บัลลังก์หมอยาเซียน – ตอนที่ 632 พาเจ้ากลับไป

หยวนชิงหลิงรู้สึกตัวสั่นไปทั้งร่าง ความรู้สึกเสมือนไม่ใช่ความจริงในสมองยิ่งเด่นชัดขึ้น สองมือกำที่เท้าแขนของเก้าอี้เอาไว้แน่น น้ำตากำลังเอ่อขึ้นมาที่ขอบตา ไม่กล้าหันหน้าไป เกรงว่าถ้าหันหน้ากลับไปแล้วความหวังอาจสูญสลายไป
หนึ่งปีมานี้ เคยฝันเห็นเหตุการณ์เช่นนี้มานับไม่ถ้วน ฝันว่าย่ากับแม่ต่างก็เรียกนาง แต่พอนางตอบรับเพียงเสียงเดียว พวกเขาก็สลายหายไปแล้ว
นางรู้ดีว่าสามารถพบหน้ากันได้ก็เป็นจินตนาการที่ไร้สาระ หวังว่า คงจะเป็นการฝันเช่นนั้นอีก สามารถได้เจอกันสักครั้งก็ดี
เสียงของม่านมุกเงียบสงบลงไปแล้ว เท้าค่อยๆเคลื่อนไหว จึงเห็นแขนเสื้อสีเขียวข้างหนึ่งถูกยกขึ้นชั่วครู่ตรงบริเวณที่สายตาหลุบต่ำอยู่ เงาทับทางลงมา บดบังการมองเห็นของนาง
มืออันแก่ชราข้างหนึ่งยื่นเข้ามาด้วยความสั่นเทา ค่อยๆลูบไปที่เส้นผมของนาง พร้อมกับเสียงถอนหายใจเบาๆ “ย่าคิดว่าชาตินี้คงจะไม่ได้เจอหลานอีกแล้ว ”
หยวนชิงหลิงค่อยๆเงยหน้าขึ้น มองผ่านน้ำตาที่รื้นเต็มดวงตาออกไป ใบหน้าที่แสนจะคุ้นเคยนั้นสะท้อนอยู่ในม่านตา ไม่ชัดเจน พร่ามัว แต่นั่นเป็นภาพร่างที่ประทับอยู่ในใจ เพียงแค่แวบเดียวก็สามารถดูออกได้
ในที่สุดน้ำตาของนางก็ไหลพรากลงมา ยืนขึ้นมาแต่ขากลับอ่อนแรง คุกเข่าลงไปกับพื้นทันที กอดขาทั้งสองข้างของคุณย่าเอาไว้ ร้องไห้อย่างเจ็บปวดไร้เสียง
“คุณย่า ”
ความคิดถึงบ้านอย่างทุกข์ ใจและถูกเก็บกดเอาไว้ตลอดหนึ่งปีปะทุขึ้นมาในพริบตา นางร้องไห้ไปชั่วครู่ก็ยังไร้เสียง ราวกับว่าในลำคอมีอะไรบางอย่างอุดตันไว้เต็มไปหมด อุดตันจนทำให้รู้สึกทั้งเจ็บทั้งปวดในใจ
คุณย่าหยวนก็ร้องไห้แทบขาดใจ ค่อยๆนั่งลงกอดหยวนชิงหลิงเอาไว้ ค่อยๆตบไปที่หลังของนาง “เอาล่ะ ไม่ร้องแล้ว ไม่ร้องแล้ว”
หยวนชิงหลิงไหนเลยจะหยุดร้องได้ ความยากลำบากที่ประสบพบเจอมาตลอดระยะเวลาหนึ่งปี ไม่เคยจะเสียน้ำตาแม้แต่หยดเดียวอย่างง่ายดาย ทั้งหมดราวกับจะถูกระบายออกมาในเวลานี้เอง
และเป็นฮูหยินเฒ่าคนนั้นที่พูดขึ้นมา “ร่างกายของท่านย่าเจ้าไม่ค่อยจะดีนัก จะนั่งเป็นเพื่อนเจ้าอย่างนี้ไม่ได้ รีบลุกขึ้นเถอะ”
หยวนชิงหลิงจึงหยุดร้องไห้ เพียงแค่เงยหน้าขึ้นมองใบหน้าของคุณย่า น้ำตาก็ยังคงไหลออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ นางประคองคุณย่าขึ้นมา ให้คุณย่านั่งลง ตนเองกลับคุกเข่าลงไปอีกครั้ง โขกหัวคำนับอย่างจริงจังเก้าครั้ง โขกหัวจนคุณย่าหยวนรู้สึกปวดใจแทบทนไม่ไหว ยื่นมือออกไปประคองนาง
เอ่ยเสียงสะอื้นว่า “พอแล้ว หลานจะทำให้ย่าร้องไห้ตายหรือ ย่าแก่มากแล้วทนแรงกระตุ้นไม่ไหว”
หยวนชิงหลิงดึงมือของคุณย่าเอาไว้ อีกมือก็เช็ดน้ำตา ร้องไห้พลางถามขึ้นว่า “ย่ามาได้ยังไง ย่ามาได้ยังไง หลานคงไม่ได้ฝันไปอีกหรอกนะ คุณย่า เป็นคุณย่าจริงหรือเปล่า”
คุณย่าหยวนเช็ดน้ำตาให้นางอย่างอ่อนโยน คำพูดของหยวนชิงหลิง ทำให้หัวใจของนางทรมานมาก โดยเฉพาะตอนที่นางพูดว่าคงไม่ใช่ความฝันอีกหรอกนะ คำว่าอีกครั้ง ช่างเหมือนกับดาบแหลมคมที่แทงเข้าไปในใจของนาง ทำให้นางเจ็บปวดใจจนพูดอะไรไม่ออกไปชั่วครู่หนึ่ง ได้แต่เช็ดน้ำตาให้นางเท่านั้น
ฮูหยินเฒ่าลุกขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม “เอาล่ะ พวกเจ้าสองย่าหลานก็อยู่ด้วยกันดีๆสักครู่ ประเดี๋ยวพวกเราค่อยคุยกันอีก”
แม้ว่าหยวนชิงหลิงจะไม่รู้สถานะของฮูหยินเฒ่า แต่สัญชาตญาณบอกนางว่าคุณย่ามาได้ ต้องเป็นการช่วยเหลือจากฮูหยินเฒ่าคนนี้แน่ จึงรีบลุกขึ้นมาคำนับฮูหยินเฒ่า เอ่ยด้วยเสียงที่ปนสะอื้น “หยวนชิงหลิงขอบคุณในความเมตตาอันใหญ่หลวงของท่าน”
ฮูหยินเฒ่ายิ้มให้นาง “ไม่ต้องขอบคุณแล้ว พูดคุยกับท่านย่าเจ้าดีกว่า”
พูดจบ นางก็เดินออกไปพร้อมกับแม่นมแก่
ในห้องไม่มีคนนอกแล้ว หยวนชิงหลิงจับมือของคุณย่าเอาไว้ มองอย่างเหม่อลอย มองอยู่ชั่วครู่ก็น้ำตาไหล หลังจากน้ำตาไหลแล้วก็ยิ้ม คนทั้งคนเหมือนล่องลอยอยู่บนปุยเมฆ ไม่เหมือนความจริงเลยสักนิด
หลังจากคุณย่าหยวนเช็ดน้ำตาจนแห้งแล้ว ก็ให้นางนั่งลง ถามอย่างจริงจังเคร่งขรึมว่า “เขาดีกับหลานหรือเปล่า”
หยวนชิงหลิงรีบพยักหน้าอย่างร้อนรน “ดี เขาดีกับหลานมาก ”
“เคยรังแกหลานเพราะหลานไม่มีคนบ้านแม่ไม่มีญาติหรือเปล่า ”ตอนที่คุณย่าหยวนถามคำถามนี้ ขอบตาก็แดงก่ำขึ้นมาอีกครั้ง เสียงสะอื้นแรงมาก
หยวนชิงหลิงได้ยินคำพูดนี้ ก็ร้องไห้ขึ้นมาอีก
“รังแกหรือ”ในน้ำเสียงของคุณย่าหยวนมีแววโมโหแฝงขึ้นมาทันที
“ไม่ ไม่ ”หยวนชิงหลิงเช็ดน้ำตา รู้สึกว่าตาของตัวเองบวมจนเกือบจะลืมไม่ขึ้นแล้ว “เขาไม่เคยรังแกหลานด้วยเรื่องพวกนี้ หลังจากพวกเราสองคนคืนดีกัน เขาก็ดีกับหลานมากร้อยทั้งร้อยเลย คุณย่าวางใจได้”
คุณยายหยวนค่อยวางใจลงได้ เพียงแต่มือที่จับข้อมือของนางเอาไว้เกิดอาการสั่นขึ้นมาอย่างกะทันหัน ก้มหน้ามองที่ข้อมือของนาง ตรงข้อมือนั้นยังรอยบาดแผลประทับอยู่ บาดแผลได้กลายเป็นแผลเป็นนานแล้ว เพียงแต่เจ้าของร่างเดิมบาดได้ลึกมาก หลังจากบาดแผลหายแล้วก็ยังคงทิ้งร่องรอยแผลเป็นที่ชัดเจนเอาไว้ ก่อนหน้านี้หยวนชิงหลิงได้สวมกำไลข้อมืออันหนึ่งปิดบังเอาไว้ หลังจากที่ขึ้นเขาไปรักษาโรคก็รู้สึกไม่สะดวกนักจึงได้ถอดกำไลออกไป วันนี้ก็ลืมใส่มาด้วย จึงได้เผยให้เห็นรอยแผลเป็นอันน่าตกใจนี้ให้เห็น
หยวนชิงหลิงได้ชิงอธิบายก่อนที่น้ำตาของคุณย่าจะไหลลงมาอีกครั้ง “หลานไม่ได้เป็นคนกรีดแผลนี้ ตอนที่หลานมาบนข้อมือก็มีบาดแผลนี้แล้ว”
ไหนเลยคุณย่าหยวนจะเชื่อ แค่คิดก็รู้แล้ว เมื่อก่อนนางเป็นผู้หญิงที่ชอบเก็บตัว นอกจากห้องทดลองแล้วก็ไม่ชอบไปที่ไหน ไม่รู้จักการเข้าสังคม ไม่รู้จักการปฏิสัมพันธ์กับคนอื่น ยิ่งไม่รู้จักการวางตัวจัดการเรื่องราว มาที่นี่ตัวคนเดียว มองไปทางไหนก็ไร้คนรู้จัก ในใจจะรู้สึกสิ้นหวังมากแค่ไหน
คิดถึงความลำบากที่หลานสาวต้องพานพบ คุณย่าก็ยิ่งน้ำตาไหลพราก ไม่ว่าหยวนชิงหลิงจะพูดขอร้องอย่างไรก็เอาไม่อยู่ จึงได้เปลี่ยนหัวข้อสนทนา พูดว่า “อยากเจอหลานเขยของคุณย่าหรือเปล่า อีกเดี๋ยวเขาก็มา ตาของคุณย่าร้องไห้จนบวมหมดแล้ว เดี๋ยวจะมองเห็นไม่ชัดนะ”
คุณย่าจึงหยุดร้องไห้ พูดว่า “อีกเดี๋ยวจะมาหรือ หลานบอกย่าสิ เขาดีกับหลานจริงหรือเปล่า ถ้าหากดูแลได้ไม่ดี ย่าจะไม่ให้หลานอยู่บอกลาเขาเลย จะพาหลานกลับทันที ไม่พบหน้าเขาด้วย”
หยวนชิงหลิงอึ้ง “กลับไป”
คุณย่ามองนาง “หลานไม่อยากกลับไปหรือ ไม่ต้องการพ่อแม่แล้วหรือ ไม่อยากเจอพวกเขาหรือ”
หยวนชิงหลิงแม้แต่ในฝันยังคิดถึง แต่ว่า การกลับไปเท่ากับการทิ้งเจ้าห้ากับลูกๆ……
นางมองแววตาของคุณย่าที่เต็มไปด้วยคำถาม ค่อยๆหลุบตาลง “กลับไปก็ไม่ได้ง่ายเช่นนั้น พวกเรากลับไปไม่ได้ซะหน่อย”
“ในเมื่อย่ามาแล้ว ก็ต้องกลับไปได้ หมอหลินจะช่วยพวกเรา”คุณย่าพูด
“หมอหลิน?”
“ก็คือคนเมื่อครู่ไง ย่ามาพบหลานที่นี่ได้ เพราะนางเป็นคนช่วยเหลือ”คุณย่ากุมมือของนางเอาไว้ มองหน้านางอย่างค้นหา
“บอกย่า หลานไม่ยินดีจะกลับไปใช่ไหม”
หยวนชิงหลิงมองแววตาอ้อนวอนของคุณย่า ในใจรู้สึกเจ็บแปลบ “ไม่ หลานอยากจะกลับไป แม้แต่ฝันก็ยังคิด แต่ตอนนี้ที่นี่มีคนที่หลานตัดใจทิ้งไปไม่ได้ หลานไม่รู้ว่าตัวเองจะทิ้งพวกเขาไปได้หรือเปล่า”
พูดความจริงออกไปแล้วก็ยังแฝงแววสะอื้น
คุณย่าลูบผมของนาง พูดอย่างมีเมตตาว่า “เด็กโง่ ย่าก็แค่ถามดู ตอนนี้หลานมีลูกอยู่ที่นี่ จะกลับไปได้ยังไง หลานวางใจเถอะ เพื่อนของหลานโม่ยี่เคยมาหา นางได้อธิบายถึงสถานการณ์ของหลานให้ฟัง ทุกคนในบ้านต่างก็วางใจ”
เพียงแค่ไม่ได้พบนาง ก็รู้สึกเสียใจอยู่ดี ก็คงจะไม่สามารถวางใจได้ทั้งหมด
คุณย่าไม่ได้พูดคำพูดสุดท้ายออกไป ถ้าพูดออกไป นางคงจะยิ่งรู้สึกเสียใจ
หยวนชิงหลิงซบอยู่ที่ไหล่ของคุณย่า ยังคงรู้สึกเหมือนไม่ใช่ความจริงอยู่ดี ในใจเจ็บปวดเป็นอย่างยิ่ง ในความเจ็บปวดนี้ยังคงแฝงไปด้วยความยินดีเล็กน้อย ฉากที่อยู่ตรงหน้านี้ นางไม่กล้าคาดหวังมาก่อน
“อีกเดี๋ยวตอนเจอสามีหลาน ย่าต้องข่มเขาไว้หน่อย บอกว่าจะพาหลานกลับ เขาแต่งงานกับหลานย่า อย่างไรเสียก็ต้องผ่านตาย่าไปก่อน แต่ว่า เขารู้สถานะของหลานหรือเปล่า”คุณย่ากอดหลานสาวเอาไว้ ตบที่ไหล่ของนางพลางถามขึ้นมา

บัลลังก์หมอยากเซียน

บัลลังก์หมอยากเซียน

ด็อกเตอร์แพทย์หญิงอัจฉริยะข้ามภพกลายเป็นพระชายาของอ๋องฉู่ เพิ่งมาถึงก็เจอผู้ที่บาดเจ็บสาหัส นางยึดถือจรรยาแพทย์ไปทำการช่วยเหลือ กลับเกือบถูกคนให้ร้ายไท่ซ่างหวง(เสด็จพ่อของฮ่องเต้)ป่วยวิกฤต นางไม่มีวิธีรักษา ถูกอ๋องอำมหิตผู้น่าเกลียดเข้าใจผิดตำหนิเอา หรือว่าเป็นคนดีมันยากนัก? ชายผู้นี้เอาแต่ใส่ร้ายป้ายสีนางไม่ว่า ที่อดไม่ได้คือเขายังกล้าแต่งชายารองทำให้นางสะอิดสะเอียนอีกอ๋องอำมหิตพูดอย่างเย็นชาว่า: "เจ้ามีดีอะไรให้ข้าแค้นเจ้า ข้าเพียงแค่เกลียดเจ้า? แค่เห็นเจ้าแวบแรกก็รู้สึกขยะแขยง"หยวนชิงหลิงใบหน้ายิ้มรับพร้อมกล่าวว่า: "ไฉนข้าไม่รังเกียจท่านอ๋องเพคะ? เพียงแค่ทุกคนล้วนเป็นสุภาพชน ไม่อยากไม่ไว้หน้าก็เท่านั้น"อ๋องอำมหิตพูดเย้ยหยันว่า: "เจ้าอย่านึกว่าตั้งท้องลูกของข้าแล้วข้าจะนับว่าเจ้าเป็นพระชายา ดื่มยาถ้วยนี้ ข้ากับเจ้าขาดกัน อย่ามาขัดขวางการแต่งงานของข้ากับคุณหนูสองตระกูลฉู่" หยวนชิงหลิงยิ่มแฉ่งพร้อมกล่าวต่อว่า: "ท่านอ๋อง นี่ชอบพูดเล่นเสียจริงเพคะ ท่านอยากแต่งก็แต่งเลยเพคะ ข้ามีลูกให้ดูแล ค่อยแต่งงานใหม่ ไม่มีใครเป็นก้างขวางคอใคร ถึงเวลานั้นมีการจัดเหล้าครบเดือน ขอเชิญท่านอ๋องมาร่วมงานด้วยเพคะ"

Comment

Options

not work with dark mode
Reset