บุตรอสูรบรรพกาล – บุตรอสูรบรรพกาล ตอนที่ 256 เศร้าโศก

บุตรอสูรบรรพกาล ตอนที่ 256 เศร้าโศก

 

“พี่ไป ดูสิถึงท้องฟ้าแล้ว”เพราะพวกหลินหลินไม่คุ้นทางพวกนางจึงกลายร่างเป็นมนุษย์และขึ้นมาบนหลังของอสูรช้างเช่นเดียวกันกับไปจูเหวิน แต่ถึงแม้อสูรช้างจะมี ความเร็วไม่มากแต่ด้วยร่างกายที่ใหญ่โตของมันทําให้การก้า วแต่ละก้าวกินระยะทางไกลมาก ทําให้พวกไปจูเหวินขึ้นเข จนมาถึงชั้นเมฆจนได้แม้จะเคยบินเหนือชั้นเมฆมาก่อนแต่การเดินขึ้นมาเหนือชั้นเมฆแบบนี้พึ่งเคยเป็นครั้งแรก

 

พรีบ..ทันทีที่ผ่านชั้นเมฆขึ้นมา ภาพตรงหน้าก็ราวกับภาพวาดไม่มีผิดยอดเขาแห่งนี้อยู่เหนือชั้นเมฆขึ้นมาทําเอาชั้นเมฆที่อยู่ด้านล่างเหมือนแม่น้ําสีขาวไม่มีผิดส่วนยอดเขาแห่งนี้ก็ราวกับเกาะกลางน้ําที่ว่าเลย

 

“สวยจัง” เหม่ยหลินว่าพลางมองขึ้นไปบนยอดเขาเพราะภูเขาสูงมากทําให้อากาศข้างบนค่อนข้างหนาวแต่ถึงอย่างนั้นบนยอดเขาก็ไม่ได้มีหิมะแต่อย่างไรที่นี่ราวกับสวนพฤกษชาติที่เต็มไปด้วยต้นไม้และดอกไม้มากมาย

 

“ถึงแล้ว”อสูรช้างว่าพลางหยุดเดินตรงบ้านหลังหนึ่งที่ตั้ง อยู่บนยอดเขา มันเป็นกระท่อมธรรมดาๆไม่มีอไรโดดเด่นนัก แต่เพราะมันตั้งอยู่บนสถานที่เช่นนี้ก็คงบอกว่ามันธรรมดา ไม่ได้

 

“นายท่านขอรับ” หวังตงเป็นคนแรกที่ลงไปจากหลังของอสร้างมันเดินไปที่ต้นไม้ต้นหนึ่งที่อยู่ด้านข้างกระท่อม โดยด้านใต้ต้นไม้นั้นมีชายคนหนึ่งนั่งอยู่ ภาพแผ่นหลังของชายคนนั้นทําเอาไปจูเหวินหัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะมันไม่ทราบว่าการมีพ่อรู้สึกอย่างไรและมันก็ไม่ทราบด้วยว่าพ่อของมันเป็นคนเช่นไร

 

“นายท่าน ข้ากลับมาแล้วขอรับ” หวังตงพูดพลางคุกเข่าลงบนพื้นที่อยู่ข้างๆแคร่ไม้ที่ชายหนุ่มนั่งอยู่

 

“หวังตง.กลับมาแล้วงั้นหรือ เดินทางไปเยี่ยมอาจารย์เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง” ชายหนุ่มหันกลับมาพลางยิ้มอย่างอบอุ่นคําถามของมันราวกับมันไม่ได้รู้เรื่องอะไรที่เกิดขึ้นข้างนอก เลย

 

“นายท่าน เวลาผ่านไปกว่า 20 ปีแล้วนะขอรับ” หวังตงพูดพลางกําหมัดแน่น มันไม่ทราบเช่นกันว่าแท้จริงแล้วบิดาของไปจูเหวินเป็นใครมาจากไหน มันรู้แต่เพียงว่าบิ ดาของไปจูเหวินนั้นอยู่ในดินแดนลับแลมาเนิ่นนานนับพันๆปีเวลาเพียง 20 ปีของมันนั้นเป็นเวลาที่แสนสั้นจนไม่รู้สึกแปลกใจที่ภรรยาและบุตรชายของตนหายออกไปเลย

 

