บัลลังก์หมอยาเซียน – ตอนที่ 680 เขาเป็นเช่นนี้กลับยากที่จะรับมือ

ในเวลานี้ เจ้าพระยาเจิ้งเป่ยสูญเสียความเย่อหยิ่งจองหองที่เคยมีมาโดยสิ้นเชิง ดูเหมือนทำอะไรไม่ถูกและตื่นตระหนกไปหมด สวีอีกล่อมให้เขาออกไป เขาก็ไม่ยอมออกไป ยืนกรานเสียงแข็งว่าจะเฝ้ารออยู่ที่นี่
ผู้ช่วยเจ้ากรมกับหัวหน้าพลตระเวนก็เฝ้าอยู่ที่นี่เช่นกัน เมื่อเห็นหยวนชิงหลิงมาถึง พวกเขาทั้งหมดก็เปิดทางให้
เสื้อผ้าของหยู่เหวินเห้าถูกคลายออกแล้ว หมอหลวงได้พันผ้าพันแผลเพื่อห้ามเลือดให้ เลือดที่บริเวณช่องท้องหยุดไหลแล้ว แต่เลือดที่ต้นขายังคงไหลไม่หยุด แต่โชคดีที่หมอหลวงได้มัดส่วนบนของบาดแผลไว้ ในตอนนี้ เลือดที่ไหลจึงดูไม่ได้ร้ายแรงจนเกินเยียวยา
แต่ที่ผ้าปูที่นอนกับเสื้อผ้าด้านหนึ่งที่ถูกดึงทิ้งไป ล้วนถูกอาบย้อมไปด้วยเลือด
หยู่เหวินเห้ายังมีสติแจ่มชัด เพียงแต่เสียเลือดมากสีหน้าจึงซีดเซียวอย่างยิ่ง เขาเอื้อมมือออกไปจับข้อมือนาง แล้วพูดเสียงเบาว่า “ข้าไม่เป็นไร อย่าได้กังวลเลยนะ”
หยวนชิงหลิงเช็ดน้ำตา มองไปที่ดวงตาสีดำขลับของเขา “อื้ม อย่าเพิ่งพูด”
นางเลื่อนสายตาไปที่บาดแผลที่ขาของเขา ถึงกับต้องสูดลมหายใจเย็น ๆ เข้าปอดเฮือกใหญ่
ปากแผลลึกมาก ผิวหนังและเนื้อถูกเฉือนเป็นแผลเปิด หลอดเลือดแดงใหญ่อยู่ข้าง ๆ น่าจะเกิดการแตกเสียหาย จนส่งผลให้เลือดออกอย่างรุนแรง ถึงแม้ว่าตอนนี้จะรัดไว้จนอยู่แล้ว แต่ถ้าไม่รีบซ่อมแซมให้ดี ขาก็อาจมีสิทธิ์พิการได้
ยิ่งไปกว่านั้น ตำแหน่งบาดแผลของเขา ก็อยู่ใกล้กับตำแหน่งที่เขาเคยได้รับบาดเจ็บครั้งแรก ถ้าบาดลึกเข้าไปอีกสักราว ๆ หนึ่งหรือสองเซน ก็น่ากลัวว่าแม้แต่ตรงนั้นก็อาจถูกตัดขาดได้เลยทีเดียว
หยูเหวินห่าวยังคงแสร้งทำเป็นสนุกสนานทั้งที่ทุกข์ทรมานอย่างยิ่ง “ถ้าพี่สี่ลงมือโหดเหี้ยมกว่านี้อีกหน่อย เจ้าคงต้องเป็นหม้ายผัวไม่มีนกเขาแน่แล้ว”
หยวนชิงหลิงไม่มีอารมณ์จะหัวเราะ ทำได้เพียงกลั้นน้ำตาไว้ไม่ให้มันไหลลงมาเท่านั้น
สวีอีเข้ามาเชิญหมอออกไป เมื่อได้ยินคำพูดของหยู่เหวินเห้า เขาก็มองไปที่บาดแผลแล้วพูดว่า “ฝ่าบาท บาดแผลใกล้ขนาดนี้ ต้องมีผลกระทบอย่างแน่นอน โปรดอย่าสงบเฉยชาจนเกินไปนะพ่ะย่ะค่ะ”
หยวนชิงหลิงให้ยาชาหยู่เหวินเห้า ใช้แหนบคีบสำลีเพื่อเช็ดฆ่าเชื้อบริเวณรอบ ๆ บาดแผล
นางจำไม่ได้ว่าต้องรักษาอาการบาดเจ็บให้เขามากี่ครั้งแล้ว แต่เรื่องในครั้งนี้จะโทษเขาก็ไม่ได้ ใครจะไปคิดว่า อ๋องอานจะบ้าคลั่งขนาดนี้ เข้ามาได้ก็ฟันไม่เลือกหน้า
ไม่มีใครหัวเราะออก เจ้าพระยาเจิ้งเป่ยคุกเข่าลงกับพื้น ซ่อนใบหน้ามิดชิด ร่างกายสั่นเทิ้ม
เขาเกือบเป็นต้นเหตุให้รัชทายาทถูกฆ่าตายแล้ว
ตั้งแต่กลับมาจากเป่ยโม่ เขาก็อ้างสิทธิ์ในผลงานความดีความชอบของตัวเองไม่หยุด บวกกับฮู่เฟยได้เข้าวัง ทำให้หลายคนต่างยกย่องเชิดชูเขา ทำให้เขาก็รู้สึกเย่อหยิ่งจองหองมากขึ้นเรื่อย ๆ อันที่จริงเขารู้ว่าเมื่อมีคนเราจองหองพองขนมากไป มักจะเกิดเรื่องได้ง่าย ตัวเขาตอนนี้ได้รับยศเจ้าพระยา เมื่อต้องอยู่ระหว่างเรื่องของประเทศชาติกับเรื่องของการเมือง เขาพยายามอย่างถึงที่สุดเพื่อเก็บงำความสามารถที่แสดงออกมาให้คนเห็น คิดว่าทำตัวอวดเบ่งในพื้นที่ส่วนตัวสักหน่อยคงจะไม่เป็นไร กลับคิดไม่ถึงว่ามันก็ยังก่อให้เกิดหายนะได้อยู่ดี
เขาเสียใจอย่างสุดซึ้งจริง ๆ
ต้องใช้เวลาเกือบหนึ่งชั่วยาม จึงสามารถจัดการกับบาดแผลที่ขาของหยู่เหวินเห้าจนเสร็จ หลังจากเย็บแผลเรียบร้อยแล้ว ก็พันผ้าพันแผลแล้วค่อยมาจัดการกับบาดแผลที่หน้าท้องต่อ
ตอนที่จัดการกับบาดแผลที่บริเวณหลังขา เป็นเพราะไม่ได้ใช้ยาชามากนัก หยู่เหวินเห้าก็มีความรู้สึกเจ็บปวดมากขึ้นทุกขณะ แต่เมื่อเห็นหยวนชิงหลิงน้ำตาคลอ แทบจะรินไหลออกมาอยู่แล้ว เขาก็ไม่พูดอะไร กัดฟันตัวเองทนต่อไปเงียบ ๆ
พวกผู้ช่วยเจ้ากรมที่อยู่ข้าง ๆ ได้เห็นทักษะการรักษาเช่นนี้ อีกทั้งเห็นหยู่เหวินเห้ากัดฟันอดทนต่อความเจ็บปวด พวกเขาต่างก็รู้สึกยากจะทานทนไหว
ผู้ช่วยเจ้ากรมส่ายหัวพลางถอนหายใจ “ คาดว่าพรุ่งนี้อ๋องอานก็คงจะมาอีกแน่ ใต้เท้า ท่านว่าสมควรต้องทูลรายงานเรื่องนี้ต่อฝ่าบาทหรือไม่?”
หยู่เหวินเห้าทนความเจ็บปวดแล้วพูดว่า “พวกเจ้าอย่ายืนอยู่ตรงนี้อีกเลย ไปวินิจฉัยคำให้การต่อเถอะ ลองดูว่าพอจะพบอะไรหรือไม่ ความจริงมีเพียงหนึ่งเดียว ขอแค่คนร้ายเคยมาปรากฏตัว อย่างไรก็ต้องมีเบาะแสร่องรอยบ้างแน่ ๆ”
เจ้าพระยาเจิ้งเป่ยผุดลุกขึ้น พูดด้วยน้ำเสียงหนักอึ้ง: “ฝ่าบาท อย่าได้สิ้นเปลืองแรงอีกเลย ปล่อยให้พวกเขามากุดหัวของข้าไปเสียเถอะ”
เรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ ทำให้เขานึกหวาดกลัวอย่างยิ่ง วันนี้ไม่เพียงแค่ฝ่าพระบาทคนเดียวที่ได้รับบาดเจ็บ แต่ยังมีคนในกรมการพระนครอีกไม่น้อยที่ได้รับบาดเจ็บ หากยังเป็นเช่นนี้ต่อไปจนเกิดมีใครตายขึ้นมาจริง ๆ เขาเองก็คงไม่อาจรับผิดชอบมันได้ไหวเป็นแน่
หยู่เหวินเห้ากัดฟันพูดขึ้นว่า “เจ้าพระยาอย่าได้วู่วาม ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนฟังข้าก็พอ เจ้าออกไปก่อนเถอะ”
เจ้าพระยาเจิ้งเป่ยทำท่าเหมือนอยากจะพูดอะไรอีก แต่เมื่อได้เห็นแววตาที่มั่นคงแน่วแน่ของหยู่เหวินเห้า เขาก็ทำได้เพียงถอนหายใจเบา ๆ แล้วเดินออกไปช้า ๆ
แต่ทว่าหลังจากที่ออกไปแล้ว เขากลับเรียกให้คนพาตัวเขาไปที่คุกแทน
เจ้าหน้าที่เข้ามารายงานผู้ช่วยเจ้ากรม เขาพยักหน้าตอบรับ “ทำตามความต้องการของเขาเถอะ”
อย่างน้อยตอนที่อ๋องอานกลับมาอีกครั้ง แล้วเห็นว่าเขาอยู่ในคุก จะดีจะร้ายก็เท่ากับว่ากรมการพระนครมีการแสดงท่าทีต่อเหตุการณ์นี้บ้างแล้ว
หยู่เหวินเห้าไม่ได้พูดอะไร ปล่อยให้พวกเขาจัดการไปตามความเหมาะสม
บาดแผลที่ท้องเป็นเพียงบาดแผลที่ผิวหนังภายนอก ไม่มีอวัยวะภายในได้รับบาดเจ็บ จึงค่อนข้างจัดการได้ง่าย บาดแผลยาวประมาณสี่ถึงห้าเซนติเมตร การเย็บแผลก็เร็วมากเช่นกัน หลังจากเย็บเสร็จก็ทำการพันแผลให้เรียบร้อย
อาซี่ตักน้ำเข้ามาให้หยู่เหวินเห้าล้างมือ หยวนชิงหลิงมองมือทั้งสองข้างที่แช่อยู่ในอ่าง เห็นเลือดค่อย ๆ กระจายตัว น้ำตาของนางก็หยาดหยดรินไหลลงมาไม่หยุด หัวใจก็รู้สึกทุกข์ทรมานอย่างถึงที่สุด
หยู่เหวินเห้าเอียงหน้าไปมองนาง ในดวงตาลึก ๆ ฉายแววสงสารเห็นใจอย่างปิดไม่มิด เขาพูดด้วยเสียงแผ่วเบาว่า ” ข้าไม่เป็นไรจริง ๆ เจ้าอย่าร้องไห้เลยนะ”
หยวนชิงหลิงเช็ดมือ เดินไปนั่งข้าง ๆ เขาแล้วมองดูเขาอย่างเงียบ ๆ ดวงตาแดงก่ำ “แผลจัดการเรียบร้อยแล้ว ยกเว้นเลือดที่ออกมาก ปัญหาอื่นก็ไม่มีอะไรร้ายแรง สองวันนี้ก็นอนนิ่ง ๆ ไปก่อนเถอะ อย่าเพิ่งไปไหนทั้งสิ้นล่ะ”
เมื่ออาซี่ได้ยินประโยคนี้ นางก็บอกให้ทุกคนออกไปก่อน แล้วตัวเองก็ออกไปรออยู่ข้างนอกด้วยเช่นกัน
หยู่เหวินเห้าเอื้อมมือออกไปจับมือนางไว้ เมื่อครู่แช่มือในน้ำร้อน มือของนางจึงอุ่นมาก กลับกัน มันแสดงให้เห็นได้ชัดว่ามือของเขาเย็นมากขนาดไหน หยวนชิงหลิงดึงมือออก ลูบที่ใบหน้าของเขาเบา ๆ ฝืนเค้นรอยยิ้มออกมา “วรยุทธ์ของเจ้าร้ายกาจขนาดนั้นแท้ ๆ ทำไมถึงถูกเขาทำร้ายได้ง่าย ๆ ล่ะ?”
หยู่เหวินเห้ากดฝ่ามือของนางแนบลงบนแก้มตัวเอง ราวกับว่ากำลังพยายามดูดซับความอบอุ่นนั้นให้มากที่สุด น้ำเสียงแฝงความรู้สึกจนใจเล็กน้อย “ในเวลานั้นมันวุ่นวายโกลาหลเกินไป พี่สี่ก็เหมือนบ้าคลั่งเสียสติไปแล้ว ลงมือกับเจ้าพระยาเจิ้งเป่ยอย่างโหดเหี้ยมไม่ปราณี ทุกกระบวนท่าที่ใช้คือหมายสังหาร อันที่จริงข้าสามารถทำให้พี่สี่ได้รับบาดเจ็บได้อยู่หรอก แต่ข้าเห็นแววตาที่บ่งบอกว่าใจสลายและสิ้นหวังแล้วในดวงตาของเขา ข้านึกไปถึงตอนที่เจ้าได้รับบาดเจ็บ ชั่วขณะนั้นก็ทนไม่ได้เหมือนกัน คิดไม่ถึงว่าเขาจะฟันดาบเข้ามาใส่ข้าตรง ๆ ข้าต้านรับไว้ได้ ไม่อย่างนั้นก็คงก็พุ่งตรงเข้าที่หัวใจข้าแล้ว แต่ไหนแต่ไรมาพี่สี่ฉลาดมากแผนการ ถึงแม้ว่าเขาจะโหดเหี้ยมอำมหิต แต่เขาก็รู้ว่าถ้าเขาทำร้ายข้า หรือลงมือฆ่าข้าจริง ๆ ตัวเขาเองก็ไม่มีทางรอด เพื่อพี่สะใภ้สี่ ชีวิตนี้เขาก็ไม่สนแล้ว ข้าไม่เคยเห็นเขาตัดสินใจเด็ดขาดขนาดนี้มาก่อน ถึงได้ประมาทจนประเมินสถานการณ์ผิดไป ”
“พระชายาอานอาการไม่ดีแล้ว ใช่หรือไม่?” หยวนชิงหลิงถามเสียงเบา
“น่าจะไม่ดีแล้วล่ะ ก่อนหน้านี้เขาเคยเลี้ยงคนกลุ่มนี้ไว้ ไม่ค่อยเรียกมาใช้ง่าย ๆ เจ้าดูสิ เขาถึงกับหานักฆ่ามาจัดการกับข้าแทน แต่หัวเด็ดตีนขาดก็ไม่เรียกใช้ลูกน้องที่เลี้ยงไว้ วันนี้กลับพาคนกลุ่มนี้บุกเข้ามาเข่นฆ่าไม่เลือกหน้า นั่นทำให้รู้ได้ว่าพี่สะใภ้สี่ต้องอาการไม่ดีมากแล้ว ส่วนเขาก็ไม่สนใจอะไรอีกต่อไปแล้วเช่นกัน”
ตอนที่หยู่เหวินเห้าพูดก็รู้สึกกลัดกลุ้มเล็กน้อย แต่ก็แอบรู้สึกเห็นอกเห็นใจด้วย เพราะตัวเขาเคยมีประสบการณ์แบบนี้มาก่อน จึงเข้าใจความเจ็บปวดครั้งนี้ของเจ้าสี่ได้
“ตอนที่เขาพาคนเข้ามา แววตาของเขาทำให้ข้าตกใจเลยทีเดียว” หยู่เหวินเห้ายกยิ้มอย่างขมขื่น “พูดตามจริงแล้ว ก่อนหน้านี้ข้าเคยคิดว่าในสายตาของเขา นอกจากการได้สืบทอดตำแหน่งฮ่องเต้แล้วก็ไม่มีอะไรอีกเลย เขาสามารถสละคนรอบข้างเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย เขาฆ่าคนได้แบบตาไม่กระพริบ ไม่ว่าใครก็ตามในสายตาเขา ล้วนสามารถเอามาใช้ประโยชน์และเซ่นสังเวยได้ทั้งนั้น กระทั่งพี่น้องร่วมสายเลือดอย่างข้า เขายังสามารถส่งคนมาลอบฆ่าได้อย่างโหดเหี้ยม ทั้งวางแผนใส่ร้ายป้ายสี ใครก็คงไม่เคยคิดมาก่อนหรอกกระมังว่า เพื่อพี่สะใภ้สี่แล้วเขาจะไม่สนใจอะไรทั้งสิ้นได้ถึงขนาดนี้ ? มาตอนนี้เขาก่อเรื่องใหญ่โตถึงเพียงนี้ เกรงว่าเสด็จพ่อก็คงจะไม่ละเว้นเขาง่าย ๆ แน่นอน เขาเองก็ต้องรู้ดีถึงผลที่จะตามมา”
หยวนชิงหลิงก็รู้สึกอึดอัดทรมานใจมากเช่นกัน “ ช่างเถอะ ไม่พูดถึงเขาแล้ว เจ้าพักผ่อนสักครู่เถอะนะ เสียเลือดไปมากขนาดนี้ ต้องใช้เวลาฟื้นฟูดูแลพอสมควรเชียวล่ะ”
หยู่เหวินเห้ามองไปที่ผ้ามุ้งที่ออกสีเหลืองนวลๆ ” เจ้าหยวน เจ้าว่าคนคนหนึ่งที่เลวทรามต่ำช้าอย่างสมบูรณ์ ก็ยังง่ายต่อการรับมือถูกหรือไม่ ได้เห็นสภาพของเขาเมื่อคืนนี้แล้ว ข้าก็คิดย้อนไปถึงตอนที่พวกเราพี่น้องยังเด็ก ตอนนั้นพวกเราต่างสนิทสนมกลมเกลียวกันมากแท้ ๆ ทำไมตอนนี้ถึงต้องหันมาต่อสู้แย่งชิงอำนาจกันแบบนี้ด้วยนะ?”
หยวนชิงหลิงไม่สามารถตอบคำถามนี้ของเขาได้ อ๋องอานเลวทรามต่ำช้าจริง แต่ในหัวใจของพระชายาอาน เขาเป็นสามีที่ดีมากคนหนึ่ง

บัลลังก์หมอยากเซียน

บัลลังก์หมอยากเซียน

ด็อกเตอร์แพทย์หญิงอัจฉริยะข้ามภพกลายเป็นพระชายาของอ๋องฉู่ เพิ่งมาถึงก็เจอผู้ที่บาดเจ็บสาหัส นางยึดถือจรรยาแพทย์ไปทำการช่วยเหลือ กลับเกือบถูกคนให้ร้ายไท่ซ่างหวง(เสด็จพ่อของฮ่องเต้)ป่วยวิกฤต นางไม่มีวิธีรักษา ถูกอ๋องอำมหิตผู้น่าเกลียดเข้าใจผิดตำหนิเอา หรือว่าเป็นคนดีมันยากนัก? ชายผู้นี้เอาแต่ใส่ร้ายป้ายสีนางไม่ว่า ที่อดไม่ได้คือเขายังกล้าแต่งชายารองทำให้นางสะอิดสะเอียนอีกอ๋องอำมหิตพูดอย่างเย็นชาว่า: "เจ้ามีดีอะไรให้ข้าแค้นเจ้า ข้าเพียงแค่เกลียดเจ้า? แค่เห็นเจ้าแวบแรกก็รู้สึกขยะแขยง"หยวนชิงหลิงใบหน้ายิ้มรับพร้อมกล่าวว่า: "ไฉนข้าไม่รังเกียจท่านอ๋องเพคะ? เพียงแค่ทุกคนล้วนเป็นสุภาพชน ไม่อยากไม่ไว้หน้าก็เท่านั้น"อ๋องอำมหิตพูดเย้ยหยันว่า: "เจ้าอย่านึกว่าตั้งท้องลูกของข้าแล้วข้าจะนับว่าเจ้าเป็นพระชายา ดื่มยาถ้วยนี้ ข้ากับเจ้าขาดกัน อย่ามาขัดขวางการแต่งงานของข้ากับคุณหนูสองตระกูลฉู่" หยวนชิงหลิงยิ่มแฉ่งพร้อมกล่าวต่อว่า: "ท่านอ๋อง นี่ชอบพูดเล่นเสียจริงเพคะ ท่านอยากแต่งก็แต่งเลยเพคะ ข้ามีลูกให้ดูแล ค่อยแต่งงานใหม่ ไม่มีใครเป็นก้างขวางคอใคร ถึงเวลานั้นมีการจัดเหล้าครบเดือน ขอเชิญท่านอ๋องมาร่วมงานด้วยเพคะ"

Comment

Options

not work with dark mode
Reset