บัลลังก์พญาหงส์ – ตอนที่ 440 ใจเย็น

​สีหน้าของหลี่เย่ดำคล้ำลงทันที สุดท้ายก็หัวเราะเสียงเย็นเอ่ยว่า “เสด็จพ่อจะออกคำสั่งเช่นนี้ได้อย่างไร? นี่คือบ้านของข้า ทำไมข้าจะกลับไปไม่ได้?”

หัวหน้าองครักษ์ไม่ได้พบหลี่เย่เป็นครั้งแรก แต่เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นหลี่เย่มีท่าทีเช่นนี้ จึงตะลึงไปเล็กน้อย องค์ชายรองที่ดุจดั่งเทพเซียนไม่ใช่ว่ามีชื่อเสียงเรื่องความอ่อนน้อมอย่างนั้นหรือ? ทำไมตอนนี้ถึงได้มีท่าทีคล้ายกับฮ่องเต้องค์ก่อนเล่า?

นิสัยของฮ่องเต้องค์ก่อนมีชื่อเสียงในเรื่องเฉียบขาดไร้เยื่อใย และยังมีหน้าตาท่าทีน่ากลัว หากบันดาลโทสะขึ้นมา ก็ไม่มีคนกล้าต่อต้านเลยแม้แต่นิดเดียว อีกทั้งฮ่องเต้องค์ก่อนเป็นคนที่ออกสนามรบมาก่อน เมื่ออำนาจเหล่านั้นแผ่ออกมาจากร่างกายก็ชวนให้หวาดกลัวเสียจริง อีกอย่างเมื่อฮ่องเต้องค์ก่อนกริ้วก็เคยฆ่าสังหารคนในวังหลวงกว่าร้อยคนมาแล้ว

ท่าทีเย็นเยียบของหลี่เย่ที่ไล่บี้ถามเหมือนกับฮ่องเต้องค์ก่อน แม้ว่ารูปลักษณ์จะไม่เหมือนกัน แต่ท่าที บรรยากาศกลับเหมือนอย่างมาก

หลังจากหัวหน้าองครักษ์เหลือบมองทีหนึ่งแล้ว ก็ไม่กล้ามองอีก แต่เขาได้รับคำสั่งมาย่อมต้องไม่รู้สึกใจฝ่อ เพียงแค่พูดว่า “พวกข้าน้อยได้รับคำสั่งมาพ่ะย่ะค่ะ ขอตวนชินอ๋องอย่าทำให้พวกข้าน้อยลำบากใจเลย”

เมื่ออยู่ต่อหน้าตวนชินอ๋อง หัวหน้าองครักษ์ย่อมไม่กล้าถือตัว ท่าทีนั้นเต็มไปด้วยความเคารพ แน่นอนว่าหนึ่งในนั้นก็มีสาเหตุมาจากบรรยากาศรอบตัวของหลี่เย่

หลี่เย่รู้สึกหงุดหงิด แม้แต่ม้าที่อยู่ด้านล่างก็ยังรับรู้ได้ ยืนขยับกีบเท้าอยู่กับที่ด้วยรู้สึกไม่สงบ พ่นลมออกจากจมูกไม่หยุด ผ่านไปครู่หนึ่งหลี่เย่ถึงสูดลมหายใจเข้าลึก พลางถามว่า “ถ้าเช่นนั้นข้าถามเจ้า เหตุผลคืออะไร? ในเมื่อจะปิดจวนตวนชินอ๋อง ก็คงจะต้องมีสาเหตุสักอย่างหนึ่ง”

หัวหน้าองครักษ์ย่อมต้องคาดมาก่อนแล้วว่าจะถูกถามเช่นนี้ จึงรีบตอบว่า “ในเมื่อท่านอ๋องรีบกลับจวนมาอย่างเร่งรีบ คิดว่าคงจะได้ยินเรื่องที่เกิดขึ้นภายในจวนมาบ้างแล้ว เรื่องนี้ใหญ่นัก ฮ่องเต้จึงทำได้แค่ออกคำสั่งเช่นนี้พ่ะย่ะค่ะ”

