บัลลังก์พญาหงส์ – ตอนที่ 690 พ่อคุณทูลหัว

ซวนเอ๋อร์พยักหน้า จากนั้นก็ถามกลับคล้ายเข้าใจ “ไม่ได้หรือ?”

 

 

ขันทีเป่าฉวนใจอ่อนยวบยาบไปแล้ว พูดให้ซวนเอ๋อร์ผิดหวังออกมาไม่ได้ จึงรีบหันไปมองฮ่องเต้

 

 

ฮ่องเต้เองก็ใจอ่อน หัวเราะพูดว่า “มาได้สิ แต่คราวหน้าอย่าพาขันทีน้อยมาคนเดียวอีก ให้พาอีกหลายๆ คนตามมาด้วย” เอาขันทีน้อยมาคนเดียวเช่นนี้อย่างไรก็ดูไม่ฉลาด อีกทั้งที่สำคัญคือขันทีน้อยคนนี้ก็ดูเหมือนอายุไม่กี่สิบปีเท่านั้น ยังเด็กเกินไปนัก

 

 

“เสด็จปู่ ขอรางวัลให้เขา” ซวนเอ๋อร์ชี้ไปที่ขันทีน้อย “เขานำทางข้ามา ควรตกรางวัลพ่ะย่ะค่ะ!”

 

 

ฮ่องเต้พลันหยุดหัวเราะ ผ่านไปพักหนึ่งถึงสั่งนางกำนัล “ไป ไปเอาถุงเงินมาถุงหนึ่ง ให้รางวัลเขา” หยุดนิ่งไปแล้วถึงได้ชี้ไปที่ซวนเอ๋อร์ “นี่เจ้ากลัวว่าข้าจะลงโทษเขา ถึงได้ไล่คนออกไปก่อนใช่หรือไม่”

 

 

ซวนเอ๋อร์มองฮ่องเต้อย่างฉงน “ไล่คนไปก่อนหรือ?”

 

 

ฮ่องเต้เอาแต่ยิ้ม จากนั้นก็ถามขึ้นอีก “ทำไมวันนี้ซวนเอ๋อร์ถึงอยากมาหาปู่เล่า?”

 

 

ซวนเอ๋อร์ก้มหน้าลง กระอึกกระอักท่าทางน่าสงสาร “อยากให้เสด็จปู่ปล่อยท่านแม่”

 

 

“ทำไมถึงมาขอร้องปู่?” ฮ่องเต้ตั้งใจจะถามจนรู้ชัด แน่นอนว่าในสายตาคนอื่นนี่เป็นแค่เพียงการลองเชิงเท่านั้น ฮ่องเต้ไม่เชื่อว่าเด็กตัวน้อยอย่างซวนเอ๋อร์ตั้งใจมาที่นี่เอง

 

 

ซวนเอ๋อร์มองฮ่องเต้ ดวงตาดำขลับเป็นประกายด้วยน้ำตาคลอเบ้า “เสด็จปู่ไม่ใช่ฮ่องเต้หรือ? พวกเราต้องฟังเสด็จปู่มิใช่หรือ?”

 

 

พูดจบซวนเอ๋อร์ก็จับชายเสื้อคลุมของฮ่องเต้เอาไว้ สะบัดไปมาเบาๆ “เสด็จปู่ปล่อยท่านแม่ออกมาเถิด ซวนเอ๋อร์จะเป็นเด็กดี”

 

 

“ซวนเอ๋อร์!” ฮ่องเต้ขมวดคิ้วตำหนิเสียงเบา “แม่ของเจ้าทำเรื่องผิดก็ควรได้รับโทษ เจ้ามาสร้างเรื่องวุ่นวายไร้เหตุผลเช่นนี้ไม่น่ารักเลย!”

 

 

ซวนเอ๋อร์มองไปที่หมิงจู สุดท้ายก็ร้องไห้เสียงดัง ร้องไห้พลางพูดสะอึกสะอื้น “ข้าจะหาท่านแม่! ท่านแม่ไม่ได้ทำผิด! ท่านพ่อบอกแล้วว่าแม่ไม่ได้ทำ! ท่านน้าก็พูดเช่นนี้! ข้าอยากเจอท่านแม่!”

 

 

หมิงจูที่ยากจะกล่อมให้เงียบได้ พอเห็นพี่ชายของตัวเองร้องไห้ ก็เริ่มเบะปาก ก่อนจะอ้าปากกว้างร้องไห้เสียงดัง

 

 

เพียงไม่นาน เสียงร้องไห้ระงมของเด็กทั้งสองคนก็ดังสะท้อนไปทั่วบริเวณ

 

 

กู้ซีได้ยินแล้วรู้สึกรำคาญใจเป็นอย่างยิ่ง อีกทั้งพอองค์ชายเก้าที่อยู่ในห้องได้ยินเสียงร้องไห้จากข้างนอก ก็พลอยร้องไห้เสียงดังตามไปด้วย เด็กทั้งสามคนทั้งข้างในข้างนอกแผดร้องประสานเสียงกัน จนคนอยากจะหูหนวกให้รู้แล้วรู้รอด

 

 

กู้ซีทำได้แค่เดินมาไกล่เกลี่ย “ซวนเอ๋อร์เงียบนะ เลิกร้องไห้ได้แล้ว เงียบๆ เสด็จปู่จะได้รักเจ้า”

 

 

ซวนเอ๋อร์นิ่งไป พิจารณามองกู้ซีอย่างละเอียด “ท่านเป็นใคร?”

 

 

กู้ซีตอบเสียงอ่อนโยน “ข้าคือท่านน้ากู้ของเจ้าไง จำไม่ได้แล้วหรือ?”

 

 

ซวนเอ๋อร์ตั้งใจย้อนคิด ก่อนแสดงสีหน้าเข้าใจ เห็นชัดว่าจำกู้ซีได้แล้ว จากนั้นก็ได้ยินซวนเอ๋อร์พยักหน้าพูดอย่างจริงจัง “ข้าจำท่านได้ ท่านอยากแต่งงานกับพ่อข้า” พอสิ้นเสียง บรรยากาศพลันก็แข็งค้าง

 

 

สีหน้าของฮ่องเต้…ไม่น่ามองอย่างยิ่ง สีหน้าของกู้ซีก็เต็มไปด้วยความกระอักกระอ่วน ส่วนขันทีเป่าฉวนและบรรดานางกำนัลคนอื่นก็แทบจะหยุดลมหายใจ ไม่กล้าแม้แต่หายใจเสียงดัง

 

 

ขันทีเป่าฉวนมองใบหน้าจริงจังและไม่รู้เรื่องรู้ราวของซวนเอ๋อร์ ก็ให้ร้อนรนจนลอบสบถในใจ…พ่อคุณทูลหัว ทำไมเจ้ารู้อะไรก็พูดออกไปหมด! เรื่องนี้พูดออกไปมั่วๆ ได้อย่างนั้นหรือ? แน่นอนว่าไม่ได้! เจ้าอยากให้ฮ่องเต้ทรงกริ้วอย่างนั้นหรือ?

 

 

สุดท้ายซวนเอ๋อร์ก็ทำลายความเงียบ เขารู้สึกได้ถึงบรรยากาศแปลกไป จึงหันไปมองฮ่องเต้ “ทำไมหรือพ่ะย่ะค่ะ?”

 

 

ฮ่องเต้ฝืนแย้มยิ้ม ถึงพยายามใช้ความอ่อนโยนปกปิดอารมณ์ของตนเอง แต่ก็เห็นชัดว่าไม่สำเร็จ รอยยิ้มนั้นทำให้กู้ซีที่ได้เห็นต้องใจหล่นวูบ

 

 

กู้ซีอยากจะเอ่ยปากพูดอะไรบางอย่าง แต่นางเห็นสีหน้าท่าทางของฮ่องเต้สุดท้ายก็ไม่กล้าพูดออกมา อีกทั้งตอนนี้เห็นชัดว่านางไม่เหมาะจะเอ่ยปากพูด ไม่ว่าจะพูดอะไรก็ไม่เหมาะสมทั้งนั้น

 

 

กู้ซีมองซวนเอ๋อร์ ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็คิดว่าน่าเกลียด ฉับพลันก็ให้โมโหขึ้นมา นี่เห็นชัดว่าถาวจวินหลันสอนมาเป็นแน่!

 

 

“ทำไมซวนเอ๋อร์พูดเช่นนี้เล่า?” ฮ่องเต้ ‘ยิ้มแย้มแจ่มใส’ ถามซวนเอ๋อร์

 

 

ซวนเอ๋อร์ลูบมือ พลางตอบอย่างเป็นธรรมชาติ “นางเคยไปอยู่ที่บ้านข้า อีกทั้งเสด็จทวดยังเคยถามข้าว่าอยากให้นางเป็นเสด็จแม่หรือไม่…”

 

 

“นางยังเคยเอาใจข้า นางต้องอยากแต่งงานกับท่านพ่อเป็นแน่ แล้วก็เข้ามาเป็นแม่ของข้า” สุดท้ายซวนเอ๋อร์ก็ได้ข้อสรุปนี้ออกมา

 

 

กู้ซีฝืนยิ้ม ออกมาไกล่เกลี่ยสถานการณ์ “เจ้าเด็กคนนี้ เข้าใจว่าอะไรเรียกเอาใจอย่างนั้นหรือ ข้าก็เพียงเห็นว่าเจ้าน่ารักเท่านั้นเอง”

 

 

ซวนเอ๋อร์กลับพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “นางกำนัลกับขันทีเหล่านั้นอยากได้รางวัล ถึงได้เอาใจข้าไง เหมือนกับท่าน” น้ำเสียงมั่นใจมาก

 

 

ถึงกู้ซีจะมีร้อยปากก็อธิบายต่อไม่ได้ นางเคยประจบเอาใจซวนเอ๋อร์ตั้งแต่เมื่อไร? แค่ตอนแรกในเมื่อต้องแต่งงานเข้าไป ก็คงขาดการสานสัมพันธ์อันดีไม่ได้ เป็นเช่นนี้ก็สามารถมัดใจหลี่เย่ได้ง่าย แต่ตอนนี้พอเด็กคนนี้พูดกลายเป็นว่านางประจบเอาใจไปเสียแล้ว!

 

 

ซวนเอ๋อร์เหมือนยังคิดว่าไม่พอ ก้าวขึ้นไปจับชายกระโปรงของกู้ซีพูดจาออดอ้อน “ ท่านน้า หากท่านปล่อยท่านแม่ไป ข้าจะให้ท่านแต่งงานกับท่านพ่อ“

 

 

กู้ซีแทบจะดึงมือของซวนเอ๋อร์ออกไปในทันที พูดด้วยหน้าตาเคร่งขรึม “ซวนเอ๋อร์อย่าพูดมั่วๆ!”

 

 

ซวนเอ๋อร์ตะลึงมองกู้ซี ไม่นานก็ร้องไห้แผดเสียงอีกครั้ง หันไปกอดขาของฮ่องเต้ “ท่านน้าดุ! เสด็จปู่ช่วยข้า!”

 

 

ไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วตกใจหรือว่าถูกสะบัดจนเจ็บ ซวนเอ๋อร์เอาแต่ร้องไห้อย่างเอาเป็นเอาตาย

 

 

ฮ่องเต้ค่อยๆ ย่อตัวลงไป ลูบหลังของซวนเอ๋อร์เบาๆ เป็นการปลอบประโลมเขา พลางหันไปมองกู้ซี “แค่คำพูดของเด็กเท่านั้น ทำไมเจ้าต้องใส่ใจ?”

 

 

ฮ่องเต้กวาดตามองนางด้วยหน้าตายิ้มแย้ม กลับให้กู้ซีขนลุกชันทั่วร่าง สายตาเช่นนั้นไฉนยังมีความเอ็นดูรักใคร่เช่นวันวาน? เห็นชัดว่ากำลังตำหนิและสงสัยนาง!

 

 

เห็นอย่างนี้ ไฉนเลยกู้ซีจะยังไม่เข้าใจ? ฮ่องเต้เริ่มสงสัยนาง ทั้งยังไม่พอใจด้วย!

 

 

กู้ซีไม่กล้าล่าช้า รีบก้มหัวยอมรับผิด “เป็นความผิดของหม่อมฉันเพคะ เพราะร้อนใจ เลยทำให้ซวนเอ๋อร์ตกใจ”

 

 

หมิงจูก็ร้องไห้พลางพูดด่า “ผู้หญิงไม่ดี!”

 

 

ขันทีเป่าฉวนรีบอุ้มหมิงจูให้ออกห่างเล็กน้อยอย่างกลืนไม่เข้าคายไม่ออก ส่วนซวนเอ๋อร์…เขาก็มีแค่สองมือหนึ่งปาก จะให้กล่อมก็คงไม่ได้ อีกทั้งพอคิดดูแล้ว ให้ซวนเอ๋อร์สร้างเรื่องหน่อยก็ดี ที่จริงไม่ว่าซวนเอ๋อร์จะมาเองหรือมีคนอื่นสอนมา วิธีนี้ก็ได้ผลชะงัดนัก

 

 

ฮ่องเต้เลิกคิ้ว “ร้อนใจหรือ? มีอะไรให้ร้อนใจกัน?”

 

 

เหงื่อผุดบนหลังของกู้ซีทันที จากนั้นนางก็รีบหาข้อแก้ตัว รีบพูดช้าๆ ว่า “หม่อมฉันกลัวฮ่องเต้เข้าใจผิดเพคะ”

 

 

ฮ่องเต้ขัดกู้ซีเรียบๆ “ข้ามีอะไรต้องเข้าใจผิดหรือ?”

 

 

กู้ซีสะอึก “หม่อมฉัน หม่อมฉัน หม่อมฉัน…” แต่กลับพูดไม่ออก

 

 

ฮ่องเต้ปรายตามองขันทีเป่าฉวนทีหนึ่ง พูดว่า “เป่าฉวน เจ้าพาพวกเขากลับไปก่อน มิเช่นนั้นวังตวนเปิ่นรู้เข้าคงวุ่นวายเป็นแน่”

 

 

บรรยากาศแปลกประหลาด ขันทีเป่าฉวนย่อมไม่อยากอยู่นาน จึงรีบพาซวนเอ๋อร์และหมิงจูกลับไปทันที แต่ส่งกลับไปตอนนี้ วังตวนเปิ่นก็ยุ่งวุ่นวายไปแล้ว

 

 

ตอนที่ขันทีเป่าฉวนไปถึงวังตวนเปิ่น ก็ได้เห็นภาพเหตุการณ์ตระหนกแตกตื่น

 

 

จิ้งหลิงร้อนใจจะตายแล้ว เด็กทั้งสองคนหายไป นางแทบจะพลิกหาทั่ววังตวนเปิ่น ตอนนี้กำลังส่งคนกระจายไปหาทั่ววังและแจ้งข่าวให้หลี่เย่ทราบ

 

 

แน่นอนว่าทำได้แค่ปิดบังถาวจวินหลันเอาไว้ เรื่องอื่นจิ้งหลิงกล้าพูดว่าถาวจวินหลันอาจจะไม่โกรธไม่ร้อนใจ แต่เรื่องนี้ถาวจวินหลันต้องไม่อยู่เฉยเป็นแน่!

 

 

ดังนั้นตอนที่เห็นขันทีเป่าฉวนพาเด็กสองคนเดินเข้ามา จิ้งหลิงก็คลายกังวลลง น้ำตาไหลลงมาทันที ก้าวขึ้นไปไม่ทันได้สนใจขันทีเป่าฉวน จับซวนเอ๋อร์เอาไว้ ก่อนตีหลังของเขาทีหนึ่ง “พ่อคุณทูลหัวของข้า! นี่อยากให้พวกเราร้อนใจตายหรืออย่างไร! เจ้าไปไหนมากันแน่!”

 

 

ขันทีเป่าฉวนตกใจกับการกระทำของจิ้งหลิง สุดท้ายก็พิจารณาสังเกตท่าทีของจิ้งหลิงอย่างละเอียด คิดว่าดูไม่เหมือนกำลังเสแสร้งแกล้งทำ จึงกระแอมออกมาเบาๆ เตือนจิ้งหลิง “ซวนเอ๋อร์เป็นพระราชนัดดา ใช่ว่าคนทั่วไปจะตีได้อย่างนั้นหรือ?”

 

 

จิ้งหลิงถึงคิดได้ว่าตนเอง ‘ล้ำเส้น’ แล้ว สีหน้าก็ซีดขาวในฉับพลัน พูดพึมพำเสียงเบา “ข้าร้อนใจจนลืมไป”

 

 

“ช่างเถิด ท่านเองก็ร้อนใจ” ขันทีเป่าฉวนยิ้มแย้ม อธิบายที่มาที่ไป “ซวนเอ๋อร์ให้คนพาไปหาฮ่องเต้ ไม่ได้ออกไปเล่นจนเสียเรื่อง ดังนั้นท่านไม่ต้องโทษตัวเองให้มากนัก แต่หลังจากนี้ต้องดูให้ดี เด็กทั้งสองคนล้ำค่ายิ่งนัก เกิดเรื่องไปสักคนพวกเราไฉนจะรับผิดชอบไหว แม้แต่เวลาปกติก็ควรต้องให้คนติดตามมากเสียหน่อย”

 

 

ตอนนี้ฮ่องเต้ยังไม่มีเวลามาใส่ใจเรื่องนี้ มิเช่นนั้นคงจะลากคนเข้าไปเกี่ยวข้องไม่น้อย

 

 

สุดท้ายขันทีเป่าฉวนก็พูดอีกว่า “ในเมื่อมาแล้ว ข้าก็จะไปทำความเคารพพระชายาก่อน”

 

 

จิ้งหลิงรีบพูดดักทางไว้ “ขอกงกงอย่าบอกเรื่องนี้กับพระชายา นางจะได้ไม่ต้องร้อนใจ ตอนนี้นางกำลังตั้งครรภ์”

 

 

ขันทีเป่าฉวนสะบัดมือ “ไม่เป็นไร ตอนนี้จากร้ายกลายเป็นดีแล้ว พูดไปก็ไม่ต้องกลัวอะไรอีก”

 

 

จิ้งหลิงทำได้แค่เห็นด้วยอย่างจนปัญญา พูดตามจริงแล้วนางไม่อยากให้ถาวจวินหลันรู้เรื่องนี้เลยแม้แต่น้อย เป็นเพราะว่านางไม่ดูแลเด็กสองคนให้ดี และไม่รู้ว่าถาวจวินหลันจะโทษนางหรือไม่? ต่อให้ไม่โทษนาง ในใจของนางก็รู้สึกไม่ดี ยังดีที่ไม่ได้เป็นอะไรไป หากเกิดเรื่องขึ้นนางคงไม่อยากอยู่ต่อแล้ว!

 

 

หลังจากขันทีเป่าฉวนเดินไปไกล จิ้งหลิงก็คิดพลางพูดกับซวนเอ๋อร์เสียงเบา “เจ้ารีบพาน้องสาวตามไป บอกว่าอยากพบท่านแม่”

 

 

ซวนเอ๋อร์ตะลึงไป จากนั้นดวงตาก็เป็นประกาย จับหมิงจูเอาไว้ แล้วรีบวิ่งตามไป

 

 

จิ้งหลิงยืนมองอยู่ไกลๆ ก็รู้สึกว่าดวงตาพร่ามัว พอลองลูบใบหน้าดู ก็พบว่าน้ำตาไหลลงมาแล้ว นางถอนหายใจ พูดพึมพำกับตนเอง “สุดท้ายแม่ลูกก็สายใยเชื่อมโยงกัน เพิ่งอายุเท่าไรกันเชียวก็รู้จักทำเรื่องเช่นนี้เพื่อแม่ของตน”

 

 

นางกำนัลได้ยินไม่ชัด จึงถามขึ้นว่า “นายหญิงว่าอย่างไรนะเจ้าคะ?”

 

 

“ไม่มีอะไร” จิ้งหลิงส่ายหน้า สั่งนางกำนัลเสียงเบา “ให้ขันทีน้อยไปตามองค์รัชทายาทกลับมา บอกมีเรื่องสำคัญต้องคุยด้วย”

บัลลังก์พญาหงส์

บัลลังก์พญาหงส์

ตัวนางเป็นลูกขุนนางนักโทษ ขายตัวเองและน้องสาวเข้ามาเป็นนางกำนัลต่ำต้อยในวัง เถาจวินหลันต้องยอมรับชะตากรรมเช่นนี้จริงๆ หรือ? จะต้องใช้ชีวิตอย่างน่าอัปยศอดสู แล้วตายไปอย่างเงียบๆ เช่นนั้นหรือ? นางจะไม่ยอมให้เป็นเช่นนั้นเด็ดขาด! นางมีทั้งความสามารถและหน้าตาอันงดงาม อำนาจ ครอบครัว ความรัก…นางต้องการมันทั้งหมด! ส่วนพวกปรปักษ์มันจะต้องโดนทำลายจนย่อยยับ!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset