[นิยายแปล] Overlimit Skill Holder – Only A Reincarnator Can Possess The Skill That Exceeds The Limit – บทที่2 ตอนที่ 37

บทที่ 2 ตอนที่ 37

 

ห้องสำหรับเตรียมพร้อมของคนคุ้มกันที่อยู่ในเขตศักดิ์สิทธิ์ที่ 1 นั้นเต็มไปด้วยคนคุ้มกันมากมาย คนคุ้มกันกว่าร้อยคนกำลังเฝ้ารออยู่ในโถงขนาดใหญ่ที่เกือบจะเป็นโถงงานเลี้ยงนอกบ้านสุดตระการตาอยู่แล้ว

 

เหยือกน้ำผลไม้และน้ำเปล่ามากมายถูกเตรียมเอาไว้บนโต๊ะให้ดื่มกันเอง มีคนคุ้มกันจำนวนนึงเอาเก้าอี้ที่แต่เดิมแล้วอยู่ตรงกำแพงมานั่งล้อมวงกันหลังจากที่ทำการเฝ้ารอไปซักพัก

 

พวกเรามาอยู่ที่นี่ได้ 1 ชั่วโมงแล้ว แม็กซิมซังกับเพื่อนของเขาไปรวมตัวกันเพื่อพักผ่อน ส่วนผมนั้นฆ่าเวลาโดยการตรวจสอบพวกคนคุ้มกันคนอื่นๆเอา

 

คนคุ้มกันนั้นไม่มีชุดเครื่องแบบเหมือนกับภาคีอัศวินหรอก และถ้าเป็นอัศวินของตระกูลใดๆเหมือนกับกัปตันแม็กซิมกับเพื่อนๆของเขาละก็ จะสามารถเห็นพวกเขาสวมชุดเกราะแบบเดียวกันด้วยเช่นกัน ทว่า มันมีบางคนที่ทำให้ผมสงสัยว่าคนพวกนั้นเป็นคนคุ้มกันจริงๆหรือเปล่าอยู่ด้วย – คือพวกเขาไว้ผมทรงโมฮ๊อกแดงแปร๊ดเลยหน่ะสิ

 

「เครื่องดื่มที่นี่มันอร่อยชะมัด เฮี้ยฮ่า…」

 

ผมเกือบจะผ่นน้ำออกมาในตอนที่ได้ยินใครสักคนพูดแบบนั้นเลย ไอ้ “เฮี้ยฮ่า” นี้มันอะไร คำพูดติดปากหรอ? หรือว่าสำเนียง? หรือว่าคำหยาบงั้นหรอ?

 

「คุณคนคุ้มกันตระกูลซิวลิซส์–」

 

「เฮี้ยฮ่า!?」

 

อยู่ๆก็มีมือมาจับไหล่ของผมจนเผลอหลุด “เฮี้ยฮ่า” ออกไปเลย มันทำให้ผมผ่นน้ำออกมาเล็กน้อยด้วย ดังนั้นผมก็เลยรีบเอาผ้าเช็ดมือออกมาจากกระเป๋าแล้วเช็ดมันทันทีเลย

 

「“เฮี้ยฮ่า”…?」

 

「มะ-มะ-ไม่มีอะไรครับ มีอะไรให้ช่วยหรอครับ?」

 

มองกลับไปก็เห็นคนคุ้มกันของคุณชายอีธาน—คนคุ้มกันเผ่าฮาร์ฟลิงคนนั้น

 

เธอสวมใส่ชุดเกราะแบบเดิมกับที่ใส่ในงานเลี้ยงครั้งนั้น และยังสวมชุดคลุมที่มีตราสัญลักษณ์ของตระกูลเอเบนอยู่ที่หลังด้วย

 

เหล่า 6 ดยุคผู่ยิ่งใหญ่นั้นจะสวมอุปกรณ์ราคาแพงที่แตกต่างจากตระกูลขุนนางอื่นๆ ดังนั้นมันจึงสามารถสังเกตได้ง่ายเลย เอาจริงๆนะ เธอดูดีมากเลยละ

 

(เห็นฮาร์ฟลิงหญิงคนนี้แล้วก็นึกถึงมิมิโนะซังเลย…)

 

「ชั้นมีชื่อว่าเลเลนอร์ คนคุ้มกันของตระกูลเอเบน ช่วยบอกชื่อของนายได้ไหม?」

 

「อา–ครับ ผมชื่อเรย์จิ ก็อย่างที่คุณทราบ ผมเป็นคนคุ้มกันของตระกูลซิวลิซส์ครับ」

 

「หืมม งั้นหรอ งั้นนายก็คือเรย์จิคุงสินะ」

 

หืมม? นอกจากนี้ ไม่ใช่ว่าคนๆนี้โบกมือให้กับผมในงานประชุมคนคุ้มกันด้วยไม่ใช่หรอ?

