บัลลังก์พญาหงส์ – ตอนที่ 505 ยุติธรรม

       พอถาวจวินหลันเอ่ยปากถาม เจียงอวี้เหลียนกลับเม้มปากหัวเราะ “ดูชายารองถาวพูดเข้า ข้าก็แค่ถามเท่านั้น ไฉนเลยจะดีใจเพราะคนอื่นเป็นทุกข์เล่า ข้าเพียงแค่ถามด้วยสงสัยเท่านั้นเอง ทำไมเล่า ชายารองถาวไม่อนุญาตให้ถามอย่างนั้นหรือเจ้าคะ?”  

 

 

           คำพูดนี้ของเจียงอวี้เหลียนเป็นการปัดภาระทิ้งจนหมด ถาวจวินหลันหัวเราะเบาๆ “ย่อมต้องถามได้ แต่การแสดงออกของเจ้ากลับทำให้ข้าเข้าใจผิด แต่หากไม่ได้ดีใจเพราะคนอื่นตกทุกข์ได้ยาก แสดงว่าชายารองเจียงก็ยืนอยู่ข้างข้าแล้ว”  

 

 

           สายตาของเจียงอวี้เหลียนเป็นประกาย รอยยิ้มค้างอยู่บนใบหน้า “ใครมีเหตุผลข้าก็จะยืนอยู่ฝั่งนั้น คงไม่อาจเข้าข้างคนกันเองโดยไม่ยึดถือความเที่ยงตรง ต่อให้ท่านอ๋องมา ก็คิดว่าคงเป็นเช่นนี้”  

 

 

           เจียงอวี้เหลียนไม่พูดถึงหลี่เย่ยังดี พอพูดถึงหลี่เย่ขึ้นมาก็ทำให้หลิ่วฮูหยินคิดขึ้นมาได้ “ชายางรองเจียง ข้าต้องการพบหลี่เย่ เจ้าไปเรียกหลี่เย่มาให้ข้า!”  

 

 

           หลิ่วฮูหยินพูดออกคำสั่งอย่างเห็นได้ชัด แต่เจียงอวี้เหลียนกลับไม่ได้รู้สึกหงุดหงิด แค่ยิ้มมองไปทางถาวจวินหลัน พูดอย่างสงบว่า “ในเมื่อท่านป้าอยากพบหลี่เย่ ข้าก็ต้องพาท่านป้าไปพบ”  

 

 

           ถาวจวินหลันโมโหจนแทบหลุดหัวเราะออกมา เจียงอวี้เหลียนมีท่าทีกระตือรือร้นเกินพอดี ก็ด้วยอยากเห็นนางเสียหน้ามิใช่หรืออย่างไร แน่นอนว่า นางไม่อาจขอร้องเจียงอวี้เหลียนให้อยู่ข้างนาง หรือพูดแทนนางได้ หากเป็นเช่นนั้นจริง นางคงรู้สึกอึดอัดใจ แต่นางรู้สึกว่าเจียงอวี้เหลียนทำเช่นนี้ก็เกินไปเล็กน้อย แม้ว่าอยากจะเห็นนางเสียหน้า แต่ก็ต้องไม่ใช่เช่นนี้มิใช่หรือ? คราวนี้เป็นเรื่องเล็ก แต่หากเกี่ยวข้องกับเรื่องใหญ่ของจวนตวนชินอ๋องเล่า? ถึงเวลานั้นเจียงอวี้เหลียนยังเป็นเช่นนี้อยู่ นั่นจะเกิดผลตามมาอย่างไรบ้าง?  

 

 

           ในเมื่อมีเจียงอวี้เหลียนนำทางแล้ว ถาวจวินหลันย่อมไม่อาจยืนอยู่ที่เดิมได้อีก ปล่อยให้ชุนฮุ่ยประคองตนเองเข้าไปในเรือนเฉินเซียงช้าๆ เรื่องนี้ย่อมไม่อาจปิดบังหลี่เย่ได้แล้ว แต่นางคิดว่าอย่างน้อยก็ไม่อาจให้องค์ชายเจ็ดรู้เรื่องน่าขันนี้ได้ ดังนั้นจึงหันไปสั่งปี้เจียวว่า “บอกท่านอ๋องให้พาองค์ชายเจ็ดไปดื่มชาก่อน จากนั้นค่อยบอกท่านอ๋องว่าท่านป้าต้องการพบเขา”  

 

 

           แม้นองค์ชายเจ็ดและหลี่เย่สนิทกัน แต่เรื่องภายในเรือนเช่นนี้ก็ไม่ควรให้องค์ชายเจ็ดรับรู้ อีกอย่างนางคิดว่าเรื่องนี้ต้องเกี่ยวข้องกับนาง ดังนั้นนางยิ่งไม่ยินยอมให้คนนอกได้ยิน มิเช่นนั้นต่อจากนี้เมื่อต้องพบองค์ชายเจ็ดอีก ก็มีแต่จะชวนให้คิดถึงเรื่องนี้ ถึงเวลานั้นจะต้องประหม่ามากเป็นแน่  

 

 

           อีกทั้งต่อจากนี้นางจะต้องเข้าออกวังหลวงมากขึ้น โอกาสพบหน้ากันก็มีมาก ดังนั้นยิ่งต้องระวัง นางไม่อาจเสียหน้าต่อคนผู้นี้ได้จริงๆ  

 

 

           ถาวจวินหลันลูบใบหน้าของตนเองเบาๆ ก่อนถามชุนฮุ่ยเสียงเบา “ตอนนี้ข้าดูน่าเวทนามากใช่หรือไม่?”  

 

 

           ชุ่นฮุ่ยส่ายหน้า “ไม่ถึงขั้นน่าเวทนาเจ้าค่ะ เพียงแค่ดูแล้วน่ากลัวเล็กน้อยเจ้าค่ะ ฝ่ามือนั้นใช้แรงตบมาก ทั้งหน้าเริ่มบวมแล้ว เกรงว่าอีกสองสามวันก็ยังคงไม่หายดีเจ้าค่ะ”  

 

 

           ถาวจวินหลันถอนหายใจ คิดว่าวันนี้ตนเองโด่งดังอย่างสมบูรณ์แล้ว เมื่อครู่นี้มีคนเห็นเหตุการณ์มากมาย ใช้เวลาไม่นานเรื่องนี้จะต้องถูกแพร่กระจายไปทั่วแน่นอน  

 

 

           “ถ่ายทอดคำสั่งออกไป ใครกล้าพูดถึงเรื่องวันนี้ ไม่มีทางอ่อนข้อให้เด็ดขาด หากข้าได้ยินอะไรก็ตามแต่จากข้างนอก ไม่ว่าเป็นใครพูด ลงโทษสถานหนักทั้งหมด” ถาวจวินหลันคิดแล้วก็พูดสั่ง นางอดหัวเราะขมขื่นไม่ได้ แม้จะบอกว่านางไม่ใช่คนที่ต้องการหน้าตาอะไร แต่ก็ไม่อยากเสียหน้า ฝ่ามือของหลิ่วฮูหยินในวันนี้ ทำให้ศักดิ์ศรี หน้าตาของนางหายไปโดยสิ้นเชิง  

 

 

           ไม่พอใจอย่างนั้นหรือ? ย่อมต้องไม่พอใจอยู่แล้ว แต่จะไม่พอใจอย่างไรนางก็ไม่อาจทำอะไรกับหลิ่วฮูหยินได้ นี่จึงเป็นเรื่องน่าอึดอัดใจมากที่สุด  

 

 

           แต่นางอยากรู้จริงๆ ว่าแท้จริงแล้วเป็นแบบนี้ได้อย่างไร ฉับพลันนางก็อดเร่งฝีเท้าไม่ได้  

 

 

           พอกลับมาถึงเรือนเฉินเซียง ถาวจวินหลันก็เห็นหลี่เย่รออยู่หน้าประตู จึงเหลือบมองไปข้างหลังหลี่เย่ตามสัญชาตญาณ ไม่เห็นเงาขององค์ชายเจ็ด นางก็สบายใจไปได้เฮือกหนึ่ง  

 

 

           หลังจากนั้นสายตาก็ทอดไปยังร่างของหลี่เย่ ตอนที่เห็นสายตาเป็นกังวลของเขา นางก็ก้มหน้าลงทันที ความน้อยใจพุ่งพล่านเต็มไปหมด  

 

 

           หากเป็นคนอื่น นางจะต้องตบคืนกลับไปแน่นอน แต่นั่นเป็นป้าสะใภ้ของหลี่เย่ นางจึงทำได้แค่เก็บเงียบและกล้ำกลืนเท่านั้น ก่อนหน้านี้ยังไม่เจอหน้าหลี่เย่ยังดี แต่ตอนนี้พบหน้า ก็เก็บความน้อยใจเอาไว้ไม่ได้  

 

 

           นางเริ่มมีอาการเคืองตา น้ำตาแทบจะไหลออกมา นางจะไม่น้อยใจได้อย่างไร? ตั้งแต่เด็กจนโต ต่อให้เป็นตอนที่ลำบากที่สุด ก็ไม่เคยพบเรื่องเช่นนี้มาก่อน นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่นางพบเจอเรื่องเช่นนี้ อีกทั้งยังไม่มีเหตุผลใดๆ อีกด้วย  

 

 

           แต่น้อยใจถือเป็นเรื่องหนึ่ง แต่นางกลับไม่ยินยอมให้หลี่เย่เห็นใบหน้าที่เป็นรอยของนาง บางทีดูแล้วอาจจะรู้สึกเห็นใจ และโมโหแทนนาง แต่เรื่องฉวยโอกาสร้องขอความโปรดปรานเช่นนี้ นางกลับทำไม่ได้ อีกทั้งนางไม่ยินยอมให้หลี่เย่ลำบากใจ  

 

 

           หลี่เย่อาจจะได้ยินเรื่องคร่าวๆ มาจากปี้เจียวบ้างแล้ว ดังนั้นจึงมีท่าทางนิ่งๆ กับหลิ่วฮูหยิน เพียงแค่พูดว่า “ท่านป้าสะใภ้” จากนั้นก็ไม่ได้พูดอะไรมากอีก แต่สายตากลับทอดมองไปยังร่างของถาวจวินหลันอยู่ตลอด สังเกตใบหน้าของนางอย่างละเอียด  

 

 

           ต่อให้ถาวจวินหลันก้มหน้า ก็ไม่อาจปิดบังรอยบวมแดงบนใบหน้าไว้ได้หมด พอหลี่เย่มองอย่างละเอียดแล้ว ย่อมต้องเห็นอย่างชัดเจน  

 

 

           รอยยิ้มของหลี่เย่พลันเป็นเป็นเย็บเยียบ  

 

 

           หลิ่วฮูหยินไม่เข้าใจหลี่เย่ ยิ่งไม่สังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยนี้ของหลี่เย่ จึงหัวเราะเสียงเย็น เชิดหน้ามองหลี่เย่พูดว่า “ตวนชินอ๋อง วันนี้ที่ข้ามาไม่ใช่เพราะเรื่องอื่น แต่ต้องการมาขอความยุติธรรมจากเจ้า!”           

 

 

           หลี่เย่เลิกคิ้ว “อย่างนั้นหรือ? แท้จริงแล้วป้าสะใภ้มาก็เพราะเหตุนี้ ข้ายังคิดว่าข้าทำอะไรผิด ท่านถึงได้มาหาเรื่องถึงที่นี่ เพิ่งจะเข้ามาในเรือนก็ลงไม้ลงมือกับชายารองของข้า ข้ายังอยากจะถามท่าน ว่าแท้จริงแล้วมีเรื่องอะไรกันแน่ คิดว่าชายารองของข้าก็ไม่ได้ทำผิดกับท่านใช่หรือไม่”  

 

 

           ถาวจวินหลันเงยหน้ามองหลี่เย่อย่างตื่นตกใจ นางคิดไม่ถึงว่าหลี่เย่จะกล้าถามหลิ่วฮูหยินตรงๆ โดยไม่ไว้หน้าเลยเช่นนี้  

 

 

           วิธีการเช่นนี้ย่อมมีผลสองแบบ สำหรับนางแล้วย่อมต้องระบายความไม่พอใจได้ อย่างไรก็ไม่มีอะไรทำให้นางสบายใจมากกว่าหลี่เย่ออกหน้าแทนนางแล้ว แต่ถือว่าทำผิกับทางตระกูลกู้มากเกินไป แม้ว่าตระกูลกู้จะช่วยเหลือหลี่เย่ไม่ได้มาก แต่อย่างไรก็ยังเป็นญาติของหลี่เย่ หากการกระทำของหลี่เย่แพร่กระจายออกไป เกรงว่าคนอื่นจะต้องคิดว่าเขาเย็นชาไร้เยื่อใยเป็นแน่  

 

 

           หลิ่วฮูหยินเห็นว่าหลี่เย่ยิ้มแย้มพูดคุยกับนาง ยังรู้สึกว่าหลี่เย่จะต้องให้คำตอบกับนาง แต่คิดไม่ถึงว่าหลี่เย่กลับเปลี่ยนเรื่องพูด แทบจะต้องใช้เวลาครู่หนึ่งถึงได้รู้สึกถึงจุดประสงค์ของหลี่เย่ สีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย แต่หลี่เย่ก็ถามอย่างใจเย็น และยังถามอย่างมีเหตุมีผล ฉับพลันนั้นนางก็ไม่รู้ว่าจะต้องตอบอย่างไร และรู้สึกประหม่ามาก  

 

 

           เจียงอวี้เหลียนเห็นท่าไม่ดี จึงหัวเราะทำลายบรรยากาศอึมครึม “ทำไมท่านอ๋องไม่เชิญท่านป้าเข้าไปดื่มชาข้างในเล่าเจ้าคะ? มีอะไรคุยกัน ก็เข้าไปนั่งคุยกันเถิดเจ้าค่ะ”  

 

 

           เจียงอวี้เหลียนพูดได้ถูกเวลา หลิ่วฮูหยินนึกได้ก็รีบพูดว่า “ใช่แล้ว ข้ามีเรื่องอยากพูดกับเจ้า”  

 

 

           เมื่อเจียงอวี้เหลียนพูดเช่นนี้ก็ทำให้ความกดดันของหลี่เย่หายไปกว่าครึ่ง และคิดว่าไม่ดีหากจะไล่ถามอะไรอีก หลี่เย่มองเจียงอวี้เหลียนนิ่ง เอียงตัวเล็กน้อย “เชิญท่านป้า”  

 

 

           พอเจียงอวี้เหลียนเห็นสายตาของหลี่เย่ ก็รู้สึกขลาดกลัวเล็กน้อย หดคอน้อยๆ คิดได้ว่าตนเองทำไม่ค่อยดี จึงหันไปยิ้มน้อยๆ ให้หลี่เย่ พยายามแสดงท่าทีสงบ  

 

 

           แต่หลี่เย่กลับเบนสายตากลับไปนานแล้ว  

 

 

           ถาวจวินหลันเห็นแบบนี้ ก็ยิ่งมั่นใจว่าจะต้องวิเคราะห์วิธีการของเจียงอวี้เหลียนให้ดี เจียงอวี้เหลียนเป็นปฏิปักษ์กับนางนั้นไม่สำคัญ แต่ไม่อาจเป็นปฏิปักษ์กับหลี่เย่ได้ นางหักหน้าเช่นนี้ มีเรื่องดีสักกี่ครั้งกัน?  

 

 

           เมื่อเข้าไปในห้องและนั่งลงแล้ว หลี่เย่ก็อมยิ้มพูด แต่เมื่อมองให้ดีแล้ว ก็เห็นความแสร้งของเขาได้ไม่ยาก “ท่านป้าพูดได้แล้วใช่หรือไม่? แต่ข้ายังอยากถามว่าท่านทำแบบนี้เพราะเหตุใด แม้จะบอกว่าท่านเป็นผู้อาวุโส แต่ก็ไม่มีเหตุผลให้เข้ามาลงมือลงไม้ตามสบายในจวนตวนชินอ๋อง”  

 

 

           อีกทั้งนั่นยังเป็นผู้หญิงของเขา แม้แต่ไทเฮาก็ยังไม่อาจลงมือกับถาวจวินหลันเช่นนี้! ยิ่งไม่ต้องพูดว่าเวลานี้ถาวจวินหลันเหมือนเป็นหน้าตาของเขา ไม่ใช่ว่าใครจะมาทำอะไรผู้หญิงของเขาก็ได้! ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง แล้วเขาจะเป็นตวนชินอ๋องไปเพื่ออะไร ไม่สู้เป็นประชาชนธรรมดายังจะดีกว่า!  

 

 

           ตอนนี้หลี่เย่กำลังคิดว่าตนเองแสดงออกอบอุ่นมากเกินไป คนอื่นถึงได้รู้สึกว่าเหยียบหัวเขาอย่างไรก็ได้  

 

 

           ขณะที่หลี่เย่กำลังคิดเช่นนี้ หลิ่วฮูหยินก็เปิดปากพูด ท่าทียังคงแข็งตึงเหมือนก่อนหน้านี้ กระทั่งมีท่าทีกดดันอยู่ด้วย “ถาวซื่อทำเรื่องเช่นนั้น ท่านไม่ช่วยซีเอ๋อร์แก้แค้น แต่ยังปกป้องนาง นี่มันหมายความว่าอย่างไรกัน? ข้าตบนางแล้วจะทำไม? นี่ยังเบาด้วยซ้ำไป! ข้าไม่เพียงแค่ตบนางเท่านั้น แต่จะให้ไทเฮาสั่งปลดนางงูพิษคนนี้ด้วย! ”  

 

 

           “ท่านป้า!” ถาวจวินหลันฟังต่อไปไม่ได้ รีบตะโกนหยุดเอาไว้ “ขอให้ท่านป้าพูดดีๆ ด้วยเถิดเจ้าค่ะ ท่านบอกมาก่อนว่าแท้จริงแล้วข้าทำเรื่องอะไร แล้วค่อยพูดถึงเรื่องอื่น มิเช่นนั้นท่านพูดว่าข้าเป็นงูพิษ แล้วยังจะปลดข้า หากเป็นเรื่องใส่ร้ายข้าแล้วจะทำเช่นไร? ไม่รู้ว่าท่านจะยอมเสียหน้ามาขอโทษข้าต่อหน้าคนมากมายได้หรือไม่?”  

 

 

           “ไม่ใช่เจ้าทำแล้วใครทำเล่า?” หลิ่วฮูหยินยิ้มเย็นถามกลับ มองท่าทีเช่นนั้นก็รู้ว่าถาวจวินหลันไร้ประโยชน์ที่จะถาม แม้กระทั่งหลิ่วฮูหยินเงยหน้าอวดดีขึ้นมา “หากข้าใส่ร้ายเจ้าจริง ไม่ต้องพูดว่าขอโทษเจ้าต่อหน้าทุกคน แม้แต่ต่อหน้าไทเฮา ข้าเองก็กล้าก้มหน้ายอมรับผิดต่อเจ้า”  

 

 

           “ดี ข้าเชื่อว่าหลิ่วฮูหยินเป็นคนวาจาหนักแน่น ถ้าเช่นนั้นวันนี้ข้าจะฟังด้วยความตั้งใจ แท้จริงแล้วข้าทำเรื่องอะไรกัน ท่านถึงโกรธแค้นข้าถึงเพียงนี้” ถาวจวินหลันหัวเราะเสียงเย็น จัดการพูดสรุปเรื่องนี้ ก้มหน้าขอโทษคงไม่ต้องทำ แต่อย่างไรก็ต้องให้พูดขอโทษนางอย่างแน่นอน!  

 

 

           หลี่เย่พลันพูดขึ้นว่า “ในเมื่อท่านป้าพูดแล้ว ข้าคิดว่าท่านป้าจะต้องทำได้แน่นอน แต่ไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วเกิดเรื่องอะไรขึ้น ขอให้ท่านป้าพูดออกมาด้วยเถิด”  

บัลลังก์พญาหงส์

บัลลังก์พญาหงส์

ตัวนางเป็นลูกขุนนางนักโทษ ขายตัวเองและน้องสาวเข้ามาเป็นนางกำนัลต่ำต้อยในวัง เถาจวินหลันต้องยอมรับชะตากรรมเช่นนี้จริงๆ หรือ? จะต้องใช้ชีวิตอย่างน่าอัปยศอดสู แล้วตายไปอย่างเงียบๆ เช่นนั้นหรือ? นางจะไม่ยอมให้เป็นเช่นนั้นเด็ดขาด! นางมีทั้งความสามารถและหน้าตาอันงดงาม อำนาจ ครอบครัว ความรัก…นางต้องการมันทั้งหมด! ส่วนพวกปรปักษ์มันจะต้องโดนทำลายจนย่อยยับ!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset