่อยู่ภายในสายตาของผม

「นี้หน่ะหรอ…World Ruler!」

================================================================

ผมเริ่มจะเข้าใจความรู้สึกของลาคในตอนที่เธอได้รับพลังนั้นแล้ว แต่ผมนั้นต่างจากเธอตรงที่ผมนั้นไม่ได้โหยหามันมากขนาดนั้น  รู้สึกเฉยๆซะด้วยซ้ำ

… จำนวนทหารเริ่มมีมากขึ้น เหล่านักพจญภัยที่หลับอยู่นั้นตื่นขึ้นแล้วเข้าร่วมกับทหาร  พวกเราทาสนั้นส่วมใส่เสื้อธรรมดาๆมันจึงง่ายที่จะแยกพวกเราออกจากคนอื่น มันก็ขึ้นอยู่กับเวลาแล้วก่อนที่พวกเราจะนั้นถูกปราบปรามลง

「แต่ผมสามารถหนีออกไปได้」

ผมรับรู้ได้อย่างชัดเจนว่ามีคนทั้งหมดกี่คนที่อยู่ในถ้ำแห่งนี้ มันมีวิธีหลบหนีมากมายเลยจากการใช้ข้อมูลนี้

ผมพุ่งตัวออกจากโกดังและมุ่งหน้าไปยัง”บ้านบนกำแพง”

บ้านไม้ที่ถูกสร้างอย่างกับแขวนอยู่กับหน้าผา – ที่ๆผมกับลาคอาศัยอยู่เป็นเวลา3ปี – นั้นอยู่ในสภาพแย่มาก เกือบทั้งหลังตกลงมาจากหน้าผาพังเละเทะ โชคยังดีที่”บ้านบนกำแพง”นี้ถูกเตรียมไว้สำหรับทาสขุดเหมือง แทบทุกคนนั้นเข้าร่วมรวมพลในตอนเช้านี้จึงดูจะไม่มีใครอยู่ที่นี้

「อา…」

แต่ทว่าก็ยังคงเหลือทาสบางคนอยู่ ทั้งคนที่เมาหนักจากเมื่อคืนแล้วตื่นสาย คนที่ป่วยติดเตียง และอื่นๆอีกมากมาย

ผมเห็นแขนใครบางคนเล็ดลอดออกมาจากซากที่ถล่มลงมาด้วย

「แม่งเอ้ย」

เมื่อกี้มันอะไรกันหน่ะ? แผ่นดินไหวงั้นหรอ? ถึงผมจะไม่เคยได้ยินใครพูดว่า”แผ่นดินไหว”ในโลกนี้เลย ผมหล่ะสังสัยจริงๆว่าจะมีคำๆนี้รึปล่าว ทุกคนเอาแต่เรียกมันว่า”เสียงดังกึกก้อง”

ผมเคลื่อนตัวไปอย่างรวดเร็วเพื่อตามหาตาแก่ฮินกา บ้านของตาแก่นั้นไม่ได้อยู่บนกำแพงแล้ว ดังนั้นมันน่าจะถล่มลงมาบนพื้น

「ตาแก่ฮินกา!」

ผมเจอบ้านแล้ว – ที่อยู่ในสภาพเอียง – ถูกทับโดยบ้านหลังอื่น ประตูนั้นเปิดออกในมุม45องศา

ใต้บ้านนั้นก็พบตาแก่กำลังนั้งอยู่บนกองซากปรักหักพัง

「โอ้… เจ้าหนู เจ้ารอดจากถ้ำถล่มสินะ…」ตาแก่พูดแบบนั้นกับผมด้วยน้ำเสียงเย็นชาเหมือนเดิมในตอนที่ผมนั้นพุ่งเข้าไปหาเขา

โอ้ งั้นหรอ คนๆนี้เป็นแบบนั้นเองสินะ

ผมไม่รู้สึกตัวเลยจนกระทั่งเวทย์พันธสัญญาคลายลง มันไม่มีรอยสักบนแขนของตาแก่เลย ดูเหมือนเขาจะไม่ใช่ทาสตั้งแต่แรกแล้ว ผมก็ไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงอาศัยอยู่ในเหมืองแห่งนี้ ในที่ๆเดียวกับทาส แต่ผมนั้นก็พอเข้าใจถึงความ ตั้งใจของต่าแก่ ที่เขานั้นลึกๆแล้วเป็นคนอ่อนโยน

การจะได้”ความรู้”ในโลกใบนี้นั้นยากมากๆ การศึกษาระดับสูงนั้น — ไม่ต้องพูดถึง”มหาวิทยาลัย”เลย ขนาดระดับ”โรงเรียนมัธยม” — ยังเข้าถึงได้แค่คนที่มีสิทธิเพียงไม่กี่คนเท่านั้น

ถึงอย่างงั้น ตาแก่กลับมีความรู้มากมาย แถมยังสอนให้แบบฟรีๆกับคนที่ต้องการเรียนรู้มัน – เหมือนกันกับผม ไม่สิ ผมก็นำอาหารมาให้เขาอยู่ แต่มันก็ยังไม่เพียงพอสำหรับราคาของสิ่งที่เขาสอนผมมาอยู่ดี

เขานั้นทั้งสอนผมเกี่ยวกับเหมืองแห่งนี้ ทั้งเรื่องหินสกิล ทั้งเรื่องของทาสและเวทยมนตร์ รวมถึงเรื่องพิษและสมุนไพรด้วย ยิ่งไปกว่านั้น – วิธีที่จะใช้ชีวิตภายในโลกใบนี้

แต่ตาแก่นั้นก็ไม่เคยเผยด้านที่อ่อนโยนให้เห็นเลย

นั้นเป็นเพราะว่า

「ตาแก่ฮินกา… คุณ… ที่คุณทำตัวเย็นชาใส่พวกเรานั้นก็เพื่อที่จะให้พวกเราออกไปจากเหมืองนี้ได้โดยไม่ติดค้างอะไรสินะ」

มันไม่ใช่เพราะสกิลของผมที่ทำให้ผมสังเกตเห็นมันหรอก แต่เป็นท่าทางของตาแก่เองที่เผยมันออกมา

ผมก็รู้ว่าเขาคงจะไม่ใช้ตาแก่ธรรมดา แต่คนที่นั้งอยู่ข้างหน้าผมนี้นั้นมีออร่าแห่งความรู้ไหลออกมา

「!! …งั้นหรอ งั้นหรอกหรอ… เวทย์พันธสัญญาคงคลายลงแล้วสินะ ใช่ไหม? แสดงว่า เจ้าลูกชายตระกูลอเคนบาคนั้นตายลงแล้วสินะ หา…」

「คุณรู้จักดยุกนั้นด้วยหรอ?」

「ข้าก็ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเขามากหรอก แต่ข้ารู้จักพ่อของเขา ชายที่ชอบเมาแล้วก่อปัญหามากมายจนทำให้ข้าต้องตามล้างตามเช็ดมันซะทุกครั้ง」

ตาแก่คนนี้คงจะมีฐานะระดับหนึ่งในสังคมเลยสินะ

「ตาแก่ฮินกา ทั้งเหมืองนั้นวุ่นวายไปหมดแล้วตอนนี้ คูณจะหนีไปกลับผมไหม?」

「…ข้าทำไม่ได้」

「ทำไมกันหล่ะ?」

「เหตุผลแรกคือข้าที่เลือกอาศัยอยู่ที่นี้นั้นกระจะตายอยู่ที่นี้ตั้งแต่แรกแล้ว และอีกเหตุผลนึงก็คือ… นี้」

「!!」

ผมไม่ทันสังเกตตั้งแต่แรกเพราะมัวแต่คุยกับตาแก่ แต่บริเวณข้างซ้ายของตาแก่นั้นมีเลือดไหลอยู่

「มันเกิดขึ้นตอนคุณตกลงมางั้นหรอ…?」

「นั้นก็ใช่ แต่มันก็ยังเป็นแผลเก่าด้วย มันเป็นช่วงชีวิตที่แสนสั้นตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ข้าแค่ยอมรับโชคชะตาแต่โดยดีก็เท่านั้นเอง」

ผมไม่สามารถพูดอะไรออกไปได้ ทำได้แต่กัดฟันแน่นอย่างผิดหวัง

ตาแก่เช็ดเลือดที่ออกมาจากปากด้วยหลังมือแล้วขมวดคิ้ว

「ข้าอยากจะอธิษฐานต่อพระอาทิตย์เป็นครั้งสุดท้าย แต่… มันยังคงอีกสักพักกว่าจะเช้า ถึงจะอีกแค่30นาทีก่อนพระอาทิตย์จะขึ้นก็เถอะ」

「ตาแก่…」

ผมเปลี่ยนใจแล้ว

「ถึงมันจะอีกนานกว่าจะเช้า แต่มันก็ไม่ได้ไกลจากทางออกเหมืองมากนัก ผมจะให้ยืมไหล่เอง」

「ข้าขอบใจเจ้าที่เป็นห่วง แต่ไม่ว่าทหารจะโง่แค่ไหน เด็กกับคนแก่ก็หลบหนีไม่ได้ง่ายๆหรอกนะ」

「—เรย์จิ」

「ว่าไงนะ?」

「ผมมีนามว่าเรย์จิ เลิกเรียกผมว่าเจ้าได้แล้ว」

ชีวิตก่อนของผมนั้นจบลงไปแล้ว แต่ตัวผมในตอนนี้นั้นไม่มีชื่อ ดังนั้นผมจึงจะใช้ชื่อ”เรย์จิ”ต่อไป

อย่างไรก็ตาม–

「”เรย์”จากเรย์จินั้นมาจากคำว่า 0 และ”จิ”มาจากคำว่า 2」

「…เกิดอะไรขึ้นกับเจ้าในเวลาสั้นๆแค่นี้กัน?」ตาแก่ขมวดคิ้ว

เท่าที่ผมรู้ ในโลกใบนี้นั้นไม่มีตัวคันจิ ผมที่จะเริ่มต้นชีวิตตัวเองอีกครั้งในโลกใบนี้ ผมจะเริ่มจาก“ศูนย์” และผมนั้นก็มีพี่สาว – เพราะฉะนั้นผมจะเรียกตัวเองว่า” ที่ 2”ในฐานะของน้องชาย

「ไปกันเถอะ ส่งมือคุณมา」

「…จะเอาแบบนี้จริงๆเรอะ?」

「แน่นอนอยู่แล้ว」

ตาแก่จับมือของผมก่อนจะดันตัวขึ้นอย่างโซเซ ผมพยุงตาแก่ที่อีกด้านหนึ่งของแผล ถึงจะดูเหมือนตาแก่แค่พิงมาที่ผมก็เถอะ

ผมสังเกตเห็นว่าไม่มีกลิ่นเหม็นออกมาจากตัวเขาเลย มีกลิ่นเหมือนกลิ่นหอมของ มินท์ด้วยซ้ำ

「อั่ก…」

ถึงตาแก่จะรูปร่างเหมือนต้นไม้ลีบๆ ผมก็ไม่สามารถพยุงเขาได้เลยถ้าหากไม่ได้ใช้พลังทั้งหมด

「ไปกันเถอะ!」

ผมเริ่มก้าวเดินออกไปด้วยความคิดที่ไม่อยากให้คนๆนี้ตายในที่แบบนี้ ก้าวทีละก้าวอย่างมั่นคง ถึงจะช้าเป็นเต่า แต่พวกเราก็ตรงไปยังทางออกอย่างมั่นคง การพาต่าแก่ออกไปจากที่นี้นั้นเป็นสิ่งเดียวที่ค้ำจุนผมไว้ให้ก้าวเดินตอไป

เพียงเพราะว่าชายคนนี้เป็นคนที่ทำให้ผมนั้นได้ “เรียนรู้” สิ่งที่นั้นผมชอบทำในชาติก่อน

เขาที่ใส่ใจผม คนอย่างผมที่มักจะ”ถูกใช้งาน”และ”ไม่ได้รับความขอบคุณ”จากใครก็ตาม

ในโลกใบนี้ที่ผมนั้นถูก ”พราก” ทุกสิ่งทุกอย่างไป เขานั้นเป็นคนที่ 2 ที่ “มอบ” บางสิ่งบางอย่างให้กับผม

และเพราะเขานั้นรับรู้ถึงความสัมพันธ์ระหว่างผมกับลาคดี ลาค คนที่”มอบ”บางสิ่งบางอย่างให้กับผมเป็นคนแรก

================================================================

มีทหาร3นายอยู่ข้างหน้า ทาส5คนอยู่ทางขวา พวกเขากำลังจะปะทะกัน

ผมใช้สกิล【World Ruler】นำทางผ่านความวุ่นวาย พวกเรานั้นเคลื่อนตัวไปตามแนวซากประหลักหักพังเพื่อหลบเลี่ยงเหล่าทหารและทาสที่กำลังสู้กันอยู่โดยได้แต่หวังว่าจะไม่มีใครมาสนใจคนแก่กับเด็กอย่างพวกเรา

มันมีแค่ทางเข้าเหมืองแห่งนี้เพียงทางเดียวเท่านั้น มันทั้งแคบ ทั้งมีกำแพงไม้และเต็มไปด้วยยามเฝ้า

ทาสมากกว่า50คนกำลังสู้กับเหล่าทหารที่ผสมผสานกับเหล่านักพจญภัยกว่า100นาย

「ว้าว…」

เสียงและประกายแสงจากการประดาบดังกึกก้องไปทั่วบริเวณทางเข้า

แม้จะมีทาสที่แข็งแกร่งมากมาย แต่ฝ่ายตั้งรับนั้นที่ได้เปรียบทั้งกำลังพลและที่มั่นนั้นเหนือกว่าอยู่

ผมนั้นตะลึงไปชั่วขณะหลังจากเห็นผู้คนกำลังห้ำหั่นกันอย่างบ้าคลั่ง ทั้งเสียงกรีดร้องและกลิ่นคาวเลือด แต่แค่เพียงแปปเดียวเท่านั้นผมก็กลับมามีสติอีกครั้ง

มันเป็นไปได้หรอที่จะข้ามผ่านสนามรบนี้ไปได้? –ไม่มีทาง ต่อให้เป็นหนูตัวเล็กๆก็ยังผ่านไปไม่ได้เลย หรือผมควรจะโจมตีจุดอ่อนของแนวป้องกันดีรึปล่าว? –คงไม่ได้ ด้วยพลังกายของผมตอนนี้จะจัดการผู้ใหญ่ที่อ่อนแอที่สุดในนี้ยังไม่ได้เลย หรือผมควรจะกระโดดข้ามไปจากตรงไหนสักแห่งดี? –ก็ไม่ได้อีกนั้นแหล่ะ ผมทำแบบนั้นไม่ได้เพราะต้องคอยพยุงตาแก่เอาไว้

ผมนั้นพยายามคิดหาทางออกอย่างรวดเร็ว มันมีความเป็นไปได้ก็เพราะผมนั้นได้รับข้อมูลจาก【World Ruler】เหมือนกับกับการหายใจ ผมแค่ต้องวิเคราะห์มันต่อเท่านั้น

「…เจ้าหนู ไม่สิ ข้าหมายถึงเรย์จิคุง… เราจะคงมาได้แค่นี้แล้วละนะ 」

「มันยังไม่จบหรอกครับ ผมยังไม่ได้พาคุณไปอธิษฐานกับดวงอาทิตย์เลย」

โชคไม่ดีที่ทางออกของเหมืองนั้นหันไปทางทิศตะวันตก หลังแนวป้องกันไปจะเป็นป่าที่มีต้นไม้ขนาดใหญ่บดบังทัศนวิสัย แต่ผมก็ยังมองเห็นแสงสีส้มสะท้อนเหนือต้นไม้ได้อยู่ – แสงอาทิตย์สีส้ม

อีกเพียงแค่นิดเดียว อีกเพียงแค่นิดเดียวเท่านั้นเราก็จะออกจากที่นี้ได้แล้ว

มันไม่มีทางอื่นเลยหรอ? ตอบผมมาสิ 【World Ruler】!

สกิลนั้นเงียบกริบ อย่างไรก็ตาม

ผมได้เรียนรู้แล้วจากการใช้งานในระยะเวลาสั้นๆนี้ว่าสกิลนี้มันจะไม่โต้ตอบโต้อะไรทั้งนั้น มันก็แค่ส่งข้อมูลจากรอบๆที่ผมเห็น ได้ยิน หรือได้กลิ่นมาเพียงเท่านั้น นอกเหนือจากนั้นมันจะไม่บอกอะไรทั้งสิ้น

จะทำยังไงกับข้อมูลนั้นก็คืองานของผม ผมต้องคิดแผนต่อไปเอาเอง แต่ก็ยังดีที่มันยังบอกถึงอัตราความสำเร็จของแผนนั้นๆด้วย

「มันจะดีกว่าถ้าเรายอมแพ้นะ… เจ้าอาจจะรอดไปได้ถ้ามีแค่เจ้าคนเดียว ถ้าเจ้าถูกจับได้ข้าจะเป็นคนพูดให้เอง เจ้าจะได้ไม่ถูกทรมาณ」

「…ตาแก่ฮินกา การใช้ชีวิตอยู่ในภาพลวงตาและถูกช่วงชิงความนึกคิด… นั้นนะไม่ใช่การทรมาณตั้งแต่แรกแล้วหรอ?」

「!!」ตาแก่สะดุ้งไปแปปหนึ่ง ถึงจะยังคงพิงมาที่ผมอยู่

แขนของผมที่พยุงเขานั้นเริ่มสั่น ผมคงจะมาถึงขีดจำกัดพลังกายของผมแล้ว

「เจ้านี้… เปลี่ยนไปจริงๆนะ… ราวกับคนละคนเลย」

แทนที่จะพูดว่าเปลี่ยนไป คงต้องบอกว่ามีอีกบุคลิกนึงเลยจะดีกว่า

「เข้าใจแล้ว ข้าจะไปกับเจ้าจนถึงที่สุดก็แล้วกัน ข้าก็ไม่รู้หรอกนะว่าเจ้าจะทำได้ไหม แต่ข้าให้ไอเดียเจ้าได้นะ」

「ไอเดียงั้นหรอครับ?」

「ลองมองไปที่ด้านบนของทางเข้าสิ มันมีจุดที่คุมด้วยผ้าอยู่ใช่ไหมละ?」

ทางเข้านั้นถูกสร้างจากหินสีเหลี่ยมต่อกันหน้าตาคล้ายๆอิฐ แต่ส่วนด้านบนนั้นเป็นเพดานหินปล่าวๆ และมันก็มีจุดหนึ่งที่มีผ้าใบใหญ่ๆคุมอยู่อย่างไม่เป็นธรรมชาติ

「ตรงนั้นมันพังลงมาจนกลายเป็นรูเมื่อหลายปีก่อน พวกนั้นทำการซ่อมแซแบบชั่วคราวเอาไว้ แต่ก็แค่นั้นแหล่ะ」

「…หมายความว่าถ้าเราโจมตีมัน มันอาจจะถล่มลงมาใช่ไหมครับ?」

「นั้นแหล่ะถูกต้องเลย」

「………」

ถ้ามันมีจุดที่ผมสามารถสร้างรูได้หลังผ้านั้น – มันก็น่าจะลองเสี่ยงดูนะ?

ไม่มีคำตอบกลับมาจาก【World Ruler】หรือเป็นเพราะว่าผมมองไม่เห็นจุดที่อยู่ด้านหลังผ้ารึปล่าวนะ?

「รอตรงนี้สักพักนะ ตาแก่ฮินกา」

「…เข้าใจแล้ว」

เมื่อผมวางตาแก่ลงใต้เงาของสิ่งก่อสร้าง ตาแก่ก็ส่งเสียงเจ็บปวดออกมา ผิวของตาแก่นั้นยิ่งกว่าคำว่าซีดแล้ว นี้แผลมันแย่แค่ไหนกันหน่ะ? เวลาของตาแก่เหลืออยู่เท่าไหร่กัน?

【World Ruler】นั้นรู้คำตอบ ตาแก่เหลือเวลาไม่ถึง30นาทีแล้ว ไม่ใช่แค่แผลนั้นลึกมาก ตาแก่ทั้งยังเสียเลือดไปมากและอุณหภูมิของร่างกายก็ลดลงเรื่อยๆอีกด้วย

ผมวิ่งไปยังจุดบอดระหว่างที่ผู้คนต่อสู้กันและดึงดาบออกมาจากเอวของทหารที่ตายแล้ว หนักมาก ผู้ใหญ่เขาเหวี่ยงของที่หนักขนาดนี้ตลอดเลยหรอ…?!

เป้าหมายของผมนั้นมีเพียงหนึ่งเดียว

คนที่อยู่แนวหลังของการต่อสู้ และยังเป็นคนที่ผมรู้จักดี — ป้าแม่ครัวนั้นเอง

「ชิ มีแต่พวกโง่ทั้งนั้นเลย เกือบจะถึงทางออกอยู่แล้วแท้ๆ… เร่งมือจัดการพวกทหารนั้นสักทีสิ พวกทาสนี้แม่งไร้ค่าจริ– ?!」

「อย่าขยับ」

ผมอ้อมไปด้านหลังของเธอแลัวเอาดาบจี้ไปที่คอของเธอในแนวตั้ง

ถึงแม้ตัวเธอจะได้รับเวทยมนตร์ไปแล้วก็ยังหาทางหนีออกไปไม่ได้งั้นสินะ

แล้วก็อีกอย่าง ผมยังไม่เห็นลาคที่ไหนเลย ดูท่าเธอคงจะหนีออกไปก่อนแล้ว

「ถ้าขยับละก็ผมจะเหวี่ยงดาบ ถ้าโดนแค่หน้าคุณละก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าโดนคอของคุณละก็ ตายแน่นอน」

「กะ-กะ-กะ-แก… เด็กที่มีผมสีดำน่ารังเกียจนั้น…」

「ผมมีบางอย่างจะขอ」

ผมชี้ไปยังจุดที่มีผ้าคลุมเอาไว้อยู่

「ผมอยากให้คุณใช้เวทยมนตร์โจมตีไปที่ตรงนั้น」

「ชั้นเหลือมานาไม่มากแล้ว ชั้นคงทำจะตามที่แกขอไม่ได้หรอกนะ」

「งั้นหรอ แย่จังเลยนะ」

ผมเคลื่อนดาบเข้าไปใกล้อีกนิด แตะไปที่คอของป้า

「ชะ-ชั้นเข้าใจแล้ว! แค่ยิงก็พอใช่มั้ย?!」

ป้าเล็งไปที่ผ้านั้นด้วยมือทั้งสองข้าง อากาศรอบๆเริ่มหมุนวน มีเปลวเพลิงขนาดเท่าลูกบาสเก็ตบอลถูกยิงออกไป แสงไฟนั้นส่องสว่างผ่านหลังของเหล่าทาส หมวกทรงแหลมของทหาร หน้าตางงๆของเหล่านักพจญภัย และจบลงที่ผ้าพืนนั้น แรงกระแทกนั้นทำให้เปลวเพลิงกระจัดกระจายออกและผ้าก็ถูกเผาทำลายกลายเป็นชิ้นๆ ในเวลาเดียวกันนั้น กำแพงก็พังทลายลง วิวของท้องฟ้าในทิศตะวันออกก็ถูกเปิดออก

มีทหารหลายคนถูกหินทับจากการถล่ม ส่วนพวกนักพจญภัยนั้นหนีไปแล้ว เหล่าทาสก็ตัดสินใจพุ่งเข้าหาทหารที่ยังหลงเหลืออยู่ แนวป้องกันนั้นได้พังทลายลงแล้ว

「แม่เจ้า! ชั้นเป็นคนทำเอง! นั้นเจ๋งไปเลยใช่ไหมละ?!」

ป้าคนนั้นร้องออกมาด้วยความดีใจ แต่ผมนั้นกลับไปหาตาแก่ตั้งนานแล้ว

「…เจ้าทำได้ดีมากนะ」

「ครับ」

แผลที่เปิดนั้นใหญ่เกินไป ทั้งที่ใกล้จะถึงอยู่แล้ว หน้าของตาแก่นั้นเริ่มซีดเซียว

「ไปกันเถอะ แค่หัวมุมตรงนั้นเอง」

ผมให้ยืมไหล่จากนั้นก็เริ่มออกเดินไป พยายามที่จะไม่คิดถึงเงาความตายที่กำลังคืบคลานเข้าหาตาแก่ ผมไม่รู้สึกถึงไออุ่นจากร่างของเขาอีกแล้ว ร่างของเขานั้นสั่นและหายใจถี่ขึ้นเรื่อยๆ

นี้ผมทำอะไรผิดไปกัน? ถ้าผมไม่พาตาแก่มา เขาจะถูกรักษาหลังจากการจลาจลจบลงหรือปล่าว? หรือผมควรจะหาใครสักคนที่ใช้เวทย์รักษาได้กัน?

ผมได้รับข้อมูลจาก【World Ruler】ว่าเวลาของเขาใกล้จะหมดลงเต็มทีแล้ว

…นี้มันเกินไปแล้วนะสำหรับสกิล10ดาว จะช่วยชีวิตตาแก่ก็ยังทำไม่ได้เลย

…แต่ผมก็รู้ว่าคนที่ผิดนั้นคือตัวผมเอง ผมใช้สกิลนี้ได้ไม่เต็มที่ ผมรู้สึกว่าสถานการณ์มันควรจะดีได้มากกว่านี้ ถ้าผมใช้ข้อมูลจาก【World Ruler】ได้ดีกว่านี้

「…ฟันกรามของข้านั้นเป็นของปลอม」

「หะ? เมื่อกี้คุณพูดว่าอะไรนะครับ?」

แนวป้องกันนั้งพังทลายไปแล้ว ดังนั้นเหล่าทหารกับนักพจญภัยจึงกำลังไล่ตามทาสที่หลบหนีออกไป ผมเห็นทหารหลายนายเข้าไปในถ้ำพร้อมกับศพและสหายที่กำลังบางตาย ไม่มีใครอยู่รอบๆทางเข้าเลย — นอกเสียจากศพของเหล่าทาส

「ข้ามีแร่หายากที่ชื่อว่าหินฟอสฟอรัสซ่อนอยู่ในฟันปลอมของข้า หลังจากที่ข้าตาย นำมันไปกับเจ้า เจ้าจะสามารถขายมันได้ในราคาดีแน่นอน」

「…นั้นเป็นเหมือนของดูต่างหน้าจากคุณรึปล่าว?」

「ไม่ใช่อะไรยอดเยี่ยมแบบนั้นหรอก…」

พวกเราหลบเลี่ยงสิ่งกีดขวางพังๆและเคลื่อนไปข้างหน้าโดยไม่เหยียบศพ

อากาศที่ทั้งสะอาดและสดชื่นนั้นตีเข้ามาที่หน้าของผม

「อา…」

ผมยกศีรษะขึ้นและเห็นต้นไม้อยู่ข้างหน้าของผม เมื่อมองขึ้นไปก็จะเห็นท้องฟ้าสีคราม ในที่สุด… ก็หนีออกมาจากเหมืองนั้นได้แล้ว

「ทหารนั้นเดินทางโดยใช้ถนนเส้นนี้ ไปทางนั้นจะดีกว่า」ตาแก่พูดขึ้นพร้อมทั้งชี้ไปที่ทางเดินเล็กๆตามแนวหน้าผาตรงไปยังทิศเหนือ ผมเดินต่อไปยังทิศเหนือพร้อมกับตาแก่

「ถ้าเจ้าได้มีโอกาศเจอหลานของข้า ช่วยบอกเธอได้ไหมว่าข้านั้นตายอย่างไร้อาวรณ์จนถึงท้ายที่สุดหน่ะ?」

「หลานของคุณหรอครับ?」

「ชื่อของเธอคือ ลูลูช่า ไม่เหมือนกับข้า เธอนั้นทั้งฉลาดและเป็นเด็กที่น่ารักมาก」

น้ำเสียงของตาแก่นั้นอ่อนลง ขาของเขานั้นเดินไม่ได้แล้วจนดูเหมือนถูกผมลากไป

พวกเราขึ้นเนินไปด้วยย่างก้าวที่ช้ามากๆ มันมีก้อนหินอยู่ข้างหน้าเล็กน้อย และยังมีพื้นที่ว่างเล็กๆอยู่ฝั่งตรงข้ามด้วย ผมมองเห็นแสงอาทิตย์ยามเช้าสะท้อนไปที่ก้อนหินนั้น

พวกเราเข้าใกล้หินนั้นอย่างช้าๆแต่มั่นคง

หลังจากที่เวทพันธสัญญาคลายลงก็เกิดอะไรขึ้นมากมาย เอาตรงๆนะ สมองผมสับสนมากเลยหล่ะ แต่ตอนนี้ผมหยุดคิดไปแล้ว ผมนั้นเดินไปพร้อมทั้งดูแลตาแก่ฮินกาอย่างดีที่สุดเพื่อที่จะไม่พลาดล้มลงไป

「โอออ…」

นิ้วเท้าของตาแก่นั้นสัมผัสกับแสงอาทิตย์เป็นอันดับแรก จากนั้นก็ตามด้วยผมสีเทา ใบหน้า ร่างกายท่อนบน สุดท้ายทั้วทั้งร่างของเขาก็ได้อาบแสงอาทิตย์ยามเช้า

นี้ก็เป็นครั้งแรกของผมเหมือนกันที่ผมได้เห็นดวงอาทิตย์ยามเช้านับตั้งแต่ที่ผมได้มายังเหมืองแห่งนี้ เนื่องจากที่เรานั้นอยู่บนเนินพวกเราจึงอยู่เหนือต้นไม้ ดวงอาทิตย์สีแดงฉานนั้นได้ผ่านพ้นทะเลป่าไม้ ย้อมหมู่เมฆให้เป็นสีแดง อวยพรพืนป่าด้วยแสงแดด และโอบกอดพวกเราด้วยความอบอุ่น

「…ข้ามีตัวตนอยู่เพียงเพื่อถูกลงโทษจากบาปที่ข้าได้ก่อไว้… บาปที่แม้ตัวข้าจะตายไปก็ชดใช้ได้ไม่หมด… แต่ข้านั้นกลับได้รับโอกาศที่จะถูกโอบกอดจากดวงอาทิตย์ในช่วงวินาทีสุดท้ายของข้า… โอ้…ท่านพระผู้เป็นเจ้า… ผู้ปกครองสรวงสวรรค์และผืนโลก… ข้อขอวิงวรให้ท่านอวยพรแก่เด็กที่น่าสงสารคนนี้ด้วยเถิด….」

เมื่อผมเงยหน้าขึ้นในตอนที่ได้ยินเขาสวดภาวนา ตาแก่คนนั้นยิ้มให้กับผม หยดน้ำตาไหลอาบแก้มของเขาพร้อมทั้งลูบหัวของผมอย่างอ่อนโยน

「ข้าปราถนาให้เจ้าได้พบแต่สิ่งดีๆนะ เรย์จิ」

「……ขอบคุณครับ」

คนๆนี้กำลังจะตาย ในช่วงเวลานี้

แต่เขาก็ยังคงปราถนาให้ผมนั้นค้นพบความสุข

น้ำมูกของนั้นผมเริ่มไหลและน้ำตาเริ่มเอ่อนองภายในดวงตาของผม แต่ผมนั้นก็พยายามระงับอารมณ์เอาไว้

แรงค่อยๆหายไปจากร่างของตาแก่ฮินกา ผมนั้นล้มไปข้างหลังและเอื้อมมือไปรับตัวของเขาเอาไว้ไม่ทัน ร่างไร้วิญญาณของตาแก่นั้นนอนอยู่ข้างกายผม

ผมเอื้อมมือเข้าไปในปากของเขาเพื่อหาฟันปลอม ผมจับและดึงมันออกมา มันมีรูปลักษณ์ที่แตกต่างจากจุดอิ่นอย่างชัดเจน นอกจากนี้ยังมีแสงสีฟ้าอ่อนเล็ดลอดออกมาจากฟันสีเหลืองซีด นี้คงจะเป็นหินฟอสฟอรัสที่ตาแก่บอกเอาไว้แน่นอน

ผมใส่ฟันปลอมของเขาเข้าไปในกระเป๋าหนังที่อยู่ตรงเอวของผม หลังจากนั้นก็วางร่างของตาแก่ลงพร้อมทั้งนำมือทั้งสองข้างของเขามาไว้ที่ท้อง ผมค่อยๆปัดเศษดินออกจากเสื้อและปัดผมสีเทาที่ปิดตาของเขาอยู่ออก

「…คุณอาจจะไม่ได้รู้สึกแบบเดียวกับผม แต่สำหรับผม คุณคืออาจารย์คนสำคัญของผมที่สอนผมถึงชีวิตบนโลกใบนี้ ผมสัญญา ผมจะใช้ชีวิตของผมอย่างที่คุณจะได้ภูมิใจ」

ผมหลับตาลงและไว้อาลัยอย่างเงียบๆ

ผมได้ยินเสียงนกร้องจากบนท้องฟ้า ร่างกายของผมที่อาบแสงอาทิตย์รู้สึกถึงความอบอุ่น

「–มีรอยเลือดตรงนี้ คงจะมีทาสที่หลบหนีขึ้นไปข้างบนแน่ๆ」

ผมได้ยินเสียงคนพูด มีสัญญาณของคนหลากหลายคนกำลังตรงมาทางนี้

ผมลืมตาขึ้น ไม่หันกลับไปยังทางที่จากมา ผมสไลด์ตัวลงทางลาดหิน ป่าข้างหน้าที่ผมกำลังจะไปนั้นดูราวกับจะกลืนกินผมได้ทั้งตัว แต่ผมนั้นจะไม่มีทางกลับไปยังเหมืองแห่งนั้นแน่นอน

 

================================================================

TL: ทำการรวมตอนให้ครับผม

[นิยายแปล] Overlimit Skill Holder – Only A Reincarnator Can Possess The Skill That Exceeds The Limit

[นิยายแปล] Overlimit Skill Holder – Only A Reincarnator Can Possess The Skill That Exceeds The Limit

Options

not work with dark mode
Reset