บัลลังก์พญาหงส์ – ตอนที่ 467 สิ้นสุด

 

 

ถาวจวินหลันเพิ่งตื่นขึ้นมาเตรียมจะดื่มยา ก็มีคนมาแจ้งว่าต้องเปลี่ยนยาใหม่อีกถ้วยหนึ่ง ดังนั้นนางจึงยังไม่ได้ดื่มยาฤทธิ์แรงตัวนั้น

 

 

เมื่อเทียบกับความโชคดีของถาวจวินหลัน เจียงอวี้เหลียนกลับดื่มเข้าไปแล้ว ดื่มยาลงไปไม่ถึงครึ่งชั่วยาม ยาก็เริ่มออกฤทธิ์ เจียงอวี้เหลียนพลันทรมานไปทั้งร่าง ไม่เพียงแค่อาเจียนท้องเสีย แล้วยังเลือดกำเดาไหลไม่หยุด บรรดาบ่าวรับใช้ตกใจจนต้องไปรายงานให้หงหลัวทราบ หากต้องทรมานเช่นนี้ต่อไป เจียงอวี้เหลียนที่แต่เดิมร่างกายอ่อนแรงคงรับไม่ไหว ถ้าหากทนไม่ไหว คงต้องจัดงานศพอีก ดังนั้นจึงต้องเตรียมการไว้ก่อนล่วงหน้า

 

 

พอหงหลัวรู้อาการของเจียงอวี้เหลียน นางและคนอื่นก็โล่งใจ ยังดีที่ถาวจวินหลันไม่ได้ดื่มยาตัวนั้น

 

 

ถาวจวินหลันดื่มสูตรที่กรมหมอหลวงแก้ไขมา แม้จะมีอาเจียนและท้องเสียเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้รุนแรงมาก อีกทั้งดูมีเรี่ยวแรงเล็กน้อย อย่างน้อยก็ไม่สลบไสลไปอีก

 

 

เมื่อเป็นเช่นนี้ โรคระบาดนี่ก็เริ่มมีหวังที่จะรักษาให้หาย

 

 

ม้าเร็วรีบไปรายงานอาการของถาวจวินหลันให้หลี่เย่และกรมหมอหลวงรับรู้ ฉับพลันนั้นทุกคนก็ตื่นเต้นดีใจ ด้วยโรคระบาดเหมือนเมฆครึ้มที่ปกคลุมไปทั่วเมืองหลวงนานกว่าหนึ่งเดือน แต่ตอนนี้สามารถสลายเมฆหมอกนั่นได้แล้ว จะไม่ให้ตื่นเต้นได้อย่างไร?

 

 

จะต้องรู้ว่า หนึ่งเดือนมานี้ต้องเจอความระแวดระวัง ตกใจ และเป็นกังวล

 

 

ด้วยฤทธิ์ยาของสูตรนี้ได้ผล ดังนั้นโจวอี้ที่รายงานข่าวนี้กับหลี่เย่จึงเข้าไปในพระราชฐาน รายงานเรื่องนี้ให้หลี่เย่ฟังต่อหน้าพระพักตร์ฮ่องเต้

 

 

หลี่เย่รู้สึกยินดีหลายส่วน ผ่านไปครู่หนึ่งก็รู้สึกเหมือนทั้งร่างถูกสูบพลังไปหมด และยิ่งยินดีอย่างพูดไม่ออก

 

 

แต่ไม่รู้ว่าทำไมเขากลับหัวเราะไม่ออก ทั้งๆ ที่ดีใจมาก แต่กลับหัวเราะไม่ออก ทว่าเหมือนมีความโกรธกระแสหนึ่งพุ่งพล่านขึ้นมาเร่งเร้าให้เขาไปแก้แค้น

 

 

ฮ่องเต้ออกจากภวังค์ของความดีใจ แล้วพูดเสียงดังว่า “ดี ถ่ายทอดคำของข้าไป ประทานรางวัลให้หมอและหมอหลวงเหล่านี้!” พอสงบความตื่นเต้นได้แล้ว เขาก็นึกถึงหลี่เย่ จึงได้หัวเราะพลางพูดกับหลี่เย่ว่า “คราวนี้ตวนชินอ๋องสร้างผลงานใหม่! ตบรางวัล! ข้าต้องคิดให้ดีก่อนว่าควรให้อะไรเจ้า!”

 

 

 

 

 

 

ยามนี้องค์รัชทายาทที่อยู่ข้างๆ ได้ยินก็มองไปทางหลี่เย่ สิ่งที่แอบแฝงอยู่ในสายตาช่างซับซ้อนเป็นอย่างมาก

 

 

องค์รัชทายาทครุ่นคิด สุดท้ายแล้วก็ก้าวขึ้นมาข้างหน้าก้าวหนึ่ง กล่าวเตือนฮ่องเต้เสียงเบา “เสด็จพ่อ น้องรองควรได้รับรางวัล แต่เรื่องที่เขากักขังหมอ และข่มขู่หมอหลวง…”

 

 

ความหมายขององค์รัชทายาทคือ ถึงจะขัดขวางการประทานรางวัลไม่ได้ แต่อย่างน้อยนางวัลที่หลี่เย่ได้ก็คงไม่ได้ดีมากนัก และไม่ให้หลี่เย่โดดเด่นมากก็เท่านั้น เป็นแค่ชินอ๋องคนเดียวจะโดดเด่นไปมากมายทำไมกัน? ข้ามหน้าข้ามตาองค์รัชทายาทอย่างเขาหมายความว่าอย่างไร?

 

 

แต่ฮ่องเต้กำลังมีความสุข ไฉนเลยจะเก็บคำพูดขององค์รัชทายาทไปใส่ใจ? เพียงแค่คิดว่าองค์รัชทายาทไม่รู้จักกาลเทศะ มาทำให้ทุกคนหมดสนุกในช่วงเวลานี้ ดังนั้นจึงเหลือบมององค์รัชทายาทวูบหนึ่ง พูดเนิบๆ ว่า “ถ้าไม่ทำเช่นนี้ เกรงว่าตอนนี้คงไม่เห็นแม้แต่เงาของสูตรยา องค์รัชทายาทก็ควรต้องเรียนชั้นเชิงเช่นนี้เอาไว้เสียงบ้าง”

 

 

หยุดไปครู่หนึ่ง สุดท้ายก็รู้สึกว่าเสียน้ำใจคนไปหน่อย จึงหันไปมองหลี่เย่อีกรอบ “แต่เจ้าเองก็ทำไม่ถูก เจ้าหาเวลาว่างไปขอโทษด้วยตนเองตามบ้านเถิด”

 

 

องค์รัชทายาทกัดฟันแน่น รู้สึกว่าถูกดูหมิ่น แต่เขาเองก็ไม่กล้าต่อต้านฮ่องเต้ เพียงแค่รับคำ และเชื่อฟังเท่านั้น

 

 

หลี่เย่ก็รับบทลงโทษนี้อย่างสบายอกสบายใจ “ลูกต้องไปขอโทษอย่างจริงใจแน่พ่ะย่ะค่ะ ลูกทำไม่ถูก” อย่างไรขอเพียงบรรลุจุดประสงค์ เรื่องขอโทษหรืออะไรก็ตามแต่ล้วนเป็นเรื่องเล็กทั้งนั้น

 

 

ฉับพลันนั้นฮ่องเต้ก็ถอนหายใจอีกรอบ “หลายวันมานี้เมื่อคิดถึงประชาชนที่อยู่นอกเมือง ข้าเองก็นอนไม่หลับ ตอนนี้ถือว่าได้หลับอย่างสบายใจแล้ว”

 

 

ฉับพลันนั้นก็เริ่มมีคนเอาหน้าพูดเลียแข้งขา “ฮ่องเต้มีใจเป็นห่วงประชาชน ช่างเป็นความสุขของประชาชนใต้หล้าเหลือเกินพ่ะย่ะค่ะ!”

 

 

หลี่เย่ฟังอย่างไม่ใส่ใจ ในใจก็เริ่มคิดวางแผน เขาจะขอของรางวัลอะไรจากฮ่องเต้ดี? คงไม่อาจปล่อยโอกาสหลุดลอยไป แล้วยังมีทางด้านจวนเหิงกั๋วกงที่ไม่อาจปล่อยไปได้

 

 

องค์รัชทายาทยังจำเรื่องจวนเหิงกั๋วกงได้ “สูตรยานี้ยังต้องคัดลอกให้จวนเหิงกั๋วกงด้วยฉบับหนึ่งนะพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

ฟังคำพูดนี้ขององค์รัชทายาท เหมือนกลัวว่าใครจะตั้งใจเก็บสูตรยานี้เอาไว้ไม่มอบให้ก็มิปาน

 

 

หลี่เย่ได้ยินก็ส่งยิ้มให้องค์รัชทายาท “องค์รัชทายาทโปรดวางใจ เสด็จพ่อจะไม่มอบสูตรยาให้จวนเหิงกั๋วกงได้อย่างไรพ่ะย่ะค่ะ? เหิงกั๋วกงทำคุณประโยชน์มากมาย แม้จะบอกว่าเหิงกั๋วกงถูกลงโทษเพราะเรื่องปิดบังการแพร่กระจายของโรคระบาด แต่ในพระทัยเสด็จพ่อย่อมเป็นห่วงขุนนางเก่าแก่อยู่นะพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

ฮ่องเต้มองไปยังหลี่เย่วูบหนึ่ง ความมืดมนที่อยู่บนใบหน้าพลันหายไปเล็กน้อย องค์รัชทายาทพูดเช่นนี้ก็เหมือนทำให้ฮ่องเต้เสียหน้า ต่อให้เขาไม่ชอบจวนเหิงกั๋วกงอย่างไร ก็คงไม่ถึงขั้นยึดสูตรยาเอาไว้ไม่มอบให้ เขามาขอร้องอย่างบีบบังคับเช่นนี้ คิดอะไรอยู่กันแน่? กำลังจะบอกขุนนางเหล่านี้ว่าฮ่องเต้อย่างเขาขี้งกอย่างนั้นหรือ?

 

 

องค์รัชทายาทดูออกว่าฮ่องเต้ไม่พอใจ จึงรีบพูดอธิบายว่า “น้องรอง ข้าจะกังวลเรื่องฮ่องเต้ไม่ให้เทียบยากับจวนเหิงกั๋วกงได้อย่างไร? ข้าก็เพียงพูดเตือนเท่านั้นเอง” หยุดไปครู่หนึ่ง องค์รัชทายาทก็มองไปทางฮ่องเต้ “เสด็จพ่อ พูดไปแล้ว ลูกยังมีอีกเรื่องต้องเตือนเสด็จพ่อพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

ฮ่องเต้เริ่มหงุดหงิด แต่กลับไม่แสดงออกมาแม้แต่น้อย เพียงแค่สะบัดมือ “เจ้าพูดเถิด”

 

 

“อี๋เฟยคลอดมาได้ช่วงหนึ่งแล้ว น้องเก้าก็ครบรอบเดือนแล้วพ่ะย่ะค่ะ ลูกคิดอยู่ว่าควรจะรีบพาพวกนางสองแม่ลูกกลับมาที่วังหลวงดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ? น้องเก้าไม่อาจเติบโตนอกวังหลวงได้นะพ่ะย่ะค่ะ” ตอนที่องค์รัชทายาทพูด ใบหน้าเต็มไปด้วยความจริงใจ ดูแล้วมีท่าทีเป็นพี่ชายเปี่ยมด้วยเมตตา

 

 

ฮ่องเต้กลับลืมเรื่องนี้ไปแล้ว ในความเป็นจริง หลายวันมานี้มัวแต่กังวลเรื่องโรคระบาดและภัยพิบัติ ฮ่องเต้จึงลืมอี๋เฟยไปสนิท ไม่ต้องพูดถึงลูกคนสุดท้องที่ตนเองเคยคาดหวังมานานเลย

 

 

องค์รัชทายาทพูดขึ้นมากะทันหัน ทำให้ฮ่องเต้นึกถึงเรื่องนี้ได้ทันที จึงเกิดอาการประหม่า กระแอมไอพลางขมวดคิ้วพูดว่า “อี๋เฟยมีชะตาขัดกับไทเฮา”

 

 

องค์รัชทายาทรีบเปิดปากพูดทันที “ลูกให้โหราจารย์ตรวจดูแล้วพ่ะย่ะค่ะ ตอนนี้ไม่ได้มีดวงชะตาขัดกันแล้ว”

 

 

ฮ่องเต้ได้ยินอย่างนั้นก็หยุดพูด พยักหน้าพูดว่า “อีกสองสามวันค่อยรับกลับมาเถิด”

 

 

องค์รัชทายาทโล่งใจ กลับมาหัวเราะอีกครั้งหนึ่ง ท่าทีเช่นนั้นทำให้หลี่เย่อดมองไม่ได้ หรือว่าองค์รัชทายาทจะเปลี่ยนเป็นคนอบอุ่นแล้วอย่างนั้นหรือ!

 

 

แต่ยามนี้องค์ชายเก้าเป็นเพียงเด็กทารก บ้านเดิมของอี๋เฟยก็ไม่ได้มีตำแหน่งสูงส่ง ไม่จำเป็นต้องกังวลว่ามีใครจะข่มขู่

 

 

เมื่อเป็นเช่นนี้ หลี่เย่จึงไม่ได้เก็บมาใส่ใจ

 

 

ตอนที่ออกมาจากพระที่นั่งใหญ่ แต่เดิมองค์รัชทายาทเดินนำอยู่ข้างหน้า แต่องค์รัชทายาทกลับตั้งใจเดินถอยลงมาก้าวหนึ่ง แล้วมองหลี่เย่ พร้อมหัวเราะและพูดยินดี “ได้ยินว่าแก้วตาดวงใจของน้องรอง ชายารองถาวเองก็ติดเชื้อโรคระบาดใช่หรือไม่? ตอนนี้กลับประจวบเหมาะ ข้าต้องแสดงความยินดีกับน้องรองแล้ว แต่เจ้าก็ไม่มีชายาเอกแล้ว ควรต้องไว้ทุกข์เสียหน่อยถึงจะดี น้องรองวางใจ ข้าจะต้องให้เสด็จแม่เลือกชายาเอกให้เจ้าอย่างดีเป็นแน่”

 

 

หลี่เย่อมยิ้มมีความสุข ท่าทางราวกับอาบน้ำอยู่ท่ามกลางลมวสันต์ “ต้องขอบพระทัยองค์รัชทายาทแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

“ทำไมน้องรองไม่เรียกข้าว่าพี่ใหญ่เล่า? หรือดูถูกข้าอย่างนั้นหรือ?” องค์รัชทายาทแสยะยิ้ม

 

 

หลี่เย่ไม่อยากเสียเวลาอยู่กับองค์รัชทายาทตรงนี้อีก จึงพูดตามน้ำ “พี่ใหญ่”

 

 

องค์รัชทายาทสะอึกไป ไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไรต่อ มองดูหลี่เย่ที่แสร้งทำเหมือนสนิทสนม ไฉนเลยเขาจะยังพูดอะไรได้? คงไม่อาจเอาเอาหน้าร้อนๆ ไปแนบบั้นท้ายเย็นๆ ได้ใช่หรือไม่?

 

 

หลี่เย่เห็นว่าองค์รัชทายาทไม่ได้พูดอะไรต่อ จึงหัวเราะพูดว่า “น้องยังมีธุระ ต้องขอตัวก่อนพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

พอออกจากวังหลวงมา หลี่เย่ก็สั่งว่า “กลับจวนอ๋อง” เขาอยากจะไปดูถาวจวินหลันแทบขาดใจว่าในตอนนี้เป็นอย่างไรบ้างแล้ว

 

 

โจวอี้ได้ยินเช่นนั้นก็ตะลึงไป จากนั้นก็เตือนเสียงเบา “ในตอนนี้ทหารองครักษ์ยังไม่ได้สลายกำลังพ่ะย่ะค่ะ ต่อให้กลับไปก็ไม่อาจไปหาชายารองถาวได้ แต่ตอนนี้เอาโลงศพของชายาเอกไปฝังได้ก่อนพ่ะย่ะค่ะ” โจวอี้ว่า

 

 

หลี่เย่ถอนหายใจ ส่ายหน้า “ถ้าเช่นนั้นก็กลับบ้านตระกูลถาวเถิด” เขาเองก็ดีใจจนเลอะเลือนไป กลับลืมว่ามีเรื่องนี้ เกรงว่ากว่าทหารองครักษ์เหล่านั้นจะสลายกำลังยังจะต้องใช้เวลาอีกหลายวัน

 

 

“ในเมื่อหลิวซื่อบอกว่าอยากฝังร่วมกับลูกชายของนาง ถ้าเช่นนั้นก็ทำตามที่นางขอเถิด” อย่างไรเขาก็ไม่อยากฝังร่วมกับหลิวซื่อ ในเมื่อตอนนี้ไม่ต้องเห็นหน้าค่าตาของหลิวซื่อแล้ว ตอนที่เขาตายไปก็ไม่อยากเจออีก เกรงว่าหลิวซื่อเองก็คงไม่อยากพบเขาเช่นกัน

 

 

“อีกอย่าง ถ่ายทอดคำพูดไปด้านนั้น หลังจากนี้อีกเดือนหนึ่งให้จิ้งหลิงพาเด็กทั้งสามคนกลับเข้าเมืองหลวงมา” หลายวันมานี้ไม่ได้เจอซวนเอ๋อร์และหมิงจู เกรงว่าถาวจวินหลันคงคิดถึงมาก แน่นอนว่าเขาเองก็คิดถึง หลังจากนี้หนึ่งเดือน โรคระบาดน่าจะเริ่มน้อยลงแล้ว พอถึงตอนนั้นก็ไม่มีอันตรายอะไรอีก

 

 

หยุดไปครู่หนึ่ง เสียงของหลี่เย่ก็เบาลงอีกหลายส่วน กำชับโจวอี้ว่า “ข้าอยากให้คุณชายสามของจวนเหิงกั๋วกงตาย ส่วนเหิงกั๋วกงฮูหยินใหญ่ และเหิงกั๋งกงฮูหยิน ก็ทำให้พวกนางทรมานเสียบ้าง”

 

 

แม้จะบอกว่าหลิวซื่อตายไปก็ไม่น่าเสียดาย แต่อย่างไรนางก็เป็นคนของจวนตวนชินอ๋องของเขา อีกอย่างเมื่อหลิวซื่อตายไปเช่นนี้ ก็ถือว่าเป็นการทำลายแผนการของเขา

 

 

โจวอี้รับคำเสียงเบา การที่จัดการเหิงกั๋วกงให้หมดไปนั้นเขาทำไม่ได้ แต่แค่ให้ลูกชายคนที่สามของเหิงกั๋วกงตายกลับง่ายมาก ตามสืบเหิงกั๋วกงมานานขนาดนี้ ก็ไม่ใช่ว่าสืบเอาสายสืบของพวกเขาออกมาแล้วมิใช่หรือ?

 

 

“เหิงกั๋วกงถูกลดตำแหน่ง เกรงว่าคุณหนูสามคนนั้นคงจะหาคู่ครองไม่ง่ายอีกต่อไป เรื่องนี้ให้คนไปพูดต่อหน้าฮ่องเต้” หลี่เย่หัวเราะเสียงเย็น “เจ้าว่า ฮองเฮาจะคล้อยตามหรือไม่? พระชายาองค์รัชทายาทไม่อาจให้กำเนิดบุตรได้ เกรงว่าในใจของฮองเฮาคงไม่พอใจใช่หรือไม่? คราวนี้พระชายาองค์รัชทายาทยังตั้งใจปิดบังเรื่องโรคระบาดในจวนเหิงกั๋วกงอีก…” ดูจากนิสัยของฮองเฮาแล้ว คิดว่าคงไม่พอใจเป็นแน่

 

 

แต่ถ้าคุณหนูสามเข้าวังหลวงไป คนที่ไม่พอใจก็ควรจะเป็นองค์รัชทายาทและพระชายาองค์รัชทายาท พระชายาองค์รัชทายาทไม่พอใจเพราะว่าตำแหน่งถูกคุกคาม และองค์รัชทายาทกลับไม่พอใจเพราะถูกบังคับอีกครั้งหนึ่ง คิดว่าถึงตอนนั้นไม่รู้ว่าจะมีละครที่น่าดูมากมายขนาดไหน

 

 

และเขาก็สามารถดูเรื่องสนุกได้อย่างสบายใจ

บัลลังก์พญาหงส์

บัลลังก์พญาหงส์

ตัวนางเป็นลูกขุนนางนักโทษ ขายตัวเองและน้องสาวเข้ามาเป็นนางกำนัลต่ำต้อยในวัง เถาจวินหลันต้องยอมรับชะตากรรมเช่นนี้จริงๆ หรือ? จะต้องใช้ชีวิตอย่างน่าอัปยศอดสู แล้วตายไปอย่างเงียบๆ เช่นนั้นหรือ? นางจะไม่ยอมให้เป็นเช่นนั้นเด็ดขาด! นางมีทั้งความสามารถและหน้าตาอันงดงาม อำนาจ ครอบครัว ความรัก…นางต้องการมันทั้งหมด! ส่วนพวกปรปักษ์มันจะต้องโดนทำลายจนย่อยยับ!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset