บัลลังก์พญาหงส์ – ตอนที่ 368 บุญคุณ

หลี่เย่ถูกนำตัวเข้าไปพักอยู่ในวังที่อยู่ใกล้กับวังส่วนนอก บางทีอาจด้วยไม่มีคนอาศัยอยู่ ภายในวังนั้นจึงดูเงียบสงบอยู่เล็กน้อย แต่กลับถูกจัดเก็บอย่างเป็นระเบียบ ของที่ควรจะมีก็ยังถือว่าครบ

ขันทีเป่าฉวนยิ้มพลางอธิบาย “ฤดูร้อนปีนี้ก็จะถึงเวลาคัดเลือกนางสนมแล้ว ไทเฮาได้สั่งให้คนในวังหลวงจัดการเก็บกวาดวังที่นี่ให้เหมาะสมขอรับ”

ถาวจวินหลันพยักหน้าอย่างเข้าใจ “มิน่าเล่า ของที่อยู่ข้างในถึงได้สมบูรณ์ครบทุกอย่าง”

“ถ้าของในนั้นมีไม่ครบ บ่าวคงไม่กล้าเสนอให้นำตัวตวนอ๋องมาพักที่นี่หรอกขอรับ ตอนแรกฮ่องเต้ต้องการให้นำตัวตวนอ๋องไปพักที่ห้องบรรทมของฮ่องเต้” ขันทีเป่าฉวนพูดเช่นนี้ด้วยแฝงนัย และพูดอีกว่า “ที่จริงแล้วฮ่องเต้เอ็นดูและรักตวนอ๋องมาตลอด เพียงแค่ไม่แสดงออกมาเท่านั้นขอรับ”

หากเป็นคนที่ไม่ฉลาดหลักแหลม ได้ยินขันทีเป่าฉวนพูดเช่นนี้คงคิดว่าขันทีเป่าฉวนตั้งใจให้เรื่องเลวร้ายลง อย่างไรห้องบรรทมของฮ่องเต้และวังที่อยู่ห่างไกลนั้นก็ได้รับการดูแลที่แตกต่างกันเป็นอย่างมาก

แต่ถาวจวินหลันนั้นเข้าใจดี ขันทีเป่าฉวนทำเช่นนี้เท่ากับช่วยหลี่เย่ ระหว่างพักอยู่ในวังห่างไกลและพักในห้องบรรทมของฮ่องเต้นั้น ระดับการประเมินของคนอื่นก็จะจะแตกต่างกันไป หากหลี่เย่กล้าพักรักษาตัวที่ห้องบรรทมของฮ่องเต้จริง เช่นนั้นวันพรุ่งนี้คงมีคนในเมืองหลวงจำนวนไม่น้อยอิจฉาริษยาจนป่วยไปแล้ว แล้วคงได้เอาเรื่องนี้มาต่อกรกับหลี่เย่เป็นแน่

แม้จะบอกว่าเรื่องนี้อาจจะไม่ใช่ความยินยอมของหลี่เย่ แต่คนเหล่านั้นจะสนใจอย่างนั้นหรือ?

ดังนั้นถาวจวินหลันจึงหันไปขอบคุณขันทีเป่าฉวนอย่างจริงจังอีกครั้งหนึ่ง เกือบขาดแค่เพียงการทำความเคารพอย่างเต็มพิธีแล้ว “ขอบคุณเป่าฉวนกงกง ข้าขอขอบคุณท่านแทนท่านอ๋อง รอจนท่านอ๋องอาการดีขึ้นจะต้องมาขอบคุณกงกงด้วยตนเองอย่างแน่นอน”

ขันทีเป่าฉวนสะบัดมือ ยิ้มและพูดว่า “ที่พูดเรื่องนี้บ่าวไม่ได้ทำเพื่ออยากได้รางวัล เพียงแค่อยากเตือนชายารองเท่านั้นเอง เพียงให้ชายารองคิดเรื่องนี้บ้าง เรื่องขอบคุณนั้นท่านอ๋องเคยมอบตำรายาฉบับหนึ่งเอาไว้ให้ รักษาโรคประจำตัวของบ่าวที่เป็นมานาน จะต้องเป็นบ่าวที่ต้องขอบพระคุณท่านอ๋องถึงจะถูก”

ถาวจวินหลันยังคงขอบคุณอีกครั้งแล้วถึงได้เลิก

ตอนที่พูดคุยกันอยู่ก็เดินมาถึงหน้าห้อง ขันทีเป่าฉวนนิ่งเงียบไม่พูดจา ทางด้านถาวจวินหลันนั้นก็ไม่พูดอะไรอีก หากมีคนเห็นว่านางและขันทีเป่าฉวนสนิทสนมกันมากเกินไป ก็คงมีเรื่องให้เอาไปพูดคุยกันในวังเพิ่มขึ้น

เหมือนกับคำเตือนของขันทีเป่าฉวน นางควรมีความคิดเรื่องนี้ในใจอยู่บ้าง

ที่ทำให้ถาวจวินหลันแปลกใจก็คือ ฮ่องเต้ยังคงอยู่ในห้อง และเมื่อดูท่าทีนั้นเหมือนว่าพ่อลูกทั้งสองคนกำลังสนทนากันอยู่

ในเมื่อเป็นสถานการณ์เช่นนี้ แน่นอนว่าคงไม่ดีหากนางบุ่มบ่ามเข้าไป จึงได้ยืนรออยู่ด้านนอกประตู แม้ในใจจะรีบร้อนอยากไปดูอาการหลี่เย่ว่าเป็นอย่างไรบ้าง แต่ก็จนปัญญา

ขันทีเป่าฉวนเหลือบมองถาวจวินหลันวูบหนึ่ง กลับไม่ได้มีท่าทีจะเข้าไปรายงานข้างใน เขาก็ยืนรออยู่บริเวณด้านนอกประตูเหมือนกัน ความคิดของเขาเหมือนกับถาวจวินหลัน เวลานี้หลี่เย่สามารถพูดได้แล้ว ฮ่องเต้ย่อมสนใจมาก อีกทั้งนี่ก็เป็นโอกาสอันดีที่พ่อลูกจะได้สานสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน

ขันทีเป่าฉวนตามฮ่องเต้มานานหลายปี แน่นอนว่าต้องรู้ว่าฮ่องเต้นั้นมีความคิดเช่นไรกับหลี่เย่แอบแฝงอยู่ ก่อนหน้านี้หลี่เย่พูดไม่ได้ ต่อให้พ่อลูกทั้งสองคนได้เจอหน้ากันก็กระอักกระอวนอยู่ดี เมื่อเวลานี้มีโอกาสได้ปรับเข้าหากัน ฮ่องเต้ย่อมไม่มีทางปล่อยไป

ที่จริงแล้วในบรรดาลูกชายทั้งหลาย นอกจากองค์ชายเจ็ดที่อายุยังน้อยแล้ว ความสัมพันธ์ระหว่างองค์ชายที่เป็นหนุ่มกับฮ่องเต้ก็ไม่นับว่าสนิทนัก นี่แทบจะเป็นปมหนึ่งในหัวใจของฮ่องเต้เลยทีเดียว

เวลาผ่านไปนาน ฮ่องเต้ก็มีท่าทีคล้ายจะออกมา เสียงพูดคุยภายในห้องนั้นค่อยๆ หยุดลง

ขันทีเป่าฉวนถึงได้เคาะประตูและรายงานว่า “ชายารองตวนอ๋องถาวซื่อมาพ่ะย่ะค่ะ”

ฮ่องเต้ที่อยู่ข้างในพูดว่า “เข้ามาเถิด”

ขันทีเป่าฉวนได้ยินเช่นนั้นจึงผลักประตูเปิดออกและเชิญให้ถาวจวินหลันเข้าไป

ถาวจวินหลันสูดหายใจลึก กดความรู้สึกหลากหลายภายในใจเอาไว้ พยายามรักษาความสงบนิ่ง เมื่อเข้าไปก็ไม่พุ่งเข้าไปหาหลี่เย่ เพียงแค่ก้มหัวทำความเคารพฮ่องเต้เท่านั้น

ฮ่องเต้สะบัดมือ “ตามสบายเถิด”

ถาวจวินหลันถึงได้เงยหน้าขึ้นมา และรีบมองไปยังหลี่เย่ เห็นว่าบริเวณศีรษะของหลี่เย่มีผ้าพันแผลสีขาว นางพลันรู้เลยว่าหัวคงถูกกระแทกเข้า และเห็นว่าเขาใช้สายตาอบอุ่นทอดมองมายังตนเอง ก็ไม่รู้ว่าทำไมในใจถึงได้รู้สึกน้อยใจขึ้นมา ฉับพลันดวงตาก็ร้อนผ่าวเช่นเดียวกัน

แต่นางกลับไม่กล้าเสียมารยาทต่อหน้าพระพักตร์ จึงพยายามเก็บอาการอยากร้องไห้เอาไว้และมองไปยังส่วนอื่นของร่างกายตนเอง

ฮ่องเต้มองดูอยู่ข้างๆ อย่างชัดเจน เพียงแค่ปราดเดียวก็มองเห็นความเป็นห่วงเป็นของถาวจวินหลันต่อหลี่เย่ พยักหน้าและคิดว่า ที่แท้ก็เป็นคนดี จะเข้าจะออกก็มีมารยาท ไม่ใช่ว่าจะเอาออกหน้าออกตาไม่ได้ เรียกให้มาดูแลเจ้ารองก็วางใจได้

เพราะคิดว่าบางทีสามีภรรยาทั้งสองคนคงอยากสนทนาส่วนตัวกัน ดังนั้นฮ่องเต้จึงคิดจะจากไปอย่างรู้งาน อีกทั้งมีบางเรื่องที่รอเขาไปจัดการดูแลอยู่

แต่ก่อนฮ่องเต้ไปกลับพูดกำชับออกมาประโยคหนึ่ง “ขาของเจ้ารองได้รับบาดเจ็บ หมอหลวงบอกว่าภายในครึ่งเดือนนี้ขยับไปไหนไม่ได้ จำต้องพักอาศัยอยู่ในวังหลวง ถาวซื่อเองก็อยู่ที่นี่เพื่อดูแลเขาเถิด เป่าฉวน เจ้าไปคัดเลือกนางกำนัลที่คล่องแคล่วมาดูแลตวนอ๋องด้วยตัวเจ้าเอง” ประโยคสุดท้ายฮ่องเต้หันไปกำชับขันทีเป่าฉวน

ขันทีเป่าฉวนรีบรับปาก และพูดว่า “ถ้ามิเช่นนั้นก็ดึงคนจากโรงครัวมา ท่านอ๋องต้องรักษาตัว เรื่องอาหารการกินก็มีข้อห้าม และจะต้องได้รับการบำรุง มีนางกำนัลจากโรงครัวมาก็จะสะดวกมากพ่ะย่ะค่ะ”

ถาวจวินหลันมองไปยังขันทีเป่าฉวนอย่างซาบซึ้ง ในใจคิดว่า คนผู้นี้ได้รับความเชื่อใจจากฮ่องเต้ไม่ด้วยมีเหตุผล ความคิดละเอียดอ่อนถึงเพียงนี้ไม่ใช่สิ่งที่ทุกคนสามารถทำได้

ฮ่องเต้ได้ยินเช่นนั้นก็มองขันทีเป่าฉวนอย่างชื่นชม “เจ้าไปจัดการเถิด ตวนอ๋องอยู่ที่นี่ เจ้าก็วิ่งไปมาหลายรอบเสียหน่อย ขาดเหลืออะไรเจ้าก็จัดการเพิ่มเติมให้เรียบร้อย ไม่จำเป็นต้องมารายงานข้าทุกครั้ง”

หยุดไปครู่หนึ่งก็ฉุกคิดเรื่องหนึ่งได้ มองไปทางหลี่เย่และพูดว่า “วันนี้มื้อเย็นพวกเราพ่อลูกก็ร่วมโต๊ะด้วยกันเถิด” พอพูดจบฮ่องเต้ก็ไม่รั้งตัวอยู่อีกต่อไป ลุกขึ้นเตรียมตัวเดินไปข้างนอก

หลี่เย่พูดอมยิ้ม “ทูลลาเสด็จพ่อ”

แต่ว่าตอนที่พูดนั้นถาวจวินหลันจับสังเกตได้ว่าเขาตั้งใจพูดไม่ชัด งึมๆ งำๆ อีกทั้งแต่เดิมที่คอได้รับบาดเจ็บจนเสียงแหบแห้งก็ฟังไม่ค่อยชัดเท่าไร

แต่กลับเหมือนคนที่เริ่มเรียนวิธีการพูดอย่างไรอย่างนั้น อย่างไรหลี่เย่ก็ไม่ได้เอ่ยปากพูดมาหลายปี แม้ว่ายามนี้จะ “หาย” แล้ว แต่ก็ต้องค่อยๆ ปรับตัว เรียนตั้งแต่เริ่มมิใช่หรืออย่างไร? มิเช่นนั้นก็จะดูกะทันหันมากเกินไป

ถาวจวินหลันคิดเช่นนี้ ใบหน้าก็ส่งเสด็จฮ่องเต้ด้วยความสงบนิ่งเช่นเดียวกัน

อารมณ์ของฮ่องเต้ดูเหมือนค่อนข้างดี แม้ว่าหลี่เย่จะได้รับบาดเจ็บ แต่พ่อลูกสามารถพูดคุยสนทนากันได้ก็ทำให้ฮ่องเต้รู้สึกยินดีเป็นอย่างมาก

พอฮ่องเต้เพิ่งเดินออกไป มือและขาของถาวจวินหลันก็เข้าไปใกล้หลี่เย่ รีบถามอย่างร้อนรนว่า “นอกจากบาดแผลบนศีรษะและบาดแผลที่ขาแล้ว ยังมีส่วนไหนได้รับบาดเจ็บอีกหรือไม่?”

เมื่อครู่นี้นางสังเกตได้ว่าริมฝีปากของหลี่เย่ซีดเผือด นี่เป็นท่าทีของคนเสียเลือดไปเป็นจำนวนมาก ดังนั้นจึงเริ่มไม่วางใจ

“ข้อศอกถูกธนูแทงเข้าไป แต่ว่าไม่ได้เป็นอะไรมาก บาดแผลก็ไม่ได้ลึก” หลี่เย่อมยิ้มพลางพูดออกมา และยังยืดข้อศอกให้นางดู “แต่ว่าเจ้าไม่ต้องเป็นกังวลไป ไม่ใช่บาดแผลที่หนักหนาอะไรนัก”

ถาวจวินหลันได้ยินเขาพูดเช่นนั้นน้ำตาก็ไหลออกมาในทันใด อยากทุบอกของเขาสักสองสามทีเพื่อระบายอารมณ์ แต่ก็กลัวว่าเขาจะได้รับบาดเจ็บ จึงเพียงแค่นั่งเช็ดน้ำตาที่ไหลลงมาอาบแก้มของตน พลางถามเขาด้วยน้ำเสียงสะอึกสะอื้น “นี่ไม่รุนแรง แล้วอะไรถึงเรียกว่ารุนแรง? ขาของท่านขยับไปไหนไม่ได้ครึ่งเดือน นี่ยังบอกว่าไม่รุนแรงอีกอย่างนั้นหรือ? เหตุใดท่านถึงไม่ระวังเลยเล่า? ท่านรู้หรือไม่ว่าข้าเป็นกังวลมากเพียงใด?”

ที่น่าโมโหที่สุดก็คือเขายังมีสีหน้าเมินเฉย เขาไม่รักษาชีวิตของตนเองเลยแม้แต่น้อย! ถาวจวินหลันรู้สึกโมโห และอยากตีเขาสุดกำลัง เพื่อเรียกสติเขากลับมา

ไม่รอให้หลี่เย่ได้พูดอะไร นางก็บี้ถามด้วยท่าทางโหดเ**้ยม “ท่านพูดซี เหตุใดท่านถึงได้รับบาดเจ็บ! เพราะว่าเรื่องที่ท่านทำอยู่ใช่หรือไม่?”

หลี่เย่รู้สึกสงสารที่นางร้องไห้เช่นนี้ ทว่าในใจก็พอใจเป็นอย่างมาก แต่ด้วยคิดถึงอารมณ์ของถาวจวินหลัน สุดท้ายแล้วเขาก็ต้องบังคับหยุดความพอใจของตนเอง พยายามให้ตนเองดูไม่รื่นเริงเกินไปนัก แต่รอยยิ้มในแววตากลับไม่สามารถควบคุมได้

“เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้นเล็กน้อย คิดไม่ถึงว่าข้างกายข้าจะมีคนจัดการเตรียมสายลับเอาไว้ ถูกคนรู้แผนการของข้าเข้า ถึงได้รับบาดเจ็บเช่นนี้ แต่ว่าบาดแผลที่ศีรษะและขสเกิดจากการตกลงจากหลังม้า มีเพียงแค่ธนูนั้นที่ถูกคนลอบทำร้ายเอา” ที่หลี่เย่ไม่ได้พูดก็คือถ้าไม่ใช่เพราะว่าตอนนั้นเขากลิ้งลงมาเร็ว เกรงว่าคงเปลี่ยนจากม้าเหยียบขามาเป็นคอของเขาแทน

แน่นอนว่าเรื่องอันตรายเช่นนี้ไม่เหมาะสมที่จะบอกถาวจวินหลันตอนที่ยังมีอารมณ์พลุ่งพล่านอยู่ หลี่แย่แทบจะจินตนาการได้เลย หากพูดออกไปถาวจวินหลันจะมีปฏิกิริยาเช่นไร ดังนั้นเขาจึงจะพยายามผ่อนหนักให้เป็นเบา

ถาวจวินหลันได้ยินว่าเขาตกลงมาจากหลังม้า นางพลันตื่นตกใจ “แล้วยังมีที่ใดบาดเจ็บอีกหรือไม่? จะต้องใช้ยาล้างแผลหรือไม่? มีตรงไหนเจ็บอีกหรือไม่เพคะ? ให้หมอหลวงมาตรวจอาการดูอีกสักหน่อยดีหรือไม่เพคะ”

หากเป็นเพราะละเลยแล้วพลาดบาดแผลที่ไหนไปก็จะไม่ดีเป็นแน่

หลี่เย่ยิ้มและอธิบาย “บริเวณที่ปวดบวมก็ได้ให้หมอหลวงใส่ยาให้แล้ว กระดูกทั่วทั้งร่างก็ให้หมอหลวงตรวจหมดแล้วเช่นกัน นอกจากบริเวณขาแล้วก็ไม่มีบาดแผลอะไรอื่นอีก เจ้าวางใจเถิด”

พูดไปพูดมานางก็เริ่มเกิดอารมณ์พลุ่งพล่านขึ้นอีกครั้ง อดไม่ได้ที่จะต่อว่า “ท่านไม่รักตนเองเช่นนี้ แล้วจะให้ข้าและซวนเอ๋อร์กับหมิงจูทำเช่นไร? หากท่านเป็นอะไรไป จะให้พวกเราแม่ลูกทำอย่างไร? ทำไมท่านถึงทำให้เป็นห่วงเช่นนี้เล่า? ต่อจากนี้หากออกจากจวนไม่อนุญาตให้ขี่ม้าอีก นั่งรถม้าอย่างเดียว!”

สิ่งที่ถาวจวินหลันไม่ทันสังเกตก็คือตอนที่นางมีท่าทีขึงขังเช่นนี้ สายตาที่หลี่เย่มองนางกลับเป็นประกายมากกว่าเดิม แม้แต่ริมฝีปากก็แอบยกขึ้นทำมุม

ถูกนางว่ากล่าวเช่นนี้หลี่เย่ไม่เพียงไม่รำคาญ แต่กลายเป็นว่าแม้แต่น้ำเสียงก็เต็มไปด้วยความขอโทษ “เป็นความผิดของข้า คราวหน้าไม่มีทางเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นอีกแน่นอน ทำให้เจ้าเป็นห่วงแล้ว”

ถาวจวินหลันได้ยินเช่นนั้นก็รู้สึกพอใจขึ้นมา ปาดน้ำตาที่อยู่บนใบหน้าออก นางยิ่งรู้สึกไม่ดีขึ้นไปอีก รีบหันไปข้างหลังแอบเช็ดน้ำตาออกไป หูก็เริ่มเกิดความรู้สึกร้อนเล็กน้อย

คำพูดของนางเมื่อครู่นี้ไม่รู้ว่าถูกนางกำนัลที่อยู่ด้านนอกได้ยินอะไรไปบ้าง? เกรงว่าคราวนี้คงแอบหัวเรานางอยู่ในใจ ให้ตายเถิด อารมณ์พาไปก็ลืมเรื่องนี้ไปเสียได้

บัลลังก์พญาหงส์

บัลลังก์พญาหงส์

ตัวนางเป็นลูกขุนนางนักโทษ ขายตัวเองและน้องสาวเข้ามาเป็นนางกำนัลต่ำต้อยในวัง เถาจวินหลันต้องยอมรับชะตากรรมเช่นนี้จริงๆ หรือ? จะต้องใช้ชีวิตอย่างน่าอัปยศอดสู แล้วตายไปอย่างเงียบๆ เช่นนั้นหรือ? นางจะไม่ยอมให้เป็นเช่นนั้นเด็ดขาด! นางมีทั้งความสามารถและหน้าตาอันงดงาม อำนาจ ครอบครัว ความรัก…นางต้องการมันทั้งหมด! ส่วนพวกปรปักษ์มันจะต้องโดนทำลายจนย่อยยับ!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset