บัลลังก์พญาหงส์ – ตอนที่ 603 ชี้แนะ

แต่สุดท้ายแล้วถาวจวินหลันก็ข่มอารมณ์เหล่านั้นเอาไว้ เพียงแค่ยิ้มพูดกับไทเฮาว่า “วันนี้ไทเฮาดูดีนะเพคะ”   

 

 

ไทเฮานิ่งมองถาวจวินหลัน จากนั้นก็พูดเรียบๆ ว่า “ร่างกายของข้า ตัวข้ารู้ดีที่สุด เจ้าอย่าโกหกให้ข้าดีใจเลย”  

 

 

ถาวจวินหลันเม้มริมฝีปากไม่รู้ว่าควรพูดอะไรต่อไป ไม่ว่าอย่างไรนางก็ทำเพื่อปลอบให้ไทเฮามีความสุขเท่านั้น แต่ไทเฮาพูดเช่นนี้แล้ว จะปลอบไทเฮาอีกก็ไม่มีประโยชน์อะไร  

 

 

ถาวจวินหลันนิ่งเงียบไป ไทเฮาพูดเช่นนี้ นางพลันก็รู้สึกเจ็บปวดใจ  

 

 

“วันนี้เรียกเจ้ามาก็ด้วยมีเรื่องอยากปรึกษาเจ้า” หลังจากไทเฮานั่งตัวตรง ก็ค่อยๆ ผ่อนลมหายใจเบาๆ แล้วถึงได้พูดด้วยท่าทางเคร่งขรึม  

 

 

ถาวจวินหลันเห็นท่าทีจริงจังของไทเฮา ก็นั่งอย่างสงบเสงี่ยมทันที “ไทเฮา พระองค์ตรัสเถิดเพคะ”  

 

 

น้อยครั้งที่ไทเฮาจะใช้คำว่าปรึกษา ในเวลาส่วนใหญ่แล้วไทเฮาจะชอบใช้คำว่าสั่งและบอกให้รู้ตรงๆ มากกว่ากระมัง?  

 

 

ด้วยเพราะไทเฮาใช้คำว่าปรึกษา ถาวจวินหลันจึงเริ่มใจไม่สงบ ไทเฮาเป็นเช่นนี้เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่เรื่องเล็ก และนางควรต้องรับมืออย่างไร?  

 

 

“เรื่องที่ขอให้แต่งตั้งองค์รัชทายาทคิดว่าเจ้าคงรู้แล้ว” ไทเฮาพูดอย่างจริงจัง  

 

 

ถาวจวินหลันพยักหน้า “ทราบแล้วเพคะ แต่ยังไม่ทราบว่าฮ่องเต้และเหล่าขุนนางมีปฏิกิริยาเช่นไร”  

 

 

“ฮ่องเต้ย่อมไม่ชอบใจ” ไทเฮายิ้มเยาะ น้ำเสียงและท่าทางแฝงไว้ด้วยความผิดหวังอย่างยากจะปิดบัง “บรรดาขุนนางก็รู้งาน นอกจากคนของฮองเฮาแล้ว คนอื่นๆ ล้วนคิดว่าถึงเวลาแต่งตั้งองค์รัชทายาทแล้ว”  

 

 

อย่างไรฮ่องเต้ก็มีพระชนมายุมากแล้ว ร่างกายก็เริ่มอ่อนแอ อีกทั้งการจัดการเรื่องต่างๆ ก็เริ่มมีประสิทธิภาพต่ำลง บรรดาขุนนางไม่สงบใจ คิดจะรีบแต่งตั้งกษัตริย์องค์ใหม่เพื่อเข้าพวกก็ไม่น่าแปลก  

 

 

แต่ผลลัพธ์เช่นนี้เห็นได้ชัดว่าเกี่ยวข้องกับความขยันของหลี่เย่ หากไม่ใช่เพราะเขาเป็นคนมากความสามารถ บรรดาขุนนางย่อมไม่ยอมรับเขา  

 

 

“คิดว่าสุดท้ายฮ่องเต้ก็ต้องเห็นด้วยเพคะ” ถาวจวินหลันพูดตามความเป็นจริง พลางมองไปยังไทเฮาอีกครั้ง “เรื่องที่ไทเฮาอยากปรึกษาหม่อมฉันเกี่ยวกับเรื่องแต่งตั้งองค์ชายรัชทายาทหรือเพคะ?”  

 

 

“ใช่แล้ว แต่ก็ไม่ใช่ทั้งหมด” ไทเฮาถอนหายใจ ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งถึงพูดขึ้นอีกว่า “ในเมื่อจะแต่งตั้งองค์รัชทายาทใหม่แล้ว ก็ต้องแต่งตั้งพระชายาองค์รัชทายาทด้วยเช่นกัน”  

 

 

ถาวจวินหลันคิดไม่ถึงว่าไทเฮาจะพูดเรื่องนี้กับตนเอง จึงอึ้งไปเล็กน้อย จากนั้นก็ก้มหน้าลงเพื่อซ่อนอารมณ์ที่สะท้อนผ่านในแววตา “ไทเฮาอยากหาคนแบบไหนเป็นพระชายาองค์รัชทายาทหรือเพคะ? พอใจหญิงสาวตระกูลใดหรือเพคะ?”  

 

 

จากที่นางดูแล้ว มีเพียงเรื่องนี้ที่ไทเฮาจะใช้คำว่า ‘ปรึกษา’ กับนาง ด้วยเพราะต้องการความร่วมมือจากนาง มากไปกว่านั้นก็คงด้วยเป็นหนี้นางอยู่บ้างกระมัง  

 

 

อย่างไรถาวจวินหลันก็ไม่เคยคิดว่าไทเฮาจะให้นางเป็นพระชายาองค์รัชทายาท ต่อให้ตอนนี้ไทเฮาจะมองนางดีขึ้นแล้วก็ตาม  

 

 

ไทเฮากลับใช้สายตาเคลือบแคลงมองถาวจวินหลันทีหนึ่ง ไม่รู้ว่าทำไมริมฝีปากถึงได้ฉายแววขบขันเล็กน้อย ตอนที่พูดออกมาอีกครั้งนั้น ก็ยังแฝงไว้ด้วยความหยอกล้อเล็กน้อย “นอกจากเจ้า ตวนชินอ๋องยังยอมให้แต่งตั้งใครเป็นพระชายาองค์รัชทายาทอีก? อีกทั้งหากไม่แต่งตั้งเจ้า ซวนเอ๋อร์จะทำอย่างไร? ทำไมตอนนี้เจ้าถึงได้ยอมถอยเสียเล่า? ก่อนหน้านี้เจ้าพูดเองมิใช่หรือ ว่าเจ้าต้องเป็นภรรยาเอกของตวนจวนชินอ๋อง?”  

 

 

ถาวจวินหลันยังไม่เคยได้ยินไทเฮาจะพูดเช่นนี้ จึงรู้สึกแปลกใจ แต่ก็รู้สึกดีกับไทเฮาเช่นกัน แต่นี่เป็นเรื่องใหญ่ จนนางหัวเราะไม่ออก  

 

 

ถาวจวินหลันหัวเราะขมขื่น “ใต้หล้านี้ เรื่องมากมายไม่ได้ขึ้นอยู่กับอยากได้หรือไม่อยากได้ เกลือที่ไทเฮาเสวยนั้นเยอะกว่าที่ข้าวที่หม่อมฉันทานเพคะ คิดว่าคงจะเข้าใจเหตุผลนี้ หม่อมฉันจะร้องขออย่างไร ก็เป็นเพียงตัวตลกที่เต้นแรงเต้นกาเท่านั้นเพคะ”  

 

 

ถ้าจะให้คนอื่นมาดูเรื่องตลก ไม่สู้เก็บศักดิ์ศรีเอาไว้ ส่วนตนเองยอมถอยออกมาก่อน  

 

 

อีกทั้งไทเฮาเป็นเช่นนี้แล้วนางเองก็ไม่อยากหาเรื่องให้ไทเฮาหงุดหงิดอีกแล้ว แม้ว่าไทเฮาพูดเย้าแหย่ แต่คิดว่าใจจริงคงไม่อยากฟังคำพูดโอหังของนางอีกแล้ว  

 

 

ไทเฮาใช้สายตาประหลาดใจมองถาวจวินหลัน “เจ้าทำใจได้แล้วหรือ แต่เรื่องมาถึงวันนี้แล้ว ต่อให้เจ้าไม่อยากแย่งชิง แต่คิดว่าจะมีผลดีตามมาอย่างนั้นหรือ?”  

 

 

ไทเฮาบ่งบอกความหมายอย่างชัดเจน ถาวจวินหลันเงยหน้าอย่างตกตะลึงเล็กน้อย ลองเชิงอย่างไม่อยากเชื่อ “เช่นนั้นความหมายของไทเฮา…”  

 

 

“ก่อนหน้านี้ข้าคิดว่าเจ้าเป็นคนมีแผนการสูง แต่ดูจากตอนนี้แล้วจะมีแผนการเยอะก็ไม่ได้แย่อะไร นิสัยของเจ้าก็ไม่แย่ อีกทั้งยังช่วยตวนชินอ๋องไว้มาก ลูกของเขาทั้งสี่คนออกมาจากท้องของเจ้าตั้งสองคนแล้ว ไม่ให้เจ้าเป็นพระชายาก็ดูเอาเปรียบเจ้าไปหน่อย และหากเอาคนนอกเข้ามาอีก ไม่ต้องพูดว่าพวกเจ้าจะสมัครสามัคคีได้หรือไม่ พูดแค่เพียงเรื่องสืบทอดในอนาคตคงจะต้องแย่งชิงกันอีก นี่เป็นสิ่งที่ข้าไม่อยากเห็น” ไม่รู้ว่าไทเฮาคิดถึงเรื่องอะไร น้ำเสียงถึงแฝงไว้ด้วยความรู้สึกผิดและเจ็บปวดเล็กน้อย  

 

 

ถาวจวินหลันเม้มปาก สุดท้ายก็ไม่ได้พูดขัด เพียงแค่ตั้งใจฟังต่อไป  

 

 

ไทเฮาพูดต่ออย่างเด็ดเดี่ยว “ตอนนี้ข้าไม่มีกำลังไปวางแผนเหล่านี้อีกแล้ว ตวนชินอ๋องโปรดปรานเจ้า ให้ความสำคัญกับเจ้า ข้าก็ไม่อยากให้เขาเสียใจ วันนี้จึงเรียกเจ้ามาเพราะต้องการเตือนเจ้า”  

 

 

ความหมายของไทเฮาเห็นชัดว่าต้องการส่งเสริมนางเป็นพระชายาองค์รัชทายาท ถาวจวินหลันฟังแล้วก็เปี่ยมด้วยความยินดีและแปลกใจ นางรู้สึกเหมือนได้ของที่ต้องการมานาน แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่อาจไขว่คว้ามา ทว่าพอยอมแพ้แล้ว กลับได้รับมาอย่างไม่ทันตั้งตัว  

 

 

ความยินดีและแปลกใจเช่นนี้ ไม่อาจใช้คำพูดมาบรรยายได้  

 

 

แต่ถาวจวินหลันก็ไม่ได้หลงมัวเมา นางยังคงให้ความสำคัญกับคำพูดของไทเฮาที่ว่า ‘เตือน’ จึงเก็บรอยยิ้ม นั่งตัวตรงอย่างเคร่งครัด “ไทเฮาตรัสเถิดเพคะ”  

 

 

“พระชายาองค์รัชทายาทและชายาเอกนั้นต่างกัน” ไทเฮาพูดเนิบช้า น้ำเสียงเคร่งขรึมเป็นที่ยิ่ง “หน้าที่ของชายาเอกคือจัดการเรื่องทั่วไปในจวนอ๋อง เพียงไม่ให้เกิดข้อผิดพลาดกับภาพรวมก็พอแล้ว แต่เป็นพระชายาองค์รัชทายาท และว่าที่ฮองเฮากลับยังไม่พอแค่นี้ หลังจากเจ้ากลับไปแล้ว ก็ไปนั่งวิเคราะห์ให้ดี”  

 

 

ถาวจวินหลันเข้าใจดี ไทเฮากำลังชี้แนะนางอย่างจริงจัง ในใจรู้สึกซาบซึ้ง จนเริ่มคัดจมูกเล็กน้อย  

 

 

“เพคะ หลังจากหม่อมฉันกลับไปแล้วจะตรึกตรองเรื่องนี้อย่างดีเพคะ” ถาวจวินหลันคำนับอย่างหนักแน่นจริงจัง ในขณะเดียวกันก็จดจำเอาไว้ในใจ  

 

 

“วิธีของเจ้านั้นอ่อนแอจนเกินไป ข้าไม่รู้ว่าเจ้าทำเพื่อภาพลักษณ์ของเจ้า ไม่อยากให้คนอื่นเห็นว่าเป็นคนโหดเ**้ยม หรือว่านิสัยของเจ้าไม่เด็ดขาด ไม่ว่าเรื่องอะไรก็คิดจะจัดการด้วยความสงบ เป็นคนไม่ยอมใช้กลทหาร” ไทเฮาพูดต่อไป แนะนำไปเรื่อยๆ “เช่นนี้เป็นพระชายาก็เกินพอแล้ว แต่คงหวังขึ้นเป็นพระชายาองค์รัชทายาทหรือฮองเฮาไม่ได้ หากเจ้าไม่ทำตัวทรงภูมิและข่มคนอื่นให้ได้ พวกเขาจะยอมเชื่อฟังเจ้าได้อย่างไร?”  

 

 

ไทเฮาพูดตรงประเด็น  

 

 

“นิสัยของเจ้านุ่มนวล สานสัมพันธ์ได้ง่าย คนอื่นอาจจะชอบเจ้า แต่ไม่มีทางกลัวเจ้าอย่างแน่นอน และยิ่งไม่ทางจะเดินตามเจ้า เจ้าว่าใช่เหตุผลนี้หรือไม่? แต่เป็นพระชายาองค์รัชทายาทหรือฮองเฮา คนอื่นไม่กลัวเจ้า เจ้าจะจัดการวังทั้งหกได้อย่างไร จะเอาทั้งพระราชวังมาถืออยู่ในมือของตนเองได้อย่างไร?” ไทเฮาพูดถึงตรงนี้ก็มองถาวจวินหลันทีหนึ่ง เห็นนางกำลังตั้งใจฟัง ในใจก็พอใจมาก ลอบพยักหน้าเล็กน้อย  

 

 

ไม่กลัวคนโง่ แต่กลัวคนไม่ใส่ใจ ก่อนหน้านี้ไทเฮายังกังวลว่าถาวจวินหลันจะไม่ตั้งใจฟังคำพูดเหล่านี้ แต่ตอนนี้เห็นท่าทีขบคิดและท่าทีเคร่งขรึมของถาวจวินหลัน ไทเฮาก็เริ่มชอบถาวจวินหลันขึ้นมาเล็กน้อย  

 

 

“แน่นอนว่าไม่ได้ให้เจ้าใช้วิธีเยี่ยงคนเ**้ยมโหดไร้เมตตา และยิ่งไม่ได้ให้เจ้าเป็นคนไร้เหตุผล เจ้าจะต้องสมดุลให้ดี ในเมื่อจะต้องทำให้อีกฝ่ายกลัวเจ้า แต่ก็ต้องไม่ให้คนอื่นรังเกียจคิดแค้นเจ้าเช่นกัน” ไทเฮาพูดไปก็ทอดถอนใจเล็กน้อย “เรื่องเหล่านี้พูดแล้วง่าย แต่พอทำนั้นยากเป็นอย่างมาก”  

 

 

เรื่องนี้ไม่ง่ายจริงๆ แต่ไทเฮากลับทำได้ รวมตำหนักบนล่าง คิดว่าคนที่รังเกียจไทเฮาจริงๆ ก็คงมีเพียงฮองเฮาเท่านั้น  

 

 

ถาวจวินหลันครุ่นคิดถึงการกระทำของไทเฮาโดยทั่วไป ก็คล้ายได้อะไรกลับมา ในขณะเดียวกันย่อมต้องซาบซึ้งกับความหวังดีของไทเฮา “ขอบพระทัยไทเฮาที่ทรงชี้แนะหม่อมฉันเพคะ หม่อมฉันได้อะไรหลายอย่างเลยเพคะ”  

 

 

“ข้าไม่ได้ทำเพื่อเจ้า แต่เพื่อตระกูลหลี่ของข้าเท่านั้นเอง แต่เดิมข้าก็ไม่ได้มองเจ้าดี แม้กระทั่งเคยคิดชี้คนให้ตวนชินอ๋องด้วยซ้ำไป แต่หลังจากนั้นมาคิดดูแล้ว สุดท้ายก็รู้สึกว่าต้องหาคนที่เหมาะสมที่สุด ดังนั้นข้าถึงเลือกเจ้าอย่างเสียไม่ได้” ไทเอาถอนหายใจ น้ำเสียงมีความไม่ยินยอมอยู่จริง  

 

 

แต่ถาวจวินหลันไม่ได้เก็บไปใส่ใจ เรื่องนี้ไทเฮาแสดงออกมาตลอดไม่ใช่หรือ? วันนี้ก็เป็นแค่การเลือกมาพูดเท่านั้น ดังนั้นนางจึงไม่มีอะไรต้องเก็บมาคิดให้หงุดหงิด  

 

 

ในทางกลับกัน ไทเฮาเปิดเผยได้ถึงเพียงนี้ กลับทำให้นางสบายใจมาก  

 

 

พูดตรงๆ เช่นนี้ ก็ให้นางรู้สึกสบายใจมาก ยังดีกว่าพูดอ้อมค้อมหรือปิดบังไปกว่าครึ่ง พูดเช่นนั้นแม้จะบอกว่าแฝงเอาไว้ไม้น้อย แต่ในความเป็นจริงแล้วนางกลับรู้สึกเหนื่อยอย่างแท้จริง  

 

 

“วันนี้ข้ายอมละทิ้งความคิดส่วนตัวเพื่อตระกูลหลี่ เพื่อแผ่นดิน ก็เพราะข้าเป็นไทเฮา นี่เป็นความรับผิดชอบของข้า แต่ไม่รู้ว่าวันหน้าที่เจ้าเป็นฮองเฮาหรือไทเฮา จะทำเช่นนี้ได้หรือไม่?” ไทเฮาถามอย่างเฉียบคม แลดูมีท่าทีบีบบังคับอยู่เล็กน้อย ดวงตาก็เป็นประกายสว่างวาบ  

 

 

ถาวจวินหลันเข้าใจความหมายของไทเฮา จึงตอบอย่างไม่ลังเลว่า “หม่อมฉันสาบานเพคะ ชีวิตนี้ของหม่อมฉันจะไม่ทำเรื่องเห็นแก่ตัวอันเป็นผลเสียต่อแผ่นดิน แม้ว่าจะไม่อาจถึงขั้นเป็นคนดี หรือไม่เห็นแก่ตัวเลย แต่ก็จะเห็นแก่ภาพรวม หม่อมฉันไม่กล้าลืมเป็นแน่เพคะ วันนี้ไทเฮาสนับสนุนหม่อมฉัน วันข้างหน้าหม่อมฉันจะต้องส่งต่อให้คนต่อไปเป็นแน่เพคะ”  

 

 

“หากในอนาคตซวนเอ๋อร์ไม่เหมาะเป็นฮ่องเต้ เจ้าจะต้องกล่อมตวนชินอ๋องไม่อาจทำตัวเลอะเลือน” ไทเฮาถอนหายใจ แตประกายในดวงตากลับไม่ได้ลดน้อยลงเลย  

 

 

ถาวจวินหลันอึ้งไปเล็กน้อย จากนั้นก็ลุกขึ้นพลางทำความเคารพไทเฮาอย่างนอบน้อม “แน่นอนเพคะ หม่อมฉันไม่กล้าปล่อยไปเพียงเพราะซวนเอ๋อร์เป็นลูกชายของหม่อมฉัน อีกอย่าง หากซวนเอ๋อร์ไม่มีความสามารถ หม่อมฉันผลักเขาออกไปเช่นนี้ก็เป็นแค่เพียงทำให้เขากดดันเท่านั้นเองเพคะ”  

บัลลังก์พญาหงส์

บัลลังก์พญาหงส์

ตัวนางเป็นลูกขุนนางนักโทษ ขายตัวเองและน้องสาวเข้ามาเป็นนางกำนัลต่ำต้อยในวัง เถาจวินหลันต้องยอมรับชะตากรรมเช่นนี้จริงๆ หรือ? จะต้องใช้ชีวิตอย่างน่าอัปยศอดสู แล้วตายไปอย่างเงียบๆ เช่นนั้นหรือ? นางจะไม่ยอมให้เป็นเช่นนั้นเด็ดขาด! นางมีทั้งความสามารถและหน้าตาอันงดงาม อำนาจ ครอบครัว ความรัก…นางต้องการมันทั้งหมด! ส่วนพวกปรปักษ์มันจะต้องโดนทำลายจนย่อยยับ!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset