บัลลังก์พญาหงส์ – ตอนที่ 487 ไม่ง่าย

หวังหรูรีบมาบอกทั้งที่ยังไม่ได้ทำความเคารพ ถาวจวินหลันใจไม่ดี รีบถามว่า “ท่านอ๋องเป็นอย่างไรบ้าง?”  

 

 

หวังหรูแค่นยิ้ม “ท่านอ๋องทำคล้ายไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ข้าและโจวอี้ดูแล้วรู้สึกว่าผิดปกติอยู่เล็กน้อย ถึงได้บังอาจมาเตือนชายารองก่อนขอรับ”  

 

 

ถาวจวินหลันอยู่กับหลี่เย่มานานหลายปี ทำไมจะไม่เข้าใจหลี่เย่? ไม่ว่าหลี่เย่จะโมโหก็ดีโกรธแค้นก็ดี นางหวังว่าเขาจะระบายอารมณ์ออกมา อย่าได้เก็บไว้ให้อึดอัดใจ  

 

 

หลี่เย่ถนัดอดทนและหลบซ่อนที่สุด ยิ่งโมโห ยิ่งใส่ใจมากเท่าไร เขาก็ยิ่งเก็บเอาไว้ลึกที่สุด แต่ยิ่งเป็นเช่นนี้ก็ยิ่งทำให้นางเป็นกังวล ด้วยอยู่กับหลี่เย่มาโดยตลอด คิดว่าหวังหรูและโจวอี้คงจะเข้าใจหลี่เย่เช่นเดียวกัน ดังนั้นถึงได้เป็นกังวลเช่นนี้  

 

 

ถาวจวินหลันพยักหน้า เก็บเรื่องนี้เอาไว้ในใจ “ข้ารู้แล้ว”  

 

 

หวังหรูมองบ่าวรับใช้ที่อยู่รอบข้างทีหนึ่ง เห็นเพียงแค่หงหลัวที่ปรนนิบัติอยู่ข้างกาย ถึงได้รายงานคำพูดที่เหลืออยู่อย่างสบายใจ “ฮ่องเต้ชื่นชอบคุณหนูกู้ แต่งตั้งเป็นจวงผิน”  

 

 

หวังหรูคิดว่าถาวจวินหลันไม่รู้เรื่องนี้ แต่กลับไม่รู้ว่าองค์หญิงแปดบอกนางอย่างละเอียดแล้ว แต่ถาวจวินหลันก็ไม่ได้อธิบายอย่างละเอียด เพียงแค่พยักหน้าพูดว่า “ข้ารู้แล้ว”  

 

 

เพราะหลี่เย่อยู่ด้านนอก หวังหรูจึงไม่กล้าอยู่นาน รีบขอตัวกลับไป ทำเป็นไม่เคยมาที่นี่มาก่อน  

 

 

ถาวจวินหลันครุ่นคิดพิจารณาอย่างละเอียดอีกครั้ง คิดว่าจะเกลี่ยกล่อมหลี่เย่อย่างไรดี และควรพูดเรื่องที่ตนเองครุ่นคิดมาก่อนหน้านี้อย่างไร ตอนที่กำลังสับสนอยู่ก็ได้ยินเสียงรายงานจากด้านนอกว่าหลี่เย่กลับมาแล้ว  

 

 

ถาวจวินหลันรีบลุกขึ้นออกไปต้อนรับ เพิ่งถึงหน้าประตูหลี่เย่ก็เลิกม่านเดินเข้ามาพอดี ทำเอาลมเย็นด้านนอกพัดเข้ามาด้วย ทำให้นางอดสั่นสะท้านไม่ได้  

 

 

หลี่เย่มองอยู่ก็รีบยืนไม่กล้าขยับไปไหน ขมวดคิ้วกล่าวว่า “รีบไปอิงไฟอยู่หน้าเตาผิงเร็วเข้า รอจนข้าถอดชุดคลุมแล้วจะตามไป” แม้จะบอกว่าถาวจวินหลันดูไม่เป็นอะไร แต่สุดท้ายร่างกายก็ยังอ่อนแออยู่มาก จะต้องระมัดระวังทุกด้านถึงจะถูก มิเช่นนั้นปล่อยให้ร่างกายเย็น แล้วเกิดเจ็บป่วยขึ้นมาจะทำเช่นไร?  

 

 

ถาวจวินหลันกลับไม่ยอม ยังคงยิ้มและยื่นมือออกไปช่วยเขาถอดเสื้อกันลมออก “ช่างเถิดเจ้าค่ะ ไม่ใช่ตุ๊กตากระดาษเสียหน่อย ทำไมจะต้องระวังเช่นนั้นด้วยเพคะ? แต่เพราะไม่ทันได้ป้องกันถึงได้เป็นเช่นนี้ ไฉนเลยจะต้องรุนแรงเช่นนั้น?”  

 

 

หลี่เย่กลับไม่ยอม “ระมัดระวังไว้จะแล่นเรือได้ถึงหมื่นปี”  

 

 

ขณะที่ทั้งสองคนพูดคุยกัน หลี่เย่ก็ถอดผ้ากันลมของตนเองออก พลางโยนไปให้หงหลัว จากนั้นเขาก็พาถาวจวินหลันเดินไปอิงไฟหน้าเตาผิง ดูจากท่าทีเช่นนี้แล้ว กลับไม่ได้ต่างไปจากปกติเท่าไร  

 

 

ถาวจวินหลันกลับยิ่งเป็นกังวล คนปกติพบเรื่องเช่นนี้ไฉนเลยจะสงบนิ่งได้เพียงนี้? อย่างไรหลี่เย่ก็เป็นคนธรรมดา ไม่ใช่เทพเซียนใดๆ ดังนั้นเขาก็ทำได้เพียงเก็บอารมณ์เหล่านี้เอาไว้ในใจเท่านั้นเอง  

 

 

นางเจ็บปวดใจเล็กน้อย แล้วอดจับมือเขาไว้ไม่ได้ แต่แรกนั้นคิดจะพูดเล็กน้อย แต่ฉับพลันกลับไม่รู้ว่าจะพูดอะไรออกมา เพียงแค่หัวเราะ “ข้าช่วยท่านอุ่นมือดีกว่า” พลางขยิบตาส่งสัญญาณให้หงหลัวพาคนถอยออกไป อย่างไรตอนที่พูดคุยเรื่องส่วนตัว จะให้บรรดาบ่าวรับใช้มาอยู่ข้างๆ ได้อย่างไรกัน?  

 

 

มือของหลี่เย่ไม่ได้เย็น แต่กลับอุ่นกว่ามือของถาวจวินหลันอยู่ด้วยซ้ำ หลี่เย่พลันก็แย้มยิ้ม พลิกมือของนางเอาไว้ในฝ่ามือ “เหตุใดมือของเจ้าถึงได้เย็นเยียบเช่นนี้? มือข้ายังอุ่นเสียกว่า”  

 

 

ถูกมือของหลี่เย่กุมเอาไว้ ถาวจวินหลันยิ่งรู้สึกอุ่นเป็นอย่างมาก แม้กระทั่งรู้สึกว่าไอความร้อนไหลเข้ามาจนถึงในใจของนาง ถาวจวินหลันถอนหายใจเบาๆ อดถามหลี่เย่ไม่ได้ว่า “ท่านอยู่ต่อหน้าข้าแล้วยังจะต้องปิดบังหลบซ่อนอีก พยายามอดทนอยู่หรือเพคะ?”  

 

 

หลี่เย่ชะงักไปเล็กน้อย ดูไม่เป็นธรรมชาติอย่างเห็นได้ชัด หยุดนิ่งไปชั่วครู่หนึ่ง ก็ได้สติกลับมา แล้วยังปากแข็ง “พูดถึงอะไรหรือ?”  

 

 

“ข้ารู้แล้ว” ถาวจวินหลันพูดเสียงเบา ออกแรงบีบมือของหลี่เย่เอาไว้ “ท่านยังจะคิดปิดบังข้าอีกหรือ?”  

 

 

หลี่เย่กำมือแน่น แล้วค่อยๆ คลายออกอย่างอ่อนแรง แล้วไหล่ทั้งสองข้างก็ตกลง รอยยิ้มอบอุ่นพลันเปลี่ยนเป็นท่าทีขมขื่น แม้แต่น้ำเสียงก็ดูแหบพร่ากว่าปกติหลายเท่า “เจ้าว่า น่าขันหรือไม่เล่า?”  

 

 

ถาวจวินหลันรู้ว่าหลี่เย่พูดถึงอะไร จึงถอนหายใจเอ่ย “น่าขันเพคะ”  

 

 

พ่อลูกต้องมาแย่งผู้หญิงคนเดียวกัน พูดจริงๆ แล้วเรื่องเช่นนี้ไม่ได้พบเห็นบ่อยนัก และเป็นเรื่องน่าขบขันประมาณหนึ่งเลยทีเดียว แน่นอนว่านางไม่อยากปลอบใจหลี่เย่ แต่พอเจอกับคำถามเช่นนี้ของหลี่เย่ นางกลับพูดขัดไม่ออกแม้แต่ประโยคเดียว  

 

 

นางจะพูดว่าฮ่องเต้ไม่สนใจความสัมพันธ์พ่อลูก เพียงแค่ชื่นชอบกู้ซีมากเกินไป และระงับอารมณ์ไม่อยู่เท่านั้นได้อย่างนั้นหรือ?  

 

 

ย่อมไม่อาจทำได้ ไม่ว่าจะระงับอารมณ์ไม่ได้อย่างไร แต่ก็ไม่ใช่เหตุผลที่ฮ่องเต้ไม่ไว้หน้าหลี่เย่เช่นนี้ และไม่อาจเปลี่ยนแปลงความเป็นจริงนี้ได้ สุดท้ายที่นางพูดออกมาก็เป็นเพียงความในใจของนางเท่านั้น  

 

 

หลี่เย่หัวเราะทันที “ใช่แล้ว น่าขันนัก น่าขันเหลือเกิน!” คำสุดท้าย หลี่เย่แทบจะเค้นตะโกนออกมาจากลำคอ และเพราะคำนี้ก็ถือเป็นการเปิดเผยอารมณ์ของหลี่เย่ในทันใด  

 

 

อย่างที่คาดไว้ ไม่ใช่ไม่โมโห ไม่โกรธแค้น เพียงแต่อดทนเอาไว้ไม่แสดงออกมาเท่านั้นเอง  

 

 

“ช่างเถิดเพคะ ประเดี๋ยวมันก็ผ่านไป” ถาวจวินหลันไม่รู้จริงๆ ว่าจะต้องปลอบประโลมหลี่เย่เช่นไร สุดท้ายแล้วก็ทำได้เพียงกอดหลี่เย่เอาไว้เหมือนที่ทำกับซวนเอ๋อร์ จับศีรษะของเขามาพิงไว้ที่บ่าของตนเอง และยังตบบ่าของเขาพลางพูดเบาๆ  

 

 

หลี่เย่ไม่ได้พูดอะไรอีก เพียงแค่พิงอยู่บนบ่าของถาวจวินหลันอยู่นานไม่ขยับไปไหน ผ่านไปนานถึงได้ลุกขึ้นมาใหม่ แต่ดวงตากลับแดงก่ำ  

 

 

ถาวจวินหลันตกใจเล็กน้อย และยิ่งรู้สึกเจ็บปวด แต่ก็กลัวว่าหลี่เย่จะรู้สึกระอาใจ จึงทำเป็นมองไม่เห็น แล้วเปลี่ยนเรื่องพูด “ท่านเองก็อย่าเก็บไปใส่ใจ พูดได้แค่ว่าแต่ละคนมีชะตาต่างกัน กู้ซีไม่ได้เข้ามาในจวนของพวกเราก็ไม่ใช่เรื่องไม่ดีอะไร แทนที่จะทำลายอนาคตของนาง ไม่สู้ให้นางไปมีความสุข ท่านว่าจริงหรือไม่?”  

 

 

หลี่เย่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก แต่กลับค่อยๆ สงบใจได้ “ถือว่าสมเหตุผล”  

 

 

ถาวจวินหลันยิ้มพลางพูดความคิดของตนเอง “ในเมื่อเก็บกวาดเรือนแล้ว หาพวกเราปล่อยไปก็ถือว่าไม่เหมาะสม ไม่สู้เลือกเข้าเรือนมาอีกสักคน ไทเฮาสุขภาพไม่ค่อยดีนัก หากรู้เรื่องนี้คงอารมณ์ดีขึ้นมาบ้าง แต่พวกเราต้องคุยกันให้ดีก่อน ต่อให้มีคนใหม่เข้าจวนมาก็ไม่อนุญาตให้ท่านไปหา”  

 

 

คำพูดนี้แต่เดิมเป็นเรื่องล้อเล่น หลี่เย่ฟังแล้วก็รู้สึกขบขัน พูดว่า “ในเมื่อเก็บกวาดแล้ว ก็ให้จิ้งหลิงย้ายไปเถิด นางต้องดูแลกั่วเจี่ยเอ๋อร์ เปลี่ยนที่ให้ใหญ่หน่อยก็ถือว่าเหมาะสม ส่วนคนใหม่ยังไม่จำเป็น สถานการณ์วุ่นวายบานปลาย เขาเป็นคนทำก็ให้เขาเก็บกวาดเอง”  

 

 

เขาในที่นี้ย่อมต้องหมายถึงฮ่องเต้  

 

 

ถาวจวินหลันครุ่นคิด รู้สึกว่ามีเหตุผล จึงพยักหน้าพูดว่า “ก็ดีเพคะ จิ้งหลิงอยู่กับท่านมานานหลายปี และยังเลี้ยงดูแลกั่วเจี่ยเอ๋อร์ แค่เรื่องเช่นนี้ก็สมเหตุสมผลแล้ว ไม่ถือว่าน่าเกลียดจนเกินไปเพคะ”  

 

 

เรื่องนี้ตกลงตามนี้ จู่ๆ หลี่เย่ก็ส่ายหน้าพลางพูดว่า “องค์หญิงแปดคงสนิทกับเจ้าจริงๆ ถึงได้มาพูดเรื่องนี้กับเจ้า”  

 

 

ถาวจวินหลันกลัวเขาจะคิดว่าองค์หญิงแปดเป็นคนชอบนินทา จึงพูดว่า “นางแค่กลัวข้าไม่รู้ ถึงเวลาจะถูกมองเป็นตัวตลก ถึงได้หวังดีมาเตือน พูดไปแล้วก็ต้องขอบคุณนางนะเพคะ”  

 

 

หลี่เย่รู้สึกถึงความคิดของถาวจวินหลัน จึงหัวเราะออกมา “ถ้าเช่นนั้นข้าก็กลายเป็นคนที่ไม่รู้น้ำใจอย่างนั้นหรือ?”  

 

 

ถาวจวินหลันคลี่ยิ้ม รีบพูดว่า “ไฉนเลยข้าจะหมายความเช่นนั้น”  

 

 

“องค์หญิงแปดบอกรายละเอียดกับเจ้าหรือไม่?” จู่ๆ หลี่เย่ก็ถาม “นางพูดอะไรกับเจ้าบ้าง?”  

 

 

ถาวจวินหลันตะลึงไป ไม่ค่อยเข้าใจความหมายของหลี่เย่ แล้วก็บอกคำพูดขององค์หญิงแปดอย่างละเอียด   

 

 

หลี่เย่พยักหน้า “อิงผินเป็นคนมีเส้นสาย ข่าวไวมากทีเดียว” ฟังจากน้ำเสียงของเขา กลับมีความชื่นชมแฝงอยู่ไม่น้อย  

 

 

พอเห็นหลี่เย่สงบนิ่งแล้ว ถาวจวินหลันก็เริ่มใจกล้า รวบรวมความกล้าถามว่า “เรื่องนั้นเหมือนกับที่องค์หญิงแปดพูดเลยหรือ? กู้ซีถูกคนวางแผนจริงหรือ?”  

 

 

หากเป็นเช่นนี้จริง ไทเฮาจะต้องไม่ยอมปล่อยไปแน่นอน แม้กระทั่งฮ่องเต้ ก็ไม่จำเป็นว่าจะต้องถูกคนวางแผนใส่เช่นนี้ เกรงว่าภายในวังหลวงคงจะฝนเลือดกระเซ็นสาด กระทั่งอาจส่งผลกระทบไปถึงราชสำนัก  

 

 

พูดให้ไม่น่าฟัง ใครมีความแค้นกับกู้ซีเล่า? ถึงกับต้องวางแผนทำร้ายกู้ซี? หญิงสาวที่ดีไม่แต่งกับสองชาย หากกู้ซีมีนิสัยรุนแรงกว่านี้ เกรงว่าคงจะฆ่าตัวตายไปแล้ว พูดตรงๆ ก็คือ เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นกับกู้ซี ถาวจวินหลันรู้สึกว่าเป็นการพุ่งเข้าหาหลี่เย่มากกว่า จุดประสงค์ก็เพื่อทำให้หลี่เย่ตกที่นั่งลำบาก ถ้าไม่เช่นนั้นจะลงมือเช่นนี้กับหญิงสาวคนหนึ่งเลยหรือ?  

 

 

อย่างไรเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น หลี่เย่จะต้องไม่พอใจฮ่องเต้เป็นแน่ อีกทั้งฮ่องเต้มองหลี่เย่แล้วก็คงจะทำตัวไม่ถูก สถานการณ์เช่นนี้ ความสัมพันธ์พ่อลูกของทั้งสองคนจะยังดีอยู่อีกหรือไร? ในเมื่อพ่อลูกไม่ลงรอยกัน เช่นนั้นหลี่เย่จะถูกลดความโปรดปรานก็ถือเป็นเรื่องในไม่ช้านี้  

 

 

คิดไปคิดมาสุดท้ายแล้วถาวจวินหลันก็ยังคงพุ่งเป้าหมายที่ฮองเฮา ภายในวังหลวง ฮองเฮาคิดจะกระทำการเล็กๆ น้อยๆ ถือว่าง่ายดายมาก  

 

 

ปกติแล้วหลี่เย่ก็เข้ากับถาวจวินหลันได้ดี เขามองเพียงนิดเดียวก็รู้ความคิดของถาวจวินหลัน พยักหน้าพลางส่ายหน้า สุดท้ายก็พูดว่า “เรื่องคงจะไม่ได้ง่ายดายเพียงนี้ หากเพียงแค่พบกัน เขาคงจะไม่ถึงขั้นทำเรื่องสิ้นสติเช่นนี้เป็นแน่”  

 

 

ฮ่องเต้ไม่ใช่คนเลอะเลือน เพียงแค่หน้าตาไม่สามารถล่อฮ่องเต้ให้ติดกับได้อย่างแน่นอน หลี่เย่เข้าใจเรื่องนี้เป็นอย่างดี อย่างไรในสายตาฮ่องเต้ ผู้หญิงเหล่านี้ก็แทบไม่ต่างจากของชิ้นหนึ่งเลยแม้แต่น้อย แม้แต่ฮองเฮาก็ไม่ยกเว้น แล้วจะเอาอะไรกับกู้ซีเล่า?  

 

 

กู้ซีจะหน้าตาเหมือนเพียงใด แต่สุดท้ายแล้วก็ไม่ใช่ ตอนที่เสด็จแม่ของตนยังมีชีวิตอยู่ ก็ไม่เห็นว่าจะมีข้อยกเว้น ดังนั้นกู้ซียิ่งไม่มีทางเป็นไปได้  

 

 

ด้วยหลี่เย่เข้าใจดี จึงรู้สึกแปลก และปล่อยวางไปไม่ได้  

 

 

พอได้ยินหลี่เย่พูด ถาวจวินหลันก็เริ่มเข้าใจ สีหน้าพลันเปลี่ยนไป “ใช่แล้ว เกรงว่าคงจะไม่ง่ายเช่นนี้”  

บัลลังก์พญาหงส์

บัลลังก์พญาหงส์

ตัวนางเป็นลูกขุนนางนักโทษ ขายตัวเองและน้องสาวเข้ามาเป็นนางกำนัลต่ำต้อยในวัง เถาจวินหลันต้องยอมรับชะตากรรมเช่นนี้จริงๆ หรือ? จะต้องใช้ชีวิตอย่างน่าอัปยศอดสู แล้วตายไปอย่างเงียบๆ เช่นนั้นหรือ? นางจะไม่ยอมให้เป็นเช่นนั้นเด็ดขาด! นางมีทั้งความสามารถและหน้าตาอันงดงาม อำนาจ ครอบครัว ความรัก…นางต้องการมันทั้งหมด! ส่วนพวกปรปักษ์มันจะต้องโดนทำลายจนย่อยยับ!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset