[บทที่ 1 คดีฆาตกรรมในเมืองหลวง] ห้องรับรองของจวนซีหนานหวังก็หน้าตาเช่นนี้

[บทที่ 1 คดีฆาตกรรมในเมืองหลวง] ห้องรับรองของจวนซีหนานหวังก็หน้าตาเช่นนี้
สำนักพิมพ์โรส

[บทที่ 1 คดีฆาตกรรมในเมืองหลวง]
ห้องรับรองของจวนซีหนานหวังก็หน้าตาเช่นนี้

ซีหนาน[1]มีภูเขาอยู่ลูกหนึ่ง นามว่าลั่วเซียน
ภูเขาลั่วเซียนมีชื่ออันไพเราะ ซ้ำทิวทัศน์ยังงดงาม ช่วงเดือนสามและเดือนสี่ภูเขาทั้งลูกจะถูกปกคลุมไปด้วยต้นไม้ใบหญ้าสีเขียวขจี ยามสายฝนโปรยปรายลงมา ภายในชั่วข้ามคืนดอกไม้ป่าก็เบ่งบานไปทั่ว สายลมพัดเอื่อยบุปผาไหวเอนพาให้คนหัวใจเบิกบาน ช่างเป็นสถานที่ท่องเที่ยวอันเหมาะแก่การทัศนาธรรมชาติโดยแท้
ทว่าน่าเสียดายนักที่ประชาชนในหมู่บ้านเล็ก ๆ ณ ตีนภูเขานั้น พอเอ่ยถึงสถานที่นี้ขึ้นมาเมื่อใด เก้าในสิบคนกลับพากันส่ายหน้า ทั้งยังเตือนคนนอกพื้นที่อีกว่าอย่าได้เข้าไปเฉียดใกล้ ครั้นพอถามถึงเหตุผลต่างคนก็ล้วนตะกุกตะกักไม่ยอมปริปาก จะมีก็แต่ยามประสบพบเจอคนหนุ่มอารมณ์ร้อนซึ่งดึงดันจะเข้าไปให้ได้เท่านั้นที่ยอมเผยความออกมา แท้ที่จริงเมื่อหลายปีก่อนภูเขาลั่วเซียนถูกคนผู้หนึ่งยึดครองเป็นเจ้าของไปเสียแล้วหัวหน้าค่ายบนภูเขานั้นมีนามว่าหวังต้าเป่า เขาเลี้ยงดูลูกสมุนเอาไว้กลุ่มหนึ่งแต่ละคนล้วนดุร้ายป่าเถื่อนไม่ฟังเหตุผล เอะอะก็ลงมือทำร้ายเข่นฆ่าผู้คนอีกทั้งยังมีกระบี่ในมือ เมื่อผู้คนถูกรังแกหลายหนเข้าก็ทำให้ไม่กล้าขึ้นเขาไปถกเหตุผลด้วยอีก จึงคิดเสียว่าอีกฝ่ายเป็นเทพเวินเสิน[2] หลบเลี่ยงได้ยิ่งไกลเท่าไหร่ก็ยิ่งดี ขอแค่เพียงสามารถใช้ชีวิตอยู่อย่างสุขสงบเป็นพอ
โชคยังดีที่ซีหนานมีภูเขามากมาย ป่าไม้ก็กว้างขวาง ขาดภูเขาลูกนี้ไปก็ไม่เป็นกระไร

แต่ถึงแม้ว่าชาวบ้านจะต้องการอยู่อย่างสงบสุข ทว่าหวังต้าเป่ากลับไม่ต้องการเช่นนั้น
เดิมทีเขาเป็นอันธพาลคนหนึ่งในอาณาจักรฉู่ ครอบครัวมีที่ดินมีบ้าน มีสำนักฝึกยุทธ์ ชีวิตความเป็นอยู่สุขสบาย ปกติก็วางอำนาจบาตรใหญ่จนเป็นนิสัย แต่เพราะไม่ทันระวังพลั้งมือฆ่าคนตายระหว่างการทะเลาะเบาะแว้งกลางถนน สร้างความขุ่นเคืองพระทัยแก่องค์เหนือหัวที่กำลังเสด็จประพาสอยู่พอดี จึงจำต้องหลบหนีไปเพื่อรักษาชีวิตเอาไว้ในคืนเดียวกันนั้นเอง จนมาถึงเขตแดนซีหนานและกลายมาเป็นโจรในที่สุด แต่ว่าเขาคุ้นชินกับชีวิตที่มีอาหารการกินอุดมสมบูรณ์ไปเสียแล้ว พอต้องมาอยู่บ้านนอกคอกนาเช่นนี้จึงทำตัวสงบเสงี่ยมอยู่ได้เพียงในช่วงแรก ทว่าเมื่อผ่านไปนานวันเข้าก็ยากที่จะเลี่ยงไม่ให้คิดฟุ้งซ่านได้ เอาแต่จดจ้องอยู่กับการหาโอกาสหวนคืนสู่อำนาจเดิม
ด้วยเหตุนี้เอง ในเวลานี้เขาจึงนั่งอยู่ในเกี้ยวให้คนแบกไปยังจวนของซีหนานหวัง[3] เพราะไม่ว่าใครต่างก็รู้ว่า สำหรับอาณาจักรฉู่แล้ว การดำรงอยู่ของซีหนานหวังต้วนไป๋เยว่เป็นเรื่องล่อแหลมสุ่มเสี่ยงยิ่งนัก

เมื่อครั้งที่ฉู่เยวียนโอรสสวรรค์องค์ปัจจุบันขึ้นครองราชย์ พระชนมพรรษาเพิ่งจะครบสิบแปด ยามนั้นเหล่าขุนนางเก่าแก่ต่างแบ่งกันเป็นฝักเป็นฝ่ายหลายพื้นที่ในซีเป่ย[4] เต็มไปด้วยโจรกบฏและเหตุจลาจล มีเพียงซีหนานที่ยังคงสงบสุขจนถึงขนาดสามารถยื่นมือมาช่วยเหลือในการปราบจลาจลได้เสียด้วยซ้ำ เป็นธรรมดาที่ราชสำนักจะต้องสรรเสริญปูนบำเหน็จเพื่อบำรุงขวัญกำลังใจ มอบให้ทั้งดินแดนและทรัพย์สินเงินทอง ไม่กี่ปีต่อมาบรรดาหวังผู้ครองแคว้นที่ก่อความวุ่นวายพวกนั้นก็ถูกถอดถอนตำแหน่งออกไปจนหมดสิ้น เหลือไว้ก็แต่ต้วนไป๋เยว่แห่งซีหนานที่ไม่เพียงแต่ไม่สูญเสียอะไรเลยเท่านั้น ในทางกลับกันยังได้รับพระราชทานพื้นที่ริมชายแดนทั้งสิบหกจังหวัด อีกทั้งยังได้รับอำนาจปกครองเหนือดินแดนเหล่านั้นตลอดจนพื้นที่ชายแดนอาณาจักรฉู่อีกด้วย
ขุนนางใหญ่ในราชสำนักไม่พอใจเรื่องนี้เป็นอย่างมาก คิดว่าต้วนไป๋เยว่ได้คืบจะเอาศอกเกินไป ทั้งยังมีกองกำลังทหารจำนวนมากอยู่ในมืออีกด้วย จึงควรจะต้องระแวดระวังป้องกันเอาไว้ ไพร่ฟ้าประชาชนเองยังเล่าลือกันว่าซีหนานหวังโหดเหี้ยมทะยานอยาก ไม่แน่ว่าวันใดวันหนึ่งอาจจะสั่งเคลื่อนทัพขึ้นเหนือก็เป็นได้ ถึงตอนนั้นน่ากลัวว่าโอรสสวรรค์ผู้อยู่บนบัลลังก์มังกรจะต้องทรงปวดเศียรเวียนเกล้าเป็นแน่

หวังต้าเป่าเองก็เคยได้ยินเสียงร่ำลือนี้มาด้วยเช่นกัน
ในเมื่ออยู่ในซีหนาน ถ้าเช่นนั้นที่พึ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดย่อมต้องเป็นซีหนานหวัง หากคิดจะอาศัยเขา สิ่งที่ต้องทำเป็นอย่างแรกก็คือการประจบสอพลอ โชคดีที่เวลาประจวบเหมาะกับที่เรือนหลังใหม่ของจวนซีหนานหวังเพิ่งสร้างเสร็จพอดี ดังนั้นตลอดเวลาที่เดินทางมา หวังต้าเป่าจึงกอดสมบัติล้ำค่าที่จะนำมามอบให้เอาไว้ไม่ปล่อย มันเป็นของขวัญอวยพรที่ต้องเสียเวลาในการตระเตรียมถึงครึ่งเดือนกว่าจะเสร็จ อีกทั้งยังต้องฝังในภูเขาอีกหนึ่งเดือนถึงจะถูกเขาขุดขึ้นมาอย่างลิงโลดและแทบจะอดรนทนไม่ไหว
หลังลงจากเกี้ยว หวังต้าเป่าก็เดินตามพ่อบ้านเข้าไปด้านใน รูปแบบโครงสร้างของจวนซีหนานหวังไม่เหมือนกับรูปแบบเรือนธรรมดาทั่วไปของเมืองต้าหลี่ แต่กลับไปคล้ายคลึงกับตำหนักทอง[5] ในเมืองหลวงเสียมากกว่าหากจะกล่าวว่าซีหนานหวังไม่มีใจคิดคดทรยศ เกรงว่ากระทั่งคนเขลาก็ยังไม่เชื่อ
ในสวนดอกไม้เบื้องหน้า เด็กสาวนางหนึ่งในชุดกระโปรงสีขาวอ่อนนุ่มกำลังนั่งเหม่อลอยอยู่ข้างโต๊ะหิน พ่อบ้านกล่าวเตือนเบา ๆ “นั่นเจ้านายอย่าได้ซี้ซั้วมอง”
หวังต้าเป่าพอได้ยินก็ก้มหน้า ทว่าเด็กสาวผู้นั้นสังเกตเห็นคนทั้งสองเข้าแล้วจึงลุกขึ้นถามด้วยน้ำเสียงกระจ่างใส “แขกหรือ”
“ขอรับ” พ่อบ้านตอบ “เขามาแสดงความเคารพต่อหวังเยีย[6] ขอรับ”
เด็กสาวมองขึ้นลงประเมินดูรอบหนึ่ง หวังต้าเป่าเห็นว่านานแล้วนางก็ยังไม่กล่าวอะไร จึงชิงเอ่ยปากชื่นชมก่อนเสียเลย “แม่นางน้อยช่างผุดผาดดั่งบุปผาและหยกงาม รูปลักษณ์สวยสะคราญประหนึ่งเทพธิดาเสียจริง ๆ”
ยังไม่ทันจะขาดคำสีหน้าพ่อบ้านก็เปลี่ยนเป็นขาวซีด เด็กสาวผู้นั้นเอ่ยอย่างเกรี้ยวกราด “ไหนเจ้าลองพูดออกมาอีกทีซิ!”
หวังต้าเป่าสะดุ้งโหยงด้วยความตื่นตระหนก ในใจพลางคิด หรือจะรังเกียจว่าคำกลอนแปดอักษรนี้หยาบกระด้างเกินไป อยากจะให้ใช้กาพย์กลอนหรูหรากว่านี้มากล่าวชม สวรรค์เมตตาด้วยเถิด เขาเป็นแค่หัวหน้ากองโจรเท่านั้นเองนะ ไม่ได้มีความรู้มากมายอะไรกับใครเขาสักหน่อย
“เสี่ยวหวังเยีย[7] โปรดอภัยด้วย แขกท่านนี้มาจากกลางป่ากลางเขาไม่ประสีประสาเรื่องโลกภายนอก” พ่อบ้านรีบกล่าวไกล่เกลี่ย
“…” เสี่ยวหวังเยีย? หวังต้าเป่าตื่นตะลึง
“ฮึ่ย!” สาวน้อย หรือจะพูดให้ถูกคือหนุ่มน้อยกระทืบเท้า แล้วหมุนกายกระฟัดกระเฟียดกลับเข้าเรือนไป

“ปากไม่มีหูรูด!” พ่อบ้านเองก็ถลึงตาใส่เขา “โชคยังดีที่เสี่ยวหวังเยียไม่อยากจะมาใส่ใจอะไรกับเจ้า เดี๋ยวพอได้พบหวังเยียแล้ว ถ้ายังไม่รู้หนักเบาอย่างนี้อีกละก็ ระวังหัวจะหลุดจากบ่า!”
หวังต้าเป่าในใจอัดอั้นไปด้วยความขื่นขม ชาวบ้านร้านช่องต่างก็เล่าลือกันว่าในจวนซีหนานหวังมีเสี่ยวหวังเยียอยู่หนึ่งคน นิสัยใจคอเหมือนกับซีหนานหวังไม่มีผิด ใครจะไปคาดคิดว่าเขาจะโผล่ออกมาด้วยลักษณะเช่นนี้กันเล่า อย่าได้บอกเชียวนะว่าซีหนานหวังเองก็มีรสนิยมชอบสวมกระโปรงเดินเพ่นพ่านไปทั่วบ้านแบบนี้ด้วย
หวังต้าเป่าที่มีความกระวนกระวายใจอัดแน่นอยู่เต็มอกถูกนำทางไปยังโถงรับรองด้านหน้าให้นั่งดื่มชาอยู่ครู่หนึ่ง
หลังจากผ่านไปหนึ่งชั่วธูป[8] ในที่สุดก็มีเสียงฝีเท้าดังมาจากด้านนอก
“หวังเยีย!” ทหารยามภายในจวนส่งเสียงทำความเคารพโดยพร้อมเพรียง
หวังต้าเป่าเองก็ลุกลี้ลุกลนยืนขึ้นมาโค้งคำนับ “ผู้น้อยคารวะหวังเยีย”
“เจ้าก็คือคนที่ขุดเจอสมบัติอย่างนั้นรึ” ต้วนไป๋เยว่นั่งลงบนเก้าอี้ประธานพลางเอ่ยถามไปตามเรื่อง
“เป็นข้าน้อยเองขอรับ เป็นข้าน้อยเอง” หวังต้าเป่าดีอกดีใจเสียจนเก็บอาการเอาไว้ไม่อยู่ สองมือยกประเคนกล่องของขวัญ และยังแอบเหลือบมองซีหนานหวังผู้เป็นที่ร่ำลืออีกด้วย ดวงหน้าหล่อเหลางดงามเรือนร่างสูงใหญ่ สวมใส่ชุดสีม่วงหรูหราสูงสง่า กลิ่นอายเหนือธรรมดาอวลอยู่รอบกาย เพียงแค่มองก็รู้ว่าต้องเป็นผู้หนุนหลังชั้นดีแน่ ๆ
ต้วนไป๋เยว่เปิดกล่อง จากนั้นก็ขมวดคิ้ว “ก้อนหิน?”
“เป็นก้อนหิน แต่มันไม่ใช่ก้อนหินธรรมดานะขอรับ” หวังต้าเป่าแสร้งทำทีมีลับลมคมใน แล้วขยับมาข้างหน้าเพื่อชี้ให้เขาดู
มีเส้นสายอ่อนจางลวดลายพยัคฆ์ร้ายแห่งซีหนานที่กำลังเหยียบมังกรทองตนหนึ่งเอาไว้ใต้กรงเล็บ ไม่จำเป็นต้องเอ่ยออกมาก็เข้าใจความหมาย
ซีหนานหวังเลิกคิ้วไม่พูดไม่จา
หวังต้าเป่าหัวใจเปี่ยมไปด้วยความคาดหวัง
“ดีมาก” หลังจากผ่านไปนานสองนาน ในที่สุดซีหนานหวังก็กล่าวออกมา
หวังต้าเป่าที่ลุ้นระทึกเสียจนหัวใจแทบวายก็ผ่อนคลายลงได้เสียทีเวลานี้คล้ายจะได้เห็นอนาคตอันงดงามที่มีทั้งลาภยศเงินทองอยู่รำไรเลยทีเดียว
“หลังจากนี้มีแผนการจะทำอะไร” ต้วนไป๋เยว่ถามขึ้นอีก
“ก็แล้วแต่โชคชะตาจะพาไปขอรับ” หวังต้าเป่าขยับเข้าไปใกล้ยิ่งขึ้นอีก “หากว่าให้ประชาชนได้เห็นหินก้อนนี้ละก็ มันจะต้องเป็นผลดีต่อหวังเยียเป็นอย่างมากเลยนะขอรับ”
ต้วนไป๋เยว่รับฟังด้วยท่าทีเรียบเฉยไร้อารมณ์ พลางปล่อยให้เขายื่นหน้าเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อย ๆ จนเกือบจะแนบชิดกันอยู่รอมร่อ
“ไม่ทราบหวังเยียเห็นว่าเป็นเช่นไร” ดีที่หวังต้าเป่าหยุดทันเวลาจึงรอดจากการถูกฝ่ามือฟาดจนหน้าหันมาได้อย่างหวุดหวิด
“ไม่เลว ไม่เสียทีที่เป็นอาคันตุกะจากต้าฉู่[9]” ต้วนไป๋เยว่พยักหน้า “หลังจากนี้ก็พักอยู่ที่จวนซีหนานหวังนี่ก็แล้วกัน”
“จริงหรือขอรับ” ไม่นึกไม่ฝันมาก่อนเลยว่าจะมั่วนิ่มเข้าหาจนได้เป็นขุนนางผู้ช่วยได้อย่างง่ายดายแบบนี้ หวังต้าเป่าข่มความปลาบปลื้มยินดีนี้เอาไว้ได้อย่างยากลำบากยิ่ง เกือบจะเป็นลมอยู่รอมร่อแล้ว
“ย่อมต้องจริงอยู่แล้ว” ต้วนไป๋เยว่พยักหน้า หันไปทางด้านนอกแล้วส่งเสียงเรียก “เหยาเอ๋อร์!”
“มีอะไร” เด็กหนุ่มที่อยู่ในสวนดอกไม้ก่อนหน้านี้เดินเข้ามา
“พาแขกไปพักที่ห้องรับรอง” ต้วนไป๋เยว่ตอบ “ถ้าไม่มีคำอนุญาตจากเปิ่นหวัง[10] ก็ไม่ต้องออกไปไหนแล้ว”
“ไปกันเถอะ” เด็กหนุ่มไม่มองเขาสักนิด “เร็วหน่อย อีกเดี๋ยวข้ายังมีธุระอื่นที่ต้องไปทำอีก”
“ขอรับ ๆ ๆ ขอบพระคุณซีหนานหวัง ขอบพระคุณเสี่ยวหวังเยีย” หวังต้าเป่าไม่ทันจะได้คิดว่าอะไรคือ ‘ถ้าไม่มีคำอนุญาตจากเปิ่นหวังก็ไม่ต้องออกไปไหนแล้ว’ ก็รีบร้อนเดินตามออกไปด้านนอก

เห็นเด็กหนุ่มรูปร่างผอมบางแบบนั้น ยามเดินเหินกลับว่องไวยิ่ง ในตอนแรกหวังต้าเป่ายังแค่วิ่งเหยาะ ๆ ไปตลอดทาง แต่ตอนหลังก็ต้องเปลี่ยนมาวิ่งสุดฝีเท้าจนรู้สึกหน้ามืดตาลาย หอบหายใจแฮก ๆ แถมยังเกือบจะหกคะเมนลงไปอีกด้วย
“ถึงแล้ว” เด็กหนุ่มหยุดฝีเท้าพลางกล่าวอย่างรำคาญใจ “เข้าไปสิ”
หวังต้าเป่ามองดูคุกที่มืดสลัวตรงหน้า ร่างทั้งร่างพลันแข็งค้าง
ถ้าเขาจำไม่ผิด เมื่อครู่ซีหนานหวังพูดว่า…ห้องรับรองนี่นา
“นี่เป็นเรื่องเข้าใจผิดอะไรกันหรือเปล่าขอรับ” หวังต้าเป่ายิ้มแหยพลางถาม
“ไม่เข้าใจผิดหรอก ห้องรับรองของจวนซีหนานหวังก็หน้าตาเช่นนี้จะเชื่อไม่เชื่อก็ตามใจ” เด็กหนุ่มปัดมือ หันกลับหลังแล้วเดินออกไป “อยู่ที่นี่ตามสบายเถอะ เจ้าไม่อดตายแน่”
“เสี่ยวหวังเยีย…” หวังต้าเป่ายังคิดจะดึงอีกฝ่ายเอาไว้เพื่อขอคำอธิบายเพิ่มอีกสักหน่อย แต่ก็มีทหารยามสองสามนายก้าวเข้ามาล้อมเอาไว้แล้วลากเขาเข้าไปขังในคุกเสียแล้ว

“หวังเยีย” ที่โถงด้านหน้า พ่อบ้านเข้ามารายงาน “มีจดหมายจากเมืองหลวงส่งมาอีกแล้วขอรับ”
“อ้อ” ซีหนานหวังท่าทางดีใจเป็นอย่างยิ่ง ถือโอกาสวางหินก้อนนั้นทิ้งไว้ด้านข้าง แล้วลุกขึ้นเดินไปยังห้องหนังสือ

ทว่าในเวลาเดียวกันนี้เอง ห่างออกไปไกลพันหลี่[11] ฉู่เยวียนโอรสสวรรค์รัชกาลปัจจุบันกลับอารมณ์ไม่ดีเอาเสียเลย
“ฝ่าบาท” ซื่อสี่กงกง[12] ข้ารับใช้ผู้ใกล้ชิดเอ่ยเสียงเบา “สมควรเสวยพระกระยาหารได้แล้วนะพ่ะย่ะค่ะ”
“ไม่อยากกิน บอกให้ห้องเครื่องเก็บกลับไปเถอะ” ฉู่เยวียนรู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อย เขาวางถ้วยชาในมือไว้ด้านข้าง
ซื่อสี่กงกงลอบถอนหายใจ หลังจากโค้งคำนับถวายบังคมก็ช่วยปิดประตูให้อย่างแผ่วเบา
สองปีกว่านับตั้งแต่ขึ้นครองราชย์ ฝ่าบาทเองก็ต้องใช้ชีวิตอย่างตึงเครียดมาโดยตลอด…

ผ่านไปหนึ่งชั่วธูปฉู่เยวียนก็วางรายงานลง พลันเรียกหาทหารองครักษ์หลายนายมาด้วยความโกรธเกรี้ยว แล้วสั่งให้พวกเขาไปขุดต้นเหมยที่อยู่ในอุทยานของตำหนักบรรทมออกไป เอาไปทิ้งให้ไกลที่สุดเท่าที่จะทำได้
หลังจากที่ทุกคนรับคำแล้วต่างก็จัดสรรหน้าที่กันอย่างเป็นระบบ เจ้าเอาพลั่วไป ส่วนข้าจะขุดหลุม นอกจากจะต้องทำอย่างรวดเร็วแล้วยังต้องคอยระวังกอบดินขึ้นมาด้วย ยิ่งไปกว่านั้นจะต้องไม่ทำให้รากของต้นเหมยเสียหายเป็นเด็ดขาด เพราะอย่างไรเสียไม่เกินสามวันฝ่าบาทจะต้องมีพระบัญชาให้เอากลับมาปลูกไว้ที่เดิมอีกตามเคย กระทั่งในฤดูหนาวยังจะหวังให้มันผลิบานอีก เจ็ดแปดปีที่ผ่านมานี้มันถูกปลูกแล้วก็ขุด แล้วก็ปลูกแล้วก็ขุดอยู่แบบนี้ซ้ำไปซ้ำมาไม่หยุดหย่อน ถ้าเปลี่ยนเป็นต้นไม้ธรรมดาทั่วไป ป่านนี้คงแห้งเหี่ยวเฉาตายไปเสียแล้ว แต่ต้นเหมยต้นนี้กลับสามารถเบ่งบานสวยสะพรั่งยิ่งขึ้นทุกปี นับเป็นเรื่องที่หาได้ยากยิ่ง

แม้จะบอกว่าเวลานี้ไม่ใช่ฤดูหนาวแล้วก็ตามที แต่ยามค่ำคืนในเมืองหลวงกลับยังคงหนาวเหน็บเหมือนเช่นเดิม ทุกบ้านล้วนปิดประตูสนิทแน่นแล้วเข้านอนซุกตัวในผ้าห่มแต่หัววัน คืนนี้ยามจื่อ[13] ฝนฤดูใบไม้ผลิตกกระหน่ำเดิมทีเป็นเวลาที่กำลังนอนหลับสบาย แต่จู่ ๆ ในเมืองก็มีเสียงร้องดังลั่นขึ้นมา คนเคาะเกราะบอกโมงยามที่กำลังหวาดกลัวสุดขีดตะเบ็งเสียงจนฟ้าแทบถล่ม “แย่แล้ว มีคนตาย!”

ผ่านไปเพียงไม่นาน ทหารยามลาดตระเวนก็รุดมาถึงที่เกิดเหตุ และได้เห็นว่าภายในตรอกเล็ก ๆ นั้นเต็มไปด้วยเลือด พาให้คนอกสั่นขวัญแขวน ชายผู้หนึ่งในชุดผ้าไหมนอนคว่ำอยู่บนพื้น บนหลังมีมีดปักอยู่ ดูท่าทางน่าจะเสียชีวิตมานานแล้ว
ทหารยามก้าวเข้าไปพลิกกายเขาขึ้น เมื่อเห็นหน้าชัดเจนก็ต้องตกตะลึง พอลองตรวจสอบจนแน่ใจอีกครั้งจึงได้กลับมาแล้วกล่าว “รายงานท่านผู้บัญชาการ ผู้ตายคล้ายจะเป็นเสี่ยวหวังเยียของแคว้นอาหนี่ว์ขอรับ”

________________________________________
[1] ดินแดนทางตะวันตกเฉียงใต้ของจีน ปัจจุบันประกอบไปด้วยฉงชิ่ง เป็นเมืองซึ่งอยู่ในมณฑลซื่อชวน (เสฉวน) อวิ๋นหนาน (ยูนนาน) กุ้ยโจว และเขตปกครองตนเองทิเบต
[2] เทพแห่งโรคระบาดและภัยพิบัติ
[3] “หวัง” หรือ “อ๋อง” ในสำเนียงแต้จิ๋ว คือบรรดาศักดิ์ของเจ้าผู้ครองแคว้นที่มีที่ดินในปกครองแต่ยังคงอยู่ภายใต้อำนาจของหวงตี้ (ฮ่องเต้) ดังนั้นซีหนานหวังจึงหมายถึงเจ้าผู้ครองแคว้นซีหนาน
[4] ดินแดนทางตะวันตกเฉียงเหนือของจีน ปัจจุบันประกอบไปด้วยมณฑลส่านซี กานซู่ ชิงไห่เขตปกครองตนเองหนิงเซี่ยหุย ซินเจียงอุยกูร์ และพื้นที่บางส่วนของมองโกเลียด้านตะวันตก
[5] หมายถึงตำหนักในพระราชวัง
[6] คำสรรพนามเรียกผู้มีบรรดาศักดิ์เป็นหวัง (อ๋อง) ด้วยความเคารพ
[7] คำสรรพนาม หมายถึง “ท่านอ๋องน้อย”
[8] เวลาหนึ่งชั่วธูป หมายถึง เวลาประมาณครึ่งชั่วโมง
[9] หมายถึงอาณาจักรฉู่
[10] สรรพนามแทนตัวของผู้ที่ดำรงตำแหน่งหวัง
[11] “หลี่” หรือออกเสียงว่า “ลี้” ในสำเนียงแต้จิ๋ว เป็นหน่วยวัดความยาวของจีนโบราณ เทียบเท่ากับ 500 เมตร
[12] คำเรียกขานขันทีชั้นสูงในราชสำนัก ใช้เรียกเพื่อแสดงความยกย่อง
[13] ช่วงเวลาระหว่างสี่ทุ่มถึงตีหนึ่ง

เล่ห์กลจักรพรรดิ

เล่ห์กลจักรพรรดิ

เล่ห์กลจักรพรรดิ
Status: Ongoing
อ่านนิยาย เล่ห์กลจักรพรรดิเรื่องย่อ เพราะถือกำเนิดในตระกูลหน่อเนื้อเชื้อกษัตริย์ “ฉู่เยวียน” จึงต้องเดินทางหมากทุกตาด้วยความระมัดระวัง หากว่าพลาดพลั้งเพียงก้าวเดียวก็จะแพ้ราบคาบทั้งกระดาน ชันษาสิบแปดขึ้นครองราชย์ไม่ถึงครึ่งปี อวิ๋นหนานก็เกิดสงครามกลางเมือง แม้เหล่าขุนนางเก่าแก่ในราชสำนักจะคิดอ่านแตกต่างกันไป แต่ทุกผู้ก็ล้วนกำลังเฝ้ารอดูว่า ตี้หวัง พระองค์ใหม่จะทรงยุติเรื่องนี้อย่างไร แต่ใครเล่าจะคาดคิดว่าตี้หวังยังไม่ทันจะได้ลงมือ ไกลออกไปพันหลี่นั้น ซีหนานหวัง “ต้วนไป๋เยว่” ก็ได้นำทัพออกเข่นฆ่าสังหารผู้ต่อต้านเสียแล้ว ใช้เวลาเพียงครึ่งปีก็ปราบปรามจลาจลสงบลงได้ ภายในวังหลวงเงาจันทร์อ่อนจาง ฉู่เยวียน หยดครั่งผนึกจดหมายลับด้วยตัวเองแล้วเร่งส่งไปยังอวิ๋นหนานที่อยู่ห่างถึงแปดร้อยหลี่ “หนนี้ต้องการให้เราใช้สิ่งใดมาแลกเปลี่ยน” ปลายพู่กันตวัดเส้นสายลึกซึ้งทรงพลังจนแทบจะมองเห็นได้ชัดว่ายามขีดเขียนอักษรประโยคนี้ ตี้หวังผู้อ่อนเยาว์กริ้วโกรธถึงเพียงใด ต้วนไป๋เยว่ กางกระดาษออกอย่างเนิบนาบเชื่องช้า ตอบกลับอย่างตรงไปตรงมาเพียงคำเดียวว่า “เจ้า”

Comment

Options

not work with dark mode
Reset