บัลลังก์หมอยาเซียน – ตอนที่ 385 เคลื่อนลมบนหอคอย

หลายวันมานี้ หยวนชิงหลิงนั้นไม่สามารถสงบจิตสงบใจได้เลย รู้สึกเหมือนจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น
ทางเจ้าพระยาเจิ้งเป่ยในที่สุดก็ยอมเข้าเมืองแล้ว
ครั้งนี้ ฮ่องเต้ยังคงมีราชโองการ สั่งให้บรรดาอ๋องและเหล่าขุนนางไปต้อนรับที่ประตูเมือง
แต่ว่าครั้งนี้ได้จัดรถม้าที่เป็นรูปนกแปดคันล่วงหน้าไป ต้อนรับเจ้าพระยาเข้าวังไปดื่มฉลอง
เดิมวันนี้อ๋องเว่ยมีความคิดที่จะส่งกู้จือไปที่สำนักนางชีหมิงเยว่ แต่เพราะมีราชโองการให้ไปต้อนรับเจ้าพระยาเป่ยเจิ้งที่ประตูเมือง เขาก็แอบดีใจ ที่สามารถยึดเวลาออกไปได้อีกหนึ่งวัน
หยวนชิงหลิงก็รู้ว่าพวกเขาจะไปต้อนรับเจ้าพระยาเจิ้งเป่ยที่ประตูเมือง
คนอย่างเจ้าพระยาเจิ้งเป่ย เหมือนกับสัตว์ดุร้ายที่ค่อยๆเติบโตในของใจนาง ในที่สุด คนผู้นี้ก็ค่อยๆก้าวเดินออกมาจากในจินตนาการของนาง
ดังนั้น นางก็ค่อนข้างที่จะตื่นเต้น ขณะนี้ก็เลยไม่มีเวลาไปสนใจเรื่องของพระชายาเว่ย
จวนอ๋องเว่ย
วันนี้กู้จือตื่นเช้า หลังจากที่อ๋องเว่ยออกไปแล้ว นางรู้สึกร่างกายเหนื่อยล้า ก็เลยหลับไปอีก
การหลับครั้งนี้ สะลึมสะลือ รู้สึกว่ากำลังประสบกับความฝันที่เหน็ดเหนื่อย อยากที่จะตื่นขึ้นมา แต่ก็ตื่นไม่ได้
นางรู้สึกว่าตัวเองนั้นนั่งพิงอยู่ในรถม้า ข้าหูดังขึ้นด้วยเสียงต่างๆนานา แต่ว่าหนังตาของนางยังไงก็ยกไม่ขึ้น
สุดท้ายนั้นระหว่างที่อยู่ในความมืด ก็ค่อยๆหลับไป
นางถูกความหนาวทำให้ตื่น
หนาวแบบชนิดที่เข้ากระดูก หนาวจนทำให้นางตื่นจากฝันที่อยู่ในภวังค์ แต่ยังคงไม่ได้ลืมตา ตอนนี้สัมผัสถึงเสียงลมที่พัดผ่านข้างหู
“กู้จือ เจ้าตื่นหรือยัง?” ข้างหู ดังขึ้นด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน กู้จือรีบลืมตาขึ้นมาทันที ภาพที่ปรากฏอยู่ตรงหน้า คือใบหน้าที่อ่อนโยนและสงบของพระชายาเว่ย
นางตกใจจนสะดุ้ง ถึงขนาดโทนเสียงเปลี่ยนไปเลย “พระ……..ชายา?”
ทันใดนั้นนางก็รู้สึกว่าตัวเองนั้นเหมือนลอยอยู่กลางอากาศ นางมองไปที่พื้น ตกใจจนตัวสั่นเทา
นางถูกแขวนอยู่บนหอคอย โดยหลังแนบกับกำแพง หันหน้าไปทางอากาศ ด้านล่างคือกลุ่มคนที่เพิ่งจะแยกย้ายกันไป เสียงรบกวนยังคงดังอย่างต่อเนื่อง ในระยะไกลสามารถมองเห็นขบวนที่มาต้อนรับเจ้าพระยาเจิ้งเป่ยมุ่งหน้าไปยังกลางเมือง
นางกรีดร้องอย่างควบคุมตัวเองไม่ได้
พระชายาเว่ยปลอบใจนางอย่างอ่อนโยน “กู้จือ เจ้าไม่ต้องกลัว ข้าให้คนไปตามท่านอ๋องแล้ว เขาจะมาช่วยเจ้าในไม่ช้า”
ในมือนาง กำลังกระทบหินไฟสองอันอย่างไม่แยแส เกิดประกายไฟระยิบระยับ ส่องเข้าไปในนัยน์ตาลึกๆข้างในของนาง
กู้จือได้กลิ่นบนร่างของตัวเอง เย็นวาบจนหนังหัวชา “เจ้า………..เจ้าราดอะไรลงบนตัวข้า?”
พระชายาเว่ยยิ้มกล่าว “มันคือน้ำมัน”
ไม่รู้ว่านางไปหาเก้าอี้เล็กๆมาจากไหน แล้วนั่งลงไป ตำแหน่งของนางบังเอิญติดอยู่ในช่อง สามารถยืนได้สองหรือสามคน แต่ตอนนี้นางได้วางเก้าอี้เล็กๆลงไป มันก็ไม่มีที่ว่างเหลืออีกแล้ว
ราษฎรที่มารอดูอยู่ด้านล่าง ได้ยินเสียงกรีดร้อง ก็ทยอยกันแหงนหน้ามองขึ้นมา กลับเห็นผู้หญิงคนหนึ่งที่สวมชุดนอนถูกมัดไว้ข้างบน ขาลอยอยู่กลางอากาศ ดูอันตรายมาก
คนที่อยู่ด้านล่าง นั้นมองไม่เห็นพระชายาเว่ย เพราะนางนั่งอยู่ พอดีถูกกำแพงหอคอยบดบังนางเอาไว้
กู้จือกลัวจนเกือบจะเป็นลมแล้ว นางมองพระชายาเว่ยอย่างหวาดระแวง “เจ้า……….เจ้าคิดจะทำอะไร?”
พระชายาเว่ยมองดูท้องฟ้าที่ไร้ขอบเขต ในฤดูหนาวนี้ สิ่งที่มองเห็น กลับว่างเปล่า และนางมองไม่เห็นแม้แต่ใบไม้สีเขียว
นางค่อยๆถอนสายตากลับมา พูดอย่างเลื่อนลอย “ไม่ได้คิดจะทำอะไร”
นางยื่นหัวออกไปมอง ถอนหายใจกล่าว “สามีเจ้ายังมาไม่ถึง เขารู้ว่าข้านั้นมีความอดทน ข้าจะรอ กู้จือ ข้านำตัวเจ้ามาที่นี่ เปลืองแรงไปไม่น้อยเลย แข้งขาข้าก็ไม่ดี บัดนี้น่าจะเลือดออกแล้วล่ะ”
นางยกกระโปรงขึ้น มองมันไปครู่หนึ่ง ก็เห็นเลือดซึมออกมาอย่างที่คาดไว้ นางก็ได้หยิบผ้าไหมสีขาวออกมาจากแขนเสื้อ แล้วพันมันอย่างแน่นๆ
กู้จือเห็นนางที่เป็นเช่นนี้ กลัวจนหัวใจจะหลุดออกมาแล้ว กรีดร้องอย่างน่าสังเวช “ท่านอ๋องช่วยข้าด้วย”
ทันทีที่สิ้นเสียงนี้ ก็เห็นม้าตัวหนึ่งวิ่งมาทางประตูเมืองอย่างว่องไว หลังจากที่เขาลงจากม้า ก็วิ่งตามรอบบันไดหอคอยขึ้นมา
“นางชุย เจ้าคิดจะทำอะไร?” ผู้ที่มาเยือน ก็คืออ๋องเว่ยที่ตื่นตระหนกทำอะไรไม่ถูก ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความโกรธ ดวงตาของเขาแดงก่ำ
เมื่อกู้จือเห็นเขามา คนทั้งคนก็ได้โล่งอกไปเปลาะหนึ่ง กลับร้องไห้ขึ้นมา “ท่านอ๋องช่วยข้าด้วย”
“กู้จือ!” อ๋องเว่ยร้อนใจจนหัวใจของเขาจะหลุดออกมาแล้ว จ้องมองพระชายาเว่ยอย่างโกรธเคือง
พระชายาเว่ยปล่อยกระโปรงลงมา ลุกขึ้นอย่างช้าๆแล้วมองอ๋องเว่ยที่วิ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว นางกล่าว “ท่านยืนอยู่ตรงนั้นเถอะ อย่าเข้ามา ไม่เช่นนั้น ข้าจะจุดไฟ หรือไม่ก็จะตัดเชือกให้นางตกลงไป”
“นางชุย หากกู้จือเป็นอะไรขึ้นมา ข้าจะเอาชีวิตของเจ้า” อ๋องเว่ยกล่าวอย่างโกรธเคือง
บนหอคอย ลมแรงมาก เสียงลมที่พัดเข้ารูกำแพงที่กระดำกระด่าง เสียงนั้นเหมือนเสียงผีร้องไห้และหมาป่าหอน คนที่อยู่ข้างล่างต่างวิพากษ์วิจารณ์เสียงนั้นเข้ามาในหูอย่างไม่ขาดสาย
“ไม่เป็นไร” เป็นเสียงพูดของพระชายาเว่ย แต่ดูเหมือนนางจะพูดกับตัวเอง ไม่ได้พูดให้คนอื่นฟัง
“นางชุย เจ้าคิดจะทำอะไรกันแน่? เจ้ามีอะไรก็มาลงที่ข้า อยากไปทำให้กู้จือลำบากใจ นางตั้งครรภ์อยู่” อ๋องเว่ยพยายามเดินเข้าไปอย่างระมัดระวัง มองเห็นมีดสั้นที่อยู่ในมือพระชายาเว่ย มีดสั้นได้ไปจ่ออยู่ที่คอของกู้จือโดยตรง เขาจึงได้หยุดฝีเท้าลงทันที ใบหน้าเต็มไปด้วยความดุดันและโกรธเคือง
กู้จือตกใจจนกรีดร้องอย่างต่อเนื่อง กล่าวอ้อนวอน “พระชายา ปกติท่านเป็นที่จิตใจมีเมตตา ท่านปล่อยข้าไปเถอะ หากท่านต้องการให้ข้าไปจากท่านอ๋อง ข้าก็จะไปทันที”
พระชายาเว่ยมองไปที่ใบหน้าที่ซีดเผือดด้วยความกลัวของกู้จือ ถามขึ้น “กู้จือ ข้าขอถามเจ้าหนึ่งคำถาม เจ้าต้องตอบตามความจริง ไม่เช่นนั้น ข้าจะจุดไฟเผาเจ้าให้ตาย”
กู้จือที่เกือบจะเป็นลม ยังจะกล้าปฏิเสธอีกเหรอ? ขณะนั้นก็พูดซ้ำๆ “พระชายาท่านถามมาเลย”
พระชายาเว่ยถาม “ตอนนั้นที่เขาเอายาทำแท้งมาให้ข้า เรื่องนี้เจ้ารู้เรื่องก่อนไหม?”
แววตาของกู้จือกะพริบผ่านด้วยความตื่นตกใจ ส่ายหัวโดยไม่รู้ตัว
มีดสั้นของพระชายาเว่ย ทิ่มไปที่ผิวหนังของนาง ทำให้นางรู้สึกเจ็บจิ๊ด ตกใจจนต้องพูดอย่างรวดเร็ว “ข้ารู้ ข้ารู้ แต่ข้าหยุดมันไม่ได้ ท่านอ๋องยืนกรานที่จะทำเช่นนั้น”
มืดสั้น ค่อยๆถูกเลื่อนลงมาที่หน้าท้องของกู้จือ กู้จือสั่นเทาไปทั้งตัว กล้ามเนื้อเกร็งไปทั้งร่าง ทั้งตกใจและหวาดกลัว
อ๋องเว่ยตื่นเต้นจนหัวใจจะหลุดออกมา กลัวว่านางจะแทงมีดเข้าไป
อย่างไรก็ตาม พระชายาเว่ยเพียงแค่หยุดมีดสั้นเล่มนี้ไว้บนท้องของนางโดยที่ไม่ขยับเลย
ในขณะนี้ ก็ได้พูดกับอ๋องเว่ย อย่างทุกข์ทรมานแสนสาหัส ประหม่าและหวาดกลัวเหมือนหัวใจจะหลุดออกมาทางลำคอ ทำให้ไม่สามารถกรีดร้องออกมาได้เลย
“ท่านสงสารลูกของท่านไหม?” ในที่สุดดวงตาของพระชายาเว่ยก็มีรอยน้ำตา แต่นางเงยหน้าขึ้น พยายามบีบบังคับให้น้ำตากลับเข้าไป แล้วก็หัวเราะขึ้นมา “หากข้าแทงมีดนี้ลงไป ลูกของพวกเจ้าก็จะตาย”
อ๋องเว่ยจ้องนาง ก้าวย่างไปหนึ่งก้าวอย่างอกสั่นขวัญแขวน “นางชุย เจ้าวางมีดสั้นลง เรามาคุยกันดีๆ”
พระชายาเว่ยกล่าว “จริงๆแล้วที่ข้าแขวนนางไว้ตรงนี้ ก็เพื่อที่อยากจะคุยกับพวกเจ้าอย่างสงบใจเย็น”
นางมองไปที่ด้านล่าง คนยิ่งอยู่ยิ่งเยอะขึ้น นางมองไม่เห็นใบหน้าที่ชัดเจนของคนทุกคน แต่ว่า นางรู้ว่าทุกคนกำลังกล่าวหาว่านางนั้นโหดร้าย
อ๋องเว่ยไม่กล้าขัดใจนาง กล่าว “ได้ เจ้าพูดมา เจ้าพูดมา”
พระชายาเว่ยได้เอามีดสั้นออก ร่างทั้งร่างของกู้จือก็อ่อนลงมาทันที หายใจเฮือกๆ
นางมองไปที่ข้อแขนของตัวเอง เห็นกระดิ่งทองแดงถูกถอดออกไปแล้ว
พระชายาเว่ยกล่าว “ข้ารู้ว่าเจ้ามีวิชาลวงตา ดังนั้นตอนที่เจ้ากำลังสะลึมสะลือ ข้าได้ถอดกระดิ่งทองแดงของเจ้าลงมาแล้ว”
กู้จือเหมือนจะเป็นลมไปแล้ว

บัลลังก์หมอยากเซียน

บัลลังก์หมอยากเซียน

ด็อกเตอร์แพทย์หญิงอัจฉริยะข้ามภพกลายเป็นพระชายาของอ๋องฉู่ เพิ่งมาถึงก็เจอผู้ที่บาดเจ็บสาหัส นางยึดถือจรรยาแพทย์ไปทำการช่วยเหลือ กลับเกือบถูกคนให้ร้ายไท่ซ่างหวง(เสด็จพ่อของฮ่องเต้)ป่วยวิกฤต นางไม่มีวิธีรักษา ถูกอ๋องอำมหิตผู้น่าเกลียดเข้าใจผิดตำหนิเอา หรือว่าเป็นคนดีมันยากนัก? ชายผู้นี้เอาแต่ใส่ร้ายป้ายสีนางไม่ว่า ที่อดไม่ได้คือเขายังกล้าแต่งชายารองทำให้นางสะอิดสะเอียนอีกอ๋องอำมหิตพูดอย่างเย็นชาว่า: "เจ้ามีดีอะไรให้ข้าแค้นเจ้า ข้าเพียงแค่เกลียดเจ้า? แค่เห็นเจ้าแวบแรกก็รู้สึกขยะแขยง"หยวนชิงหลิงใบหน้ายิ้มรับพร้อมกล่าวว่า: "ไฉนข้าไม่รังเกียจท่านอ๋องเพคะ? เพียงแค่ทุกคนล้วนเป็นสุภาพชน ไม่อยากไม่ไว้หน้าก็เท่านั้น"อ๋องอำมหิตพูดเย้ยหยันว่า: "เจ้าอย่านึกว่าตั้งท้องลูกของข้าแล้วข้าจะนับว่าเจ้าเป็นพระชายา ดื่มยาถ้วยนี้ ข้ากับเจ้าขาดกัน อย่ามาขัดขวางการแต่งงานของข้ากับคุณหนูสองตระกูลฉู่" หยวนชิงหลิงยิ่มแฉ่งพร้อมกล่าวต่อว่า: "ท่านอ๋อง นี่ชอบพูดเล่นเสียจริงเพคะ ท่านอยากแต่งก็แต่งเลยเพคะ ข้ามีลูกให้ดูแล ค่อยแต่งงานใหม่ ไม่มีใครเป็นก้างขวางคอใคร ถึงเวลานั้นมีการจัดเหล้าครบเดือน ขอเชิญท่านอ๋องมาร่วมงานด้วยเพคะ"

Comment

Options

not work with dark mode
Reset