 

เราเคยเจอกันมาก่อนงั้นหรอ… ไม่อะ ไม่มีทาง ถ้าเธอเป็นฮาร์ฟลิงละก็ ผมก็นึกออกแค่มิมิโนะซังเท่านั้น ตั้งแต่แรกแล้วผมไม่มีทางลืมอะไรได้เด็ดขาดตั้งแต่ที่ผมมี【World Ruler】แล้วด้วย

 

「คุณรู้จักผมยังงั้นหรอครับ?」

 

「อืม จริงๆแล้ว…」

 

เมื่อเธอพูดออกมาแบบนั้น – ทั่วทั้งห้องก็ตกอยู่ในความมืดมิดราวกับไฟดับ ทุกคนต่างมองขึ้นไปบนเพดาน ทว่าด้วยที่มันยังเป็นตอนเช้าอยู่ ดังนั้นตระเกียงเวทมนตร์ก็เลยยังไม่ได้ใช้งาน พึ่งแค่แสงจากดวงอาทิตย์ด้านนอกเท่านั้น

 

มันได้กลับมาสว่างอีกครั้งในไม่ช้า แต่พูดอีกอย่างก็คือ ท้องฟ้านั้นได้มืดดับไปชั่วแวบนึง

 

「เมื่อกี้มันอะไรกัน? …เรย์จิคุง เป็นอะไรไปหน่ะ?」

 

「…ผมรู้ไม่ดี」

 

ความมืดนั้นผิดธรรมชาติเกินไป ในวันนี้ดวงอาทิตย์นั้นส่องสว่างเต็มที่ ดังนั้นมันจึงไม่มีทางที่เมฆขนาดใหญ๋จะบดบังดวงอาทิตย์ได้เลย

 

ความรู้สึกไม่ดีเริ่มถาโถม

 

จะว่าไปแล้ว เอิร์ลชายแดนเองก็พูดว่าวันนี้จะนองเลือดกันด้วย

 

สัญชาตญาณดิบมักจะถูกต้องเสมอ ยิ่งเป็นเรื่องที่เกี่ยวพันกับชีวิตด้วย

 

เมื่อผมเข้าไปใกล้หน้าต่าง มีคนคุ้มกันหลายคนที่มองออกมานอกหน้าต่างเช่นกัน หนึ่งในนั้นก็คือกัปตันอาเธอร์

 

「กัปตันอาเธอร์ครับ เมื่อกี้มันเกิดอะไรขึ้นกันครับ?」

 

「………」

 

อาเธอร์ยังคงนึ่งเงียบมองออกไปที่ด้านนอกแม้ผมจะเรียกเขา สายตาของเขาตรงไปยังพระราชวังศักดิ์สิทธิ์

 

「คุณพอจะรู้อะไรมั้งไหมครับ?」ผมถามอีกครั้ง

 

「ไม่… ไม่มีทาง…」

 

「กัปตันอาเธอร์ครับ!」

 

อาเธอร์ที่ได้สติกลับมาจากเสียงของผมก็รู้ตัวสักทีว่าผมกำลังคุยกับเขาอยู่

 

「นะ-นายคนทำความสะอาดคนนั้น…」

 

「มีอะไรเกิดขึ้นที่พระราชวังศักดิ์สิทธิ์ยังงั้นหรอครับ?」

 

「เกิดอะไรขึ้น?」เลเลนอร์ซังถามขึ้นจากด้านหลัง ทว่าอาเธอร์ก็ทำเพียงแค่เอามือปิดปากของเขาและไม่ยอมพูดอะไรเลย

 

วันนี้ก็น่าจะมีแค่งานพิธีมอบหินสกิลเท่านั้นนี้ ถึงจะเป็นงานพิธีกรรม แต่มันก็เป็นสิ่งที่พวกเขาทำกันทุกปี ดังนั้นถ้ามันจะมีอะไรพิเศษเกิดขึ้น ท่านเอิร์ลก็น่าจะบอกผมเอาไว้ล่วงหน้านี่นา

 

(อะไรที่มันพิเศษกัน?)

 

…เดี๋ยวก่อนนะ มีนี้ บางอย่างที่พิเศษออกไป

 

หินสกิลที่จะถูกมอบให้กับเจ้าชายคลูฟชราท ดูเหมือนมีความเป็นไปได้ที่จะเป็น 7 ดาวหรือสูงกว่า

 

หินสกิลพิเศษ

 

ผมรู้ถึงพลังอำนาจของหินสกิล 6 ดาวดี—พลังที่ลาร์คใช้ในเหมืองที่ 6 นั่น พลังที่สามารถสบั้นคอของมังกร – ที่ถึงแม้มันจะใกล้ตายแล้ว – ได้ในฉับเดียว

 

แล้วถ้ามันเป็น 7 ดาวหรือมากกว่าละ?

 

「กัปตันอาเธอร์… หรือว่าจะเป็นหินสกิลที่จะมอบให้เจ้าชายคลูฟชราทงั้นหรอครับ?」

 

「!?」เอเธอร์ตกตะลึงอย่างมาก

 

「นะ-นาย ทำไมนายถึงรู้เรื่องนั้น…」

 

「อะไรหน่ะ? สกิลอะไรที่จะมอบให้เจ้าชายคลูฟชราทงั้นหรอ?」เลเลนอร์ถามขึ้น

 

「…ไม่ ถ้าเจ้าชายคลูฟชราทเป็นคนรับมันละก็ มันก็น่าจะไม่มีปัญหาอะไร มันสำควรจะเป็นอย่างนั้น…」

 

「ดะ-เดี๋ยวก่อนนะครับ จะเกิดอะไรขึ้นถ้าเจ้าชายคลูฟชราทรับหินสกิลพิเศษนั่นกันครับ? ความมืดที่เกิดขึ้นเมื่อกี้งั้นหรอครับ?」ผมถามออกไป

 

「ข้าก็ไม่รู้…」

 

จากนั้นก็เกิดแรงสั่นไหวขึ้น

 

อย่างที่คาดเอาไว้ เหล่าคนคุ้มกันเองก็รู้สึกถึงความไม่ชอบมาพากลและเริ่มซุบซิบกัน

 

「กัปตันอาเธอร์ คุณไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นใช่ไหมครับ?」

 

「ชะ-ใช่…」

 

「งั้น มันก็มีความเป็นไปได้ที่จะมีบางอย่างที่ไม่คาดคิดกำลังเกิดขึ้นอยู่ในตอนนี้ ใช่ไหมละครับ?」

 

「มันก็…」เอเธอร์ละสายตาไป ทว่าจากนั้นเขาก็「…เป็นไปได้」พูดแบบนั้น

 

จากนั้นเขาก็หันไปทางเหล่าคนคุ้มกันคนอื่นๆ

 

「ทุกคนฟัง! ข้ามีนามว่าอาเธอร์ กัปตันที่สองแห่งภาคีอัศวินศักดิ์สิทธิ์!」

 

เสียงต่างๆภายในโถงนั้นเงียบลง

 

「ข้ายังไม่สามารถอธิบายรายละเอียดให้ได้ในตอนนี้ แต่ว่ามันอาจจะมีปัญหาบางอย่างขึ้นในพิธีมอบหินสกิลในวันนี้ บางอย่างที่ฝ่าบาทกับเจ้าชายคลูฟชราทจะต้องกระทำ ทว่าแผนอาจผิดพลาดได้ โปรดเตรียมพร้อมที่จะเคลื่อนไหวในเร็วๆนี้ด้วย!」

 

…เดี๋ยว เดี๋ยวก่อนนะ!

 

「กัปตันอาเธอร์ ที่ว่า “ต้องกระทำ” นั้นมันหมายความว่ายังไงหรอครับ?」

 

「ไม่… ข้าเผลอหลุดปากไป ลืมๆมันไปซะเถอะ」

 

「คุณรู้ว่าจะมีอะไรอันตรายอะไรจะเกิดขึ้นงั้นหรอครับ?」

 

เหล่าคนคุ้มกันต่างเริ่มส่งเสียงเซ็งแซ่ออกมาอีกครั้งหลังจากได้ยินที่ผมพูด

 

「ไม่หรอก มันไม่ควรจะไปถึงขั้นนั้น」

 

「ความมืดเมื่อกี้ แรงสั่นสะเทือนเมื่อกี้… เห็นชัดๆเลยว่ามันมีบางอย่างเกิดขึ้นนะครับ!」

 

จังหวะที่ผมพูดแบบนั้น ก็เกิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหวขึ้น ผมได้ยินเสียงของบางอย่างถูกทำลายจากระยะไกล

 

(มันมาจากพระราชวังศักดิ์สิทธิ์)

 

แทบจะในทันที ผมก็วิ่งออกไป

 

「อา เดี๋ยว คนทำความสะอาด!」

 

ไม่มีเหตุผลให้ต้องหยุด ผมกระโดดออกทางหน้าต่าง คิดถึงทางที่สั้นที่สุดที่ไปยังพระราชวังศักดิ์สิทธิ์

 

「ทางนี้!」เลเลนอร์ที่กระโดดออกมาหลังจากผมกวักมือเรียก

 

「เลเลนอร์ซัง!?」

 

พวกเราสองคนเริ่มออกวิ่ง

 

หลังจากที่ออกมาจากอาคารไม่นาน พวกเราก็มาถึงกำแพงที่แยกระหว่างพระราชวังศักดิ์สิทธิ์กับเขตศักดิ์สิทธิํที่ 1

 

「ดูนั่นสิ!」

 

ความมืดครื่งวงกลมปรากฏขึ้นจากพื้นของพระราชวังศักดิ์สิทธิ์

 

มันยากที่จะวัดระยะของมัน ทว่าขนาดนั้นน่าจะพอๆกับห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ๋เลย ความสูงเองก็สูงถึง 50 เมตร

 

ไม่มีเหตุผลที่จะสรุปว่ามันไม่ใช่ “เหตุการณ์ไม่ปกติ” อีกต่อไปแล้ว

 

 

 

Options

not work with dark mode
Reset