บัลลังก์พญาหงส์ – ตอนที่ 437 กดดัน

​ตอนที่หลี่เย่กลับมา ถาวจวินหลันกลับไม่สนใจถามเรื่องรางวัล แต่ถามเขาก่อนว่า “ทำไม่เมื่อคืนนี้กลับมาเล่า? เพราะว่าเรื่องโรคระบาดนอกเมืองหรือ?”

หลี่เย่ส่ายหัว แสดงท่าทีให้บ่าวรับใช้ออกไปก่อน แล้วถึงพูดเสียงเบาออกมา “เกี่ยวกับเรื่องพิพากษาลงทัณฑ์บนของเสด็จพ่อ”

ถาวจวินหลันตกตะลึง “จะพิพากษาลงทัณฑ์แล้วหรือ?” แม้จะบอกว่านางเคยคิดมาก่อนแล้ว  หากเรื่องภัยพิบัติรุนแรงอย่างนี้ต่อไป ฮ่องเต้คงจะต้องพิพากษาลงทัณฑ์ขอให้สวรรค์เรียกภัยพิบัติครั้งนี้กลับไป และให้อภัยประชาชน แต่คิดไม่ถึงว่าจะเร็วขนาดนี้ สถานการณ์ตอนนี้ไม่ใช่ว่ายังควบคุมได้อย่างนั้นหรือ? ไฉนเลยจะรุนแรงจนถึงขั้นนั้น?

“เสด็จพ่อกลัวว่าจะมีคนบีบบังคับ” หลี่เย่ถอดเสื้อนอกออก เปลี่ยนเป็นชุดสบายๆ แล้วถึงพูดต่อว่า “รัชสมัยก่อนฮ่องเต้เกาจง ไม่ใช่เพราะเกิดมหันตภัยและราชสำนักอ่อนแอไร้ความสามารถ พระองค์ถึงได้พิพากษาลงทัณฑ์แล้วยกเก้าอี้บัลลังก์ให้ลูกชายต่อหรืออย่างไร?”

ถาวจวินหลันเข้าใจความหมายของหลี่เย่ทันที อดไม่ได้ที่จะส่ายหัว ฮ่องเต้ยิ่งเกิดความระแวงในใจมากยิ่งขึ้น นี่ก็กำลังป้องกันองค์รัชทายาทอยู่

นางพูดเรื่องราชสำนักมากไปก็ไม่ดีนัก เพียงแค่เข้าใจบ้างก็พอแล้ว นางกล่าวโทษหลี่เย่ไปอีกรอบหนึ่งเพราะว่าเรื่องยาปี้เซียวตาน สุดท้ายถึงได้พูดว่า “วันนี้ตอนแรกชายารองเจียงเก็บของเตรียมออกนอกเมืองไปหลบภัยแล้ว แต่ไม่รู้ว่าทำไมหลังจากนั้นก็เปลี่ยนความคิด  หากท่านคิดว่าควรส่งเซิ่นเอ๋อร์ออกไปก็ไปพูดกับนางเสียหน่อยเถิดเจ้าค่ะ”

ที่พูดเรื่องนี้อย่างแรกก็ด้วยหวังดีต่อเซิ่นเอ๋อร์ อย่างที่สองก็ไม่ยอมให้เจียงอวี้เหลียนหลอกล่อหลี่เย่ได้อีก หากเจียงอวี้เหลียนรั้งตัวอยู่ต่อเพราะว่าหลี่เย่จริงก็แล้วไป รักเดียวใจเดียวต่อหลี่เย่ก็แล้วไป แต่เจียงอวี้เหลียนไฉนเลยจะเป็นเช่นนั้น?

แน่นอนว่านางเองก็ไม่ปฏิเสธว่าตนเองนั้นก็มีความคิดและแผนการอยู่เล็กน้อย แต่ตอนนี้นางไม่ได้รู้สึกไม่ดี หลี่เย่รู้แล้วอย่างไร? นั่นถือเป็นความคิดในใจของนางตั้งแต่แรก

ในเมื่อเป็นสามีภรรยาก็ควรจริงใจต่อกัน ปิดบังซ่อนเร้นไปก็ไม่มีความหมาย อีกทั้งหลี่เย่เองก็ไม่เคยปิดบังอะไรนาง นางเองก็ควรทำเช่นนั้นบ้าง

“ในเมื่อนางไม่ยินยอม ก็ให้นางอยู่ที่จวนต่อไปเถิด ที่จริงแล้วก็ไม่เห็นว่าจะอันตราย” หลี่เย่กลับโบกมือ เขาไม่คิดอยากจะไปพูดคุยเรื่องนี้กับเจียงอวี้เหลียน

เขาพอจะเดาความคิดของเจียงอวี้เหลียนได้ ด้วยเดาได้ถึงไม่ยอมให้เป็นเช่นนั้น อย่างไรผู้หญิงที่เด็ดเดี่ยวคิดถึงสถานการณ์โดยรวมเหมือนถาวจวินหลันก็ไม่ได้พบได้บ่อย

หยุดไปครู่หนึ่ง หลี่เย่ก็พูดอย่างจริงจัง “ผ่านไปอีกสองสามวันจะเริ่มจำกัดการเข้าออก ช่วงเวลานี้ภายในจวนเองก็ต้องดูประตูห้องหับให้ดี ไม่อนุญาตให้คนไปไหนมาไหนหรือว่าสัมผัสอะไรข้างนอก ถ้าหากพบโรคระบาด ก็แยกเอาไว้ไม่ให้ติดต่อคนอื่นก็พอแล้ว”

ถาวจวินหลันเม้มปากหัวเราะ “ข้าสั่งไปแล้วเพคะ ท่านไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องในจวน มีข้าคอยดูอยู่นะเพคะ”

หลี่เย่ได้ยินอย่างนั้นก็หัวเราะทันที แล้วกำชับนางอีกว่า “ด้วยเหตุนี้ เจ้าถึงควรบำรุงร่างกายให้ดีกว่าเดิม ถ้าไม่มีเจ้าอยู่ที่จวน ข้าอยู่ข้างนอกแล้วจะวางใจได้อย่างไรกัน เจ้าเองก็อย่าลืมกินยาปี้เซียวตานที่ขอมาล่ะ อย่างไรต่อจากนี้ไปก็จะมีของเจ้าเองหนึ่งชุด ยาที่กรมหมอหลวงส่งมาให้ เจ้าเองก็กินอย่างวางใจเถิด ไม่มีคนมาทำอะไรเป็นแน่”

ถาวจวินหลันพยักหน้า แล้วถอนหายใจอีกครั้ง “คราวนี้ไม่รู้จะมีคนมากเท่าไรรู้สึกอิจฉาข้า”

ริมฝีปากของหลี่เย่ยกโค้งขึ้น แสร้งจงใจถามออกมา “มีอะไรน่าอิจฉากัน?”

“อิจฉาที่ข้าแต่งงานกับคนดี” ถาวจวินหลันหลุดหัวเราะดัง แล้วยักคิ้วหลิ่วตาให้หลี่เย่ “ก่อนหน้านี้ไม่มีใครยินยอมเป็นอนุภรรยาของตวนอ๋อง ตอนนี้เกรงว่าคงมีคนไม่น้อยที่เต็มใจ ทุกคนต่างพูดว่าตวนชินอ๋องรูปงามสูงโปร่ง อ่อนโยนเป็นมิตร และเป็นคนที่เอาใจใส่ละเอียดอ่อน ไม่รู้ว่ามีหญิงสาวคิดหมายปองอยู่ตั้งมากมายเท่าไร”

ริมฝีปากของหลี่เย่ยกสูงขึ้น แต่กลับมีแววเยาะเย้ยแอบแฝงอยู่ “แล้วอย่างไร?” ในเมื่อตอนแรกไม่รู้จักมองให้ดี ตอนนี้ก็ไม่มีโอกาสนั้นแล้ว

ถาวจวินหลันแย้มยิ้มกว้างขึ้น ดวงตาทั้งสองข้างก็ยกเป็นมุมโค้ง ในดวงตาเป็นประกาย “เมื่อพูดอย่างนี้ ข้าก็เป็นคนตาดีน่ะซี”

หลี่เย่อมยิ้มพลางจับมือของถาวจวินหลันเอาไว้ ก่อนพูดอย่างจริงจัง “เป็นคนตาดีจริงๆ ” ทั้งสองคนพูดคุยกันอยู่ครู่หนึ่ง หลี่เย่ถึงพูดสถานการณ์ของพวกซวนเอ๋อร์ว่า “ซวนเอ๋อร์และหมิงจูให้จิ้งหลิงเลี้ยงดูอยู่ ไม่มีอะไรที่ไม่คุ้นชิน และเลี้ยงเป็นอย่างดี เจ้าเองก็ไม่ต้องเป็นกังวลมากนัก รอจนโรคระบาดหายไปแล้ว ก็ให้คนไปรับพวกเขากลับมา”

ถาวจวินหลันพยักหน้า ในใจรู้สึกว่างเปล่าเล็กน้อย จะบอกว่าไม่คิดเป็นกังวลก็ถือว่าโกหก แต่ตอนนี้ก็ถือว่าเป็นสถานการณ์ที่ดีที่สุดแล้ว อย่างน้อยก็ปลอดภัยไร้กังวล

“ท่านว่าโรคระบาดครั้งนี้จะเป็นอย่างไรเพคะ? จะมีคนเสียชีวิตเยอะหรือไม่?” ตอนที่ถาวจวินหลันถาม นางก็ไม่ได้มั่นใจนัก กลับดูเลื่อนลอยอย่างมาก จะต้องรู้ว่าความเป็นจริงแล้วทุกครั้งที่มีโรคระบาดเกิดขึ้น คนที่เสียชีวิตนั้นมากมายจนนับไม่ถ้วน สิบชุมชนว่างไปแล้วเก้า ที่พูดถึงนั้นคือสถานการณ์ตอนที่โรคระบาดหนักขึ้น คนในหนึ่งเมืองแทบจะสวมชุดไว้ทุกข์ทั้งหมด

เมื่อคิดถึงเรื่องพวกนี้ ถาวจวินหลันก็กลัวจนตัวสั่น

เมื่อได้ยินประโยคคำถาม หลี่เย่ก็ปรับเปลี่ยนท่าทีจากรอยยิ้มอบอุ่นเมื่อครู่นี้ กลายเป็นเคร่งขรึมจริงจังทันที คนที่เห็นก็รู้สึกห่อเ**่ยวตามไปเช่นกัน

ใบหน้าของหลี่เย่ไม่มีรอยยิ้มแม้แต่นิดเดียว “หากกรมหมอหลวงคิดเทียบยาออกมาได้โดยเร็วก็จะสามารถควบคุมได้ ถ้าหากไม่มีเทียบยาใครจะไปรู้ว่าสถานการณ์ต่อไปจะเป็นเช่นใด”

ถาวจวินหลันก็นิ่งเงียบไปเช่นเดียวกัน

ตอนที่กำลังพูดคุยอยู่ บ่าวด้านนอกก็รายงานเสียงดัง “คุณหนูกู้มาเจ้าค่ะ”

ถาวจวินหลันมองหลี่เย่ทีหนึ่ง เลิกคิ้วสูงพลางพูดว่า “รีบเชิญเข้ามา” ตอนนี้หลี่เย่จะหลบไปก็ย่อมไม่ทัน ดังนั้นจึงทำได้แค่พบหน้ากู้ซีเล็กน้อย พูดไปแล้วก็เป็นญาติกัน ไม่จำเป็นต้องหลบหน้ามากนัก

แต่จำต้องพูดเลยว่า ชั่วยามที่กู้ซีมานั้นช่างบังเอิญเป็นอย่างมาก ทั้งมาทันตอนที่หลี่เย่กลับมาแล้ว และทันเวลาอาหารเย็นพอดี

เพียงไม่นานกู้ซีก็เข้ามา เสื้อสีเขียวน้ำทะเล กระโปรงสีเหลืองอ่อน มองไปแล้วเป็นเหมือนต้นหลิวสีเขียวอ่อนที่เพิ่งออกดอกแตกกิ่งก้าน บวกกับท่าทางอ่อนแอที่มีอยู่แต่เดิม ท่าทีหวาดกลัว และสายตาที่เขินอาย แม้ว่าจะมีความสวยเพียงแค่แปดส่วน แต่ก็บรรยายออกมาเป็นภาพวาดสาวงามทรงเสน่ห์รูปหนึ่งได้

ถาวจวินหลันอดคิดไม่ได้ว่า ถ้ากู้ซีไม่มีความคิดอื่น นางก็ยินดีจะมองภาพสาวงามที่ทำให้จรรโลงใจนี้หลายครั้ง ไม่ว่าใครก็ชอบสิ่งสวยงาม แม้ว่าจะเป็นสตรีเหมือนกัน ก็ไม่ได้หมายความว่านางจะชื่นชมไม่ได้มิใช่หรืออย่างไร?

ถาวจวินหลันมองดูกู้ซีทำความเคารพหลี่เย่และตนเองตามลำดับ แล้วก็รีบยิ้มพลางพูดว่า “บอกแล้วว่าเป็นครอบครัวเดียวกันไม่ต้องมากพิธีเช่นนี้ ทำไมถึงได้มากพิธีอีกเล่า?”

หลี่เย่เองก็พยักหน้า “ใช่แล้ว เจ้ากับข้าต่างมีสายเลือดเดียวกัน ข้องเกี่ยวเป็นญาติ ไม่ต้องทำตัวแปลกหน้ากันขนาดนี้ สำหรับข้าแล้วเจ้าก็เหมือนน้องสาวคนหนึ่งของข้า”

กู้ซีเหมือนคิดไม่ถึงว่าหลี่เย่จะพูดเช่นนี้ ก็หน้าแดงขึ้นมาเล็กน้อย ก้มหน้าลงไปอย่างเขินอาย

ถาวจวินหลันกลับอมยิ้มมองหลี่เย่ทีหนึ่ง หลี่เย่พูดเช่นนี้แค่ฟังก็รู้ว่าจงใจ

หลี่เย่กลับนั่งนิ่งยืดตัวตรง ท่าทีแม้ว่าอบอุ่น แต่ก็ไม่ได้ดูอยากสนิทสนมกันมากนัก นั่งอยู่เพียงครู่หนึ่ง หลังจากถามสองสามคำแล้ว เขาก็ลุกขึ้นโดยมีข้ออ้างว่ามีธุระต้องไปห้องหนังสือ

พอเวลาอาหารเย็น ถาวจวินหลันก็พยายามพูดรั้งตัวกู้ซี แต่สุดท้ายกู้ซีก็ไม่ได้อยู่ต่อ พอหลี่เย่ได้รับคำรายงานจากบ่าวรับใช้จึงกลับมา

ระหว่างมื้ออาหารก็พูดถึงกู้ซีขึ้นมา ถาวจวินหลันขมวดคิ้วถามหลี่เย่ “แท้จริงแล้วจวนอันหย่วนโหวคิดอย่างไรกันแน่เพคะ?”

หลี่เย่ส่ายหัว “ไม่ว่าพวกเขาจะคิดอะไร พวกเรานิ่งเอาไว้ก็พอแล้ว”

การตัดความหวังอย่างไร้เสียงนี้ คิดแล้วตระกูลกู้ก็น่าจะต้องเข้าใจ ถ้าไม่ใช่เพราะว่านั่นคือญาติของเขา ก็คงไม่ไว้หน้ากันเช่นนี้

ถาวจวินหลันเข้าใจความหมายของหลี่เย่ พยักหน้าพลางถอนหายใจอีกครั้ง “กู้ซีดูแล้วก็เป็นหญิงสาวที่ดี” แต่ไม่รู้ว่าในใจคิดอะไรอยู่กันแน่ ถ้าจะบอกว่าไม่สนใจหลี่เย่ แล้วทำไมเมื่อครู่นี้จะต้องมาเวลานั้นด้วย? แต่ถ้าบอกว่าสนใจก็ไม่เห็นว่านางจะทำอะไรอีก แต่กลับมีท่าทีเรียบร้อยอยู่ในกฎเกณฑ์เป็นอย่างมาก

พูดตามจริงแล้ว นางเองก็ถูกท่าทีเช่นนี้ของกู้ซีทำให้รู้สึกสับสนอยู่เหมือนกัน

แต่เมื่อมีคำพูดของหลี่เย่ นางกลับสงบขึ้นมาได้อีกครั้ง แต่ว่าสุดท้ายแล้วก็ยังอดถอนหายใจแทนกู้ซีไม่ได้ กู้ซีดูแล้วเป็นหญิงสาวที่ไม่เลวเลยจริงๆ

ไม่รู้ว่าเป็นเพราะยาปี้เซียวตานดีจริงหรือไม่ ถาวจวินหลันกินไปสองสามวันก็รู้สึกดีขึ้นมาไม่น้อย สามารถหาเวลาว่างมากังวลเรื่องสถานการณ์โรคระบาดด้านนอกเมืองได้

แต่หากอยากรู้สถานการณ์ด้านนอกก็ไม่ง่าย ยามนี้ราชสำนักออกคำสั่งปิดประตูเมืองแล้ว ไม่อนุญาตให้ผู้ลี้ภัยเข้ามาในเมือง และไม่อนุญาตให้พ่อค้าสุขภาพไม่แข็งแรงและไม่มีที่มาที่ไปเข้ามาในเมืองอีก แม้จะบอกว่าออกนอกเมืองยังง่ายเหมือนเดิม แต่เวลานี้ยังมีใครออกนอกเมืองอีก? นอกจากจะออกไปเพื่อหลบโรคระบาดเท่านั้น

พูดถึงเรื่องหนีโรคระบาดภายในเมือง ครอบครัวขุนนางและตระกูลใหญ่จำนวนไม่น้อยก็ใช้เส้นสายพาส่งครอบครัวตนเองออกไป

พริบตาเดียว ได้ยินว่าคนตามท้องถนนลดลงมาก ผู้คนมากมายที่เดินขวักไขว่ไปมาก่อนหน้านี้ก็ไม่มีให้เห็นอีก บนถนนเต็มไปด้วยความสงบเยือกเย็น

ยามนี้การสื่อสารกับนอกเมืองอาศัยเพียงจดหมาย ก่อนที่จะถูกส่งเข้ามาในเมือง จดหมายเหล่านี้ก็จะต้องใช้ปูนขาวโรยเอาไว้เสียก่อน ใช้โกฐจุฬาลัมพารมควันมาก่อน มิเช่นนั้นก็จะต้องตะโกนบอกสารในระยะไกล คนหนึ่งอยู่ในประตูเมือง ส่วนอีกคนหนึ่งตะโกนอยู่ด้านนอก

สถานการณ์นอกเมืองที่ถาวจวินหลันได้ยิน ล้วนมาจากคนถ่ายทอดมาคนแล้วคนเล่า แต่กลับไม่กังวลเรื่องการติดต่อของโรคระบาด อีกทั้งการที่ตอนนี้แต่ละเรือนปิดประตูใช้ชีวิตของตนเองก็ยิ่งไม่ต้องเป็นกังวลไปกันใหญ่

สถานการณ์ภายนอกไม่ถือว่าดีนัก เวลายังไม่ทันล่วงถึงสิบวัน ก็พบคนมากมายติดต่อโรคระบาดนี้แล้ว ทั้งยังมีนายทหารจำนวนไม่น้อยที่ดูแลและรักษาความเป็นระเบียบอยู่ที่นั่น

เมื่อได้ยินสถานการณ์นี้ถาวจวินหลันก็ใจหล่นตุบ วิธีป้องกันโรคระบาดเหล่านั้นไม่มีผลแม้แต่น้อย ไม่ว่าจะเป็นการโปรยปูนขาว หรือว่าใช้โกฐจุฬาลัมพารมควัน หรือจะเป็นการติดถุงหอมหลบพิษ ล้วนแล้วแต่ไร้ประโยชน์ทั้งนั้น

นางแทบจะเดาสถานการณ์ในอนาคตได้เลย เหมือนกับที่หลี่เย่พูดเอาไว้ หากหมอหลวงคิดค้นยาออกมาไม่ทันควบคุมโรคระบาด สถานการณ์ก็จะยิ่งเลวร้ายยิ่งขึ้น

และสถานการณ์ด้านนอกตอนนี้ก็เหมือนฝาดำอันใหญ่ครอบทับลงมา ทำให้ทั่วทั้งเมืองหลวงตกอยู่ในสถานการณ์หวาดหวั่นและอึดอัดกดดัน

บัลลังก์พญาหงส์

บัลลังก์พญาหงส์

ตัวนางเป็นลูกขุนนางนักโทษ ขายตัวเองและน้องสาวเข้ามาเป็นนางกำนัลต่ำต้อยในวัง เถาจวินหลันต้องยอมรับชะตากรรมเช่นนี้จริงๆ หรือ? จะต้องใช้ชีวิตอย่างน่าอัปยศอดสู แล้วตายไปอย่างเงียบๆ เช่นนั้นหรือ? นางจะไม่ยอมให้เป็นเช่นนั้นเด็ดขาด! นางมีทั้งความสามารถและหน้าตาอันงดงาม อำนาจ ครอบครัว ความรัก…นางต้องการมันทั้งหมด! ส่วนพวกปรปักษ์มันจะต้องโดนทำลายจนย่อยยับ!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset