บัลลังก์หมอยาเซียน – ตอนที่ 561 คำแถลงการณ์เสียนเฟยล้มป่วยกระทันหัน

เจ้าหญิงใหญ่ชิ่งมีพระชนม์มายุมากแล้ว ในใจรู้สึกสับสนว้าวุ่น ยังนึกว่าถูกหยู่เหวินเห้าขุดออกมาจริง ๆ จึงอดทอดถอนพระทัยไม่ได้ ตรัสขึ้นว่า “ช่างเถอะๆ เด็กหนุ่มอายุยังน้อยไม่รู้ความ ตอนนี้ส่งคืนกลับมาได้แล้ว ก็ถือว่าแล้วกันไปเถอะ”
ฮ่องเต้หมิงหยวนเสด็จออกไป ยกพระหัตถ์ขึ้นเป็นสัญญาณ ตรัสกับสองสามีภรรยาว่า “ยังไม่รีบไสหัวไปอีกรึ?”
หยู่เหวินเห้ามองไปที่ญาติจอมตีสองหน้า ในใจรู้สึกผิดหวังอย่างยิ่ง จากนั้นก็พาภรรยากับลูก ๆ ออกไปทันที
ในขณะที่อยู่บนรถม้า หยวนชิงหลิงก็ถามขึ้นว่า “ก่อนหน้านี้ข้าไม่เคยได้ยินเรื่องเกี่ยวกับเจ้าหญิงใหญ่ชิ่งคนนี้มาก่อนเลย คิดไม่ถึงว่าในราชวงศ์จะมีมีผู้ที่อายุยืนยาวเช่นนี้อยู่ด้วย เหล้ารุ่ยเอ๋อหงยังไม่ได้ถูกขุดขึ้นมา หรือว่ายังไม่ได้แต่งงาน ?”
แม่นมสี่ยิ้มแล้วพูดว่า “ยังไม่ได้แต่งงานเพคะ เมื่อนานมาแล้วรับลูกสาวบุญธรรมมาคนหนึ่ง ซึ่งก็คือคุณหนูสามจากตระกูลซูคนนั้นอย่างไรล่ะเพคะ”
“เซียนโล่?” หยวนชิงหลิงนึกถึงคนคนนี้ขึ้นมาได้ทันที
หยวนชิงหลิง เคยได้ยินชื่อของเซียนโล่ผู้นี้มาหลายครั้งแล้ว จึงรู้สึกสนใจอยากรู้จักมาก ๆ นางพูดขึ้นว่า “เซียนโล่ผู้นี้เป็นอาจารย์ของเซียวเหยากง ทั้งยังเป็นคนในดวงใจของไท่ซ่างหวงด้วย ยิ่งเป็นลูกบุญธรรมของเจ้าหญิงใหญ่ชิ่ง ได้ยินมาว่ามีความสามารถชนิดหาตัวจับยาก หากมีโอกาสได้พบหน้าซักครั้งจะดีซักแค่ไหนนะ”
แม่นมสี่ยิ้มแล้วพูดว่า “นั่นคงยากแล้วล่ะเพคะ!”
หยวนชิงหลิงหันไปมองหยู่เหวินเห้า “เจ้ารู้หรือไม่ว่าเซียนโล่ผู้นี้ไปอยู่เสียที่ไหนแล้ว?”
หยู่เหวินเห้า ยังคงจมอยู่กับความทรงจำอันโศกเศร้าที่ว่าถูกพ่อตัวเองทรยศ พอได้ยินคำถามของหยวนชิงหลิงก็ส่ายหน้า ตอบไปว่า “ข้าไม่รู้”
“เจ้าไม่เป็นไรแน่นะ?” หยวนชิงหลิงเห็นดวงตาอันโศกเศร้าของเขา จึงถามด้วยความเป็นห่วง
หยู่เหวินเห้าพูดว่า “ไม่เป็นไรหรอก แค่นึกถึงคำพูดของท่านแม่ขึ้นมาน่ะ”
เขาดึงมือหยวนชิงหลิงขึ้นมา จ้องไปที่ดวงตาของนางแล้วพูดว่า ” เจ้าอย่าเก็บไปใส่ใจเลยนะ วันหลัง เจ้าก็พยายามอย่าเข้าวังไปพบนางให้มากที่สุดก็พอแล้ว”
หยวนชิงหลิงหัวเราะ “ข้าไม่คิดเล็กคิดน้อยกับนางหรอก ข้ารู้ว่าในใจนางคิดอะไรอยู่ ลูกชายที่ตัวเองเฝ้าถนอมเลี้ยงดูมาตั้งยี่สิบปี จู่ ๆ ต้องมาประเคนให้ข้าง่าย ๆ ในใจนางก็คงจะไม่มีความสุขนักหรอก แค่พูดแดกดันข้าไม่กี่ประโยคก็ฟังผ่าน ๆ หูไปก็พอ”
หยวนชิงหลิงไม่ชอบเสียนเฟยเลยจริง ๆ แต่ถึงอย่างไรนางก็เป็นคนที่คลอดเจ้าห้า ความรักระหว่างแม่ลูกจะตัดกันให้ขาดได้อย่างไร ไม่สู้ให้นางเป็นฝ่ายใจกว้างเอง มองเป็นแค่เรื่องถูกหมาเห่าใส่ไปเสียก็จบแล้ว
ด้านหนึ่ง หยู่เหวินเห้าก็รู้สึกขอบคุณในความเอื้ออาทรของหยวนชิงหลิง แต่อีกด้านหนึ่ง เขาก็รู้สึกรำคาญเสียนเฟยเช่นกัน “เมื่อก่อนท่านแม่ไม่ได้เป็นแบบนี้หรอกนะ ไม่รู้ว่าทำไมช่วงปีสองปีมานี้ นางถึงได้มีนิสัยเปลี่ยนไปราวกับเป็นคนละคน ตอนนี้ข้าแทบไม่อยากเข้าวังไปน้อมทักทายนางแล้ว ทันทีที่พบนาง เป็นต้องมีคำพร่ำบ่นมากมายรอข้าอยู่”
หยวนชิงหลิงพูดว่า “นางเป็นแม่ของเจ้า เจ้าทำได้แค่ต้องทนต่อไปเท่านั้นแหล่ะ”
หยู่เหวินเห้าหันไปมองนาง “ทำไมเจ้าถึงได้เข้าอกเข้าใจคนอื่นขนาดนี้นะ? ถ้าเป็นผู้หญิงคนอื่น น่ากลัวว่าจะยุยงให้ข้าเกลียดแม่ตัวเองไปนานแล้ว ตอนที่เจ้าคลอดลูก นางทำกับเจ้าแบบนั้น เจ้าไม่เกลียดนางเลยรึ ? พูดตามตรงนะ พอข้านึกถึงเรื่องเมื่อตอนนั้นขึ้นมา ในใจข้าก็เกลียดนางแทบตายแล้ว”
“เกลียดสิ ทำไมจะไม่เกลียดล่ะ?” เจ้าซาลาเปางอแงขึ้นมา หยวนชิงหลิงเอื้อมมือออกไปอุ้มเขามา แล้วตบที่ก้นด้วยท่าที่ฝึกมาจนคุ้นเคย เจ้าซาลาเปาก็เงียบลงทันที หยวนชิงหลิงจึงพูดต่อไปว่า “สายสัมพันธ์บางอย่าง มันตัดกันให้ขาดไม่ได้ ต่อให้เกลียดก็ต้องฝืนทนต่อไป วัดจากอายุก็แล้วกัน ดูจากอายุของนาง อย่างไรนางก็ต้องตายก่อนข้าแน่ ๆ รอให้นางตายไปแล้ว ข้าค่อยสาปแช่งนางสักวันละหมื่นครั้ง”
หยู่เหวินเห้าถึงกับหัวเราะออกมา “คนก็ตายไปแล้ว สาปแช่งไปจะมีประโยชน์อะไรล่ะ?”
หยวนชิงหลิงก็หัวเราะเช่นกัน มองเขาแล้วพูดว่า “ใช่สิ สาปแช่งไปก็ไม่มีประโยชน์ ตอนนี้ต่อให้เกลียดกันไป ก็ไม่มีประโยชน์เหมือนกัน นอกจากไปมาหาสู่กันให้น้อยลง หรือจะลงมือจัดการนางด้วยตัวเอง มันก็ไม่ได้ใช่หรือไม่ล่ะ?”
ก็แค่หวังว่านางจะรนหาที่ตายเอง ปล่อยให้คนอื่นจัดการนางไปซะ หยวนชิงหลิงแอบพูดอย่างนั้นอยู่ในใจ
นางไม่ได้มีความรู้สึกที่ดีอะไรกับเสียนเฟย มีเพียงความเกลียดชังเท่านั้น
แต่เจ้าห้านั้นไม่เหมือนกัน นั่นคือแม่แท้ ๆ ของเขา เป่ยถังไม่ใช่ราชวงศ์ชิง เด็กที่เกิดในราชวงศ์ก็สามารถเติบโตโดยมีมารดาเคียงข้างได้ ความรักระหว่างแม่ลูกกว่ายี่สิบปี จะโยนทิ้งไปง่าย ๆ ได้อย่างไรกัน? ต่อให้ในใจเจ้าห้าจะมีความขุ่นเคืองต่อเสียนเฟยอยู่บ้าง แต่ก็ต้องมีความรักอยู่ด้วยเป็นแน่
แม่นมสี่ฟังพวกเขาคุยกัน ก็พูดแทรกขึ้นมาประโยคหนึ่งว่า “ตอนนี้เสียนเฟยถูกสั่งกักบริเวณ ตามกฎแล้ว ใครก็ไม่จำเป็นต้องไปน้อมทักทายหรอกเพคะ ดังนั้น หากพระชายารัชทายาทไม่อยากไปกระทบกระทั่งกับเสียนเฟยอีก นอกเสียจากว่าถึงวันเกิด หรือไม่ก็ต้องไปคำนับช่วงส่งท้ายปี ตอนนั้นต้องมีคนเยอะแน่นอน ก่อเรื่องกระทบกระทั่งอะไรไม่ได้ทั้งนั้น เสียนเฟยก็คงไม่กล้าพูดจาไม่น่าฟังออกมาหรอกเพคะ”
หยวนชิงหลิงรู้ว่า แม่นมสี่ไม่อาจทนเห็นนางต้องเผชิญกับความโกรธเกรี้ยวของเสียนเฟยได้ จึงยิ้มแล้วพยักหน้ารับ “ข้ารู้แล้ว”
แม่นมสี่ก็แอบพูดในใจเช่นกันว่า ด้วยพฤติกรรมตอนนี้ของเสียนเฟย เกรงว่าฝ่าบาทจะไม่อาจทนนางได้มากเท่าไหร่แล้ว
แต่ถึงจะทนไม่ได้ อย่างไรก็ต้องทนต่อไปอยู่ดี เพราะสุดท้ายถึงอย่างไรนางก็เป็นแม่แท้ ๆ ของรัชทายาท ถ้าตนเองเกิดเหตุไม่คาดฝันก็ยังแล้วไป หากมีความผิดจนถูกลงโทษจริง ๆ จนไปกระทบต่อรัชทายาทต้องไม่ดีแน่ ซึ่งจุดนี้ ตัวเสียนเฟยเองทำไมจะไม่รู้
ตำแหน่งของนางในวังนั้นมั่นคงมาโดยตลอด อย่างไรฝ่าบาทก็จะต้องเสด็จไปประทับที่ตำหนักเดือนละสองถึงสามครั้ง แต่หลังจากเกิดเรื่องที่หยู่เหวินเห้าถูกใส่ร้ายที่จวนเจ้าหญิง ต่อด้วยแต่งงานกับหยวนชิงหลิง ไปจนถึงนางคลอดลูก ทุกอย่างก็ไม่อยู่ในการควบคุมอีกต่อไป
นางคิดไปคิดมา ก็ไม่รู้สึกว่าสิ่งที่นางทำมันผิดตรงไหน สิ่งที่นางพูดกับฝ่าบาทล้วนมาจากก้นบึ้งของหัวใจทุกคำ แต่ฝ่าบาทกลับขู่ว่าจะเด็ดหัวนาง หรือนางไม่ได้คิดเพื่อแผ่นดินของราชวงศ์เป่ยถัง? องค์ชายรัชทายาทถือเป็นรากฐานของประเทศ แต่คิดไปคิดมา เขากลับเป็นคนที่กลัวเมียคนหนึ่งไปได้อย่างไรกัน? หากในอนาคตหยวนชิงหลิงพูดเป่าหูสักสองสามคำ แล้วเขาเกิดทำเรื่องที่ไม่สนว่ามันจะถูกหรือผิด นั่นจะไม่เป็นการทำลายตัวเอง รวมถึงทำลายเป่ยถังไปด้วยหรอกหรือ?
นางทุ่มเททั้งหัวใจ ทำทุกอย่างมาอย่างยากลำบาก ทำไมถึงไม่มีใครเข้าใจนางเลย ?
แม้แต่ไทเฮาที่เป็นท่านป้าแท้ ๆ ของนาง ก็ยังตำหนิว่านางใจคอโหดร้ายเกินไป
แต่วันนี้ต่อให้นางใจคอโหดร้ายแค่ไหน ก็ยังดีกว่าปล่อยให้เกิดหายนะในอนาคต
ยิ่งเสียนเฟยคิดแบบนี้ ก็ยิ่งเกิดความรู้สึกเศร้าโศกและขุ่นเคืองมากขึ้นเรื่อย ๆ จนลืมนึกไปโดยสิ้นเชิงว่า ตอนที่นางคิดจะฆ่าหยวนชิงหลิงนั้น หยู่เหวินเห้ายังไม่ได้ขึ้นเป็นรัชทายาท จะก่อเรื่องที่ทำลายแผ่นดินและประเทศชาติได้อย่างไรกัน?
แต่นางก็ยังคงดันทุรังอยู่เช่นนี้ ยังคงคิดว่าตัวเองทำสิ่งที่ชอบธรรมและน่ายกย่อง คิดไปคิดมา ก็ยิ่งรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจมากขึ้นเรื่อย ๆ จนร้องไห้อย่างขมขื่นในตำหนักโดยไม่คำนึงถึงสถานะของตัวเอง ทั้งพยายามจะฆ่าตัวตาย ทั้งก่นด่าสาปแช่งฟ้าดินไม่หยุด
เรื่องนี้รู้ไปถึงหูของฮองเฮาฉู่ในวันรุ่งขึ้น ฮองเฮาฉู่ตอนนี้ฉลาดขึ้นแล้ว จึงไม่ไปยั่วยุนาง แต่สั่งให้คนไปทูลรายงานที่วังของไทเฮาแทน เมื่อไทเฮาทรงทราบเรื่องที่นางพยายามคิดจะฆ่าตัวตาย ก็ทรงกริ้วมากจนแทบจะกระอักเลือดออกมาอยู่แล้ว จึงมีพระราชเสาวนีย์ลงไปที่จวนอ๋องฉู่ว่า นับจากนี้ไปไม่ต้องให้พระชายารัชทายาทไปน้อมทักทายเสียนเฟยอีก ทั้งยังรับสั่งให้กองอาลักษณ์ ถอนป้ายชื่อหัวเขียวของนางออก แล้วจึงประกาศแถลงการณ์ออกไปว่านางล้มป่วยกระทันหัน(**ป้ายชื่อหัวเขียว คือป้ายชื่อที่ฮ่องเต้เพื่อเลือกสนมมาทำอะไรกันหรือนั่งเป็นเพื่อนกัน ถ้าถอนป้ายชื่อแล้ว แสดงว่าฮ่องเต้ไม่อยากเจอนางอีก)
ตอนที่พระราชเสาวนีย์มาถึงจวน อ๋องฉู่สามีภรรยากับอ๋องฉีสามีภรรยาก็ได้ออกไปแล้ว
สำหรับคนในวัง ตอนที่ได้ยินว่าเสียนเฟยป่วยกะทันหัน ก็รู้สึกเหนือคาดมาก แต่เป็นเพราะนางยังอยู่ในช่วงถูกกักบริเวณ จึงไม่สามารถไปเยี่ยมได้
แต่สำหรับคนที่รู้เรื่องราวภายใน ยกตัวอย่างเช่น ฮองเฮาฉู่ เต๋อเฟย กุ้ยเฟย เป็นต้น ในใจของทุกคนต่างก็เข้าใจกระจ่างแจ้งเลยทีเดียว
ไทเฮากำลังทรงเตรียมตัวสำหรับก้าวต่อไปแล้ว หากเสียนเฟยยังคงรนหาที่ตายอีก ครั้งนี้ไทเฮาจะเป็นคนจัดการนางเอง จากนั้นค่อยสร้างข่าวลวงเรื่องอาการเจ็บป่วยรุนแรงขึ้นมาภายหลัง
คนที่มีความสุขที่สุด ย่อมไม่พ้นฮองเฮาฉู่กับกุ้ยเฟย
แน่นอนว่าทางฮองเฮาฉู่ไม่จำเป็นต้องพูดอะไรแล้ว นางเป็นฮองเฮา แม้ว่าในอนาคตหยู่เหวินเห้าได้ขึ้นครองบัลลังก์ นางก็ยังได้เป็นไทเฮาอยู่ดี แต่ถึงอย่างไรสุดท้ายนางก็ไม่ใช่แม่ผู้ให้กำเนิด เจ้าตัวยังมีแม่แท้ ๆ อยู่ที่นั่นทั้งคน ดังนั้นจึงมีตำแหน่งไทเฮาถึงสองคน ถ้าเสียนเฟยตายไปจริง ๆ เช่นนั้นตอนที่หยู่เหวินเห้าขึ้นครองบัลลังก์ นางก็จะได้เป็นไทเฮาเพียงคนเดียวแล้ว
ด้วยเหตุนี้ ฮองเฮาฉู่จึงรีบไปสวดมนต์ไหว้พระ โดยหวังว่าเสียนเฟยจะทำเรื่องโง่ ๆ เช่นการรนหาที่ตายต่อไป เพื่อที่ไทเฮาจะได้ตัดสินใจเก็บตัวก่อปัญหานี้ไปให้พ้น ๆ เสียที
กุ้ยเฟยก็รู้สึกมีความสุขมากเช่นกัน เพราะเสียนเฟยเป็นแม่ผู้ให้กำเนิดของรัชทายาท ตอนนี้ฝ่าบาทยังไม่ทรงมีรับสั่งให้เลื่อนชั้นยศนางขึ้นเป็นหวงกุ้ยเฟย แต่หากยึดตามกฎ ไม่ช้าก็เร็วย่อมต้องมีการเลื่อนชั้นยศอยู่วันยังค่ำ และทันทีที่เป็นเช่นนั้น นางที่มียศเป็นกุ้ยเฟย ก็จะต้องทนก้มหน้าอยู่ภายใต้ยศใหม่ของเสียนเฟยไปโดยปริยาย
นอกจากนี้ กุ้ยเฟยก็กำลังวางแผนการเพื่อปูทางให้อ๋องอานอยู่ หากรัชทายาทสูญเสียแม่แท้ ๆ ไป ก็นับเป็นเรื่องง่ายที่จะหาทางกำจัดได้ในภายหลัง

บัลลังก์หมอยากเซียน

บัลลังก์หมอยากเซียน

ด็อกเตอร์แพทย์หญิงอัจฉริยะข้ามภพกลายเป็นพระชายาของอ๋องฉู่ เพิ่งมาถึงก็เจอผู้ที่บาดเจ็บสาหัส นางยึดถือจรรยาแพทย์ไปทำการช่วยเหลือ กลับเกือบถูกคนให้ร้ายไท่ซ่างหวง(เสด็จพ่อของฮ่องเต้)ป่วยวิกฤต นางไม่มีวิธีรักษา ถูกอ๋องอำมหิตผู้น่าเกลียดเข้าใจผิดตำหนิเอา หรือว่าเป็นคนดีมันยากนัก? ชายผู้นี้เอาแต่ใส่ร้ายป้ายสีนางไม่ว่า ที่อดไม่ได้คือเขายังกล้าแต่งชายารองทำให้นางสะอิดสะเอียนอีกอ๋องอำมหิตพูดอย่างเย็นชาว่า: "เจ้ามีดีอะไรให้ข้าแค้นเจ้า ข้าเพียงแค่เกลียดเจ้า? แค่เห็นเจ้าแวบแรกก็รู้สึกขยะแขยง"หยวนชิงหลิงใบหน้ายิ้มรับพร้อมกล่าวว่า: "ไฉนข้าไม่รังเกียจท่านอ๋องเพคะ? เพียงแค่ทุกคนล้วนเป็นสุภาพชน ไม่อยากไม่ไว้หน้าก็เท่านั้น"อ๋องอำมหิตพูดเย้ยหยันว่า: "เจ้าอย่านึกว่าตั้งท้องลูกของข้าแล้วข้าจะนับว่าเจ้าเป็นพระชายา ดื่มยาถ้วยนี้ ข้ากับเจ้าขาดกัน อย่ามาขัดขวางการแต่งงานของข้ากับคุณหนูสองตระกูลฉู่" หยวนชิงหลิงยิ่มแฉ่งพร้อมกล่าวต่อว่า: "ท่านอ๋อง นี่ชอบพูดเล่นเสียจริงเพคะ ท่านอยากแต่งก็แต่งเลยเพคะ ข้ามีลูกให้ดูแล ค่อยแต่งงานใหม่ ไม่มีใครเป็นก้างขวางคอใคร ถึงเวลานั้นมีการจัดเหล้าครบเดือน ขอเชิญท่านอ๋องมาร่วมงานด้วยเพคะ"

Comment

Options

not work with dark mode
Reset