“โอ้ เวลาผ่านไปขนาดนั้นเลย” ชายหนุ่มยิ้มกว้างพลางหันมามองไปจูเหวิน มันยังคงยิ้มและเดินเข้ามาหาไปจูเหวินโดยไม่มีท่าทีเคาะเขินแต่อย่างไร

 

“ชินอี้ เจ้าเดินทางครั้งนี้ใช้เวลามากทีเดียวเหนื่อยหรือเปล่าลูก” คําถามของบิดาทําเอาไปจูเหวินตื้นตันอย่างประหลาดมันถามราวกับว่าไปจูเหวินเพียงเดินทางไปท่อง เที่ยวเท่านั้น

 

“ขอรับ ไม่เหนื่อยเท่าไหร่ขอรับ”ไปจูเหวินตอบพลางกลั้นน้ําตาเอาไว้ คําถามด้วยความห่วงใยเพียงคําถามเดียวกลับทําให้มันตื้นตันได้ขนาดนี้นี่นะเหรอควารู้สึกของพ่อครอบครัวแท้ๆของไปจูเหวิน

 

“เจ้าโตขึ้นมากจริงๆ” บิดาของไปจเหวินว่าพลางจับไปที่บ่าของไปจูเหวิน แม้จะไม่ได้เจอกันมาทั้งชีวิต แต่เพียงสัมผัสทางกายความอบอุ่นก็แผ่ซ่านไปทั้งตัว โดยเฉพาะ ความรู้สึกของพลังเซียนที่แผ่ซ่านไปทั่วบริเวณตั้งแต่ไปจูเหวินเข้ามาแล้ว ทั่วทั้งยอดเขาแห่งนี้เต็มไปด้วยพลังของชายตรงหน้า มันเหมือนเขตอสูรที่มนุษย์สร้างขึ้นไม่มีผิด แน่นอนว่าไปจูเหวินใช้ดวงตาสีม่วงตรวจสอบตั้งแต่เข้ามาแล้ว มันถึงได้ทราบว่าบิดาของมันนั้นแท้จริงแล้วอยู่เหนือกว่าระดับเทียนเซียนขึ้นไปอีก หากใช้ชื่อที่คนของอาณาจักรซุยตั้ บิดาของมันนั้นอยู่ระดับเจ้าสวรรค์ ไม่ใช่เท่านั้นมันยังอยู่ สูงไปกว่านั้น มันสมควรจะอยู่ระดับเจ้าสวรรค์ขั้นปลายๆแล้วเพราะพลังของมันใกล้เคียงกับพลังของอสูรปักเป้าหรืออสูรเต่ายักษ์มาก

 

“แล้วเย่หลิงล่ะ”อยู่ๆคําถามของชายหนุ่มก็ทําเอาบรรยากาศเปลี่ยนทันที

 

“ท่านพ่อ”ไปจเหวินพูดพลางพยายามจะบอกเรื่องของมารดาให้ฟัง เพียงแต่หวังตงกลับมองมาทางไปจูเหวินและส่ายหน้าเบาๆ

 

“นายท่านขอรับ ข้ามีเรื่องต้องบอกท่าน” หวังตงพูดพลางลุกขึ้นยืน มันทําเช่นนี้เพราะมันอยากจะบอกนายท่านด้วยตนเอง

 

“นายหญิงถูกคนของกลุ่มเขี้ยวโลหิตสังหารขอรับ” หวังตงพูดจบสีหน้าของชายหนุ่มกลับยังไม่เปลี่ยนแปลงมันยังยิ้มและพยักหน้าช้าๆ

 

“อืม…นางตายแล้วงั้นหรือ” ชายหนุ่มตอบราวกับไม่ได้ใส่ใจอะไรกับเรื่องที่หวังตงเอามาบอก มันอยู่มาเนิ่นนานนับพันๆปีการสูญเสียไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่อะไรของมันอีกต่อไปแล้ว

 

“เวลาในโลกภายนอกช่างโหดร้ายจริงๆ” ชายหนุ่มรําพึงออกมาพลางเดินกลับไปนั่งที่แคร่ไม้เช่นเดิม

 

“นายท่าน..”หวังตงแสดงสีหน้างุนงงอย่างมากไม่นี้กว่านายท่านของมันจะไม่รู้สึกรู้สาอะไรเลย

 

“ท่านหวังตง”ไปจูเหวินพูดพลางจับแขนของหวังตงเอาไว้

 

“ปล่อยให้ท่านพ่ออยู่คนเดียวสักพักเถอะ”ไปจูเหวินพูดพลางเดินออกมาจากกระท่อม แม้ภายนอกมันจะไม่ได้แสดงท่าที่เศร้าโศกออกมาเลยแม้แต่น้อยแต่ดวงตาสีม่วงของไปจ เหวินนั้นกลับสามารถมองเห็นพลังเซียนที่อยู่บนภูเขานี้ได้ชัดเจนตอนแรกมันนิ่งสงบราวกับแม่น้ําในวันไร้ลมแต่ยามนี้มันกลับบ้าคลั่งราวกับทะเลในวันที่มีพายุโหมกระหน่ําไม่มีผิดท่านจะต้องเสียใจกับการเสียท่านแม่ไปอย่างมากแน่ๆ

 

ไปจเหวินเดินมานั่งที่ริมสระน้ําที่ตั้งอยู่ห่างออกมาพอสมควร บนยอดเขาแห่งนี้ราวกับสวนที่จัดเอาไว้อย่างสวยงามท่ามกลางเมฆหมอกจริงๆ

 

“พี่ไป”เหม่ยหลินที่เดินตามไปจูเหวินมาพลางนั่งลงข้างๆบางทีไปจเหวินอาจจะเหมือนบิดามากก็เป็นได้เพราะตั้งแต่มันทราบข่าวการตายของแม่ตนเอง มันก็ไม่ได้แสดงท่าที่เสียใจออกมาเลย มันยิ้มและยังคงทําทุกอย่างเหมือนเดิม แต่ ภายในนั้นกลับกําลังกลัดกลุ้มอย่างหนักแม้จะไม่มีดวงตาสีม่วงเช่นเดียวกับไปจูเหวินนางกูดูออก

 

หมับ…เหม่ยหลินจับไปที่มือของไปจูเหวินพลางเริ่มเดินพลังตามเคล็ดวิชาเทพประสานวิชานี้นางกับไปจูเหวินฝึกฝนด้วยกันมาก่อน และมีสิ่งหนึ่งที่ทําให้เหม่ยห ลินทราบนั่นคือเมื่อฝึกฝนวิชานี้นางจะสัมผัสพลังของไปจูเหวินได้ง่ายขึ้นไม่ใช่พลังที่สัมผัสได้จากภายนอก แต่เป็นพลังในร่างของไปจูเหวินนั่นเอง

 

“ท่านเองก็เสียใจเหมือนกันสินะเจ้าคะ”เหม่ยหลินยิ้มพลางสัมผัสพลังที่อยู่ในร่างไปจูเหวิน หากพลังบนยอดเขานี้ราวกับทะเลคลั่งท่ามกลางพายุละก็ พลังในร่างของไปจูเหวินก็ราวกับน้ําวนที่หมุนอย่างบ้าคลั่งไม่มีผิด

 

“มันเป็นเรื่องที่ทําใจยาก”ไปจูเหวินว่าพลางยิ้มออกมาภายนอกพวกมันสองพ่อลูกแสดงความเศร้าโศกได้ย่ําแย่มากแม้ไปจูเหวินจะเคยรับมือกับการสูญเสียมารดาอย่างอสูรแมงมุมไปแล้วแต่การเสียมารดาแท้จริงไปตั้งแต่จําความไม่ ได้ก็เป็นเรื่องที่น่าเศร้าอยู่ดี

 

“ให้ข้าอยู่เป็นเพื่อนท่านนะพี่ไป”เหม่ยหลินว่าพลางปล่อยมือไปจูเหวินช้าๆ นางมั่นใจแล้วว่ายามนี้ไปจูเหวินต้องการคนอยู่เป็นเพื่อนจริงๆแม้ปากของมันจะบอกว่าไม่ต้องการก็ตาม

 

“พี่ไป” หลินหลินที่พุ่งตามมาเห็นไปจูเหวินนั่งอยู่กับเหม่ยหลินนางจึงเตรียมจะกระโดดเข้าไปร่วมวงทันทีเพียงแต่ด้านหลังของนางกลับมีมือข้างหนึ่งดึงทั้งหลินหลินและปิงปิงเอาไว้

 

“พวกเจ้านะ มานี่”หงเยวว่าพลางพาหลินหลินกับปิงปิงออกไปข้างนอกตอนนี้คนที่ช่วยนายท่านของนางได้คงจะมี แต่เหม่ยหลินเท่านั้น

 

“พี่ไป”เหม่ยหลินว่าพลางขยับเข้าไปใกล้ไปจูเหวินอีกนิดเพราะก่อนหน้านี้พวกมันแสร้งทําตัวเป็นสามีภรรยากันทําให้การนั่งติดกันจนไหล่ทั้งสองชนแนบชิดเป็นเรื่องปกติไปเสียแล้วแถมปกติเหม่ยหลินจะแกล้งหลับบนไหล่ของไปจูเห วินอีกต่างหาก

 

ฟุบ..เหม่ยหลินดึงร่างของไปจูเหวินเข้ามากอดพลางลูบเส้นผมของมันราวกับลูบเส้นผมของเด็ก

 

“ไม่ต้องห่วงเจ้าค่ะ ข้าจะอยู่กับท่านเอง” เหม่ยหลินว่าพลางดึงร่างของไปจูเหวินเอาไว้ไม่ยอมให้มันถอยออกไป แต่เพียงไม่นานแรงต้านของไปจูเหวินก็หายไป มันปล่อยให้ตนเองกอดเหม่ยหลินเอาไว้โดยไม่ได้พูดอะไรจนเวลาผ่าน ไปนานมาก จนกระทั้งกระแสพลังเซียนบนยอดเขาแห่งนี้เริ่มเบาลงแต่ถึงอย่างนั้นมันก็ไม่สามารถกลัยไปอยู่ในสภาพน้ํานิ่งได้เหมือนตอนที่ไปจูเหวินขึ้นมาอีกเลย

 

“พี่ไป ท่านเป็นอย่างไรบ้าง”เหม่ยหลินถามพลางมองไปจูเหวินที่พึ่งปล่อยนางออกจากอ้อมแขน ใบหน้าของไปจูเหวินนั้นยังคงยิ้มเช่นเดิม แต่รอยยิ้มนั้นกลับดูสดชื่นกว่าก่อนหน้านี้มาก

 

“ข้าไม่เป็นไรแล้ว”ไปจเหวินว่าพลางใช้มือลูบเส้นผมของเหม่ยหลินเบาๆ ก่อนหน้านี้มันไม่เคยคิดว่าตนเองรู้สึกอะไรกับเหม่ยหลินหรือหญิงสาวคนอื่นๆ แต่หลังจากได้ลองย้อนกลับเข้าไปในความทรงจําของตนเอง ไปจูเหวินจึงได้เห็นสิ่งที่ ตนมองข้ามไปตลอดมันมองข้ามท่าที่ที่เหม่ยหลินมีต่อมัน มานานมาก แถมยิ่งเวลาผ่านไปนางก็ยิ่งแสดงท่าที่ชัดเจน มากขึ้น บางทีนางอาจจะโมโหมันอยู่ก็เป็นได้ที่ไม่รู้ใจของนางเสียที

 

“ขอบใจเจ้ามาก”ไปจูเหวินว่าพลางช้อนมือไปด้านหลังศี รษะของเหม่ยหลินพลางโน้มใบหน้าเข้าไปหาเหม่ยหลินอย่างแผ่วเบา

 

พริบตานั้นราวกับเวลารอบๆหยุดเดิน ริมฝีปากที่ประกบกันทําให้เหม่ยหลินหน้าแดงอย่างมาก แต่นางก็ไม่ได้ขัด ขืนอะไร ตรงกันข้ามนอกกลับจูบตอบกลับมาอีกต่างหาก

 

“พี่ไป ข้า….”เหม่ยหลินเหมือนจะพยายามพูดอะไรบางอย่างเมื่อริมฝีปากของทั้งสองแยกจากกันแต่ไปจูเหวินกลับยิ้มออกมาพลางส่ายหน้าเบาๆ

 

“ข้ารู้แล้ว”ไปจูเหวินว่าพลางจูบเหม่ยหลินอีกครั้งมันไม่จําเป็นต้องมีคําพูดอะไรทั้งนั้น สิ่งที่เหม่ยหลินทําในช่วงเวลาที่ผ่านมามันบอกทุกอย่างจนหมดแล้ว

Comment

Options

not work with dark mode
Reset