บัลลังก์หมอยาเซียน – ตอนที่ 389 ไม่ใช่ความผิดข้า

ลูกตาของกู้จือ ถูกควักออกมาดื้อๆอย่างนั้นเลย
นางพลิกตัวไปมาอยู่บนเตียงอย่างเจ็บปวด กรีดร้องอย่างโหยหวน
อ๋องเว่ยทำเพียงค่อยๆถอยออกมา เช็ดเลือดที่อยู่บนมือ
บ่าวไพร่ได้วิ่งกันเข้ามา ก็เห็นภาพที่เต็มไปด้วยเลือด ล้วนตกตะลึงกันหมด
อ๋องเว่ยกล่าวอย่างเรียบเฉย “แม่นางกู้จือไม่ทันระวังดวงตาได้รับบาดเจ็บ พวกเจ้าไปช่วยนางห้ามเลือด แล้วไปตามหมอมาดูหน่อย”
พูดจบ เขาก็ค่อยๆเดินออกไป ข้างหู ก็ดังขึ้นด้วยเสียงร้องไห้ที่เจ็บปวดของกู้จือ เขายกมุมปากขึ้นยิ้มอย่างเย็นชา แววตาเยือกเย็น
เขานั่งอยู่ในห้องโถง รอให้คนของตระกูลชุยมา
แต่ว่า รอกระทั่งฟ้ามืด ก็ไม่เห็นคนของตระกูลชุยมา
แต่เป็นอ๋องซุนที่มา
อ๋องซุนนั้นวิ่งเข้ามาเลย เขาออกจากวังเพิ่งจะกลับไปถึงจวน ก็ได้ทราบเรื่องนี้ ก็ควบม้ามาที่จวนอ๋องเว่ยโดยตรง
หลังจากเข้าประตูมาแล้ว มือที่อวบอ้วนของเขาก็ชกไปที่ใบหน้าของอ๋องเว่ย ชกต่อเนื่องไปหลายที อ๋องเว่ยยังคงนั่งตัวตรง เขาที่เหนื่อยเองแล้วนั่งลงบนพื้น แลบลิ้นหายใจหอบ แต่ยังคงไม่ลืมที่จะด่า “ไอ้สารเลว!”
อ๋องเว่ยเช็ดเลือดไปครู่หนึ่ง ก็ถามอย่างขมขื่น “นางยังมีชีวิตอยู่ไหม?”
“ยังมีชีวิตอยู่ หรือเจ้าอยากจะให้นางตาย?” อ๋องซุนกล่าวอย่างโกรธเคือง
สีหน้าของอ๋องเว่ยเหมือนคนที่ตายไปแล้ว
อ๋องซุนลุกขึ้น กระชากอกเสื้อของเขาเอาไว้ แล้วก็ตบกบาลไปอีกหนึ่งที “เจ้าทำไมถึงทำเรื่องชั่วแบบนี้ได้? เจ้านั้นถูกคุณไสยหรือเปล่า?”
อ๋องเว่ยกล่าวอย่างดื้อรั้น “ข้าไม่ผิด นางเป็นคนที่ผิดต่อข้าก่อน”
“เจ้ายังปากแข็ง? อ๋องซุนใช้หลังมือตบหน้าเขาไปอีกหนึ่งที ปากแข็งแล้วมีประโยชน์ไหม? ในใจเจ้าไม่รู้ว่านางเป็นคนแบบไหนเหรอ?”
“ข้าไม่ผิด!” อ๋องเว่ยเงยหน้าขึ้น ใบหน้ารั้นและบ้าคลั่ง กำหมัดแล้วคำราม “ข้าไม่ผิด”
อ๋องซุนเห็นท่าทางเขาที่เป็นแบบนี้ ก็ปล่อยเขา ส่ายหัวกล่าว “เจ้าไม่ผิดเหรอ? เจ้าคิดอย่างนั้นจริงๆเหรอ? น้องสาม ยอมรับผิดเถอะ นางมีค่าพอที่จะให้เจ้าเอ่ยคำขอโทษ แม้ว่าจะไม่ช่วยให้เรื่องมันดีขึ้น แต่เจ้าต้องขอโทษ”
อ๋องเว่ยนั่งเหมือนท่อนไม้ เสื้อผ้าบนร่างกายยับยู่ยี่ไปหมด เต็มไปด้วยเลือด
เขาพูดเพียงประโยคเดียว “ข้าไม่ผิด ข้าไม่ผิดข้า…………ข้าถูกวิชาลวงตา ข้าถูกวิชาลวงตา!”
กู้จือคนนั้น ถูกคนพยุงออกมา ดวงตาของนั้นได้ถูกพันเรียบร้อยแล้ว ร่างกายเปื้อนไปด้วยเลือด
ในน้ำเสียงของนาง เต็มไปด้วยความเกลียดชัง “ใช่ เจ้าถูกวิชาลวงตา แต่ว่าวิชาลวงตาไม่สามารถที่จะควบคุมใจของเจ้าได้ตลอดเวลา ความรู้สึกของเจ้าที่มีต่อนางตั้งแต่แรกก็คือความสงสัย เจ้ามักจะรู้สึกว่าตัวเองนั้นสู้ท่านชายชิงหยางไม่ได้ เจ้ามักจะรู้สึกว่าในตอนแรกนางไม่อยากมากับเจ้าจริงๆ เจ้ามักจะรู้สึกว่าสิ่งที่นางดีกับเจ้าเป็นสิ่งที่จอมปลอมแสดงไปอย่างนั้น เพราะความสงสัยต่างๆเหล่านี้ ถึงได้ทำให้ข้ามีโอกาส ดังนั้น จริงๆแล้วท่านไม่ได้รักนาง อย่างน้อยไม่ได้รักอย่างลึกซึ้ง ในปีกว่านี้เจ้ากับข้า แม้ข้าจะใช้วิชาลวงตากับท่านแค่ครั้งคราว แต่เจ้า ก็เชื่อข้าอยู่ตลอดเวลา ทุกคำพูดที่คำพูด เจ้าก็เชื่อสนิทใจ ตอนแรกที่ข้าบอกกับท่านว่านางกับท่านชายชิงหยางแอบเป็นชู้กัน ตอนนั้นข้าไม่ได้ใช้วิชาลวงตากับท่าน แต่ท่านก็เชื่ออย่างไม่สงสัย เจ้ารู้ทุกอย่างของข้าห่วงใยข้า คนที่เจ้ารัก คือข้า ไม่ใช่นาง เจ้ายังไม่เข้าใจจุดนี้เหรอ?”
นางพยายามคลำทางแล้วเดินมา ท่าทางนั้นทั้งเศร้าและเจ็บปวด “แม้ว่าเจ้าจะควักดวงตาของข้า แต่ข้าไม่เกลียดท่าน ขอเพียงท่านยังรักข้าเหมือนเมื่อก่อน เจ้ายังจำตอนที่อยู่บนหอคอยได้ไหม? ข้าไม่ได้ใช้วิชาลวงตากับท่าน แต่เจ้ากลับวิ่งเข้ามาช่วยข้าก่อน คนที่เจ้ารักคือข้า วันนี้เจ้าแค่รู้สึกผิดต่อนาง เจ้ารู้ไหม?”
“เจ้าหุบปาก!” อ๋องเว่ยกระโดดขึ้นมา คำรามไปหนึ่งที ยกเก้าอี้ขึ้น แล้วทุบมันอย่างบ้าคลั่ง “เจ้าไสหัวออกไป ออกไป ข้าไม่อยากฟังคำพูดชั่วร้ายของเจ้า นางแม่มด นางคนชั้นต่ำ!”
เก้าอี้ตัวนั้น ทุบอยู่บนร่างของกู้จือ กู้จือถูกทุบจนล้มลงไปบนพื้น นางมองเขาด้วยใบหน้าที่เจ็บปวด กล่าวอย่างเศร้าใจ “ทำไมเจ้าถึงไม่เข้าใจหัวใจของตัวเอง? ตอนนี้เจ้าถึงจะผิด เรามีลูกด้วยกันแล้วนะ”
พูดถึงเรื่องลูก อ๋องเว่ยก็ได้นิ่งไปครู่หนึ่ง แววตาเขาเหมือนภูเขาไฟระเบิด เปลวเพลิงลุกโชนขึ้นมา เขาเดินเข้าไป บีบคอของกู้จือเอาไว้ ใช้แรงที่มีทั้งหมด ใบหน้าดุร้าย “เจ้าไปตายซักเถอะ”
อ๋องซุนใช้มือสับลงไป สับไปที่หลังคอของเขา อ๋องเว่ยก็ล้มลงบนพื้น ปล่อยกู้จือออก
กู้จือก็ตัวอ่อนอยู่บนพื้น หายใจเฮือกๆ
อ๋องซุนออกคำสั่ง “เด็กๆ พาตัวนางไป ส่งตัวไปที่สำนักนางชีหมิงเยว่”
อ๋องซุนสั่งอีก “เอาตัวท่านอ๋องของพวกเจ้าโยนไปในบ่อน้ำเย็น ให้เขาสงบสติอารมณ์ก่อน”
ทั้งสองคน ก็ถูกลากตัวไปอย่างรวดเร็ว
อ๋องเว่ยหลังจากที่ถูกโยนลงไปในบ่อน้ำเย็น แล้วนำตัวขึ้นมา เมื่อเขาตื่นขึ้นมา สั่นเทาไปทั้งร่าง
“ตื่นแล้วเหรอ? ถ้ามีสติแล้วก็คุยกันดีๆ” อ๋องซุนมองเขาอย่างเย็นชา ยื่นสุราให้เขาหนึ่งจอก
อ๋องเว่ยรับสุราไป ดื่มหมดในทีเดียว จากนั้นก็หดตัวอยู่ในมุมกำแพง สีหน้ามืดมน
“เจ้ารู้ได้ยังไงว่านางใช้ดวงตาในการใช้วิชาลวงตา?” อ๋องซุนถาม
ปากของอ๋องเว่ยสั่นไปครู่ใหญ่ จึงกล่าวขึ้นอย่างเย็นชา “ตอนที่นางตื่นขึ้นมา ดวงตามีคราบสีเทาอยู่หนึ่งชั้น ทุกครั้งที่เห็นแววตาแบบนี้ของนาง ไม่ว่าข้ากำลังคิดอะไร ก็จะถูกดึงดูดความสนใจไปทันที แต่ว่า ขณะนั้นสมองของข้ากำลังคิดถึงภาพที่เขากระโดดลงไปอย่างเดียวดาย ข้าคิดถึงตอนที่ข้าพูดคำพูดประโยคนั้น แววตานาง ก็มีคราบสีเทาแบบนี้เช่นกัน ทุกครั้งเวลาที่ข้าเชื่อนางอย่างไม่มีความสงสัย สิ่งที่ข้าเห็นคือแววตาที่เหมือนกัน ตอนที่อยู่บนกำแพง ภริยาของน้องห้าพูดกับข้า นางใช้วิชาลวงตา ข้าได้ยินคำว่าวิชาลวงตา ใจข้าก็สะดุ้งทันที เรื่องราวมากมาย ได้ปรากฏขึ้นในหัวของข้า ข้าสงสัย แต่เมื่อข้ามองตานาง ความสงสัยก็จะถูกขจัดไปจนหมดสิ้น ท่านพี่รอง ข้าไม่มีเจตนาที่จะทำแบบนี้กับเขา ข้าถูกวิชาลวงตา เรื่องทั้งหมด ไม่ใช่ความผิดข้า
อ๋องซุนพยักหน้า “เจ้าไม่ผิด ท่านพี่สะใภ้รองของเจ้าบอกกับข้า ภริยาของเจ้าก็เคยถูกวิชาลวงตา แต่ว่า นางทำลายมันได้ ทำไมถึงทำลายมันได้? เจ้าสามารถไปถามสาวใช้ข้างกายยัยหมั่นโถวของภริยาน้องห้าได้ จริงๆแล้วน้องห้าก็เคยถูกวิชาลวงตา น้องห้าก็สามารถทำลายมันได้ ภริยาเจ้าก็สามารถทำลายมันได้ มีเพียงแต่เจ้าที่ทำลายมันไม่ได้ เจ้าว่ามันเป็นความผิดของใคร?”
“ไม่ คนอื่นไม่เคยถูกวิชาลวงตา มีเพียงข้าเท่านั้น” อ๋องเว่ยกล่าวอย่างเย็นชา “บัดนี้ข้าก็ทำลายมันได้แล้ว เมื่อกี้ตอนที่ข้าอยู่ข้างนอก ข้าเห็นหน้าของนาง ข้ารังเกียจมาก ขยะแขยงอย่างมาก ใบหน้าแบบนี้ ข้ากลับหลงใหลไปตั้งนาน มันเป็นเพราะวิชาลวงตา”
“เป็นเพราะความไม่ไว้เนื้อเชื่อใจของเจ้า” อ๋องซุนนั่งอยู่ตรงหน้าของเขา “กู้จือพูดไม่ผิด เจ้าไม่เชื่อภริยาของเจ้า เจ้าไม่เคยคิดว่าที่นางมากับเจ้าเพราะว่านางรักเจ้า เชื่อใจเจ้า เจ้าเพียงรู้สึกว่าเจ้าแย่งนางมาได้ นางสามารถทรยศเจ้าได้ทุกเมื่อ ไปจากเจ้า วิชาลวงตาเป็นเพียงข้ออ้างของเจ้า”
ริมฝีปากของอ๋องเว่ยสั่นไปหลายที น้ำตาไหลลงมา เขาเช็ดมันอย่างดื้อรั้น “ไม่ใช่ แม้ข้าจะถูกวิชาลวงตา แต่นางทรยศข้าก่อน เด็กคนนั้นไม่ใช่ของข้า เป็นของท่านชายชิงหยาง วันนี้เขาก็ปรากฏตัวแล้ว เขาเฝ้าอยู่ข้างกายนางตลอด เขาก็เหมือนเสือดาวตัวหนึ่ง ที่คอยสอดเนมรอให้ข้ากับนางเกิดความร้าวฉาน คนผู้นี้ คือผีร้ายตัวหนึ่ง”
ปากของเขาสั่นด้วยความเกลียดชัง
อ๋องซุนตบที่ไหล่ของเขา “เจ้าคิดแบบนี้? เอาเถอะ หากเจ้าคิดแบบนี้แล้วรู้สึกสบายใจ ก็ตามใจเจ้า”
อ๋องซุนเอามือไขว้หลังแล้วเดินจากไป
อ๋องเว่ยกัดฟัน แววตาเต็มไปด้วยความโกรธและความเกลียดชัง
แต่ว่าก็ไม่สามารถห้ามน้ำตาเอาไว้ได้
เขาไม่เชื่อ ไม่เคยเชื่อเลยว่านางอยู่กับเขาเพราะรักเขา หลายปีมานี้ เขาทุ่มเทใส่ใจนางทุกอย่าง ในใจนางยังคงคะนึงหาท่านชายชิงหยางมาโดยตลอด
ที่นางมีวันนี้ เพราะนางทำตัวเอง

บัลลังก์หมอยากเซียน

บัลลังก์หมอยากเซียน

ด็อกเตอร์แพทย์หญิงอัจฉริยะข้ามภพกลายเป็นพระชายาของอ๋องฉู่ เพิ่งมาถึงก็เจอผู้ที่บาดเจ็บสาหัส นางยึดถือจรรยาแพทย์ไปทำการช่วยเหลือ กลับเกือบถูกคนให้ร้ายไท่ซ่างหวง(เสด็จพ่อของฮ่องเต้)ป่วยวิกฤต นางไม่มีวิธีรักษา ถูกอ๋องอำมหิตผู้น่าเกลียดเข้าใจผิดตำหนิเอา หรือว่าเป็นคนดีมันยากนัก? ชายผู้นี้เอาแต่ใส่ร้ายป้ายสีนางไม่ว่า ที่อดไม่ได้คือเขายังกล้าแต่งชายารองทำให้นางสะอิดสะเอียนอีกอ๋องอำมหิตพูดอย่างเย็นชาว่า: "เจ้ามีดีอะไรให้ข้าแค้นเจ้า ข้าเพียงแค่เกลียดเจ้า? แค่เห็นเจ้าแวบแรกก็รู้สึกขยะแขยง"หยวนชิงหลิงใบหน้ายิ้มรับพร้อมกล่าวว่า: "ไฉนข้าไม่รังเกียจท่านอ๋องเพคะ? เพียงแค่ทุกคนล้วนเป็นสุภาพชน ไม่อยากไม่ไว้หน้าก็เท่านั้น"อ๋องอำมหิตพูดเย้ยหยันว่า: "เจ้าอย่านึกว่าตั้งท้องลูกของข้าแล้วข้าจะนับว่าเจ้าเป็นพระชายา ดื่มยาถ้วยนี้ ข้ากับเจ้าขาดกัน อย่ามาขัดขวางการแต่งงานของข้ากับคุณหนูสองตระกูลฉู่" หยวนชิงหลิงยิ่มแฉ่งพร้อมกล่าวต่อว่า: "ท่านอ๋อง นี่ชอบพูดเล่นเสียจริงเพคะ ท่านอยากแต่งก็แต่งเลยเพคะ ข้ามีลูกให้ดูแล ค่อยแต่งงานใหม่ ไม่มีใครเป็นก้างขวางคอใคร ถึงเวลานั้นมีการจัดเหล้าครบเดือน ขอเชิญท่านอ๋องมาร่วมงานด้วยเพคะ"

Comment

Options

not work with dark mode
Reset