[นิยายแปล] Overlimit Skill Holder – Only A Reincarnator Can Possess The Skill That Exceeds The Limit – บทที่1 ตอนที่ 33

บทที่ 1 ตอนที่ 33

 

ผมถุกพาไปยังสถานที่ที่ดันเต้ซังไม่คิดจะพาผมมาแน่ๆ – พูดอีกอย่างก็คือ ย่านโคมแดง ไรเครียซังเคยพาผมไปที่ที่คล้ายๆกันมาก่อน แต่ที่นี่ยิ่งกว่าในหลายๆความหมาย

 

อย่างไรก็ตาม ตอนนี้มันเป็นตอนเช้า

 

เมื่อมองที่นี่ภายใต้แสงอาทิตย์ ป้ายสีชมพูฉูดฉาดก็ดูจะอยู่ในสภาพเลวร้ายด้วยร่องรอยที่ป้ายได้ลอกออก มีชายเมาหัวทิ่มหลับอยู่ด้านหลังอาคาร — เขาตายแล้วหรอ? เขายังมีชีวิตอยู่ สินะ? ใช่ไหม?

 

「ทางนี้」

 

「เย้ยย!」

 

「…อย่าส่งเสียงแปลกๆออกมาสิฟะ」

 

เมื่อพวกเราเข้าไปยังตรอกด้านหลังที่พื้นถนนไม่ได้ปูด้วยหินเลยด้วยซ้ำ มันทั้งมืดสลัวและเต็มไปด้วยกลิ่นเหม็นแถมยังมีแอ่งน้ำสีแปลกๆอยู่บนพื้นอีกด้วย ผมเดินไปโดยที่พยายามไม่เหยียบแอ่งน้ำพวกนั้น

 

「แกเห็นนั่นไหม? กำแพงเมืองยังไงละ เพราะบริเวณนี้อยู่ติดกับกำแพงเมืองและไม่มีทางน้ำประปา มันเลยเป็นพื้นที่ที่มีราคาถูกที่สุดในเมืองนี้เลย」

 

「งั้นหรอครับ…」

 

「และเพราะเป็นสถานที่แบบนั่นแหล่ะ ผู้คนจึงมาทำธุระที่นี่เพื่อหลบสายตาของพวกเจ้าหน้าที่รัฐ หนึ่งในนั้นก็คือ “ฟันกำแพง”」

 

「ฟันกำแพงงั้นหรอครับ?」

 

「ก็ทำลายส่วนหนึ่งของกำแพงและลอดผ่านมันยังไงละ」

 

เข้าใจละ… มันเหมือนกับเป็นวิธีในการลักลอบนี้เอง

 

「…แกดูไม่ตกใจเลยนะ」

 

「มะ-ไม่นะ ผมตกใจมากเลยละครับ โอ้พระเจ้า มีผู้คนที่ทำเรื่องอันตรายแบบนั้นอยู่ด้วย… โอ้พระเจ้าช่วยลูกด้วย」

 

「ละครโง่ๆของแกหลอกใครด้วยใบหน้า “เข้าใจแล้ว” ของแกไมได้หรอก เอาเถอะ ตามข้ามา」

 

เมื่อพวกเราเข้าไปใกล้กับกำแพงเมือง มันมีกระท่อมไม้หลังหนึ่งอยู่พร้อมกับคนประมาณ 5 คนอยู่ด้านหน้าของกระท่อมนั้น

 

ทั้งหมดเป็นผู้ชายและกำลังสูบบุหรี่กันอยู่ มองแว๊บแรกก็รู้ได้เลยว่าคนพวกนั้นเป็นบุคคลน่าสงสัย

 

「โอ๊ะ ออสการ์ จะออกไปข้างนอกอีกแล้วเรอะ?」

 

「ไม่ละ วันนี้ข้าไม่ได้จะออกไป เด็กคนนี้ต่างหาก」

 

เขาดันผมให้ขึ้นมาข้างหน้า แล้วคนพวกนั้นก็มีสีหน้างุนงง

 

「เด็กนี้นะรึ…?」

 

「ข้าก็พูดไปแล้วนี่? เท่าไหร่ละ?」

 

「อืม… ต่อให้เป็นเด็กก็ไม่ได้ถูกหรอกนะ ตามปกติก็ 3 เหรียญทองสหพันธรัฐ」

 

3 เหรียญทองสหพันธรัฐ!? 300,000 เยนเลยนะ!?

 

「ชิ โลภมากจริงนะ เอ้านี่」

 

「ออสการ์ซัง?!」

 

「ข้าไม่ได้เดือดร้อนเรื่องเงินหรอกนะ ไอ้หนู ถือว่าถูกมากถ้าเทียบกับชีวิตของสมาชิกปาร์ตี้ของข้า อีกอย่าง แกควรห่วงเรื่องที่แกจะทำต่อไปหลังจากออกไปได้แล้วจะดีกว่านะ」

 

「เออ ก็คงจะอย่างนั้นหน่ะครับ…」

 

「การข้ามชายแดนไปยังราชอาณาจักรอัศวินนักบุญเป็นเรื่องยากมากจากที่นี่ มันมีแค่ทางเดียวและมีการคุ้มกันหนาแน่นมากๆ ในทางกลับกัน การเคลื่อนไหวภายในสหพันธรัฐคีทแกรนด์นั้นง่ายมาก ดังนั้นมันอาจจะดีกว่าการข้ามชายแดนก็ได้ ยังไงพวกทหารก็ยังค้นหาภายในเมืองนี้ไปสักพักอยู่ดี」

 

「…ครับ ขอบคุณสำหรับทุกสิ่งทุกอย่างนะครับ」

 

「เอ่อ ไปได้แล้ว」

 

ออสการ์จากไปในขณะที่ผมโบกมือลาเขา

 

ผมถูกช่วยไว้ด้วยความใจดีของเขาจนถึงท้ายที่สุด ผมรู้สึกได้เลยว่าผมตอบแทนเขาได้แล้วโดยการรักษาพิษคำสาปให้กับเขา ทว่า ตอนนี้ผมกลับติดหนี้อื่นอีกแล้ว

 

พูดอีกอย่างก็คือ ผมมีเหตุผลให้กลับไปยังซิวเวอร์บาลานซ์มากขึ้นแล้ว

 

「เอาละ เจ้าหนู มาทางนี่สิ เฮ้ เซอรี่ มีลูกค้าแหน่ะ นำทางเขาซะ」

 

เมื่อผมเปิดประตูเข้าไป – สิ่งเดียวที่ผมเห็นได้จากสถานที่นี้ก็คือ – มันมืดไปหมดเลย เมื่อผมปิดประตูลง ก็มีแสงสลัวๆถูกจุดขึ้นมา สะท้อนเพียงแค่ฝุ่นควันที่อยู่ในอากาศเท่านั้น

 

「ให้ตายเหอะ พวกนั้นไม่เคารพพนักงานของตัวเลยสักนิด… โอ๊ะ คุณลูกค้า มาทางนี้สิ」

 

「………」

 

「เป็นอะไรไปรึ คุณลูกค้า?」

 

คนที่ถูกเรียกว่า เซอรี่ – เผ่ามนุษย์สัตว์ – ถามขึ้นมาอย่างงุนงง

 

「โอ๊ะ คุณลูกค้าไม่เห็นทางงั้นรึ? งั้น จะเพิ่มแสงตะเกียงให้ละกัน」

 

เมื่อแสงของตะเกียงเวทมนตร์สว่างมากขึ้น รูปลักษณ์ของคนผู้นั้นก็ปรากฏขึ้น

 

ผมกับเซอรี่ทั้งคู่ต่างก็ตกอยู่ในความเงียบและจ้องมองกันและกัน

 

ผมเคยรู้จักคนๆนี้มาก่อน เป็นคนที่ไรเครียซังเคยให้เงินเอาไว้ในคืนนั้น

 

และคนๆนี้ก็น่าจะรู้จักผมเหมือนกัน ตอนที่เธอเห็นไรเครียซังเดินไปในเมือง ผมเองก็อยู่กับเขาด้วย

 

「แหม… ตกใจจังเลย เธอเป็นหนุมน้อยที่อยู่กับไรเครียซังนี่เอง」

 

ผมเองก็ตกใจ

 

ผมมั่นใจมากว่าในตอนนั้นคนๆนี้เป็นผู้ชายแน่นอน แต่ ความจริงเขากลับเป็นผู้หญิงซะงั้น

 

ถึงเธอจะเตี้ยกว่าไรเครียซัง แต่เธอก็มีร่างกายที่ผอมเพรียวและกล้ามเนื้อที่สมดุล

 

มีหูแมวสองข้างยื่นออกมาบนหัวที่มีผมสั้นสีน้ำตาลแดง แขนเสื้อที่ฉีกขาดนั้นขาดจนถึงข้อศอกของเธอ ดังนั้นจึงสามารถเห็นได้ถึงขนจำนวณมากที่ปกคลุมอยู่ที่แขนของเธอ แถมเธอก็ยังสวมใส่กางเกงรัดรูปและร้องเท้าบูทยาวอีกด้วย

 

มันก็ดูจะเป็นอุปกรณ์สวมใส่เบาๆ แต่มันไม่มีช่องว่างในท่ายืนของเธอเลยแม้แต่น้อย

 

「คุณเป็นพวกพ้องในกลุ่มทหารรับจ้างเดียวกับไรเครียซังใช่ไหมครับ?」

 

「โอ้! หัวหน้าหนุ่มคนนั้นบอกเธอเรื่องนั้นด้วยหรอเนี้ย? ดูเหมือนเธอจะค่อนข้างได้รับความไว้วางใจระดับนึงเลยสินะ หนุ่มน้อย」

 

「ครับ เขาไว้ใจผม… และก็มีบุญคุณกับผมด้วย」

 

บางทีอาจจะเพราะรับรู้ได้จากคำพูดของผม เธอเลยรู้สึกสงสัยขึ้นมา

 

「…หนุ่มน้อย เธอทำอะไรมายังงั้นหรอ?」

 

ผมสายหัวของผมเงียบๆ

 

「ไรเครียซังจากไปแล้วครับ」

 

จากนั้น พวกเราทั้งคู่ก็ตกอยู่ในความเงียบ หลังจากนั้นสักพัก ตะเกียงเวทมนตร์ก็ตกลงมาจากมือของเซอรี่ซังจนเกิดเสียงดัง ตะเดียงเวทมนตร์ – ที่ไม่ได้ใช้ไฟ – ยังไม่ได้ดับไป และก็มีเสียงตะโกนด้วยความโมโหดังขึ้นมาจากด้านนอก “เซอรี่! อย่าบอกนะว่าแกทำตะเกียงพังหน่ะ!”

 

ชายคนก่อนหน้านี้เปิดประตูเข้ามา “อา ลูกค้ายังอยู่ตรงนี้นี่ เฮ้ย เซอรี่ พาเขาออกไปเดี่ยวนี้เลย” เขาพูดแบบนั้นก่อนจะปิดประตูลงอีกครั้ง

 

จากนั้นผมก็เล่าถึงช่วงเวลาสุดท้ายของไรเครียซังให้กับเซอรี่ซัง ผมเองก็ยังรู้สึกไม่แน่ใจในตัวเองเลย

 

เธอพาผมผ่านช่องแคบเล็กๆพร้อมกับฟังเรื่องราวไปด้วยสีหน้ามืดมน พวกเราได้เข้ามาในกำแพงเมืองแล้ว และก่อนที่พวกเรากำลังจะถึงทางออก เธอก็แนบหูของเธอเพื่อตรวจดูว่าไม่มีเสียงอะไรรอบๆ ก่อนจะนำหินออกจากกำแพงด้วยความระมัดระวัง หินก้อนนั้นถูกตัดให้บางและมีด้ามจับจากด้านใน เมื่อเราผ่านเข้าไป เซอรี่ก็วางมันกลับเข้าที่เดิม ตอนที่มองจากข้างนอก ผมแทบจะไม่เห็นความแตกต่างจากส่วนอื่นของกำแพงเลย

 

ดูเหมือนจะมีพุ่มหญ้าสูงห่างออกไป 10 เมตรพร้อมกับเส้นทางตามป่าอยู่ข้างใน เมื่อตามทางไปก็จะพบกับถนนหลัก ทว่า ดูเหมือนจะมีทางแยกอยู่มากมาย ดังนั้นถ้ามาครั้งแรกก็อาจจะหลงทางได้

 

「งั้นหรอ… งั้นหัวหน้าหนุ่ม… ในท้ายที่สุดก็สามารถฆ่าคริสต้าได้ยังงั้นสินะ」

 

เซอรี่ซังนั้นร้องไห้ออกมาขณะที่นำทางผม เธอร้องไห้ออกมาโดยไม่สนเลยว่าผมจะเห็นมันหรือไม่

 

เพราะเป็นผู้รอดชีวิตในกลุ่มทหารรับจาก เธอเองก็อยากจะแก้แค้นคริสต้าเหมือนกัน ทว่าอีกฝ่ายเป็นถึงนักพจญภัยระดับมิธริล และพวกเขาเอง — ถึงจะไม่ได้เตรียมตัว — ก็มีจำนวณคนอยู่ประมาณนึง แต่กลับถูกทำลายล้างโดยคนเพียงคนเดียว ดูเหมือนตัวเธอเองก็เกือบจะย้อมแพ้เรื่องที่จะแก้แค้นไปแล้วอีกด้วย

 

มันก็แน่นอนอยู่แล้ว แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะจัดการกับอีกฝ่ายที่เคลื่อนไหวบนฟ้าได้อย่างอิสระแถมยังยิง【เวทย์ไฟ】ได้เรื่อยๆอีกด้วย

 

เซอรี่ซังเช็ดน้ำตาของเธอด้วยแขนเสื้อก่อนจะมองกลับมาที่ผม หูแมวของเธอที่เป็นสีน้ำตาลแดงเช่นเดียวกับผมของเธอกำลังตั้งตรงมาที่ผม

 

「ถ้าเธอตรงไปจากตรงนี้ เธอก็จะถึงถนนหลัก –หนุ่มน้อย เธอสนใจจะให้ชั้นไปเป็นคนคุ้มกันของเธอไหม?」

 

「เอ๊ะ คนคุ้มกันหรอครับ?」

 

「ใช่แล้วละ “กองทหารรับจ้างคมเขี้ยวทมิฬ” เป็นครอบครัวของชั้น ไม่มีที่ไหนที่สบายใจเท่ากัยที่นั่นอีกแล้ว เทื่อเสียงสถานที่แห่งนั้นไป… ชั้นก็ตกอยู่ในความสิ้นหวังและมีปัญหากับการหาเงินเลี้ยงชีวิตของตัวเอง ตอนนั่นแหล่ะที่ชั้นได้เห็นหัวหน้าหนุ่มที่รอดชีวิตมา แค่มองไปที่ตาของเขา ชั้นก็บอกได้เลยละว่าเขายังไม่ละทิ้งความแค้นจากไอ้สารเลวคริสต้านั่น และในท้ายที่สุดเขาก็ทำสำเร็จ」

 

「………」

 

…แต่ถ้าตายมันก็ไร้ค่านี้

 

ผมอยากจะพูดออกไปแบบนั้น แต่… การล้างแค้นอาจจะเป็นทุกสิ่งทุกอย่างสำหรับพวกเขาที่พวกพ้องถูกสังหารไป เพราะงั้น ผมจึงไม่พูดออกไป

 

「เอาเถอะ มันก็ไม่สำคัญแล้วถ้าเขาต้องตายไปด้วย」

 

「อ๊ะ?! ผมพึ่งคิดที่จะไม่พูดถึงเรื่องแบบนั้นออกไปแล้วแท้ๆนะ!」

 

「เพราะชั้นเป็นมนุษย์เผ่าแมวละนะ ชั้นเลยค่อนข้างเป็นคนง่ายๆสบายๆละนะ」

 

บรรยากาศเครียดๆเมื่อกี้หายไปหมดเลย เซอรี่ยิ่มออกมาด้วยดวงตาที่เปียกชื้น

 

「แต่ก็อย่างที่เธอเห็นนั้นแหล่ะ หนุ่มน้อย ไฟในหัวใจที่ตายไปแล้วของชั้นได้ติดขึ้นมาอีกครั้ง ได้ยินเรื่องราวของเขาแล้วชั้นก็รู้สึกว่าต้องทำอะไรซักอย่างเหมือนกัน ชั้นมั่นใจว่าการที่ได้เจอกับเรย์จิซังแบบนี้ต้องมีเหตุผลอะไรบางอย่าง ได้โปรดให้ชั้นได้เดินทางไปกับเธอเถอะนะ」

 

「แต่ว่า…」

 

「ชั้นแอบได้ยินที่พวกเธอพูดมาก่อนหน้านี้แล้ว ชั้นสามารถนำทางเธอไปยังราชอาณาจักรอัศวินนักบุญหรือราชอาณาจักรครูวานศักดิ์สิทธิ์ หรือจะเป็นที่ไหนก็ได้! เพราะชั้นเป็นหน่วยสอดแนมใน “กองทหารรับจ้างคมเขี้ยวทมิฬ” และได้ไปเที่ยวมารอบโลกแล้ว」

 

จนกระทั้งผมมาถึงตรงนี้ ผมถูกช่วยไว้โดยดันเต้ซัง – ในรูปแบบความช่วยเหลือของออสการ์ซัง และก็อีกครั้งแล้ว ที่ตอนนี้ผมได้ไรเครียซังช่วยเอาไว้ – ในรูปแบบความช่วยเหลือของเซอรี่ซัง

 

「ฮาฮา…」

 

「…เรย์จิซัง?」

 

ไม่ว่าสถานการณ์จะเป็นแบบไหน ผมก็ยังเป็นสมาชิกของซิวเวอร์บาลานซ์ ผมควรจะรับความช่วยเหลือโดยที่ไม่คิดอะไรมาก ใช่ไหม?

 

「เข้าใจแล้ว ขอบคุณมากครับ」

 

「เย้!」เซอรี่ซังกระโดดด้วยความดีใจก่อนจะดีดนี้วของเธอ「งั้นก็ไปกันเถอะ!」

 

ผมเริ่มเดินตามการนำทางของเซอรี่ซัง

 

ผมรู้สึกเหมือนกับไรเครียซังมานำทางด้วยตัวเองเลย ไม่ใช่แค่ไรเครียซังเท่านั้น แต่ผมกำลังเดินไปในเส้นทางที่ถูกเปิดขึ้นโดยทั้งดันเต้ซัง น็อนซัง รวมถึงมิมิโนะซังด้วย

 

ไม่ใช่แค่นั้น

 

มันเหมือนกับเส้นทางที่ถูกถักทอขี้นโดยผู้คน เป็นเส้นทางที่ถูกนำทางโดยทุกๆคน

 

ผมสงสัยจังว่าตอนนี้มิมิโนะซังจะกำลังคุยกับดันเต้ซังเรื่องของผมอยู่รึปล่าว? พวกเขารู้ตัวรึยังว่าดันเต้ซังหายแล้ว? น็อนซังจะกำลังดีใจอยู่รึปล่าว?

 

(ไรเครียซัง คุณอยากจะล้างแค้นแม้จะต้องแลกมันด้วยทุกสิ่งทุกอย่างของคุณ)

 

ผมไม่เข้าใจความรู้สึกแบบนั้นหรอก

 

ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันเป็นเรื่องที่ดีหรือไม่ดีกันแน่

 

ทว่า ผมจะไม่ลืมใบหน้า “สำเร็จแล้ว” ของคุณในวินาทีสุดท้ายนั้น และผมจะยังคงสงสัยต่อไปว่าในตอนนั้นคุณอยากจะพูดอะไรกับผมกันแน่

 

โปรดอภัยให้ผมด้วยที่จากมาโดยที่ยังไม่ได้ไว้อาลัย

 

อืม เท่าที่รู้จักคุณมา ผมมั่นใจว่าคุณจะต้องพูดประมาณว่า “ไปได้แล้ว ไว้อาลัยไม่ได้ทำให้แกอิ่มท้องซะหน่อย”

 

「…เป็นอะไรไป หนุ่มน้อย? เธอดูเหมือนกับจะร้องไห้ออกมาเลย」

 

「ไม่ครับ ไม่มีอะไร แล้วคุณจะก็เลิกเรียกผมว่า “หนุ่มน้อย” ได้ไหมครับ?」

 

「ไม่อะ เพราะเธอยังเป็นเด็กน้อยอยู่เลย มันเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้หรอก」

 

「ช่วยได้สิครับ!」

 

「ไม่ ไม่อะ ช่วยไม่ได้หรอก เนี้ยฮ่าๆๆๆ…」

 

「อา ช่วยไม่ได้ละนะ แล้วทำไมคุณถึงเรียกไรเครียซังว่า “หัวหน้าหนุ่ม” ละครับ」

 

「โอ๊ะ เพราะเขาเป็นหลานชายของหัวหน้า “กองทหารรับจ้างคมเขี้ยวทมิฬ” หน่ะสิ」

 

「โหว…」

 

「โอ๊ะ เธอสนใจงั้นหรอ? งั้น ชั้นจะเล่าเรื่องในกลุ่มทหารรับจ้างให้ฟังก็แล้วกัน! ชั้นไม่หยุดหรอกนะต่อให้เธอบอกให้ชั้นหยุดก็ตาม มันยาวมากเลยละ!」

 

「อะฮ่าฮ่าห์ เล่ามาได้เลยครับ พวกเราต้องเดินทางกันอีกไกลนี่ครับ」

 

ผมไม่รู้ว่าพวกเรากำลังจะไปที่ไหน

 

ทว่า มีสิ่งหนึ่งที่ผมรู้

 

การเดินทางครั้งนี้มันจะต้องยาวนานแน่นอน

 

ถึงแม้ผมจะไม่คาดคิดว่าจะมีเพื่อนร่วมทางมาด้วยก็ตาม

 

ในที่สุด เมื่อสุดทางเดินในป่า ทุ่งหญ้ากว้างก็เข้ามาอยู่ในสายตาของพวกเรา

 

ที่ฝั่งตรงข้าม มีถนนหลักทอดยาวพาดผ่านทุ่งหญ้าที่ราวกับท้องทะเล ไม่อาจทราบได้เลยว่าจะมีอะไรรออยู่ที่อีกฝั่งของทุ่งหญ้าจนกว่าจะไปเห็นด้วยตาของตัวเอง

 

ถ้าเป็นแบบนั้น ผมก็แค่ต้องไป เพราะยังไงซะผมก็เป็นสมาชิกนักพจญภัยของปาร์ตี้ซิวเวอร์บาลานซ์

 

เมื่อสายลมเบาๆได้พัดผ่านมาราวกับจะนำทางให้ ผมก็ได้เริ่มก้าวเดินออกไป

 

 

 

[นิยายแปล] Overlimit Skill Holder – Only A Reincarnator Can Possess The Skill That Exceeds The Limit

[นิยายแปล] Overlimit Skill Holder – Only A Reincarnator Can Possess The Skill That Exceeds The Limit

Options

not work with dark mode
Reset