บัลลังก์พญาหงส์ – ตอนที่ 574 ยินยอมรับความลำบาก

เจียงอวี้เหลียนนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่งแล้วจึงแก้ตัวอย่างร้อนรน “หม่อมฉันจะกล้าข่มขู่ท่านอ๋องได้อย่างไรเพคะ? เพียงแค่…หม่อมฉันไม่อาจอยู่ห่างเซิ่นเอ๋อร์ได้จริงๆ เพคะ ถึงได้มาขอให้ท่านอ๋องอย่าพลัดพรากพวกเราแม่ลูกเท่านั้น”  

 

 

หลี่เย่มองเจียงอวี้เหลียนนิ่ง จากนั้นก็หัวเราะเสียงเย็น “ใครบอกว่าจะแยกเจ้าแม่ลูกกัน?”  

 

 

พอได้ยินเช่นนี้เจียงอวี้เหลียนก็ยินดียิ่ง ในใจคิดว่าหรือท่านอ๋องจะไม่ได้คิดเช่นนี้? ถ้าเช่นนั้นครั้งนี้ถาวซื่อ…ในเมื่อผลเป็นอย่างนี้ นางก็ใจเต้นเร็ว แต่เดิมคิดว่าขอเพียงไม่แยกพวกนางแม่ลูกออกจากกันก็พอแล้ว ตอนนี้นางยังคิดว่าอาจจะฉวยโอกาสให้ร้ายถาวจวินหลันได้  

 

 

ความคิดนี้ยิ่งทำให้เจียงอวี้เหลียนได้ใจ  

 

 

พิจารณาอยู่เล็กน้อย นางก็รู้ว่าควรพูดอะไร จึงขยิบตาทำเป็นพูดอย่างอ่อนแรง “หากเป็นตามที่ท่านอ๋องว่า…แต่ชายารองถาวไม่ได้พูดแบบนี้เพคะ”  

 

 

“อย่างนั้นหรือ?” หลี่เย่ไม่ได้ถาม แต่คำนี้กลับยิ่งทำให้คนคิดมากกว่าเอ่ยถามเสียอีก  

 

 

อย่างน้อยจียงอวี้เหลียนก็คิดมาก นึกว่าหลี่เย่อยากรู้ จึงพูดเรื่องที่ถาวจวินหลันบอกนาง แต่ไม่อาจพูดทั้งหมดได้ นางเพียงแค่พูดอย่างกระชับได้ใจความ “ชายารองถาวบอกข้าว่า ไม่อาจให้เซิ่นเอ๋อร์เลี้ยงข้างกายข้าได้อีกเพคะ อีกทั้งยังจะส่งหม่อมฉันไปบ้านพักด้วยเพคะ! หม่อมฉันไม่อยากไปไหนทั้งนั้น อยากปรนนิบัติท่านอ๋องให้ดีเพคะ!”  

 

 

เจียงอวี้เหลียนพูดเช่นนี้ ก็เหมือนให้ร้ายถาวจวินหลันว่าเป็นหญิงเลวแย่งลูกคนอื่นไปแล้ว   

 

 

หลี่เย่ได้ยินก็เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย  

 

 

เจียงอวี้เหลียนคิดว่าหลี่เย่เข้าใจแล้ว อีกทั้งโมโหเล็กน้อย แต่ในความเป็นจริงแล้ว…หลี่เย่กำลังครุ่นคิดอยู่ว่าถาวจวินหลันเคยพูดเช่นนี้จริงหรือ? ทำไมต้องพูดเช่นนั้น? แล้วเจียงซื่อทำอะไรลงไป?  

 

 

แต่พอมาคิดดูแล้ว หลี่เย่ก็คิดว่าถาวจวินหลันไม่ใช่คนที่ทำเรื่องพรรค์นั้นได้ ต่อให้ถาวจวินหลันทำเช่นนั้นจริง ก็ต้องมีเหตุผลแน่นอน   

 

 

เขามองดูท่าทีพูดจาร้อนรนของเจียงอวี้เหลียน  

 

 

พอเห็นเจียงอวี้เหลียนตาเป็นประกาย หลี่เย่กลับถามช้าๆ ว่า “ได้ยินว่าเจ้าอยากให้เซิ่นเอ๋อร์จดอยู่ใต้ชื่อพระชายาอย่างนั้นหรือ?”  

 

 

เจียงอวี้เหลียนตะลึงไป จากนั้นก็มีท่าทางเลิ่กลัก ต่อให้นางไม่อยากยอมรับอย่างไร แต่พูดออกมาต่อหน้าคนมากมายขนาดนั้นจะปฏิเสธไปได้อย่างไร? สุดท้ายแล้วเจียงอวี้เหลียนก็ทำได้แค่พยักหน้ายอมรับ “หม่อมฉันเคยคิดเช่นนั้นเพคะ”  

 

 

“เป็นเช่นนี้ก็ดี เจ้าหวังดีต่อเซิ่นเอ๋อร์ก็นับเป็นบุญของเขาแล้ว” หลี่เย่พยักหน้า เอ่ยชมเจียงอวี้เหลียนเล็กน้อย   

 

 

เจียงอวี้เหลียนพลันหน้าชื่นตาบาน ลอบคิดในใจว่าหลี่เย่ต้องมองนางใหม่แล้วเป็นแน่ แต่คิดไม่ถึงว่าหลี่เย่กลับพูดอีกว่า “แต่เมื่อเป็นเช่นนี้ เซิ่นเอ๋อร์ก็ไม่อาจเลี้ยงข้างกายเจ้าได้อีกแล้ว ชายารองถาวพูดไม่มีผิด”  

 

 

ทันใดนั้นความเบิกบานใจของเจียงอวี้เหลียนก็แตกกระจายเป็นชิ้นเล็กๆ นางมองหลี่เย่อย่างไม่อยากเชื่อ ไม่เข้าใจว่าทำไมหลี่เย่ถึงพูดประโยคนี้ออกมาได้สบายๆ  

 

 

ตอนแรกคิดว่าบางทีหลี่เย่อาจจะล้อเล่น แต่ท่าทีจริงจังของหลี่เย่นั้นกลับทำลายความคาดหวังของเจียงอวี้เหลียนทันที  

 

 

“เซิ่นเอ๋อร์อยู่ข้างกายไทเฮาก็ดีแล้ว ต่อจากนี้ก็ทำตามนี้ก็แล้วกัน หากเจ้าอยากเจอเซิ่นเอ๋อร์ ก็ให้เข้าวังไปเยี่ยม นี่ไม่ใช่เรื่องแย่ตรงไหน” หลี่เย่พยักหน้าพลางพูดเช่นนี้ออกมา สุดท้ายแล้วก็พูดว่า “เจ้าไม่ยอมไปอยู่ที่บ้านพักก็ไม่ต้องไป แต่ร่างกายของเจ้าไม่ค่อยดีเท่าไรนัก ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องรักษาอยู่ในเรือนของเจ้าให้ดี ถ้าพวกเขาไม่มีเรื่องอะไรก็ไม่ต้องมารบกวนเจ้า”  

 

 

นี่หมายความว่ากักบริเวณทางอ้อม  

 

 

หลังจากเจียงอวี้เหลียนเข้าใจเรื่องนี้แล้ว หลี่เย่ก็ลุกขึ้นเดินออกไปข้างนอก  

 

 

เจียงอวี้เหลียนกระวีกระวาด รีบดึงแขนเสื้อของหลี่เย่เอาไว้อย่างไม่คิด บีบน้ำตาพูดว่า “ท่านอ๋องเพคะ หม่อมฉันขาดเซิ่นเอ๋อร์ไปไม่ได้ เซิ่นเอ๋อร์ต้องอยู่กับหม่อมฉัน!”  

 

 

หลี่เย่หยุดฝีเท้า แล้วดึงแขนเสื้อกลับมายืนนิ่งเช่นเดิม จากนั้นมองเจียงอวี้เหลียนและพูดว่า “ตอนที่เจ้าบอกว่าจะเอาเซิ่นเอ๋อร์จดไว้ใต้ชื่อพระชายานั้น เจ้าก็ควรจะคิดถึงผลลัพธ์เช่นนี้ ตอนที่เจ้าแอบไปพูดยุแยงต่อหน้าหลิ่วฮูหยิน เจ้าก็ควรคิดให้ดีว่าจะมีวันนี้ ตอนที่เจ้าหาเรื่องวุ่นวายไม่หยุด ก็ยิ่งต้องคิดว่าจะต้องมีวันนี้ ตอนที่เจ้าใช้เด็กมาข่มขู่ถาวจวินหลัน เจ้าก็ควรคิดว่าจะมีวันนี้ เจียงซื่อ เห็นแก่ที่ท่านพ่อของเจ้ามีบุญคุณกับข้า ข้าถึงยอมทนได้ทุกครั้งไป แล้วยังให้เจ้าคลอดลูกไว้เป็นที่พึ่งยามแก่ชรา แต่เจ้าไม่รักษาเอาไว้เอง ก็ไม่ได้หมายความว่าข้าจะอดทนกับเจ้าได้ตลอดไป”  

 

 

คำพูดของหลี่เย่ทั้งเย็นชาและเสียดแทง สายตาเฉียบคมดุร้าย ทำให้เจียงอวี้เหลียนไม่กล้ายื่นมือออกไปแตะหลี่เย่อีก  

 

 

ไม่เพียงเรื่องเหล่านั้นที่หลี่เย่พูด ยิ่งทำให้นางรู้สึกตื่นตระหนกจนทำอะไรไม่ถูก เจียงอวี้เหลียนคิดไม่ถึงว่า หลี่เย่จะรู้เรื่องเหล่านี้ของนาง  

 

 

หลี่เย่รู้อะไรอีกบ้าง? ความคิดนี้ผุดขึ้นมาในหัวของนางทันที  

 

 

แต่เจียงอวี้เหลียนก็ไม่กล้าถาม แม้แต่มองหลี่เย่ยังไม่กล้าด้วยซ้ำ  

 

 

เจียงอวี้เหลียนส่งเสียงร้องไห้ สุดท้ายแล้วก็อดกลั้นกลืนความหวาดกลัวลงไป พูดขอร้อง “ท่านอ๋องเมตตาด้วยเถิดเพคะ ต่อจากนี้หม่อมฉันรับปากว่าไม่ให้เกิดเรื่องเหล่านั้นอีกแล้ว เห็นแก่ความสัมพันธ์ในกาลก่อน โปรดเมตตาหม่อมฉันอีกสักครั้งเถิดเพคะ”  

 

 

เจียงอวี้เหลียนยอมลดศักดิ์ศรีตนเอง นางเข้าใจแล้วว่าการเสียหน้า เสียศักดิ์ศรีเพียงเท่านี้ไม่ถือเป็นเรื่องใหญ่ ขอเพียงมีเซิ่นเอ๋อร์อยู่ข้างกาย นางต้องกอบกู้ศักดิ์ศรีที่เสียไปในวันนี้กลับมาได้สักวัน  

 

 

หลี่เย่เข้าใจความคิดของนางทันที ก็ยิ้มเย็นพูดตรงๆ “ข้ายังให้เจ้าอยู่ต่อ ไม่ใช่เพราะว่าเจ้ามีบุญคุณกับข้า เพียงแค่รั้งเจ้าไว้ด้วยเพราะยังมีประโยชน์อยู่เท่านั้น เจ้าอย่าได้คิดเป็นอื่นไป ข้าเก็บตำแหน่งพระชายาไว้ให้จวินหลันเท่านั้น ไม่ว่าพวกเจ้าทำเรื่องเล็กใหญ่เพียงใด ข้ารู้เรื่องเหล่านั้นทั้งหมด ไม่ใช่ว่าไม่อยากกวาดล้าง แต่ขี้คร้านจะตามเช็ด ยามนี้ในจวนไม่มีหญิงอื่นอีกแล้ว เจ้าเข้าใจดีใช่หรือไม่? หากเจ้าไม่ออกนอกลู่นอกทาง ในอนาคตเจ้าก็ยังเป็นแม่แท้ๆ ของเซิ่นเอ๋อร์ แต่หาก…ข้าก็พร้อมจัดการเจ้า”  

 

 

ตอนที่พูดประโยคสุดท้าย สีหน้าเย็นชาของหลี่เย่นั้นก็ทำให้นางเข้าใจว่า เขาพูดจริงทำจริง  

 

 

เจียงอวี้เหลียนตัวสั่นสะท้าน นางเข้าใจความหมายของหลี่เย่ ให้นางอยู่ต่อเพราะจะได้มีคนครองตำแหน่ง อย่างไรนายหญิงในจวนก็มีน้อยพอแล้ว หากไม่มีคนที่ยังเหลืออยู่อีก ไม่ใช่ว่าเป็นการเปิดโอกาสถูกยัดเยียดคนเข้ามาเพิ่มหรืออย่างไร? เพื่อให้เกิดผลดีกับถาวจวินหลัน หลี่เย่ถึงกับยอมอดกลั้น รอจนวันใดที่ได้สะสางบัญชี  

 

 

นางเย็นเยียบไปทั้งใจ เย็นจนรู้สึกขมขื่น และสั่นสะท้านไปทั้งตัว เป็นสตรีเหมือนกัน เหตุถึงจึงแตกต่างกันมากเพียงนี้  

 

 

เจียงอวี้เหลียนไม่ยอมแพ้ จึงถามออกมาโดยตรง  

 

 

พอเจียงอวี้เหลียนเค้นถาม หลี่เย่ก็ถามกลับแค่คำเดียว “จวินหลันทำเพื่อข้ามามากเท่าไร? พวกเจ้าเคยทำเพื่อข้าบ้างหรือไม่? ข้าไม่ได้มองคนเพียงหน้าตาเท่านั้น คนที่ดีกับข้า ข้าย่อมต้องดีตอบ”  

 

 

แล้วถาวจวินหลันยังเป็นยอดดวงใจของเขา หากเขายังทำดีกับยอดรักของตนเองไม่ได้ แล้วจะบอกว่าเป็นคนโปรดได้อย่างไร? ตั้งแต่เริ่มชอบถาวจวินหลัน ใจของเขาก็ลำเอียงมาตลอด นอกจากถาวจวินหลันก็ไม่มีใครเข้ามาในใจเขาหรือในสายตาของเขาได้อีก  

 

 

“ก็แค่วิธีซื้อใจคนเท่านั้นเพคะ!” เจียงอวี้เหลียนยังตะเบ็งเสียงพูดอย่างโกรธเคือง  

 

 

หลี่เย่หัวเราะเสียงเย็น “จะซื้อใจคน หรือว่าทำจากใจจริง ข้าย่อมต้องแยกได้เป็นแน่ ไม่ต้องให้คนอื่นมาสอดปากบอก แม้ว่านางเสแสร้ง ข้าก็ยินยอมรับความลำบาก”  

 

 

‘แม้ว่านางเสแสร้ง เขาก็ยินยอมรับความลำบาก’  

 

 

ประโยคนี้เหมือนกรรไกรด้ามหนึ่ง ตัดใจที่ยังไม่ยอมแพ้ของเจียงอวี้เหลียนไป และเหมือนกับหินยักษ์ก้อนหนึ่ง กดเจียงอวี้เหลียนเอาไว้ไม่ให้มีวันได้พลิกตัวขึ้นมาอีก  

 

 

หลังจากหลี่เย่จากไปแล้ว เจียงอวี้เหลียนก็หัวเราะลั่น หัวเราะให้กับความโง่ของตน หัวเราะให้กับโชคชะตาเลวร้ายของตน หัวเราะที่ตนเองมองไม่ออก หัวเราะที่ใต้หล้านี้ยังมีคนลุ่มหลงในความรักสุดใจเช่นนี้  

 

 

เจียงอวี้เหลียนไม่เคยเชื่อเรื่องถือไม้เท้ายอดทอง กระบองยอดเพชร เรื่องนี้นางมองมาจากพ่อของตนเอง ท่านแม่แข็งขืนเช่นนั้น ท่านพ่อก็ยังออกไปเลี้ยงอนุภรรยาที่อ่อนโยนเหมือนสายน้ำอีกไม่ใช่หรือ? แล้วยังมีมารหัวขนมาอีกคน ตอนนั้นท่านแม่จึงบอกนางว่า วันข้างหน้านางห้ามแข็งข้อเช่นนี้ ให้ทำตัวเป็นผู้หญิงอบอุ่น อ่อนโยนเอาใจผู้ชาย แบบนี้อนาคตก็จะมีความสุข  

 

 

นางเชื่อ แต่ดูจากตอนนี้นางก็ยังผิดอยู่ดี หลี่เย่ไม่ได้ชอบนางแม้แต่น้อย ไม่ว่านางจะเป็นอย่างไร ก็เปลี่ยนใจเขาไม่ได้  

 

 

หัวเราะได้ไม่นาน เจียงอวี้เหลียนก็ร้องไห้ให้ตนเอง และร้องไห้ให้กับมารดาของตนเอง ร้องไห้ที่พวกนางช่างน่าสมเพช น่าเวทนาเหมือนกัน  

 

 

ถาวจวินหลันไม่รู้ว่าหลี่เย่พูดอะไร นางรู้แค่ว่าหลังจากหลี่เย่กลับมา เจียงอวี้เหลียนก็ยอมสงบนิ่งไปแล้ว  

 

 

ใช่แล้ว สงบนิ่งไปแล้ว แม้แต่เรื่องเซิ่นเอ๋อร์ก็ไม่พูดถึงอีก ขังตัวเองอยู่แต่ในเรือนทั้งวัน ไม่ออกไปที่ใด  

 

 

ถาวจวินหลันย่อมแปลกใจ นางเปลี่ยนจากตอนแรกจากหน้ามือเป็นหลังมือขนาดนี้ ดูแล้วไม่น่าเชื่อนัก  

 

 

แต่นางก็ไม่มีเวลาไปสนใจเรื่องเหล่านี้ นางมีเรื่องต้องทำทุกวัน โดยเฉพาะตั้งแต่วันที่ส่งของว่างไปให้หลี่เย่ เวลาส่วนใหญ่ก็อยู่ในครัว  

 

 

แล้ววันนี้ถาวซินหลันก็มาหา  

 

 

ตอนแรกถาวจวินหลันคิดว่าถาวซินหลันเป็นห่วงเฉินฟู่ จึงมาเพื่อถามถึงสถานการณ์ แต่พอเห็นท่าทีขบขันของถาวซินหลัน นางก็รู้สึกผิดปกติทันที “เจ้าเป็นอะไร?”  

 

 

พอถาวซินหลันหลบสายตานาง นางก็ยิ่งรู้สึกผิดปกติ คิดว่าจะต้องเกิดเรื่องขึ้นแน่นอน  

 

 

นางจึงขมวดคิ้วมุ่น ไม่สนใจถาวซินหลัน แล้วหันไปมองบ่าวข้างกายถาวซินหลัน ถามว่า “เจ้าพูดมา เกิดอะไรขึ้นกันแน่?”  

 

 

“สะใภ้ใหญ่พูดประโยคไม่น่าฟังออกมาเจ้าค่ะ นายหญิงของพวกเราโมโห ก็เลยตอบโต้กลับไป ตอนนี้สะใภ้ใหญ่หาเรื่องใช้อำนาจตอนที่ฮูหยินใหญ่ไม่อยู่จวน ไล่นายหญิงของพวกเราออกจากจวนเจ้าค่ะ” บ่าวรับใช้ไม่ได้เก็บความลับ พอถูกถามก็บอกความจริงทันที แน่นอนว่าต้องหวังให้ถาวจวินหลันช่วยเรียกความเป็นธรรมให้นายหญิงของตนเอง  

บัลลังก์พญาหงส์

บัลลังก์พญาหงส์

ตัวนางเป็นลูกขุนนางนักโทษ ขายตัวเองและน้องสาวเข้ามาเป็นนางกำนัลต่ำต้อยในวัง เถาจวินหลันต้องยอมรับชะตากรรมเช่นนี้จริงๆ หรือ? จะต้องใช้ชีวิตอย่างน่าอัปยศอดสู แล้วตายไปอย่างเงียบๆ เช่นนั้นหรือ? นางจะไม่ยอมให้เป็นเช่นนั้นเด็ดขาด! นางมีทั้งความสามารถและหน้าตาอันงดงาม อำนาจ ครอบครัว ความรัก…นางต้องการมันทั้งหมด! ส่วนพวกปรปักษ์มันจะต้องโดนทำลายจนย่อยยับ!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset