บุตรอสูรบรรพกาล – บุตรอสูรบรรพกาล ตอนที่ 283 อยากพบ

บุตรอสูรบรรพกาล ตอนที่ 283 อยากพบ

 

อยากพบ

 

“ถวายบังคมเพคะฝ่าบาท”ร่างของหญิงสาว 2 คนเดินเข้า มาในท้องพระโรงด้วยท่าทีสง่างามพร้อมเหล่าข้ารับใช้ที่แต่งกาย ด้วยเครื่องแบบสีขาวสวยงามสมกับท้องพระโรงที่ยิ่งใหญ่อลังการเป็นอย่างยิ่ง

 

“เสียใจด้วย ข้าไม่ใช่องค์จักรพรรดิหรอกนะ” เทียนเหวินว่าพลางยิ้มบางๆ มันไม่ได้นั่งอยู่บนบัลลังก์เสียด้วยซ้ํา เพราะมันเป็นแค่ผู้สําเร็จราชการแทนเท่านั้น

 

“ถึงอย่างไรท่านก็เป็นพระอนุชาขององค์จักรพรรดิเพคะ” หญิงสาวอีกคนว่าพลางก้มหน้าลงอย่างอ่อนน้อม แต่ถึงอย่างนั้นความงามของพวกนางก็เด่นสะดุดตาไม่น้อยโดยเฉพาะใบหน้าที่เหมือน กันราวกับแกะของทั้งคู่

“สํานักเทพจุติของเจ้ายิ่งใหญ่ขึ้นมากในช่วง 5 ปีนี้ แถมยังสร้างคุณงามความดีให้กับอาณาจักรอู่เราได้อย่างน่าชื่นชม ข้าจึงเรียกพวกเจ้ามาเพื่อรับรางวัลคุณงามความดี”เทียนเหวินว่าพลาง เรียกให้ขุนนางนํากระบี่ทองออกมา มันคือกระบี่ที่สลักคําว่า อู่ เอาไว้คู่กับคําว่าสํานักเทพจุติ หรือก็คือมันเป็นสัญลักษณ์ที่บอกว่าราชวงศ์อู่นั้นชื่นชมสํานักเทพจุติที่คอยช่วยเหลือบ้านเมืองนั่นเอง

 

“ขอบพระคุณเพคะ หลังจากอาณาจักรซุยล่มสลายไป อาณาจักรอู่ก็ดีกับดินแดนที่พวกเราอยู่มาก สิ่งที่พวกเราทําเพียงเพื่อตอบแทนพระคุณเพคะ” หวังจิ้งตอบพลางรับกระบี่ทองมาจากขุนนางที่นํามาส่งให้อย่างสง่างาม

“เยี่ยมมาก ข้าหวังว่าจะมีสํานักอื่นๆคิดเช่นเจ้าบ้าง” เทียนเหวนยิ้มอย่างพึงพอใจ หลังจากต้าชิงและต้าเฉินนําตําราเทพจุติ และเทพประสาน กลับไปให้สํานักเทพจุติก็กลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง โดยใช้เวลาเพียง 5 ปีเท่านั้น ทําให้เมืองที่พวกนางอยู่และเมืองข้างเคียงเริ่มให้เกียรติสํานักของพวกนาง เรียกได้ว่ากลายเป็นสํานักใหญ่ในเขตทางเหนือไปเป็นที่เรียบร้อย โดยเฉพาะชื่อเทพธิดาฝาแฝดของสํานักโด่งดังมาถึงเมืองหลวงเลยทีเดียว

“เอาล่ะ พวกเจ้าเดินทางมาไกล ให้วังหลวงของข้าได้ต้อนรับ พวกเจ้าเถิด หางขาดเหลืออะไรหรือต้องการความช่วยเหลือเจ้าสามารถส่งเรื่องมาที่วังหลวงได้ทุกเมื่อ เทียนเหวินพูดพลางเรียกสาวใช้ออกมารับแขก

 

“พระอนุชา” หวังจิ้งพี่สาวของพี่น้องฝาแฝดพูดพลางประสานมือคารวะไปทางเทียนเหวิน

“มีอะไรหรือ”เทียนเหวินถามพลางหันกลับมามองพวกนาง หรือพวกนางจะมีเรื่องขอร้องกัน

 

“ข้ามีเรื่องอยากจะขอร้องพระองค์เพคะ” หวังจิ้งว่าพลางก้มหัวลงต่ํา

“มีอะไรก็พูดมา”เทียนเหวินหรี่ตามองพลางยืดหลังขึ้นตรงชื่อเสียงและความดีของนางโด่งดังมาถึงวังหลวงก็จริง แต่เทียนเหวินไม่เคยเจอหวังจิ้งมาก่อน เรื่องที่นางต้องการอะไรนั้นก็น่าสนใจดี เพื่อจะได้ทราบว่าจริงๆแล้วนางเป็นคนเช่นไร

 

“ข้าอยากจะขอเข้าพบหัวหน้ากลุ่มนักล่าอสูรได้หรือไม่เพคะ” หวังจิ้งถามด้วยใบหน้าแดงระเรื่อ แน่นอนว่าการที่นางเดินทางมาถึง ที่นี่ไม่ใช่แค่มารับรางวัลของราชวงศ์เท่านั้น แต่สาเหตุจริงๆที่นางเดินทางมาถึงนี่เพื่อมาพบต้าชิงและต้าเฉินนั่นเอง

“กลุ่มนักล่าอสูร? ได้สิ” เทียนเหวินพยักหน้าช้าๆ เพราะเรื่องการเข้าพบหัวหน้ากลุ่มอย่างไป๋จูเหวินนั้นไม่ใช่เรื่องยากสําหรับมันเลย แถมกลุ่มนักล่าอสูรตอนนี้ยังเปิดทําการค้าอยู่ตลอด คนนอกสามารถเข้าได้ไม่ยากเย็นเท่าไหร่ นอกเสียจากจะอยากพบคนสําคัญเท่านั้นที่อาจจะลําบากหน่อย แต่พูดกันตามตรง ตําแหน่งหัวหน้าหน้าสํานักใหญ่ทางเหนืออย่างพวกนางน่าจะสามารถขอเข้าพบไป๋จูเหวินได้ไม่ยากเสียด้วยซ้ํา

“จริงหรือเพคะ” หวังจิ้งว่าพลางยิ้มกว้าง พวกนางร่วมมือกันฝึกฝนมานานจนสามารถคืนความยิ่งใหญ่ของสํานักได้ ทั้งหมดนั้นเป็นเพราะผู้มีพระคุณอย่างต้าชิงและต้าเฉิน ถึงแม้เวลาจะผ่านไปนานแล้วหวังจิ้งก็ยังคงสํานึกบุญคุณและอยากพบต้าชิงเสมอ

 

“ข้าเองก็กําลังจะไปวังมังกรเหมือนกัน ไหนๆแล้วพวกเจ้าก็มากับข้าเลยเถอะ”เทียนเหวินว่าพลางเรียกเหล่าองครักษณ์ออกมาแทน ไม่นานขบวนเดินทางของเทียนเหวินก็รวมตัวกันพร้อม และเดินทางไปยังวังมังกรในเมืองร้อยแปดอสูรในทันที เพียงแต่…

 

“พี่ไปไม่อยู่?”เทียนเหวินหน้าเสียทันทีเมื่อตนพาแขกมาพบไป๋จูเหวิน แต่เจ้าตัวกลับไม่อยู่เสียอย่างนั้น

 

“ดูเหมือนคุณหนูจะไม่สบายขอรับ ท่านหัวหน้าเลยกลับไปที่บ้านเกิด”ได้ยินเช่นนั้นเทียนเหวินก็ถอนหายใจทันที พอเป็นเรื่องของไป๋หลินก็ช่วยไม่ได้ละนะ

“ขอโทษด้วย ดูเหมือนหัวหน้ากลุ่มจะไม่อยู่เสียแล้ว พวกเจ้าจะรอจนหัวหน้ากลุ่มนักล่าอสูรกลับมาหรือไม่” เทียนเหวินถามพลางมองไปทางสองสาว

 

“ละ แล้วท่านต้าชิงละเจ้าคะ” หวังจิ้งถามพลางมองไปทางอาวุโสหน่วย 1 ด้วยท่าที่อยากรู้ เป้าหมายของนางไม่ใช่การมาหาหัวหน้ากลุ่มนักล่าอสูร แต่มาหาต้าชิงต้าเฉินต่างหาก

 

“ท่านรองหัวหน้าต้าชิงและต้าเฉินเองก็เดินทางไปพร้อมหัวหน้า ขอรับ”อาวุโสหน่วย 1 ตอบ จริงๆแล้วอาวุโสหน่วย 1 นั้นไม่ใช่คน เดิมอีกต่อไปแล้ว เพราะตอนนี้คนที่มารับตําแหน่งอาวุโสหน่วยที่ 1 คือศิษย์ของอาวุโสหน่วย 1 คนเก่านั่นเอง หลังจากไป๋จูเหวิน เริ่มแบ่งวิชาของตนเองให้กับเหล่าอาวุโส ความแข็งแกร่งของกลุ่ม นักล่าอสูรก็เพิ่มขึ้นมาก นอกจากเหล่าอาวุโสจะได้สืบทอดวิชา 18 ฝ่ามือท่องแดนอสูรคนละ 1 กระบวนท่าแล้ว วิชากระบี่ดาวตก และทวนมังกรที่แต่เดิมเป็นวิชาของเจ้าสํานักยังโดนลดขั้นให้คนในสํานักที่มีความสามารถระดับหนึ่งได้ฝึกฝนกันด้วย เรียกได้ว่ายุคทองของกลุ่มนักล่าอสุรนั้นกลับมาอีกครั้งเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แถมยังดูเหมือนจะยิ่งใหญ่กว่าเดิมเสียอีก

 

“ทํายังไงดีล่ะท่านพี่ ข้าอยากเจอพี่ต้าเฉินเหมือนกันนะ” หวังลี่ว่าพลางแสดงสีหน้าผิดหวังออกมา

 

“ท่านอาวุโสหน่วย 1 ท่านพอจะบอกพวกเราได้หรือไม่เจ้าคะว่า พวกพี่ต้าชิงต้าเฉินอยู่ที่ไหน”ได้ยินคําถามของหวังจิ้ง อาวุโสหน่วย 1 ก็มีท่าที่ลําบากใจทันที เรื่องเขตอสูรผาไร้กันนั้นเป็นความลับของ กลุ่มนักล่าอสูรเพราะไม่อยากให้คนอื่นเอาไปใช้ประโยชน์ แม้จะเป็นคนที่เทียนเหวินพามาก็ตาม พวกมันก็ยังไม่กล้าบอกออกไป

“พวกเจ้าไปพักที่หวังหลวงก่อนก็แล้วกัน พอต้าชิงกับต้าเฉินกลับมาแล้วข้าจะให้มากาพวกเจ้าที่วังเอง”เทียนเหวินเสนอพลางยิ้มเจื่อนๆ ต่อให้เป็นผู้สร้างความดีความชอบให้บ้านเมือง แต่เทียนเหวินก็ไม่กล้าบอกเรื่องเขตอสูรผาไร้ก้นเช่นกัน

“เพคะ” หวังจิ้งและหวังลี่ตอบด้วยท่าที่ผิดหวัง ไม่ทราบว่าไป๋จูเหวินจะกลับมาเมื่อไหร่ แถมนางก็ไม่อยากปล่อยสํานักของพวกนางเอาไว้นานอีกด้วย

 

“หลินเอ๋อ หลินเอ๋อ เจ้าอยู่ที่ไหน”ร่างของพยัคฆ์อัสนีทะยานวูบไปตามปาเมฆาอัสนีอย่างรวดเร็วจนแทบมองไม่ออกว่าตัวนางกับเมฆหมอกในปาอัสนีต่างกันอย่างไรเสียด้วยซ้ํา ในป่าเมฆาอัสนีแห่งนี้นอกจากพยัคฆ์อัสนีแล้วก็คงมีแต่นางเท่านั้นที่สามารถตามหาคนในปาได้อย่างรวดเร็ว

“ออกมาหาน้าได้แล้ว หลินเอ๋อ หลินหลิน ไปไป ปิงปิง” เสียงตะโกนของพยัคฆ์เมฆาดังไปทั่ว แต่นางกลับยังไม่พบร่างของเด็กๆเลย

กรุบ…อยู่ๆเสียงบางอย่างก็ดังขึ้นทําให้พยัคฆ์เมฆาหันไปมองบนต้นไม้ต้นหนึ่งทันที

 

ฟุบ!! ร่างของพยัคฆ์เมฆาทะยานออกไปราวกับเมฆหมอกโดนลมพัดอย่างรุนแรง พริบตานั้นร่างของพยัคฆ์เมฆาก็ปรากฏต่อหน้าหลินหลินทันที

“เจอแล้ว” พยัคฆ์เมฆายิ้มพลางมองเจ้าเด็กตัวแสบที่นั่งอยู่บนต้นไม้

 

“แฮ่ๆ ” หลินหลินหัวเราะเก้อๆพลางเก็บเอาแผ่นหยกเข้าไปในมิติของตนเอง ท่าทางนางจะทนหิวไม่ค่อยไหวเลยเอาออกมากินแน่ๆ

“ต่อไปก็อีก 3 คนสินะ” พยัคฆ์เมฆาว่าพลางมองไปรอบๆ พอใช้พลังอสูรตามหาไม่ได้ก็ลําบากไม่น้อยเลย

 

เปรี้ยง!! ยังไม่ทันเริ่มหาต่ออยู่ๆสายฟ้าสายหนึ่งก็ผ่าเปรี้ยงลงบนต้นไม้ข้างๆหลินหลินกับพยัคฆ์เมฆา แต่ถึงจะมีฟ้าผ่าลงมารอบๆ ก็ไม่ได้เกิดความเสียหายแต่อย่างไร

“หลินเอ๋อ พ่อของเจ้ากลับมาแล้ว เลิกเล่นกันก่อนเถอะ” พยัคฆ์อัสนีว่าพลางมองไปทางที่พวกไป๋หลิน ไปไป และ ปิงปิง กําลังซ่อนตัวอยู่ หากใช้พลังอสูรในการตามหาเกมซ่อนหาเช่นนี้ก็ไม่สนุกเอาเสียเลย

 

“ท่านพ่อมาแล้วงั้นเหรอ”ไป๋หลินว่าพลางออกมาจากหลังต้นไม้ ตอนนี้นางอายุได้ 4 ปีแล้วแต่กลับสามารถวิ่งเล่นในป่าเมฆาอัสนี้ได้อย่างง่ายดาย สมแล้วที่เกิดมาพร้อมกลังอสูรและพลังวิญญาณจริงๆ

ฟุบ!! พยัคฆ์อัสนี้ยังไม่ทันได้ตอบ ร่างของไป๋จูเหวินก็ร่อนลง มาบนกิ่งไม้ข้างๆเช่นกัน แม้จะยังเร็วไม่เท่าพยัคฆ์อัสนี แต่การเคลี่อนไหวของไป๋จูเหวินนั้นก็เกือบจะตามพยัคฆ์อัสนีทันแล้ว

 

“ไหนน้าราชสีห์บอกเจ้ากําลังปวยไง นี่มันอะไร”ไป๋จูเหวินว่า พลางมองไปทางบุตรสาวที่กําลังเล่นซ่อนหากับพยัคฆ์เมฆา

 

“เรื่องนั้น…”ไป๋หลินยิ้มพลางหลบเข้าไปหลังต้นไม้เหลือแค่ส่วนดวงตาเท่านั้น

“เจ้าขอร้องให้น้าราชสีห์เขียนไปบอกพ่อใช่ไหม”ไป๋จูเหวินถอนหายใจพลางมองลูกสาวตนเองด้วยท่าที่ไม่พอใจ แต่เห็นนางทําท่าจะร้องให้มันก็ถอนหายใจออกมาเสียไม่ได้

 

“ก็ข้าอยากเจอท่านพ่อนี่นา ท่านพ่อไปทํางานตั้งหลายวันแล้ว”ไป๋หลินว่าพลางหลบเข้าไปหลังต้นไม้ ตั้งแต่เกิดนางก็อยู่แต่ในเขตอสูรผาไร้กันมาตลอด เคยไปเยี่ยมท่านตากับท่านยายไม่กี่รอบเท่านั้น แต่เพราะในเขตอสูรแห่งนี้มีของดีมากมาย ทุกคนเลยลงความเห็นว่าควรให้ไป๋หลินอยู่ในเขตอสูรไปก่อนเพื่อการเจริญเติบโตที่ดี

 

“เจ้าอยากเจอพ่องั้นหรือ”ไป๋จูเหวินได้ยินเหตุผลของบุตรสาวก็ดุไม่ลงเสียอย่างนั้น มันกระโดดเข้าไปตรงต้นไม้ที่บุตรสาวซ่อนอยู่ พลางอุ้มนางขึ้นมากอดเอาไว้

 

“พ่อไม่ทิ้งเจ้าหรอก แต่เจ้าอย่าขอร้องท่านน้าให้โกหกแบบนั้นอีกนะ”ไป๋จูเหวินว่าพลางจ้องดวงตาของบุตรสาวนิ่ง ดวงตาของไป๋หลินนั้นไม่เหมือนของไป๋จูเหวิน ดวงตาของนางนั้นเป็นดวงตาที่สวยงามมาก แม้โดยปกติจะเป็นสีดําแต่หากมองดีๆแล้วจะเห็นว่าภายในดวงตาสีดํานั้นมีเงาสะท้อนสีอื่นๆออกมา นั่นหมายความว่า เนตรแมงมุมของไป๋หลินนั้นทํางานอยู่เสมอนั่นเอง แต่ตอนนี้ก็ยังบอกไม่ได้ว่ามันทํางานอย่างไร

 

“ค่ะ”ไป๋หลินตอบด้วยสีหน้าหงอยๆ เห็นแล้วก็อดสงสารไม่ได้ ตัวนางนั้นมีทั้งหลังดึงดูดอสูรทั้งยังเป็นหลานที่พวกท่านน้าเฝ้ารอคอยอีกต่างหาก ทําให้พวกท่านน้าใจอ่อนกับไป๋หลินมากกว่าไป๋จูเหวินเสียอีก

“มาเถอะ กลับบ้านกัน”ไป๋จูเหวินว่าพลางมองไปทางหลินหลิน ไปไป และปิงปิงที่ออกมาจากที่ซ่อนกันหมดแล้ว

 

“พี่ไป ข้าด้วย” หลินหลินกับไปไปเห็นไป๋จูเหวินทําท่าจะกลับก็กระโดดขึ้นเกาะหลังทันที พวกนางร่างเดิมเป็นอสูรที่มีผิวหนังเป็นหินทั้งคู่ ทําเอาน้ําหนักของพวกนางนั้นมากกว่าเด็กธรรมดามาก ยิ่งเวลาผ่านไปพวกนางก็เริ่มโตขึ้นอีกด้วยทําเอาไป๋จูเหวินที่อุ้มไป๋หลินอยู่เซไปข้างหลังนิดหน่อย

“ พวกเจ้านี่นะ”ไป๋จูเหวินว่าพลางถอนหายใจออกมา ถึงแม้จะมีไป๋หลินทําให้พวกหลินหลินยอมอยู่ที่เขตอสูร แต่พวกนางก็ชินกับการอยู่กับไป๋จูเหวินมากกว่า ทําให้พวกนางเอกก็คิดถึงไป๋จูเหวินไม่แพ้ไป๋หลินเลย แม้ไปไปจะแค่อยากขี่หลังไป๋จูเหวินก็ตาม

“ไปกันเถอะ วันหลังค่อยมาเล่นใหม่นะ”ไป๋จูเหวินว่าพลางมองเหล่าอสูรของมัน พอเห็นว่าปิงปิงเป็นตนเดียวที่ไม่ได้กระโดดขึ้นมา ขี่หลังไป๋จูเหวินก็เอื้อมมืออีกข้างไปอุ้มปิงปิงขึ้นมาพลางพาทั้งสี่คนเดินทางไปพร้อมกับมัน

 

“เหมือนมีลูก 4 คนเลยนะ” พยัคฆ์อัสนีว่าพลางยิ้มออกมา

“ท่านเองก็อยากมีบ้างไหมล่ะ” พยัคฆ์เมฆาที่อยู่ข้างๆถามพลางอมยิ้มบางๆออกมา

 

“รอพวกนางโตก่อนก็แล้วกัน” พยัคฆ์อัสนีว่าพลางส่ายหัวไปมา ขึ้นเป็นลูกของมันกับพยัคฆ์เมฆามีหวังไล่จับกันไม่ไหวแน่ๆ

Comment

Options

not work with dark mode
Reset