คำพูดนี้พูดออกมาอย่างชัดเจน สาเหตุเป็นเพราะโรคระบาด

ดวงตาของหลี่เย่มืดลง ครั้งนี้เขาควบคุมเอาไว้เป็นอย่างดี ไม่ได้แสดงออกมา เขาคิดไม่ถึงว่าข่าวจะกระจายมาเร็วขนาดนี้ การเคลื่อนไหวภายในวังหลวงก็เร็วเช่นนี้ ตั้งแต่ที่รู้ว่าถาวจวินหลันได้รับเชื้อโรคระบาด เวลาเพิ่งผ่านไปนานเท่าไรกัน? การเคลื่อนย้ายคนภายในวังหลวงก็ต้องใช้เวลาเช่นเดียวกัน

“หากท่านอ๋องต้องการกลับจวนจริง เกรงว่าจะต้องเข้าวังหลวงไปทูลขอแล้ว” หัวหน้าองครักษ์เห็นหลี่เย่ไม่พูดจา ก็กลัวว่าหลี่เย่จะบีบบังคับพวกเขาอีก จึงรีบพูดเกลี่ยกล่อมเล็กน้อย

หลี่เย่ได้สติกลับคืนมา สายตาดุดันมองไปทางหัวหน้าองครักษ์ จนฝ่ายตรงข้ามต้องก้มหน้าลงไป เขาถึงได้พูดเนิบๆ ว่า “ในเมื่อจะปิดจวน ก็รักษาความปลอดภัยของจวนอ๋องให้ดี อีกทั้งหากคนภายในจวนต้องการสิ่งใด ก็อย่าได้ขัดขวาง แค่เพียงไม่อนุญาตให้เข้าออกก็พอแล้ว”

แม้จะบอกว่าเข้าใจดีว่าทหารองครักษ์ไม่มีทางกล้าทำให้จวนตวนอ๋องลำบาก แต่หลี่เย่ก็ยังอดกำชับอีกรอบไม่ได้

หัวหน้าทหารองครักษ์ได้ยินเช่นนี้ ก็ผ่อนลมหายใจออกมาในทันใด ควบคุมอาการอยากปาดเหงื่อที่ใกล้จะไหลลงมาของตนอย่างสุดกำลัง เขายิ้มและพูดว่า “ข้าน้อยจะกล้าได้อย่างไร? ท่านอ๋องวางใจ มีพวกข้าน้อยอยู่ ตวนอ๋องจะต้องไม่มีปัญหาแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ”

หลี่เย่ควบคุมความหงุดหงิดภายในใจเอาไว้ หยักหน้าพลางหันหลังควบม้ากลับไป เขารู้ดีแก่ใจว่าหากเขาจะบุกเข้าไปจริงๆ ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ แต่เขาคิดถึงประโยคนั้นของหวังหรู อย่าได้ทำลายน้ำใจของชายารองถาว

ทำไมถาวจวินหลันถึงได้ปิดเรือนเฉินเซียง? ก็ด้วยไม่ยินยอมให้เขาต้องตกอยู่ในอันตรายไปด้วยกัน ไม่ยอมให้คนมาติฉินนินทาจวนตวนชินอ๋อง นางกำลังคิดเผื่อเขา หากวันนี้เขาบุกเข้าไปด้วยไม่สนใจสิ่งใด ไม่เพียงแค่ฮ่องเต้จะคิดว่าเขาทำตัวไม่รู้ความ ก็ยิ่งเป็นการทำร้ายความตั้งใจของถาวจวินหลัน

อีกอย่าง แม้ว่าเขาจะกลับเข้าไปในจวนแล้ว ถาวจวินหลันจะยอมพบเขาอย่างนั้นหรือ? เขาเข้าใจถาวจวินหลันดี คนที่ดูแล้วเรียบร้อยอ่อนหวาน แต่หากตัดสินใจเรื่องใดไปแล้ว ก็ไม่มีทางเปลี่ยนใจเป็นแน่

นางไม่มีทางมาพบเขา

อีกทั้งหากเขาเข้าไปจริง เกรงว่าจะออกมาไม่ได้อีกแล้ว ฮองเฮาจะต้องฉวยโอกาสครั้งนี้เอาไว้ พยายามกดเขาลงไปอย่างสุดความสามารถ ถึงตอนนั้นรอจนเขาออกมาจากจวนตวนชินอ๋อง สถานการณ์ด้านนอกก็ไม่รู้ว่าจะเป็นอย่างไรแล้ว

พอคิดให้ดีอล้ว เขาไม่ควรเข้าไปเสี่ยงอันตรายครั้งนี้

ยิ่งคิดมากขึ้น การตัดสินใจที่เด็ดเดี่ยวไม่สนใจอะไรของเขาก็ยิ่งสลายหายไปเร็วมากขึ้น ความเป็นกังวลอันหนักหน่วงรั้งคอเขาเอาไว้ ทำให้เขาแม้แต่จะยกเท้าก็ยกไม่ขึ้น และไม่กล้าจะก้าวออกไป

สุดท้ายแล้วสติปัญญาก็ยังอยู่เหนือกว่า ความบุ่มบ่ามตั้งแต่ตอนแรกพลันหายไปย่างไร้ร่องรอย

ตอนที่หมุนร่างกลับไป หลี่เย่ไม่กล้าแม้แต่จะมองจวนตวนชินอ๋อง เพียงแค่หัวเราะเยาะตนเองที่ขี้ขลาดเหมือนหนู

หวังหรูเห็นสถานการณ์เช่นนี้ก็ถอนหายใจแรง ตามจริงแล้ว เขากลัวจริงๆ ว่าหลี่เย่จะบุกเข้าไปโดยไม่สนใจอะไรแม้แต่น้อย ผลลัพธ์ที่จะเกิดตามมา ไม่ว่าใครก็รับไม่ไหว หลี่เย่ดึงสติกลับมาได้ก็ทำให้เขารู้สึกเหมือนตายแล้วเกิดใหม่อย่างนั้น

แต่เขาเองก็รู้สึกได้ว่าอารมณ์ของหลี่เย่ผิดปกติ จึงกล้าแค่จูงม้าของตนตามหลี่เย่ไป และไม่กล้าพูดอะไรแม้แต่ประโยคเดียว

ไม่ว่าตอนนี้จะพูดอะไรกับหลี่เย่ไปก็ไร้ประโยชน์ หวังหรูลอบคิดในใจ จากนั้นเขาก็ถอนหายใจเบาๆ ปกติแล้วหลี่เย่ใส่ใจเรือนเฉินเซียงมากเพียงใด เขาเองก็รู้ และก็เพราะว่ารู้ ดังนั้นถึงได้เข้าใจความรู้สึกของหลี่เย่

พูดตามความจริงแล้ว ก่อนหน้านี้หวังหรูก็แค่รู้สึกว่าถาวจวินหลันเป็นคนดี ถือว่าคู่ควรกับท่านอ๋อง แต่มาถึงตอนนี้เขากลับรู้สึกว่าถาวจวินหลันควรค่าแก่ความรักและความทุ่มเทของหลี่เย่ ไม่ต้องพูดถึงชายารอง หากได้เป็นชายาเอกก็ยังควรคู่

ใต้หล้านี้จะมีผู้หญิงสักกี่คนที่พอรู้ว่าตนเองติดโรคระบาดมา แล้วสั่งปิดเรือนของตนเองในทันที ปิดกั้นตัวเองเอาไว้คิดจะปล่อยไปตามธรรมชาติ? เกรงว่าหาจนทั่วก็คงหาได้แค่ไม่กี่คนเท่านั้น

ผู้หญิงส่วนใหญ่ หรือแม้กระทั่งผู้ชายต่างก็ขี้ขลาดกลัวตาย ยามนี้เกรงว่าสิ่งแรกที่คิดได้คงไม่ใช่การกักตัวเพียงลำพังอย่างแน่นอน แต่ต้องรีบหาหมอหายา แล้วหาสักคนมาระบายความทุกข์ แม้ว่าจะไม่กล้าไปหาใคร แต่ก็คงไม่ปิดเรือนของตัวเองอย่างแน่นอน

สุดท้ายหลี่เย่ก็เลือกกลับเข้าไปในวังหลวง ไม่ใช่เพื่อขอร้องฮ่องเต้เพื่อเข้าจวน แต่คิดอยากจะขอหมอหลวงไปให้ถาวจวินหลัน ในเมื่อปิดเรือนไปแล้ว เกรงว่าตอนนี้คงไม่สามารถขัดขืนได้ สิ่งเดียวที่เขาทำได้ก็มีเพียงวิธีนี้เท่านั้น

แน่นอนว่าเขารู้สึกโกรธแค้นคนที่ทำให้ถาวจวินหลันตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้

แต่เขายังไม่ได้ถามสถานการณ์โดยละเอียด พอตอนนี้คิดขึ้นมาได้ ก็คงต้องไปถามให้รู้เรื่อง

พอได้ยินมาว่าเป็นจดหมายจากนางกำนัลข้างกายฮองเฮาคนหนึ่ง สีหน้าของหลี่เย่ก็ดำคล้ำลงไป

หลังจากเข้าไปในวังหลวงแล้ว หลี่เย่ก็ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แต่ยังไม่เข้าเฝ้าฮ่องเต้ ทว่าตรงไปพบไทเฮาก่อน

เรื่องที่ทหารองครักษ์ปิดจวนตวนชินอ๋องย่อมได้ยินถึงภายในจวนตวนชินอ๋อง แม้แต่ถาวจวินหลันก็ยังได้ยินข่าวนี้

พอฟังคำรายงานของหงหลัวแล้ว ถาวจวินหลันก็ค่อยฟื้นแรงกลับคืนมา อย่างน้อยก็หยุดความหวาดหวั่นและหวาดกลัวในใจได้ นางพยายามทำใจให้เย็น แม้ว่าจะยังรู้สึกหวดกลัวไม่เปลี่ยน แต่ก็ไม่ได้ตกใจขนาดนั้นแล้ว

ถาวจวินหลันนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนหัวเราะเสียงเย็น “การเคลื่อนไหวภายในวังหลวงครั้งนี้เร็วนัก แต่ไม่ได้ลากข้าออกไปเผาทั้งเป็นเพื่อตัดไฟตั้งแต่ต้นลม ก็น่าประหลาดใจมากแล้ว”

หงหลัวได้ยินเช่นนั้นก็รู้สึกเจ็บปวดใจ รีบพูดว่า “ชายารองพูดอะไรเจ้าคะ? จะเป็นเช่นนั้นได้อย่างไร? อีกทั้งนี่ก็ยังไม่แน่นอน อาจจะไม่มีอะไรก็ได้นะเจ้าคะ พวกเราเพียงแค่หวาดกลัวไปเองก็เท่านั้น”

เห็นว่าหงหลัวปลอบประโลมตนเองเช่นนี้ ถาวจวินหลันก็หัวเราะเยาะตัวเอง “ข้ายิ่งมีชีวิตยิ่งย้อนกลับไป สู้ไม่ได้​แม้แต่เจ้า” หงหลัวไม่เห็นจะมีท่าทีหวาดกลัวเช่นนี้ แต่นางกลับตกใจจนมีสภาพเช่นนี้

หงหลัวยิ้ม แม้จะบอกว่ารอยยิ้มไม่สดใสเหมือนในยามปกติ แต่อย่างไรก็ยังยิ้มได้ หงหลัวเห็นก็พูดว่า “แม้ตอนที่ถูกขายมายังอายุน้อย แต่บ่าวก็ยังพอจำอะไรได้บ้าง ตอนนั้นบ้านเกิดของบ่าวก็เกิดโรคระบาด คนจนไม่อาจไปรักษา ยิ่งไม่ต้องพูดถึงถุงเครื่องหอมป้องกันพิษเลยเจ้าค่ะ เมื่อสัมผัสกันแล้วก็ยังไม่แน่ว่าจะต้องติดเชื้อ ดังนั้นแม้ว่าโรคระบาดจะน่ากลัว แต่ไม่ได้น่ากลัวขนาดนั้นนะเจ้าคะ”

ถาวจวินหลันไม่รู้ว่าหงหลัวเคยผ่านเรื่องราวเช่นนี้มาก่อน จึงเลิกคิ้วขึ้นด้วยความแปลกใจ แต่ก็เข้าใจที่หงหลัวพูดกล่อมนางเช่นนี้โดยเร็ว จึงหัวเราะเอ่ยว่า “ที่เจ้าพูดก็ถูก เพราะว่าเหตุผลนี้ ต่อให้สัมผัสกัน อย่างไรก็เป็นแค่การสัมผัสสิ่งของที่หลี่ว์หลิ่วเคยสัมผัสเท่านั้น ยังไม่ได้พูดคุยกันต่อหน้า ไฉนเลยจะน่ากลัวปานนั้น”

เมื่อพูดเช่นนี้นางก็รู้สึกสบายใจขึ้นไม่น้อย ความกดดันก็ลดน้อยไปมากเช่นกัน

ถาวจวินหลันกลับนึกถึงหลี่เย่ได้ จู่ๆ ก็รู้สึกไม่พอใจ “ลืมกำชับให้คนไปบอกความท่านอ๋องเสียแล้ว ไม่รู้ว่าตอนนี้เขากำลังทำอะไรอยู่” ขอให้หลังจากเขารู้เรื่องนี้แล้ว อย่าได้บุ่มบ่ามทำเรื่องอะไรก็แล้วกัน

แต่เมื่อนางคิดว่าตอนนี้ได้ปิดจวนแล้ว ต่อให้หลี่เย่อยากจะเข้ามาก็ไม่มีทางเป็นไปได้ จึงถอนหายใจเบาๆ อีกครั้ง นางรู้จักหลี่เย่ดี หลี่เย่รู้จักควบคุมตนเองและมีความอดทน ปฏิบัติกับคนอื่นด้วยความใจเย็นรอบคอบ ต่อให้ตอนแรกอาจจะมุทะลุบุ่มบ่าม แต่พอสงบจิตสงบใจลงแล้ว ก็จะผ่อนคลายลง

ถาวจวินหลันถอนหายใจ แล้วหัวเราะออกมา “แต่ยังดีที่ซวนเอ๋อร์กับหมิงจูไม่ได้อยู่ในจวน” มิเช่นนั้นตอนนี้นางคงยิ่งรู้สึกไม่ดี และเป็นกังวลมากขึ้น

พูดไม่น่าฟังก็คือต่อให้เป็นโรคระบาดจริง อย่างน้อยซวนเอ๋อร์กับหมิงจูก็จะไม่เป็นอะไร แม้ว่านางจะต้องตายหรือรู้สึกเสียใจ แต่ก็ไม่ได้ถือว่าเสียใจมากนัก นอกจากตัดใจจากหลี่เย่และลูกหญิงชายคู่หนึ่งไม่ลงแล้วเรื่องอื่นก็ไม่มีอะไรอีก ถาวจิ้งผิงและถาวซินหลันต่างก็ออกเรือนไปหมดแล้ว อีกทั้งยังถือว่าสมบูรณ์แบบ ต่อให้นางตายไปพบท่านพ่อท่านแม่นางก็ไม่รู้สึกระอายใจ

หงหลัวเห็นถาวจวินหลันฟื้นแรงกลับมาได้เล็กน้อย นางก็รู้สึกดีใจจากใจจริง หลังจากลอบถอนหายใจเล็กน้อยแล้ว นางก็ลองพูดสิ่งที่ตนเองคาดเดาออกมา “ชายารองไม่รู้สึกว่าเรื่องทั้งหมดนี้บังเอิญเกินไปหรือเจ้าคะ?”

ถาวจวินหลันเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย มองไปทางหงหลัวทีหนึ่ง “ว่าอย่างไรกัน? เจ้าคิดว่ามีตรงไหนบังเอิญ? อาการป่วยของหลี่ว์หลิ่ว หรือว่าฉ่ายยวนนำของมาให้ข้าเวลานี้พอดี?”

หงหลัวเม้มริมฝีปาก “ในเมื่อชายารองพูดเช่นนี้ คิดว่าจะต้องคิดมาบ้างแล้วเป็นแน่ บ่าวคิดว่าบังเอิญเกินไป ไฉนเลยจะมีเรื่องบังเอิญเช่นนี้ เอาของมาให้เมื่อไรไม่มา แต่ต้องมาในเวลานี้ อีกทั้งก่อนหน้านี้ไม่มีคนรู้หรือว่าสนมในวังหลวงคนนั้นป่วยเป็นโรคอะไร? ทำไมถึงเพิ่งบังเอิญตรวจพบวันนี้”

บัลลังก์พญาหงส์

บัลลังก์พญาหงส์

ตัวนางเป็นลูกขุนนางนักโทษ ขายตัวเองและน้องสาวเข้ามาเป็นนางกำนัลต่ำต้อยในวัง เถาจวินหลันต้องยอมรับชะตากรรมเช่นนี้จริงๆ หรือ? จะต้องใช้ชีวิตอย่างน่าอัปยศอดสู แล้วตายไปอย่างเงียบๆ เช่นนั้นหรือ? นางจะไม่ยอมให้เป็นเช่นนั้นเด็ดขาด! นางมีทั้งความสามารถและหน้าตาอันงดงาม อำนาจ ครอบครัว ความรัก…นางต้องการมันทั้งหมด! ส่วนพวกปรปักษ์มันจะต้องโดนทำลายจนย่อยยับ!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset