บัลลังก์พญาหงส์ – ตอนที่ 430 ตัดขาด

​ต้องพูดเลยว่านี่คือความแตกต่าง ด้วยเป็นน้องสาวแท้ๆ ถาวซินหลันย่อมถามตรงๆ ไม่อ้อมค้อม แต่องค์หญิงเก้าที่เป็นน้องสะใภ้กลับแฝงไว้ด้วยความรอบคอบและระมัดระวัง สาเหตุก็เพราะไม่ได้โตมาด้วยกัน จึงไม่ได้ใกล้ชิดสนิทสนมถึงเพียงนั้น จากเรื่องนี้เห็นได้ว่าอย่างไรน้องสะใภ้ก็ไม่เหมือนกับน้องสาวแท้ๆ

พูดตามจริงแล้วถาวจวินหลันไม่ค่อยชอบท่าทีระแวดระวังขององค์หญิงเก้านัก จากที่นางดูแล้ว หากปฏิบัติต่อคนนอกก็แล้วไป แต่ในเมื่อเป็นคนในครอบครัวเดียวกัน ก็ควรจริงใจเปิดเผยเสียหน่อย การมาหลอกถามไปมาเช่นนี้กลับยิ่งทำให้ห่างเหินกันมากขึ้น

แน่นอนว่านางรู้นิสัยเช่นนี้ขององค์หญิงเก้าดี อาจมีผลมาจากประสบการณ์ตอนเด็กและสภาพแวดล้อมที่เติบโต แต่ว่านี่กลับเป็นแค่เพียงความชอบในใจของนางเพียงคนเดียวเท่านั้น พอเจอถาวซินหลันไล่ถามเช่นนี้ นางย่อมปิดบังต่อไปไม่ได้ บอกแม้กระทั่งใช้ผ้าเช็ดหน้าทาน้ำขิงมาทำให้น้ำตาไหล “ก็เพียงเพราะไม่อยากให้เรื่องยืดยาว ฮองเฮามีท่าทีแข็งกร้าวเช่นนั้น ข้าย่อมไม่สามารถไปปะทะได้ ก็เหลือเพียงแค่วิธีเดียวที่ใช้ได้แล้ว”

ถาวซินหลันทำปากจู๋ “อย่างไรก็ยังไม่ยุติธรรมนี่เจ้าคะ” อาศัยในวังหลวงมาหลายปี นางย่อมต้องได้ยินชื่อเสียงเรียงนามเรื่องความเ**้ยมโหดของฮองเฮามาไม่มากก็น้อย  หากถาวจวินหลันทำให้ฮองเฮาไม่พอใจขึ้นมา ฮองเฮาจะยกโทษให้ถาวจวินหลันอีกอย่างนั้นหรือ? เกรงว่าคงไม่มีทางให้ถาวจวินหลันได้มีความสุขเป็นแน่

“ก็ไม่ได้ถือว่าไม่ยุติธรรมเท่าไรนัก” ถาวจวินหลันยิ้มอย่างไม่ยี่หระ ชี้นิ้วไปที่องุ่นภายในถาด “ปลอกเปลือกสักสองสามลูกให้ข้าลองชิมเสียหน่อย”

ถาวซินหลันไม่ได้บ่นที่พี่สาวตนเองสั่ง แต่กลับคิดว่าเป็นเรื่องดีด้วยซ้ำไป คนที่ล้มป่วย เกรงว่าคงไม่อยากอาหาร ขอเพียงกินอะไรเข้าไปได้บ้าง นั่นก็ถือว่าไม่น่าห่วงแล้ว นางปลอกเปลือกองุ่น พลางขมวดคิ้วพูดกับถาวจวินหลันว่า “พูดไปแล้ว ช่วงนี้พี่เขยโดดเด่นเกินไปจริงๆ เจ้าค่ะ”

ถาวจวินหลันพยักหน้า ถอนหายใจเบาๆ “ครึ่งหนึ่งนั้นเป็นความตั้งใจของท่านอ๋องเอง อีกครึ่งหนึ่งอาจจะเป็นความตั้งใจของฮ่องเต้ ฮ่องเต้ไม่พอใจองค์รัชทายาท ดังนั้นจึงตั้งใจยกย่องท่านอ๋องมาปะทะกับองค์รัชทายาท”

ท่าทีของถาวซินหลันเคร่งขรึมลงหลายส่วน แม้แต่การกระทำที่มือก็หยุดลง “ท่านพี่ ท่านพูดความจริงกับข้าเถิด แท้จริงแล้วท่านอ๋องคิดอย่างไรกันแน่เจ้าคะ ถ้าหากว่ายังไม่ได้แต่งตั้งองค์รัชทายาทก็แล้วไป แต่ตอนนี้แต่งตั้งองค์รัชทายาทแล้ว…”

ถาวซินหลันคาดเดาความตั้งใจของหลี่เย่ได้ เพียงแต่ไม่มั่นใจเท่านั้นเอง

ถาวจวินหลันเหลือบมองถาวซินหลันทีหนึ่ง ก่อนพูดช้าๆ ว่า “ข้าจะพูดให้เจ้าฟังเรื่องหนึ่ง แล้วเจ้าจะเข้าใจเอง” นางจึงเล่าเรื่องกู้กุ้ยเฟยท่านแม่ของหลี่เย่และเล่าเรื่องที่หลี่เย่โดนพิษให้ฟังเช่นเดียวกัน

ถาวซินหลันตกอยู่ในภวังค์ไปครู่หนึ่ง แล้วถึงพูดเรียบๆ ว่า “แค้นที่ฆ่าแม่จำต้องชำระ แค้นที่ลอบทำร้ายจำต้องสะสาง”

พอเห็นว่าถาวซินหลันเข้าใจ ถาวจวินหลันถึงพูดออกมาอีกว่า “ที่จริงแล้วแม้ว่าจะไม่มีเรื่องเหล่านี้ เจ้าเองก็เห็นสถานการณ์ตอนนี้อยู่แล้ว นอกจากพวกเราจะต้องเชื่อฟังคำสั่งจากใจจริง และไม่ไปแตะต้องอำนาจอีกแล้ว เกรงว่าคงไม่ได้พบจุดจบที่ดี”

ถาวซินหลันพยักหน้า ท่าทีเข้าใจ “เป็นเช่นนั้นจริงเจ้าค่ะ ที่จริงแล้วองค์รัชทายาทก็เคยคิดจะดึงตระกูลเฉินเข้าพวก แต่ถูกตระกูลเฉินปฏิเสธอ้อมค้อมไปหลายครั้ง ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาจวนเหิงกั๋วกงก็มีท่าทีเป็นปริปักษ์กับตระกูลเฉิน ในตอนนี้ก็ถือว่าฮ่องเต้ไว้ใจ รอจนต่อจากนี้องค์รัชทายาทขึ้นครองราชย์จริง เกรงว่าตระกูลเฉินคงตกอยู่ในสภาพน่ากังวลเป็นแน่เจ้าค่ะ”

“ด้วยเหตุนี้ พวกเราถึงได้แค่ทุ่มสุดแรงให้มากขึ้น” ถาวจวินหลันผ่อนลมหายใจยาว “ในตอนนี้พวกเราเป็นตั๊กแตนที่ถูกแขวนอยู่บนเชือกเส้นเดียวกัน ทำได้แค่ร่วมเป็นร่วมตายแล้ว”

การต่อสู้ของหลี่เย่และองค์รัชทายาทเป็นเรื่องที่ต้องเกิดไม่ช้าก็เร็ว ตระกูลถาว ตระกูลเฉิน และยังมีจวนเพ่ยหยางโหวต่างผูกชีวิตไว้กับหลี่เย่ เพื่อการดำรงอยู่ของตระกูลถาว ถาวจวินหลันย่อมไม่มีทางยินยอมให้หลี่เย่พ่ายแพ้

การต่อสู้ครั้งนี้เกี่ยวข้องกับชีวิตคนมากมายเพียงใด? ยังดีที่หลี่เย่เตรียมพร้อมก่อนหน้านี้มานานหลายปี ในตอนนี้ก็ถือว่าพอฟัดพอเหวี่ยง ฝีมือพอๆ กัน

เมื่อพูดเรื่องนี้ขึ้นมา บรรยากาศพลันเคร่งขรึมและอึดอัดมากขึ้น สุดท้ายแล้วถาวซินหลันก็ยื่นองุ่นเม็ดหนึ่งให้ถาวจวินหลัน สะบัดมือพูดว่า “เอาเถิดเจ้าค่ะ ไม่พูดเรื่องที่น่าเหนื่อยใจเช่นนี้แล้ว ตอนนี้ท่านต้องรักษาอาการเจ็บป่วยให้ดี อย่างไรเรื่องภายนอกก็มีพวกผู้ชายคอยดูแลอยู่ ผู้หญิงอย่างพวกเราดูแลแค่เรือนในไปก็พอแล้วเจ้าค่ะ”

“ยังดีที่เจ้ามาพอดี ข้ากำลังอยากให้เจ้ามาช่วยข้าเปิดโรงทานและโรงยาเสียหน่อย” ถาวจวินหลันคิดถึงสิ่งที่หลี่เย่บอกว่าผู้ลี้ภัยมาถึงนอกเมืองแล้ว จึงรีบเอ่ยเรื่องนี้ขึ้นมา เรื่องนี้นางไม่วางใจให้เจียงอวี้เหลียนไปจัดการเพียงคนเดียว ตอนแรกยังคิดว่าไม่มีวิธีอื่นแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าถาวซินหลันจะมาได้จังหวะพอดี

ถาวซินหลันหน้าดำคร่ำเคร่งถอนหายใจกล่าว “ท่านไม่สบายแล้วยังกังวลเรื่องเหล่านี้อยู่อีก” ตั้งแต่เด็กท่านพ่อบอกว่าถาวจวินหลันเป็นคนที่คิดละเอียดรอบคอบ แต่ก็หมกหมุ่นจนเกินไป มีชะตาชีวิตเหน็ดเหนื่อย ดูแล้วก็เหมือนว่าจะเป็นเช่นนั้นจริง

แต่กลับชวนให้สงสารเป็นอย่างมาก ไม่รู้ว่าเมื่อไรที่ถาวจวินหลันจะใช้ชีวิตอย่างมีความสุขและสงบสุขได้สักที?

ตอนที่พี่น้องสองคนกำลังพูดคุยกันอยู่นั้น ทางด้านเจียงอวี้เหลียนก็มาแล้ว

เจียงอวี้เหลียนมาเอากุญแจและไม้บอกตัวเลข แต่พอเข้ามาในห้องกลับถามเรื่องสุขภาพของถาวจวินหลันอย่างเป็นห่วง “ร่างกายของชายารองดีขึ้นบ้างแล้วหรือไม่? เมื่อวานนี้ได้ยินว่าเจ้าป่วย แต่ตอนนั้นก็เย็นเกินไป ข้าจึงไม่กล้ามารบกวน วันนี้คิดว่าเจ้าต้องรักษาตนเอง ก็เลยไม่กล้ามา ชายารองถาวอย่าได้โทษข้าเลย”

เจียงอวี้เหลียนพูดอย่างจริงใจโดยแท้ แต่ดูแล้วก็รู้ว่าเสแสร้งแกล้งทำอยู่บ้าง

ถาวจวินหลันยิ้มบางๆ “ขอบใจเจ้าที่คิดถึงข้า ตอนนี้ข้าไม่สบาย ต้องลำบากเจ้าคอยดูแลจวนแล้ว ตอนนี้อยู่ในช่วงใบไม้ร่วงเรื่องเยอะพอดี เจ้าจะต้องใส่ใจเสียหน่อย” นางรู้ดีแก่ใจว่า ถ้าตอนเช้านางให้คนส่งกุญแจและไม้บอกตัวเลขไปให้แล้วล่ะก็ เจียงอวี้เหลียนก็คงยังไม่รู้ว่าจะต้องมาเยี่ยมดูอาการนางตอนไหน

นางไม่หวังให้เจียงหวี้เหลียนคาดหวังให้นางหายดีในเร็ววันจากใจจริง เพียงแค่เจียงอวี้เหลียนไม่สาปแช่งนางให้ตายไวๆ ในใจก็ถือว่าดีมากแล้ว

เจียงอวี้เหลียนมองถาวจวินหลันทีหนึ่ง รอยยิ้มยิ่งกว้างขึ้น มองแล้วจริงใจมากกว่าเดิม “ชายารองถาววางใจ ข้าจะต้องไม่สะเพร่าเป็นแน่ เจ้าแค่เพียงรักษาตัวให้ดีเสียเถิด”

หยุดไปครู่หนึ่ง ฉับพลันก็พูดขึ้นมาอีก “ความสำคัญแค่นี้ข้าเองก็พอรู้อยู่บ้าง”

ถาวจวินหลันได้ยินเช่นนี้ก็วางใจขึ้น จึงพยักหน้าพูด “เจ้ารู้ก็ดี” คำพูดของเจียงอวี้เหลียนบอกว่านางเองก็รู้ว่าหลี่เย่อยู่ในตำแหน่งใด จวนตวนอ๋องมีสถานการณ์เป็นเช่นไร นางไม่มีทางลงมือวุ่นวายในตอนนี้

ส่งเจียงอวี้เหลียนกลับไป ถาวซินหลันก็พูดออกมาช้าๆ “ข้าบอกแล้วว่านางต้องไม่ใช่คนดีอะไร เห็นทีคงเป็นเช่นนั้นจริงๆ ท่านดูหน้าตาฝีปากของนาง กลับแตกต่างจากตอนที่รับใช้เบื้องหน้าไทเฮามากนัก ช่างแสดงละครได้เก่งเสียจริง”

ถาวจวินหลันถลึงตามองถาวซินหลัน “เจ้าออกเรือนไปแล้ว ยังไม่รู้จักสงบเสงี่ยมอีกหรืออย่างไร? จะพูดมากเช่นนี้ไปทำไมกัน? นางจะเป็นเช่นไรก็เป็นเรื่องของนาง เกี่ยวอะไรกับเจ้า?”

ถาวซินหลันเบะปากอย่างงอแง แต่ก็รู้ว่าที่ถาวจวินหลันทำเช่นนี้เพราะหวังดีต่อนาง จึงยินยอมอย่างเต็มใจ

แม้ว่าถาวซินหลันจะดูเป็นเด็กไม่สงบเสงี่ยม แต่เวลาลงมือทำอะไรก็ใช้ได้ทีเดียว สมกับที่ปรนนิบัติรับใช้ข้างกายไทเฮามานานหลายปี เวลาจัดการเรื่องอะไรไม่เพียงแค่เหมาะสมแล้วยังรอบคอบอีกด้วย

เรื่องโรงทานและโรงยาอยู่ในการควบคุมของนาง ก็ถือว่าทำได้อย่างสมจริงสมจังถึงบทบาท

ด้วยกลัวว่าจะมีคนตั้งใจมาหลายรอบในหนึ่งวัน ดังนั้นโรงทานของนางจึงตั้งอยู่ไม่ไกลจากโรงทานของราชสำนัก พอคนไปเอาข้าวต้มจากราชสำนักมา ก็มาเอาหมั่นโถวแป้งข้าวโพดจากทางนี้ไปอีกคนละอัน เมื่อทำเช่นนี้ทุกวันก็อาศัยป้ายในการเอาข้าวต้ม หนึ่งป้ายต่อข้าวต้มหนึ่งถ้วย ถ้าไม่มีป้ายก็ไม่มีข้าวต้มให้

และก็เพื่อป้องกันไม่ให้คนเสเพลในเมืองหรือครอบครัวยากจนทำร้ายคนอื่นแฝงตัวมาเพื่อประหยัดอาหาร อย่างไรการที่เปิดโรงทานก็เพื่อให้ผู้ประสบภัยได้มีชีวิตต่อไป ไม่ใช่เพื่อเลี้ยงคนว่างงาน

ที่จริงแล้วข้าวต้มก็เพียงแค่ยืดชีวิตคนออกไปเท่านั้น ถ้าจะพูดว่าเติมท้องให้อิ่มได้ย่อมไม่มีทางเป็นไปได้

ดังนั้นแม้ว่าโรงทานที่ถาวจวินหลันเปิดจะไม่ต้มข้าวต้ม แจกเพียงหมั่นโถวแป้งข้าวโพดเนื้อหยาบ แต่ก็ได้รับคำชมที่ดีดั่งสายน้ำไหล แม้กระทั่งมีคนที่รู้จักบุญคุณเหล่านั้นหันหน้ามาทางจวนตวนชินอ๋องเพื่อทำความเคารพไกลๆ ปากก็เอ่ยขอบคุณไม่หยุด

เมื่อเป็นเช่นนี้ชื่อเสียงของหลี่เย่ตวนชินอ๋องจึงถ่ายทอดไปเรื่อย ภายในช่วงเวลาสั้นๆทั่วทั้งเมืองทั้งภายนอกและภายในก็ชื่นชมติดต่อกัน เรียกได้ว่าชื่อเสียงโด่งดังขึ้นมา

ด้วยองค์รัชทายาทย้ายเข้าไปอยู่ในวังหลวงแล้ว ครั้งนี้จึงไม่ดีที่จะเปิดโรงทานหรือว่ามาแจกอาหารอีก ย่อมแย่งชื่อเสียงตรงนี้ไปไม่ได้

หลังจากฮองเฮากับองค์รัชทายาทแอบพูดคุยกันแล้ว ความอึดอัดขององค์รัชทายาทก็หายไปบางส่วน แต่ก็ยังรู้สึกลังเล “เสด็จแม่ วิธีนี้ใช้ได้จริงใช่หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ? นอกเมืองวุ่นวายเช่นนั้น ลูกว่า”

“ต้องสูญเสียถึงจะได้รับ” ฮองเฮาเขม็งมองท่าทีลังเลขององค์รัชทายาทนิ่ง น้ำเสียงก็เข้มงวดขึ้นมาในทันใด “หรือว่าเจ้าคิดอยากให้เสด็จพ่อว่ากล่าวสั่งสอนเจ้า หรือได้ยินคนอื่นพูดว่าเจ้าสู้หลี่เย่ไม่ได้อีก?!”

องค์รัชทายาทสั่นเล็กน้อย ท่าทีดูแข็งกร้าวขึ้นอีกครั้ง แทบจะเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน องค์รัชทายาทกัดฟันพูดออกมาประโยคหนึ่ง “เสด็จแม่พูดถูกพ่ะย่ะค่ะ! วันพรุ่งนี้ข้าจะไป!”

ท่าทีของฮองเฮาถึงได้ผ่อนคลายลง ตบบ่าขององค์รัชทายาทเบาๆ ช่วยจัดเสื้อผ้าและหมวกให้เขา พูดเสียงอ่อนโยน “แม่จะคิดทำร้ายกับเจ้าได้อย่างไร?  แต่สถานการณ์เป็นเช่นนี้เจ้าเองก็จำเป็นต้องทำเรื่องเหล่านั้น เจ้าจะต้องสู้เสียหน่อย ตอนนี้เจ้าเป็นรัชทายาทแล้ว ยิ่งไม่อาจแพ้หลี่เย่ได้ จำเอาไว้ เขาแสดงออกว่ามีเมตตาเพียงใด เจ้าเองก็ต้องมีเมตตาให้มากกว่าเขา เช่นนี้ถึงจะได้รับคำชื่นชม”

องค์รัชทายาทพยักหน้า ท่าทียังคงดูแข็งกร้าว ฟัดกัดกันแน่น

ฮองเฮาพูดอีกว่า “แล้วยังมีอีก แม้จะบอกว่าตอนนี้หยวนซื่อให้กำเนิดทายาทไม่ได้อีกแล้ว แต่เจ้าก็ต้องไปหานางบ่อยๆ เพื่อภาพลักษณ์ คนอื่นจะได้เห็นความเคารพและความใส่ใจที่เจ้ามีต่อนาง อย่างน้อยก็ไม่อาจให้เสด็จพ่อของเจ้ารู้สึกว่าเจ้าเป็นคนเ**้ยมโหดไร้เมตตาเพราะเรื่องนี้อีก ทางด้านพระชายาองค์รัชทายาทข้าเองก็ได้บอกนางแล้ว เจ้าก็ต้องจำเอาไว้”

องค์รัชทายาทคิดถึงลูกคนนั้นและท่าทีร่ำไห้โอดครวญในตอนนั้นของหยวนฉงหวา เขาพลันก็ใจฝ่อ แต่ทำได้เพียงพยักหน้ารับปาก “ลูกทราบแล้วพ่ะย่ะค่ะ” นิ่งไปครู่หนึ่งก็กล่าวโทษพระชายาองค์รัชทายาท “พระชายาองค์รัชทายาทก็เสียจริง ถ้าไม่ใช่เพราะนางข้าจะเป็นเช่นนี้ได้อย่างไร?”

“เอาเถิดๆ ข้าเองก็ต่อว่านางไปแล้ว” ฮองเฮาปลอบองค์รัชทายาทอยู่ครู่หนึ่ง แล้วถึงได้ให้องค์รัชทายาทออกไป ท้ายสุดสีหน้าก็ดำคล้ำไปอีกครั้ง ในใจคิดว่า ถาวซื่อช่างมีฝีมือดีเสียจริง

บัลลังก์พญาหงส์

บัลลังก์พญาหงส์

ตัวนางเป็นลูกขุนนางนักโทษ ขายตัวเองและน้องสาวเข้ามาเป็นนางกำนัลต่ำต้อยในวัง เถาจวินหลันต้องยอมรับชะตากรรมเช่นนี้จริงๆ หรือ? จะต้องใช้ชีวิตอย่างน่าอัปยศอดสู แล้วตายไปอย่างเงียบๆ เช่นนั้นหรือ? นางจะไม่ยอมให้เป็นเช่นนั้นเด็ดขาด! นางมีทั้งความสามารถและหน้าตาอันงดงาม อำนาจ ครอบครัว ความรัก…นางต้องการมันทั้งหมด! ส่วนพวกปรปักษ์มันจะต้องโดนทำลายจนย่อยยับ!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset