บัลลังก์พญาหงส์ – ตอนที่ 542 อาอู่

ขันทีเป่าฉวนสืบมาได้ว่าคนบังคับรถม้ามีปัญหา  

 

 

 

 

 

คนบังคับรถม้าและแม่นมนั้นเป็นคนที่มาจากบ้านเดียวกัน คนบังคับรถม้าเข้าทำงานในจวนได้ก็เพราะใช้เส้นสายของแม่นม  

 

 

 

 

 

ถาวจวินหลันได้ยินเช่นนี้ ก็นิ่งเงียบไปนานถึงได้หัวเราะขมขื่น “ที่แท้ก็ชักน้ำเข้าลึก ชักศึกเข้าบ้าน”  

 

 

 

 

 

“ในเมื่อสืบเจอปัญหาแล้ว ถ้าเช่นนั้นสอบสวนได้ความบ้างหรือไม่?” หลังจากรำพึงรำพันอยู่ครู่หนึ่งแล้ว ถาวจวินหลันก็รวบรวมสมาธิ ถามเรื่องสำคัญ หากตอนที่สอบสวนฝ่ายตรงข้ามพูดความจริง เช่นนั้นย่อมเป็นเรื่องดี ไม่แน่ว่าอาจจะหาร่องรอยเซิ่นเอ๋อร์เจอก็ได้  

 

 

 

 

 

แต่ขันทีเป่าฉวนกลับส่ายหน้า “คนบังคับรถม้าคนนั้นฆ่าตัวตายไปแล้ว”  

 

 

 

 

 

ถาวจวินหลันได้ยินเช่นนั้นก็ตกอยู่ในภวังค์ ผ่านไปครู่หนึ่งก็ถอนหายใจ “เมื่อดูแล้ว นั่นก็คงเป็นทหารพลีชีพ”  

 

 

 

 

 

ขันทีเป่าฉวนพยักหน้า สีหน้าไม่ค่อยน่ามองนัก “คิดว่าต้องเป็นเช่นนั้น”  

 

 

 

 

 

“แต่ในเมื่อคนบังคับรถม้าและแม่นมเป็นพวกเดียวกัน เช่นนั้นจะต้องออกจากจวนอ๋องได้ไม่นานก็หาโอกาสเอาแม่นมออกมาจากถัง ไม่มีทางจะเข้าไปในจวนของคนอื่นเป็นแน่ ในตอนนั้นคิดว่าไม่ใช่แค่คนบังคับรถม้าไปคนเดียว คนอื่นนั้นได้สังเกตเห็นอะไรหรือไม่?” ถาวจวินหลันถาม  

 

 

 

 

 

“ในตอนนั้นไม่มีใครสังเกตเรื่องนี้ จึงถามไม่ได้ความ” ขันทีเป่าฉวนถอนใจ “เรื่องนี้มีการวางแผนอย่างดี ดังนั้นเกรงว่าคงจะสืบอะไรไม่ได้”  

 

 

 

 

 

“ความหมายของกงกงคือ…” ถาวจวินหลันพอจับความคิดของขันทีเป่าฉวนได้เล็กน้อย เลิกคิ้วขึ้นมา  

 

 

 

 

 

ขันทีเป่าฉวนพยักหน้า “ใช่แล้ว ข้าอยากพูดว่าไม่สืบเลยก็แล้วกัน อย่างไรตอนนี้ที่สืบอยู่ก็ถือเป็นการเสียแรงเสียเวลา ไม่รู้ว่าจะได้ผลอะไรหรือไม่ ที่สำคัญคือพวกเราก็รู้อยู่แก่ใจว่าใครเป็นคนทำ ดังนั้นจึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องสืบต่อไป ฝ่ายตรงข้ามมีเซิ่นเอ๋อร์อยู่ในมือ ย่อมต้องไม่รอให้พวกเราไปช่วยเป็นแน่”  

 

 

 

 

 

เวลาผ่านไปนานขนาดนี้แล้ว ก็ไม่รู้ว่าจะถูกโยกย้ายไปทีใด  

 

 

 

 

 

ถาวจวินหลันจมอยู่ในภวังค์ครู่หนึ่ง ก็เข้าใจความหมายของขันทีเป่าฉวน ความหมายของขันทีเป่าฉวนคือ ฝ่ายตรงข้ามนั้นย่อมต้องไม่อาจให้เซิ่นเอ๋อร์ตกอยู่ในอันตรายเป็นแน่ ไม่สู้ว่าสงบนิ่งดูความเคลื่อนไหว แล้วลับหลังก็เตรียมตัวจัดการอีกครั้งหนึ่ง จะได้ต่อกรกับคนที่อยู่เบื้องหลังการวางแผนได้ถูก  

 

 

 

 

 

“อีกอย่าง พวกเราสืบอย่างเปิดเผยเช่นนี้ เกรงว่าจะทำให้ฝ่ายตรงข้ามระมัดระวังมากกว่าเดิม หากสืบอะไรไม่พบฝ่ายตรงข้ามจะต้องลดกำแพงการป้องกันลง ถึงเวลานั้น จะเกิดเรื่องคาดไม่ถึงขึ้นอีก” ตอนที่ขันทีเป่าฉวนพูดแฝงไว้ก้วยความขบขันเอาไว้เบาๆ เหมือนกำลังถามความคิดเห็นของถาวจวินหลันอยู่  

 

 

 

 

 

แต่ถาวจวินหลันสังเกตเห็นตอนที่ขันทีเป่าฉวนพูดคำพูดเหล่านั้นออกมาเขาใช้น้ำเสียงมั่นใจ เห็นได้ชัดว่าแน่ใจแล้ว ที่พูดออกมาก็เป็นเพียงแค่การแจ้งนางเท่านั้นเอง  

 

 

 

 

 

นางเห็นด้วยก็ทำตาม นางไม่เห็นด้วยก็ต้องทำตามเหมือนกัน ถาวจวินหลันรู้ดีอยู่แก่ใจว่าขันทีเป่าฉวนดูถูกนางอยู่เล็กน้อย รู้สึกว่านางเป็นสตรีเกรงว่าจะไม่เหมาะกับการเป็นผู้นำ ดังนั้นจึงตัดสินใจคุมสถานการณ์ด้วยตนเอง  

 

 

 

 

 

ถาวจวินหลันสบตากับขันทีเป่าฉวนอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็แย้มยิ้ม “ เรื่องนี้ทำตามนี้ก็แล้วกัน คิดว่ากงกงเองคงไม่คิดร้ายกับจวนตวนชินอ๋องเป็นแน่  

 

 

 

 

 

ขันทีเป่าฉวนพยักหน้า “ ย่อมต้องเป็นเช่นนั้น”  

 

 

 

 

 

“ถ้าเช่นนั้นก็ต้องรบกวนกงกงไปทูลบอกฮ่องเต้ด้วย หลังจากเซิ่นเอ๋อร์ถูกลักพาตัวไป ซวนเอ๋อร์ก็ถูกคนจับตาดูเช่นกัน ถ้าไม่ใช่เพราะระวังเป็นอย่างดี เกรงว่าคงจะลงมือได้อีกครั้ง คนเหล่านี้เกรงว่าคงจะเป็นคนที่อยู่เบื้องหลังวางแผนต่อกรกับท่านอ๋อง ทำเรื่องเช่นนี้ก็เพื่อจู่โจมจวนตวนชินอ๋อง ข่มขู่ท่านอ๋อง วางแผนเล่นงานท่านอ๋อง” ตอนที่ถาวจวินหลันพูดออกมา ก็แย้มยิ้มเล็กน้อย น้ำเสียงจริงใจมาก และจริงจังมากเช่นเดียวกัน “นี่เป็นเรื่องง่ายเหมือนพลิกฝ่ามือเท่านั้น คิดว่ากงกงคงไม่ปฏิเสธเป็นแน่กระมัง?”  

 

 

 

 

 

ท่าทีแข็งข้อของถาวจวินหลันทำให้ขันทีเป่าฉวนตกใจ จนอดใช้สายตาเคลือบแคลงมองไปยังถาวจวินหลันอยู่ครู่ใหญ่ ผ่านไปสักพักก็ได้สติกลับคืนมา ยิ้มน้อยๆ “ชายารองถาวกำลังขู่บ่าวอยู่อย่างนั้นหรือ?”  

 

 

 

 

 

ถาวจวินหลันส่ายหน้า “ที่ว่ากันว่าคนพินิจพิเคราะห์สถานการณ์ในปัจจุบัน เพื่อคาดเดาสถานการณ์ความเป็นไปได้ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตเป็นผู้กล้า กงกงอยู่ในวังหลวงมาหลายปี คิดว่าจะต้องเข้าใจหลักการนี้มากกว่าใครอื่น ในตอนนี้คนใต้หล้าเอนเอียงไปทางใด กงกงคงรู้แจ้งกว่าคนอื่น ข้าไม่ได้ขมขู่กงกง แต่เพียงแค่ขอร้องกงกงอย่างจริงจังเท่านั้นเอง”  

 

 

 

 

 

“ถ้าข้าไม่ยอมเล่า?” ขันทีเป่าฉวนหรี่ตาลงเล็กน้อย   

 

 

 

 

 

ถาวจวินหลันยิ้มสดใส คิดว่าน่าขบขันนัก “ถ้าเช่นนั้นข้าก็คงทำอะไรกงกงไม่ได้หรอกกระมัง?”  

 

 

 

 

 

ขันทีเป่าฉวนสะอึกไป ถามอีกว่า “ถ้าเช่นนั้นหากข้าช่วยชายารองถาวเล่า?”  

 

 

 

 

 

รอยยิ้มของถาวจวินหลันไม่ได้ลดลง “ถ้าหากท่านยอมช่วยเหลือข้า นั่นย่อมเป็นเรื่องที่ดี จวนตวนชินอ๋องนั้นเปิดกว้าง มีน้ำใจกับผู้ที่ร่วมมือกันอยู่แล้ว”  

 

 

 

 

 

ขันทีเป่าฉวนได้ยินเช่นนั้นก็หัวเราะลั่น มองถาวจวินหลันอย่างแฝงความนัย “สมควรแล้วที่ชายารองถาวทำให้ฮองเฮาหวาดระแวงทั้งที่ยังไม่ได้ลงมือ ตอนนี้บ่าวยอมแพ้แล้ว”  

 

 

 

 

 

ถาวจวินหลันยิ้มน้อยๆ ในใจรู้ว่าขันทีเป่าฉวนรับปากแล้ว  

 

 

 

 

 

ได้รับความช่วยเหลือจากขันทีเป่าฉวน ถาวจวินหลันย่อมเหมือนกับมีแขนเพิ่มมาอีกข้างหนึ่ง อย่างน้อยนางก็จะรู้ข่าวเบื้องหน้าฮ่องเต้ได้ทันที อีกทั้งยังพอรู้ความคิดของฮ่องเต้อีกด้วย  

 

 

 

 

 

เมื่อคิดถึงเรื่องนี้นางก็ถอนใจยาวๆ พูดตามจริงแล้วเมื่อครู่นี้นางก็กลัวว่าขันทีเป่าฉวนจะไม่ไว้หน้า ยังดีที่ไม่เกิดขึ้น ดูท่าทางว่านางจะพนันไว้ถูกทาง  

 

 

 

 

 

ที่นางพนันเมื่อครู่นี้คือความคิดของขันทีเป่าฉวน นางคิดว่าในเมื่อขันทีเป่าฉวนยอมเอาข่าวเช่นนั้นมาเปิดเผยให้นางรู้ ก็เป็นการแสดงออกถึงท่าทีเป็นมิตร ขันทีเป่าฉวนนั้นเอนเอียงมาทางจวนตวนชินอ๋อง  

 

 

 

 

 

แต่ที่นางต้องการนั่นไม่ใช่ท่าทีเป็นมิตร สิ่งที่นางต้องการคือความร่วมมือ หรือการศิโรราบ ที่ต้องการคือความมั่นใจอย่างถึงที่สุด ไม่ใช่คลุมเครือแอบซ่อน ในตอนนี้นางไม่อาจรับคนที่โยกไปมาได้ เพื่อให้ดีกับทั้งสองฝ่าย นางจำต้องมั่นใจเรื่องนี้ให้ได้  

 

 

 

 

 

ขอเพียงนางมั่นใจ นางถึงกล้าวางใจให้ขันทีเป่าฉวนไปจัดการธุระถ่ายทอดคำพูดแทนนางอย่างอาจหาญ  

 

 

 

 

 

ขันทีเป่าฉวนย่อมต้องกลับวังหลวงในยามดึก และถาวจวินหลันเองก็ได้หลับอย่างสงบสักครั้ง อย่างแรกเพราะว่ามีตัวช่วยอย่างขันทีเป่าฉวน อย่างที่สองเรื่องของเซิ่นเอ๋อร์ ในที่สุดนางก็หลุดจากการถูกบีบได้เล็กน้อย  

 

 

 

 

 

ขอเพียงแค่มีลูกชายขององค์รัชทายาทอยู่ในมือของนาง นางจะต้องกลัวอะไรอีก?  

 

 

 

 

 

ความสามารถในการจัดการธุระของถาวจิ้งผิงย่อมดีเป็นอย่างมาก เช้าวันรุ่งขึ้นก็ให้คนเอาตะกร้าใบหนึ่งมาให้ แจ้งว่าเป็นผลไม้ตะกร้าหนึ่ง เอามาให้ซวนเอ๋อร์และหมิงจูทาน แต่ในความเป็นจริงแล้ว ในตะกร้านั้นมีเด็กคนหนึ่งนอนอยู่ เด็กอายุกว่าสี่เดือนมาอยู่ในมือแล้วก็หนักอยู่บ้าง เด็กคนนั้นกลับเรียบร้อยมาก หลับสนิทมาตลอด  

 

 

 

 

 

ถาวจวินหลันถามบ่าวที่มาส่งของ “เจ้านายของเจ้าฝากคำพูดอะไรให้เจ้าหรือไม่?” ถามพลางอุ้มเด็กคนนั้นออกมาจากตะกร้าขึ้นมาตบเบาๆ   

 

 

 

 

 

บ่าวคนนั้นกดเสียงเบาตอบกลับมา “นายท่านพูดว่าไม่รู้ว่ามือใคร ฝ่ายนั่นไม่ได้เหลือหลักฐานให้จับได้ ขอนายหญิงวางใจขอรับ”  

 

 

 

 

 

“ทำไมเด็กคนนี้ถึงได้หลับตลอด?” ถาวจวินหลันเห็นว่าตนเองรบกวนเด็กถึงขนาดนี้แล้วก็ยังไม่ตื่น เลยกังวลอยู่เล็กน้อย  

 

 

 

 

 

“ด้วยกลัวว่าจะส่งเสียงดัง เลยให้ดมถุงหอมสงบจิตมาเล็กน้อยขอรับ” บ่าวชายตอบกลับ “แต่ไม่ได้ดมเยอะมาก เพราะกลัวว่าเด็กจะตื่นมากลางทางแล้วถูกพบเข้าขอรับ”  

 

 

 

 

 

ถาวจวินหลันพยักหน้า แม้จะบอกว่านึกขอโทษเด็กคนนี้ แต่ก็เข้าใจว่านี่เป็นสิ่งจำเป็น  

 

 

 

 

 

“นายท่านยังบอกอีกว่า ที่อันตรายที่สุดคือที่ปลอดภัยที่สุด เก็บเด็กคนนี้ไว้กับนายหญิงดีที่สุดขอรับ ไม่มีใครสงสัยเป็นแน่” บ่าวชายถ่ายทอดคำพูดประโยคสุดท้ายจบ ก็ขอตัวกลับไป  

 

 

 

 

 

ถาวจวินหลันตกเงินรางวัล ยิ้มพลางพูดว่า “บอกว่าข้าขอบใจน้ำใจของนายท่านเจ้าด้วย ผลไม้นี้ดีมาก”  

 

 

 

 

 

จากนั้นถาวจวินหลันก็ให้ปี้เจียวไปตามแม่นมคนหนึ่งของหมิงจูมา ซวนเอ๋อร์อย่านมแล้ว บรรดาแม่นมของเขาย่อมไม่มีน้ำนมอีก ดังนั้นจึงใช้ได้แค่เพียงของหมิงจูเท่านั้น ไม่ว่าอย่างไรหมิงจูคนเดียวก็กินนมของหลายคนไม่หมด แบ่งมาสักคนก็ไม่เป็นอะไร  

 

 

 

 

 

ถาวจวินหลันก้มหน้าลงไปมองเด็กที่นอนสงบ ก่อนพูดเสียงเบาแฝงไว้ด้วยความลุแก่โทษ “เป็นข้าที่ทำผิดต่อเจ้า เจ้าไม่ต้องกลัว ข้าไม่มีทางทำร้ายเจ้า ผ่านไปสักระยะหนึ่งข้าจะหาแม่ที่เอ็นดูและรักเจ้าให้”  

 

 

 

 

 

พูดตามจริงแล้ว อี๋เฟยและองค์รัชทายาทหน้าตาค่อนข้างดี เด็กคนนี้ก็ได้รับสืบทอดจุดเด่นของทั้งมารดาและบิดามา หน้าตาดูใช้ได้เลยทีเดียว มองดูแล้วก็ให้คนอยากอุ้มขึ้นมาหอมแก้มสักครั้ง ยิ่งบวกกับการที่กินดีอยู่ดี ก็ยิ่งทำให้ดูจ้ำม่ำเป็นพิเศษ  

 

 

 

 

 

ผ่านไปไม่นานแม่นมของหมิงจูก็เข้ามา ถาวจวินหลันเห็นว่าปี้เจียวเรียกคนซื่อสัตย์ที่สุดมา ก็พยักหน้าด้วยความพอใจ จากนั้นก็กวักมือเรียกให้แม่นมเข้ามาใกล้ พลางส่งเด็กในอ้อมกอดไปไว้กับแม่นม “นี่เป็นลูกของญาติข้า ที่บ้านเห็นว่าลำบากไม่สามารถเลี้ยงได้ ตึงขอร้องให้ข้าช่วยเลี้ยงเขาก่อน เด็กคนนี้มอบให้เจ้าไปดูแลก่อนสองสามวัน เลี้ยงให้ดี อย่าได้ละเลยเด็ก”  

 

 

 

 

 

แม่นมได้ยินว่าเป็นลูกของบ้านญาติถาวจวินหลัน ก็คิดว่าคงเป็นคุณชายน้อย จึงไม่กล้าล่าช้า รีบรับคำ แต่จากนั้นก็ถามว่า “ชื่อของคุณชาย…” จะเลี้ยงเด็กคงไม่อาจเรียกว่าคุณชายได้ทั้งวันหรอกกระมัง?  

 

 

 

 

 

“ขื่อว่าอะไรนะ?” ถาวจวินหลันลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จงใจทำท่าทางครุ่นคิด จากนั้นก็พูดอย่างขอไปที “เหมือนจะชื่อว่าอาอู่”  

 

 

 

 

 

ชื่อนี้ย่อมต้องตั้งขึ้นมาอย่างซี้ซั้ว ไม่ได้มีความหมายอะไรเป็นพิเศษ เพียงเพื่อให้ดูธรรมดาเท่านั้นเอง  

 

 

 

 

 

“ไม่ต้องไปบอกใคร แค่เลี้ยงอาอู่เงียบๆ เท่านั้นก็พอแล้ว ช่วงนี้ภายในจวนมีเรื่องมากมาย ปล่อยให้ทางเรือนชิวอี๋รู้เรื่องเข้าจะไม่เหมาะสม” ข้ออ้างนี้ของถาวจวินหลันย่อมไม่เลว ในความเป็นจริงแล้วหากเจียงอวี้เหลียนรู้ว่านางยังมีเวลาว่างหาเด็กมาเลี้ยงได้ เกรงว่าคงจะพุ่งเข้ามาบีบคออาอู่จนตายอย่างแน่นอน  

 

 

 

 

 

ถาวจวินหลันครุ่นคิด พลางพูดกำชับแม่นม “หาเสื้อผ้าแต่ก่อนของซวนเอ๋อร์ให้เขาสวมเถิด เร่งรีบพามาจน ม่ได้เตรียมอะไรให้เด็กเลย ยังดีที่ในจวนพอมรชุดเดิม พอเปลี่ยนเสร็จแล้วก็เอามาให้ข้า ข้าจะเก็บเอาไว้” หยุดไปครู่หนึ่ง ก็พูดอีกว่า “หากบนร่างกายของเด็กมีรอยปานตรงไหนเจ้าก็มาบอกข้า ของประดับ กำไลทองเหล่านั้นก็ให้ถอดออกมาฝากข้าเอาไว้ก่อน”   

 

 

 

 

 

ด้วยฐานะของถาวจวินหลันทำให้คนอื่นไม่คิดว่านางจะเอาของเด็กไป ดังนั้นเมื่อนางพูดว่าเก็บเอาไว้ให้ก่อน คนอื่นก็ไม่ได้สงสัยอะไร คิดว่าเป็นเพียงแค่การเก็บของที่ระลึกเอาไว้ให้เด็ก  

 

 

 

 

 

จากนั้นแม่นมก็อุ้มเด็กออกไป ถาวจวินหลันกลับหัวเราะขมขื่น มองดูมือทั้งสองของตนเอง “ในตอนนี้ข้าใช้วิธีไร้เยื่อใยเสียแล้ว ก่อนหน้านี้คิดว่าฮองเฮาต่ำช้า ไร้ยางอาย แต่จริงๆ พวกเราก็ฝีมือพอฟัดพอเหวี่ยงกัน”  

 

 

 

 

 

ปี้เจียวนั่งฟังอยู่ข้างๆ กำลังจะพูดปลอบใจ แต่ก็เห็นว่าถาวจวินหลันสงบได้แล้ว จึงพูดว่า “ดีกับเด็กนั่นเสียหน่อย สุดท้ายพวกเราก็ทำผิด อย่าได้ละเลยเขา อย่างน้อยก็เป็นพี่น้องของซวนเอ๋อร์” ไม่ว่าอี๋เฟยจะมีฐานะใด นั่นก็ถือเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขขององค์รัชทายาท ในเมื่อเป็นสายเลือดขององค์รัชทายาท เช่นนั้นก็เป็นพี่น้องของซวนเอ๋อร์  

บัลลังก์พญาหงส์

บัลลังก์พญาหงส์

ตัวนางเป็นลูกขุนนางนักโทษ ขายตัวเองและน้องสาวเข้ามาเป็นนางกำนัลต่ำต้อยในวัง เถาจวินหลันต้องยอมรับชะตากรรมเช่นนี้จริงๆ หรือ? จะต้องใช้ชีวิตอย่างน่าอัปยศอดสู แล้วตายไปอย่างเงียบๆ เช่นนั้นหรือ? นางจะไม่ยอมให้เป็นเช่นนั้นเด็ดขาด! นางมีทั้งความสามารถและหน้าตาอันงดงาม อำนาจ ครอบครัว ความรัก…นางต้องการมันทั้งหมด! ส่วนพวกปรปักษ์มันจะต้องโดนทำลายจนย่อยยับ!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset